คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ ตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ ให้เป็นต้นไม้ 10,000 ต้น ภายในปี 2567

07/08/2024

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ ตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ ให้เป็นต้นไม้ 10,000 ต้น ภายในปี 2567พร้อมต่อยอดแคมเปญ ภายใต้สโลแกน “ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+” ชวนลูกค้าลดใช้กระดาษ หันมาใช้ e-Document และ e-Receipt บนแอปพลิเคชัน AIA+AIA+ (เอไอเอ พลัส)​ แอปพลิเคชันที่​รวมทุกบริการจาก เอไอเอ เพื่อความสะดวกในการจัดการกรมธรรม์แบบครบวงจรตามสโลแกน "แอปเดียวจบ ครบทุกบริการ" เปิดตัวแคมเปญ ESG ครั้งใหญ่ "AIA+ Go Green" ภายใต้สโลแกน "ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+" เชิญชวนผู้ถือกรมธรรม์หันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษบนแอปพลิเคชัน  AIA+ กับบริการ e-Document และ e-Receipt โดยตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ ภายในสิ้นปี 2567 โดยทุกๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ด้วยการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้นแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการเดินหน้าตามนโยบาย ESG ของ เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากมายในสังคมไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปี โดยเอไอเอตระหนักถึงความสำคัญของการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance - ESG) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพและยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งยังตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือและแก้ไขAIA+ จึงริเริ่มแคมเปญ “AIA+ Go Green” ขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอทุกราย ได้มีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรและหันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษ (Paperless Transactions) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ และใช้บริการ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ยฯ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่สะดวก ใช้งานง่าย และสามารถช่วยจัดเก็บทุกเอกสารสำคัญได้อย่างปลอดภัยพร้อมใช้งานตลอดเวลา ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “อีกหนึ่งการขับเคลื่อนสำคัญของแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ คือการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และลดการใช้ทรัพยากรในทุกกระบวนการดำเนินงานของบริษัท นอกจากแคมเปญ AIA+ Go Green จะทำให้ลูกค้าได้ร่วมลดการใช้กระดาษกับเราได้ง่าย ๆ แล้ว เรายังอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกจากการใช้แอป AIA+ ซึ่งมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเอกสารสำคัญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ ใบแจ้งยอดชำระเงิน ใบเสร็จรับเงิน ไปจนถึงเอกสารเกี่ยวกับสินไหม จะอยู่ในแอปอย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ช่วยตัดปัญหาการค้นหาเอกสารสำคัญไม่เจอ เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายทุกครั้งที่ใช้แอป AIA+”สำหรับแคมเปญ AIA+ Go Green เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม- 31 ธันวาคม 2567 ซึ่ง เอไอเอ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ สู่การปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและร่วมต่อสู้กับภาวะโลกเดือด (Global Boiling) โดยจะขยายความสำเร็จของโครงการ นำทีมโดย คุณพลับ จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ และทีมผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานอาสาสมัครที่จะมาร่วมปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น ในต้นปี 2568คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการตอกย้ำว่าพวกเราทุกคนต่างมีบทบาทในการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกัน ปัจจุบันที่ เอไอเอ ประเทศไทย เราใช้กระดาษมากกว่า 60,000,000 แผ่นต่อปี เพื่อส่งเอกสารถึงผู้ถือกรมธรรม์ทุกท่าน หากผู้ถือกรมธรรม์เปลี่ยนมารับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง e-Document และ e-Receipt ผ่านแอป AIA+ และบรรลุเป้าหมายของแคมเปญ 100,000 กรมธรรม์ภายในสิ้นปี เราจะประหยัดกระดาษได้ถึง 400,000 แผ่น“เรามั่นใจว่าผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ จะดาวน์โหลดแอป AIA+ และรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่สนับสนุนพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีส่วนร่วมเพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573”ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ลดภาระให้สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสะดวกและปลอดภัย ด้วยการดาวน์โหลดแอป AIA+ พร้อมสมัครรับบริการ e-Document และ e-Receipt เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยรักษ์โลกไปกับ เอไอเอ ประเทศไทย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แก้หนี้ยังไงดี ?

02/08/2024

คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติผู้เขียน : อำนาจ ประชาชาติปัญหาหนี้ครัวเรือน นี่ต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ และเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากโดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่สูงถึงระดับแถว ๆ 90% ในจำนวนนี้มีกลายเป็นหนี้เสียแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ที่เริ่มค้างชำระและอาจจะกลายเป็นหนี้เสียในระยะต่อไปก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความเข้มข้นเป็นระดับไหน อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะบางคนปรับแล้วก็รอด บางคนก็ยังไม่รอดฟังจากบริษัทบริหารหนี้ ก็บอกว่าปีนี้แค่ครึ่งปีแบงก์มีการเปิดประมูลหนี้เสียเกือบเท่ากับปีที่แล้วทั้งปีแล้ว คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะสูงกว่าปีที่แล้วแบบ “ดับเบิล”แต่ถึงแม้จะเปิดประมูลเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะขายได้หมดนะ เพราะแบงก์ก็ต้องการขายได้ในราคาสูง ส่วนบริษัทบริหารหนี้ก็ต้องการซื้อในราคาไม่แพง เพื่อจะไปทำกำไรต่อได้ อันนี้เป็นเรื่องมุมทางธุรกิจ เข้าใจได้ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวจากฝั่งลานประมูลรถ บอกว่าปีนี้ยอดรถยึดเข้าสู่ลานประมูลมากเป็นประวัติการณ์ แถมการระบายรถมือสองออกก็ทำได้ยากเหล่านี้คือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ผูกโยงกันไปหมด สะท้อนว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงอย่างมาก ในขณะที่เศรษฐกิจก็โตแบบเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดรายได้เข้าใจดีว่าทุกฝ่ายเห็นปัญหา และพยายามหาวิธีแก้ในแบบของตัวเองล่าสุดรัฐบาลก็บอกว่ากำลังหาทางแก้ไขหนี้รถกระบะและหนี้รถจักรยานยนต์ เพราะถือว่ากลุ่มนี้ใช้รถเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะแก้อย่างไรโดยในเชิงนโยบาย ใครมีเครื่องมืออะไรก็หยิบมาใช้ อย่างเช่น คนที่มีหน้าที่คุมการก่อหนี้ ก็เพิ่มความเข้มข้นในการคุม หรือหน่วยงานไหนที่สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขอะไรได้ ก็พยายามผ่อนปรนให้ได้มากที่สุดแต่สิ่งที่อยากฝากให้คิดก็คือ จะบาลานซ์ระหว่างการคุมกำเนิดหนี้ครัวเรือน กับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไรถ้าจะคุม คุมแค่ไหนที่จะพอดี ไม่ให้มีเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่โตไปด้วย หรือถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นระดับใดจะพอเหมาะพอควร และช่วยให้หนี้ลดลงได้ด้วยเป็นโจทย์ที่ยากนะ คงต้องฝากให้ผู้เกี่ยวข้องไปคิดหาวิธีกันต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1617022

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

กองทัพโดราเอมอนบุกฮ่องกง! ในนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” สุดฮอตหน้าร้อนนี้

02/08/2024

มาแล้วกับ ทัวร์นิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” (ฮ่องกง) ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ทางผู้จัดงานซึ่งเป็นแบรนด์ครีเอทีฟอย่าง AllRightsReserved ได้คราฟต์ประสบการณ์ในธีมโดราเอมอนให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจไว้ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแปลงโฉมรถไฟ MTR และกระเช้านองปิงให้สะท้อนความสนุกสนานของการเดินทางในธีมโดราเอมอน ตลอดจนยกการแสดงโดรนโดราเอมอนมาให้ชมเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้กระแส “โดราเอมอน” ถูกปลุกขึ้นจากการปรากฏตัวสุดเซอร์ไพรส์ดังกล่าว ภายในงานจัดแสดงนั้นมีทั้งโซนที่สามารถเข้าชมได้ฟรี ซึ่งจัดแสดง ณ สถานที่ที่รู้จักกันดี อย่าง Avenue of Stars และบริเวณท่าเรือจิมซาจุ่ยตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. ไปจนถึง 11 ส.ค. และโซนที่ต้องเสียค่าเข้าชม ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ชั้น 6 ของ K11 MUSEA ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. ไปจนถึง 18 ส.ค. ทั้งนี้ บัตรเข้าชมได้จำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วผู้จัดงาน อย่าง AllRightsReserved ร่วมมือกับ Fujiko Pro ส่งมอบผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง ทัวร์นิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” (ฮ่องกง) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในนิทรรศการโดราเอมอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อฉลองครบรอบ 90 ปีของผู้ให้กำเนิดตัวละครโดราเอมอนอย่าง ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ งานนี้ได้ยกโลกแห่งการ์ตูนและภาพยนตร์โดราเอมอนมาให้ได้ดื่มด่ำและเต็มอิ่ม พร้อมด้วยประติมากรรมหุ่นโดราเอมอนสีสันโดดเด่นที่จะมาแจกจ่ายความน่ารักให้กับทุกคนทั่วฮ่องกง งานนี้ยกทัพคอลเลกชันหุ่นโดราเอมอนขนาดเท่าตัวจริงมาจำนวน 135 ชุด ซึ่งคอลเลกชันส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ยังไม่เคยนำไปจัดแสดงที่ไหนมาก่อน นอกจากนี้ ท่านจะได้พบกับของวิเศษโดราเอมอนที่จะเผยโฉมเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ “100% Friends-Calling Bell” ของวิเศษที่เพียงแค่สั่นกระดิ่ง เพื่อน ๆ ก็จะมาหา เข้ากันได้ดีกับธีมของงานที่เชื่อว่า “เพื่อนแท้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ” เรียกเพื่อนๆ จากทั่วโลกมาพบกับโดราเอมอนที่ Avenue of Stars ในฮ่องกงกัน!ร่วมสนุกได้ฟรีทั่วฮ่องกง! กับประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดราเอมอน “100% DORAEMON & FRIENDS” ที่จะพาทุกคนวาร์ปไปสู่ 10 สถานที่สุดไอคอนิกทั่วเมืองAllRightsReserved ได้จับมือกับผู้สนับสนุนอย่าง การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board) นำเสนอประตูไปที่ไหนก็ได้ “100% DORAEMON & FRIENDS” Anywhere Door ทั่วฮ่องกง ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม ซึ่งท่านจะได้พบกับการปรากฏตัวสุดเซอร์ไพรซ์ของโดราเอมอนตามที่ต่างๆ พร้อมยก “Anywhere Door” ขนาดเท่าของจริง ซึ่งใหญ่กว่าประตูปกติจำนวน 10 บาน มาตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมือง โดยประตูแต่ละบานจะฉายภาพสถานที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกง เสมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้คนได้ออกเดินทางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ แฟน ๆ สามารถเสิร์ชหาบานประตูสีชมพูที่แสนโดดเด่นเหล่านี้ ถ่ายภาพ หรือแม้แต่แลกของที่ระลึกแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นด้วยการแชร์ประสบการณ์ของพวกเขาบนโซเชียลมีเดียนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” กับ 3 กิจกรรมหลัก: 1. พื้นที่แบบจำหน่ายบัตรเข้าชมที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว 2. โซนเข้าฟรี พร้อมโบนัสโชว์โดรนโดราเอมอนสุดตระการตาสองพื้นที่เข้าชมฟรี:พื้นที่ (1): “100% Doraemon Outdoor Exhibited Area” (สำหรับผู้ที่สำรองการเข้าชมมาล่วงหน้าเท่านั้น)พื้นที่ (2): “100% Avenue of Stars” (ไม่ต้องสำรองการเข้าชมล่วงหน้า)พื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Outdoor Exhibited Area" ขนาดยักษ์ (เข้าชมฟรี) ซึ่งจัดแสดงตลอดเส้นทางริมอ่าวของ Avenue of Stars และบริเวณท่าเรือจิมซาจุ่ย โดดเด่นด้วยตุ๊กตาโดราเอมอนเป่าลมขนาดยักษ์ที่มีความสูงกว่า 12 เมตร ล้อมรอบด้วยหุ่นโดราเอมอนขนาดเท่าตัวจริง (1:1) จำนวน 34 ตัว ที่มาจากทั้งมังงะและซีรีส์แอนิเมชัน พร้อมด้วยหุ่นตัวละครผองเพื่อนและครอบครัวอีก 10 ตัว ที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในการเดินทางครั้งนี้ ชิ้นงานประติมากรรมและพาเนลลายการ์ตูนขนาดมหึมาช่วยรังสรรค์ประสบการณ์อันน่าประทับใจ โดยมีฉากหลังเป็นฟ้าสวยจากมุมของอ่าววิคตอเรียส่วนพื้นที่นิทรรศการ "100% Avenue of Stars" ได้จัดขึ้นเพื่อยกย่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง โดราเอมอนและเพื่อน ๆ รวมถึงโนบิตะต่างแต่งกายในชุดหรูหราและเป็นทางการ ยืนสง่าตลอดเส้น Avenue of Stars พร้อมกับสแตนดีสไตล์คอมิกของผู้ครองวงการภาพยนตร์ชาวฮ่องกง 13 ท่าน ที่ยืนยิ้มแย้มทักทายตลอด “พรมฟ้า” ตามธีมโดราเอมอนนี้และเพื่อเป็นการจัดระเบียบผู้เข้าชมพื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Outdoor Exhibited Area" ที่มาพร้อมกับหุ่นโดราเอมอนพองลมขนาดยักษ์สูง 12 เมตร จะไม่เปิดให้เข้าชมแบบวอล์กอิน (Walk-in) โดยจะต้องสำรองรอบเข้าชมล่วงหน้าบนช่องทางออนไลน์ ผ่าน Klook ซึ่งจะเปิดให้สำรองการเข้าชมทุกวันอังคาร เวลา 12.00 น. โดยสามารถตรวจสอบตารางการสำรองการเข้าชมได้ทาง https://s.klook.com/100_doraemon_gf_enหมายเหตุ: เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผู้ที่สำรองการเข้าชมพื้นที่ฟรี และผู้ที่มีบัตรเข้าชมควรเดินทางมาถึงก่อนเวลาเข้าชมอย่างน้อย 30 นาที เพื่อทำการคัดกรองก่อนเข้าชมสองพื้นที่สำหรับผู้ที่มีบัตรเข้าชมเท่านั้น (บัตรเข้าชมจำหน่ายหมดแล้ว):พื้นที่ (1): “100% Doraemon Manga Art Exhibition Hall”พื้นที่ (2): “100% Doraemon Sculpture Park”พื้นที่นิทรรศการแรก "100% Doraemon Manga Art Exhibition Hall” จัดขึ้นบนชั้น 6 ของ K11 MUSEA ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางฟุต ใน Victoria Dockside ของย่านศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งจะพาแฟนตัวยงหลุดเข้าไปสู่โลกของโดราเอมอนที่จัดเต็มแบบครบครัน โดยท่านจะได้รับชมแอนิเมชันเรื่องสั้นสุดพิเศษจากทุนการสร้างของ AllRightsReserved ผ่านฝีมือของทีมแอนิเมชันญี่ปุ่น "Shin-Ei Animation" ในเวอร์ชันพิเศษสำหรับฮ่องกงโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีห้องอิมเมอร์ซีฟ (Immersive Room) จัดแสดงมังงะ ชิ้นงานจำลองผลงานศิลปะคุณภาพสูง ฉากต่าง ๆ จากในเรื่องโดราเอมอนและภาพยนตร์สุดพิเศษ ตลอดจนคอลเลกชันหุ่นโชว์จำนวน 17 คอลเลกชันส่วนพื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Sculpture Park" ยกทัพงานประติมากรรมหุ่นโดราเอมอน 36 ชิ้น ประกอบไปด้วยหุ่นจำลองโดราเอมอนจากภาพยนตร์ 13 ชิ้น และประติมากรรมพิเศษ 23 ชิ้น ทั้งยังมีร่างแปลงของโดราเอมอน ในรูปแบบโดราเอมอนมันหวาน โดราเอมอนหมาป่า ร่างผสมระหว่างโดราเอมอนกับโนบิตะ ตลอดจนโดราเอมอนในเครื่องแต่งกายอื่น ๆ มาจัดแสดง ทั้งนี้ บัตรเข้าชมได้จำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วการแสดงโดรนโดราเอมอนครั้งแรกของโลกกลับมาเรียกเสียงฮือฮา!การเปิดตัวการแสดงโดรนโดราเอมอนครั้งแรกของโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จึงทำให้ผู้จัดงานอย่าง AllRightsReserved นำโชว์นี้กลับมาแสดงเหนืออ่าววิคตอเรียอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม ด้วยเรื่องราวที่ปรับใหม่ ถ่ายทอดโดยโดรน 1,000 ลำ ที่มาโลดแล่น รังสรรค์ฉากและภาพสุดคลาสสิกของโดราเอมอนที่มีความหลากหลาย พร้อมด้วยเสียงจากนักพากย์โดราเอมอนที่มาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมพบกับการปรากฏตัวสุดเซอไพรส์ทั่วฮ่องกง ที่แฟนโดราเอมอนห้ามพลาดร้านป๊อปอัพโดราเอมอน ของสะสม & 100% ID ZONEเพื่อฉลองให้กับฮ่องกง จุดพักแรกของการจัดทัวร์นิทรรศการ "100% DORAEMON & FRIENDS" นิทรรศการครั้งนี้จึงเปิดตัวชุดของสะสมธีมพิเศษ ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน DDT มาพร้อมกับภาพพิมพ์คุณภาพสูง หุ่นไม้ของจริงแบบลิมิเต็ดอิดิชันจำนวน 500 ชิ้นทั่วโลก และตุ๊กตาของเล่น โดยคอลเลกชันดังกล่าวประกอบไปด้วยสินค้าพรีเมียมที่หลากหลายกว่า 50 รายการ แต่ละชิ้นมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวและเหมาะเป็นของสะสมสำหรับทุกช่วงวัย ท่านสามารถเลือกซื้อของสะสมนี้ได้ที่ชั้น 6 และชั้น G (G33) ที่ K11 MUSEA ทั้งนี้ โปรดทราบว่า ร้านป๊อปอัพบนชั้น 6 เปิดให้เฉพาะสำหรับผู้ที่มีบัตรเข้าชมงานเท่านั้น แต่ทุกท่านสามารถไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ร้านป๊อปอัพ G33 ซึ่งมีถังป๊อปคอร์นธีมโดราเอมอนที่ดูทั้งสนุกและเข้ากับบรรยากาศ ตลอดจนไอศกรีมที่มาในถ้วยสุดแสนน่ารัก ซึ่งจะมอบ “ความอร่อยหอมหวาน” ให้กับแฟน ๆนอกจากนี้ ท่านยังจะได้พบกับรหัสประจำตัวดิจิทัล DORAEMON ID แบบพิเศษ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและมีผู้ลงทะเบียนไปแล้วกว่า 400,000 คน ท่านสามารถสร้างตัวละครมังงะในแบบของตัวเองผ่านการปรับแต่งรูปร่างหน้าตา สีผิว ทรงผม และเครื่องแต่งกาย เพื่อมาเป็นแก๊งเพื่อนของโดราเอมอนได้อย่างกลมกลืน และที่ "100% ID Zone" นั้น ท่านที่มีบัตรเข้าชมจะสามารถสั่งทำสแตนดีสุดพิเศษได้ที่หน้างาน ซึ่งมีจำนวนจำกัดและเปิดจำหน่ายตามลำดับก่อนหลังและยังมี 100% Digital Stamp พร้อมแจกให้ท่านได้ร่วมสนุก แค่เพียงล็อกอินเข้าสู่ DORAEMON ID และสะสม “100% Digital Stamp” บนหน้าแอปก็เป็นอันสำเร็จ!เข้าชมได้ฟรีโดยไม่ต้องสำรองการเข้าชมเวลา: 10.00 - 22.00 น.สถานที่: G33 ชั้น G/F Muse Edition, K11 MUSEAติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://doraemon100.com/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000067592

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ททท.หนุน “กาญจนบุรี” เป็นจุดหมายพาย SUP ระดับเวิลด์คลาส

02/08/2024

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าผลักดันให้จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจุดหมายปลายทางของการพาย SUP ระดับเวิลด์คลาส ร่วมสนับสนุนงานแข่งขันกีฬาเชิงท่องเที่ยวทางน้ำระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของไทย และมีระยะทางไกลที่สุดในเอเชีย “THE ROUTE 97”ภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ บริษัท 306 สตูดิโอ ดีไซน์ จำกัด หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การแข่งขันกระดานยืนพาย รายการ “THE ROUTE 97” ขึ้นเป็นปีที่ 3 ในระหว่างวันที่ 26 - 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันกีฬากระดานยืนพายระยะทางไกลที่สุดในเอเชีย โดยมีระยะทางตลอดการแข่งขัน 106 กิโลเมตร บนแม่น้ำแควน้อยของจังหวัดกาญจนบุรีไฮไลท์เส้นทางการพายในปีนี้จะมีการผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญ อันได้แก่ บ่อน้ำร้อนลิ่นถิ่น น้ำตก 3 แห่ง สะพานแขวนใน เขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค และถ้ำกระแซ ซึ่งจะเป็นการเผยแพร่ภาพของสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของกาญจนบุรี ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำทั่วโลกภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.นอกจากนี้ ในปีนี้ยังเป็นปีแรกที่จัดสรรให้มีการเดินทางมายังกาญจนบุรีโดยรถไฟจากหัวลำโพงเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟอีกด้วยนางสาวสรียา บุญมาก ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานกาญจนบุรี กล่าวว่า ททท. เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) รวมถึงผลักดันให้กิจกรรมกีฬากระดานยืนพาย (Stand Up Paddle Board) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ต้องมาสัมผัสในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะที่เป็นจังหวัดจุดหมายปลายทางของการพาย SUP ที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่ยังมีศักยภาพเป็นจุดหมายของนักพายระดับโลกได้อีกด้วยภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.โดยมั่นใจว่า การจัดการแข่งขันกีฬากระดานยืนพาย “ THE ROUTE 97” ครั้งที่ 3 นี้จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวหรือนักกีฬาได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี ดึงดูดและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism) ซึ่งสามารถสร้างความตระหนักรู้ให้แก่นักท่องเที่ยวในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานกาญจนบุรี https://web.facebook.com/tatkanภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000063860

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ธุรกิจ

7 กลยุทธ์ สู้แบบคนตัวเล็ก รอดอย่างไรเมื่อต้องชนกับยักษ์ใหญ่

02/08/2024

CMMU เปิดสูตรลับ 7 กลยุทธ์ สู้แบบคนตัวเล็ก สร้างจุดเด่น เน้นจุดขาย หาความแตกต่าง เมื่อต้องชนกับเจ้ายักษ์ใหญ่ในยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจขนาดเล็กก็มีโอกาสแจ้งเกิดได้ไม่แพ้ปลาใหญ่ เพียงมีกลยุทธ์ที่เฉียบคม เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ชอบลองของใหม่ และเบื่อง่าย โดยเราสามารถลืมภาพปลาใหญ่กินปลาเล็กไปได้เลย เพราะธุรกิจขนาดเล็กมีความคล่องตัว ปรับตัวง่าย เข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว ผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย จงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้โดนใจ สร้างจุดขายที่แตกต่างแค่นี้ธุรกิจของคุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ ยืนหยัดในตลาดได้อย่างมั่นคงผศ.ดร.สุเทพ นิ่มสาย หัวหน้าสาขาการจัดการและกลยุทธ์ (Management and Strategy) และหัวหน้าหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโทแบบเร่งรัด กูรูด้านบริหารธุรกิจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)  กล่าวว่า หากธุรกิจขนาดเล็กจะสู้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มี Economy of Scale ได้ ต้องสู้อย่างมีกลยุทธ์ และมีชั้นเชิง7 กลยุทธ์ที่ธุรกิจขนาดเล็ก ควรนำไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีดังต่อไปนี้1. หาช่องว่างทางการตลาด : ต้องหาให้เจอก่อนว่าอะไรที่ธุรกิจขนาดใหญ่ยังไม่ได้ให้บริการหรือยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมหรือดีพอ โดยอาจเจาะไปที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เสนอบริการแบบ Personalized ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า หรือจำหน่ายสินค้าเฉพาะกลุ่ม เฉพาะทาง2. สร้างจุดเด่น เน้นจุดขาย : จุดอ่อนของธุรกิจที่มี Economy of Scale คือ เน้น “ปริมาณ” เป็นหลักทำให้สินค้าหรือบริการมักขาด “จุดเด่น” และ “ความแตกต่าง” ที่ชัดเจน ซึ่งหากธุรกิจขนาดเล็กรู้จักสร้างนวัตกรรมหรือนำความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาสินค้าและบริการให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้าง “จุดขาย” ที่โดดเด่นและแตกต่าง ก็จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง3. ใช้ประโยชน์จากความคล่องตัว : ธุรกิจขนาดเล็กจะมีโครงสร้างองค์กรเรียบง่าย มีความคล่องตัวสูง การตัดสินใจหรือจะทำอะไรทำได้รวดเร็วกว่า ซึ่งสามารถใช้จุดแข็งนี้ลองผิดลองถูกได้มากกว่า สามารถริเริ่มนวัตกรรมหรือกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายกว่า4. เน้นเข้าถึง เข้าใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า : ธุรกิจขนาดเล็กจะมีความใกล้ชิดและเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า ซึ่งสามารถใช้โอกาสนี้ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า สามารถมอบบริการที่สร้างความประทับใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากกว่า 5. ใช้พลังโซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ : ธุรกิจขนาดเล็กควรใช้พลังของโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, TikTok, YouTube ฯลฯ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุนไม่ว่าจะใช้เป็นแหล่งศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค การสร้างช่องทางการขายใหม่ๆ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการทำการตลาด ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ6. สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ : ธุรกิจขนาดเล็กควรสร้างพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ เพื่อเพิ่มคอนเน็กชัน เพิ่มความร่วมมือ โดยเฉพาะหากเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ยิ่งควรสร้างความร่วมมือกับธุรกิจที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ตลาดใหม่ หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยากจะเข้าถึงได้ สร้างโอกาสในการขายสินค้าและบริการใหม่ๆ7. ถึงตัวเล็ก แต่ใจต้องใหญ่ : กล้าที่จะเสี่ยงพร้อมที่จะสู้ สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ ธุรกิจขนาดเล็กต้องคิดบวกและเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ธุรกิจคนตัวเล็กสามารถประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้ โดยอาศัยกลยุทธ์ที่เฉียบคม เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นความคล่องตัว สร้างจุดเด่น เข้าถึงลูกค้าอย่างใกล้ชิด ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และที่สำคัญคือมีความมุ่งมั่น กล้าที่จะเสี่ยง และพร้อมที่จะสู้ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจคนตัวเล็กสามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านขนาด แข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ และยืนหยัดในตลาดได้อย่างมั่นคงแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/business/marketing/600984

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2023 จาก Enterprise Asia ติดต่อกันเป็นปีที่ 4

02/08/2024

กรุงเทพฯ 25 กรกฎาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนางสาวกันยา กันตถาวร (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารตัวแทน เป็นตัวแทนรับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2023 ในสาขา Social Empowerment ประเภท Health Promotion จากความสำเร็จของงาน AIA One Billion Trail 2023 ซึ่งเป็นงานเดิน - วิ่งเทรลประเภททีม 4 คน ครั้งแรกของประเทศไทย บนเส้นทางธรรมชาติจากดอยอินทนนท์ถึงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อระดมทุนสนับสนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมพิชิตเป้าหมายจำนวนมากถึง 400 ทีม พร้อมได้รับยอดเงินบริจาคสูงกว่า 4 ล้านบาท ถือได้ว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและยังเป็นความภาคภูมิใจของเหล่านักวิ่งเทรลที่มีส่วนร่วมในงานนี้อีกด้วยสำหรับงาน AIA One Billion Trail นอกจากจะจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมีชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาวแล้ว ยังตอกย้ำถึงพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยในปีนี้ งาน AIA One Billion Trail 2024 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน นี้ ณ จังหวัดเชียงใหม่ทั้งนี้ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2023 จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติแก่องค์กรที่มีการดำเนินงานและผลงานโดดเด่นด้านการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รางวัลดังกล่าวยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ประเทศไทย ในการดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้คนและชุมชนเพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้าน ESG (ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เทคนิคบริหารเงิน เมื่อถึงวันเกษียณ

02/08/2024

บทความโดย "ศุทธวีร์ มงคลสินธุ์" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยในประเทศไทยมีการส่งเสริมด้านการลงทุนเพื่อการเกษียณหลากหลายรูปแบบ สำหรับพนักงานเอกชนมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) สำหรับผู้ที่รับราชการมีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) อีกทั้งมีรูปแบบการลงทุนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)การลงทุนเหล่านี้นอกจากจะช่วยออมเงินเพื่อเกษียณแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งมีเงื่อนไขกำหนดไว้ สำหรับ PVD และ RMF หากนำเงินออกมาเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนหรือมีการลงทุนมาต่อเนื่องเกิน 5 ปี จะได้รับการยกเว้นภาษี สำหรับเงินก้อนที่ได้รับคืนจาก กบข. หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุสูงอายุ เกษียณ ทดแทน ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จะได้รับยกเว้นภาษี แต่หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ๆ เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจาก กบข. จะได้รับยกเว้นภาษีเมื่อสมาชิกฝากเงินให้ กบข. บริหารต่อทั้งจำนวนแล้วขอรับคืนตอนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์จะเห็นได้ว่าเมื่อถึงวันเกษียณ เมื่อนำเงินหลายก้อนมารวมกันก็ถือว่าเยอะพอสมควร ดังนั้น คำถามสำคัญของผู้ที่กำลังจะเกษียณ คือ ควรนำเงินออกมาใช้จ่ายหรือจะนำไปลงทุนต่อ ซึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจ มี 2 ประการ1. ความจำเป็นของการใช้เงินก้อนหลังเกษียณ เช่น การนำเงินไปชำระหนี้ที่คงค้างที่เหลือมาจนถึงช่วงหลังเกษียณ เพื่อลดค่าใช้จ่ายการชำระหนี้ในแต่ละเดือน หรืออาจนำเงินก้อนไปใช้จ่ายในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อซื้อ หรือปรับปรุงที่อยู่อาศัย เป็นต้น2. แหล่งรายได้ประจำหรือเงินสำรองอื่น ๆ ที่มีไว้ใช้สำหรับช่วงหลังเกษียณ ซึ่งจะเป็นเงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ เช่น เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตน บำนาญรายเดือนของข้าราชการ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากปันผลหุ้นหรือกองทุนรวม รายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นต้นหากพิจารณาทั้ง 2 ปัจจัย จะทำให้สามารถแบ่งทางเลือกในการตัดสินใจลงทุนต่อหรือนำเงินลงทุนออกมาใช้ ได้เป็น 4 กรณีดังนี้กรณีที่ 1 มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรนำเงินลงทุนออกมาให้พอเหมาะกับเงินก้อนที่จำเป็นต้องใช้ ตัวอย่าง ผู้เกษียณหลายท่านมีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ควรนำเงินลงทุนออกมาปิดยอดชำระหนี้ และเงินส่วนที่เหลือ ยังคงลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรืออาจพิจารณานำเงินมาลงทุนในกองทุนรวมแบบผสมที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เนื่องจากกองทุนรวมประเภทนี้จะมีการขายคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ลงทุนเพื่อจะได้มีกระแสเงินสดไว้ใช้จ่ายกรณีที่ 2 มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรถอนเงินลงทุนบางส่วนตามความจำเป็นเพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้เพียงพอตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และนำเงินได้จากแหล่งเงินได้อื่นสำรองไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเงินก้อนที่เหลือควรคงไว้ในการลงทุนเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนไปอย่างต่อเนื่อง หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนในอนาคตก็สามารถถอนมาใช้ได้กรณีที่ 3 ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรทยอยถอนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยอาจจะถอนเงินออกมาในแต่ละครั้งเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยเงินที่เตรียมมาไว้ใช้จ่ายนี้ สามารถนำมาพักไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อไม่ให้เงินส่วนนี้ผันผวนไปตามสถานการณ์ ภาวะการลงทุนต่าง ๆกรณีที่ 4 ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรคงการลงทุนต่อไป สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำหลังเกษียณอยู่แล้ว ข้อดีของการคงเงินลงทุนไว้ คือ สามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องบริหารการลงทุนด้วยตนเอง อีกทั้งการคงเงินลงทุนเป็นทางเลือกให้ไม่ต้องรีบนำเงินออกมา หากช่วงที่เกษียณอายุเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยจะทำให้สามารถรอจนกระทั่งตลาดปรับตัวดีขึ้นแล้วจึงค่อยนำเงินออกจากกองทุนเพื่อการเกษียณสำหรับกรณีที่ผู้เกษียณต้องการคงเงินลงทุนไว้บางส่วนหรือคงเงินลงทุนไว้ทั้งหมดนั้น ช่วงที่ใกล้เกษียณผู้ลงทุนควรปรับนโยบายการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้ต่ำควรเลือกนโยบายการลงทุนในหุ้นมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 และตราสารหนี้ประมาณร้อยละ 90 เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนชดเชยเงินเฟ้อ แต่ถ้าสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจเลือกนโยบายลงทุนแบบสมดุล ซึ่งจะมีการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ เป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างไรก็ตาม ในทุกกรณีต้องไม่ลืมว่า ควรมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น โดยควรเตรียมไว้เบื้องต้น 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเป็นเงินที่ต้องกันออกมาจากการลงทุนส่วนอื่น ๆ โดยอาจพักเงินส่วนนี้ไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรืออาจเปิดบัญชีธนาคารประเภทเงินฝากดิจิทัล ซึ่งเป็นเงินฝากที่ไม่มีสมุดบัญชี ต้องทำรายการผ่าน Mobile Banking เท่านั้น ซึ่งเงินฝากประเภทนี้ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป อีกทั้งการตัดสินใจทางการเงินเพื่อการเกษียณต่าง ๆ ควรตัดสินใจด้วยความรอบคอบ โดยอาจพิจารณาข้อมูลประกอบจากนักวางแผนทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการเกษียณแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1612412

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13

02/08/2024

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” ติดต่อกันเป็นปีที่ 13 โดยในปีนี้เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ถึง 2 รางวัล ในสาขาประกันชีวิต และสาขาประกันสุขภาพ ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มาจากผลการทำวิจัยของนิตยสารมาร์เก็ตเธียร์ (Marketeer) ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 6,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ และสะท้อนถึงความเชื่อมั่น ตลอดจนความไว้วางใจของคนไทยที่มีต่อแบรนด์เอไอเอ อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความสำเร็จของเอไอเอ ในฐานะบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการสนับสนุนคนไทยและผู้คนทั่วเอเชียกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรม เพื่อดูแลคนไทยทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ และสุขภาพทางการเงิน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งพิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชาวอาร์ทสายเกาต้องมา! ร่วมสัมผัสงานดิจิทัลอาร์ตสุดล้ำส่งตรงจากประเทศเกาหลีใต้ “The Abyss Beyond”

02/08/2024

ต่อยอดความสำเร็จจากนิทรรศการศิลปะ “THE GATE IMMERSIVE THEATER” ในปีที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมกับ Topos Studio ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการจัดแสดงจากประเทศเกาหลีใต้ กลับมาจัดงานแสดงงานอีกครั้งกับนิทรรศการงานดิจิทัลอาร์ตสุดล้ำ “The Abyss Beyond” ที่จะพาทุกคนร่วมผจญภัยทางประสาทสัมผัสผสานกับผลงานสุดล้ำสมัย ผ่านเทคโนโลยีจอแสดงผลมีเดีย 250 องศา ที่มาพร้อมระบบเสียงแอมบิโซนิก เพื่อประสบการณ์ภาพและเสียง Immersive อย่างเต็มที่ กับ 2 ผลงานศิลปะดิจิทัลสุดล้ำประกอบไปด้วย ผลงาน "Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era" โดย Aldo Tambellini และ ผลงาน “Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth” โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ พร้อมเปิดประสบการณ์อันลึกซึ้ง เกี่ยวกับการดำรงอยู่ จิตสำนึก และจักรวาล จัดแสดงระหว่างวันที่ 18 ก.ค. 67 - 30 ก.ย. 67 ที่ TDPK Studio 1 ชั้น ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ กรุงเทพฯDaegyeom Heo, CEO of Topos Studio กล่าวว่า " Topos Studio เราเป็นสตูดิโอจากประเทศเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย สำหรับนิทรรศการ “The Abyss Beyond” เราใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการนำเสนองานศิลปะ ที่พร้อมจะนำทุกท่านเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ที่ไร้ขอบเขต เป็นอีกข้อพิสูจน์ถึงพลังของสื่อ ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความท้าทาย และขยายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลก และตัวตนของเราเอง”สัมผัสความมหัศจรรย์งานดิจิทัลอาร์ตสุดล้ำ ที่จะพาทุกคนเข้าสู่โลกลึกลับของ “The Abyss Beyond” ผ่านการแสดง Immersive Art รูปแบบใหม่ เข้าสู่ห้วงของจิตใต้สำนึก ค้นหาความฝัน และจักรวาลที่กว้างใหญ่กับ 2 ผลงาน ที่ถูกสร้างสรรค์จาก 2 ศิลปิน ประกอบไปด้วย1. ผลงาน "Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era" โดย Aldo Tambellini ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ผู้บุกเบิกสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ผสมผสานการวาดภาพ ประติมากรรม และวิดีโออาร์ต ตลอดอาชีพของเขา เขาเป็นผู้นำด้าน avant-garde โดยร่วมก่อตั้ง Gate Theatre ในมหานครนิวยอร์ก และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาวิดีโออาร์ต ผลงานของเขาได้รับการจัดแสดงในระดับนานาชาติมากมาย เช่น Venice Biennale และ Tate Modern เชิญผู้ชมให้เดินทางข้ามหลุมดําที่ศิลปินสร้างขึ้น ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Aldo Tambellini ผู้บุกเบิกศิลปะ Media Arts และนักสํารวจพื้นที่มืดตลอดชีวิต งานนี้ใช้ภาพ สื่อที่สมจริง ที่มาพร้อมเสียง Ambisonics เพื่อสร้าง ‘มิติ’ ของพื้นที่2. ผลงาน “Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth” โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินไทยที่ผสมผสานศิลปะเข้ากับจิตวิญญาณ ซึ่งมักสะท้อนถึงปรัชญาพุทธศาสนา ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานกว่าสามทศวรรษ เขาได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิที่นา ซึ่งเป็นพื้นที่ศิลปะทางเลือกในประเทศไทย สร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายมีเนื้อหาที่เน้นเรื่องความไม่เที่ยง การมีสติ และความเชื่อมโยงระหว่างกันของชีวิต สำหรับผลงานชิ้นนี้จะพาทุกท่านสํารวจเข้าสู่ส่วนลึกอันมืดมิดของจิตใจมนุษย์ ดำดิ่งลงไปสู่สภาวะระหว่างของช่วงชีวิต ท้าทายการรับรู้ความเป็นจริงของทุกคน ซึ่งงานนี้แสดงออกถึงภูมิทัศน์ของนรกผ่านโลกทัศน์ของศิลปิน และแสดงถึงสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ในฐานะสถานที่พํานักชั่วขณะหลังความตาย และก่อนการกลับชาติมาเกิด ผู้ชมสามารถสัมผัสกับปรัชญาของศิลปินเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาลผ่าน ‘Golden Skull’ ซึ่งเป็นภาพสัญลักษณ์ ของศิลปินคามิน เลิศชัยประเสริฐเปิดจำหน่ายบัตร Early Bird ในราคาพิเศษ 99 บาท จากราคาปกติ 149 บาท ระหว่างวันที่ 15 ก.ค. - 14 ส.ค. 67 สำหรับรับชมผลงาน "Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era" โดย Aldo Tambelliniจำหน่ายบัตรในราคาปกติ 149 บาท ระหว่างวันที่ 15 ส.ค. - 30 ก.ย. 67 สำหรับรับชมผลงาน "Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era" โดย Aldo Tambellini และ ผลงาน “Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth” โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐสำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมสามารถจองบัตร และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eventpop.me/e/41080/topos-the-abyss-beyond#TrueDigitalPark #Bangkok #เที่ยวกรุงเทพ #immersiveart #Exhibition #นิทรรศการแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000062399

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

มหัศจรรย์ “อ่างกา” สวยแปลกตา ป่าดึกดำบรรพ์ บนยอด “ดอยอินทนนท์”

02/08/2024

พาไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของ “อ่างกา” บนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นป่าที่มีลักษณะพิเศษ บางช่วงดูคล้าย “ป่าโบราณ” หรือ “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ดูสวยงามแปลกน่าทึ่งไม่น้อยดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของจุดที่สูงที่สุด ในเมืองไทย หรือ “จุดสูงสุดแดนสยาม” บนระดับความสูง 2,565.3341 เมตร จากระดับน้ำทะเลแล้ว ขุนเขาแห่งนี้ยังมีสถานที่สวย ๆ งาม ๆ ให้ท่องเที่ยวเช็กอินกันเป็นจำนวนมากหนึ่งในนั้นก็คือ “อ่างกา” หรือ “อ่างกาหลวง” ที่ถูกยกให้เป็นผืนป่าอันน่ามหัศจรรย์แห่งหนึ่งของเมืองไทยอ่างกา เป็นชื่อเดิมของดอยอินทนนท์ ในอดีตมีเรื่องเล่าขานกันว่า บนยอดดอยสูงที่สุดในสยามมี “อ่างกา” เป็นแอ่งน้ำจืดที่ฝูงกาจำนวนมากชอบลงไปเล่นน้ำ จึงเป็นที่มาของ “ดอยอ่างกา” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น “ดอยอินทนนท์” ตามพระนามของ “พระเจ้าอินทรวิชยานนท์” ในเวลาต่อมาหลังจากท่านสิ้นพระชนม์อ่างกา เป็นหย่อมป่าที่มีลักษณะพิเศษมีระบบนิเวศแตกต่างจากผืนป่าทั่วไปในเมืองไทย ปัจจุบันทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ได้จัดสร้าง “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา” เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินสัมผัสมนต์เสน่ห์ของผืนป่าอ่างกากันอย่างใกล้ชิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา มีทางเข้าอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วงแรกนี้จะมีเส้นทางลาด “อารยสถาปัตย์” ให้ผู้พิการนำรถวีลแชร์ ไปจอดที่ระเบียงชมวิวเพื่อชมทิวทัศน์ของผืนป่าอ่างกาในมุมสูงต่อจากนั้นจะเป็นเส้นทางเดินเท้าที่มีความลาดในช่วงแรกสู่ปากทางเข้า-ออก ของเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ที่เป็นทางเดินวงรอบระยะทาง 320 เมตร บนสะพานไม้ที่สร้างทอดตัวกลมกลืนไปกับผืนป่า ระหว่างทางจะมีฐานป้ายสื่อความหมาย บอกเล่าข้อมูลสิ่งน่าสนใจต่าง ๆ ในผืนป่าอ่างกาแห่งนี้ อาทิ ป่าดึกดำบรรพ์ ข้าวตอกฤาษี กุหลาบพันปี ป่าพรุภูเขา วิถีพืชอิงอาศัย และนกชอบหนาว เป็นต้นโดยทางเข้าจะอยู่ฝั่งขวา ทางออกจะอยู่ทางซ้าย ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 20-30 นาที หรืออาจจะเป็นชั่วโมงสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเมื่อเดินเข้าไปอ่างกา เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของป่าที่ดูสวยงามแปลกตา ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากป่าทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา รวมถึงมีป่าหลากรูปแบบอยู่ผสมกลมกลืนกันไปนอกจากลักษณะของ “ป่าดิบเขา” บนดอยสูงอายุกว่า 4,300 ปีแล้ว กลางผืนป่าอ่างกายังเป็นแอ่งซับน้ำในลักษณะของ “ป่าพรุภูเขา” บนยอดดอยที่สูงที่สุดในเมืองไทย อันเป็นที่มาของชื่อดอยอ่างกานอกจากนี้อ่างกายังโดดเด่นไปด้วย ลักษณะของ “ป่าเมฆ” ที่เกิดจากสภาพอากาศหนาวเย็นและมีความชื้นสูงตลอดทั้งปี ทำให้บนนี้เต็มไปด้วยวิถีของ “พืชอิงอาศัย” ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของป่าเมฆวิถีพืชอิงอาศัย เกิดจากบรรดาพืชและต้นไม้น้อย-ใหญ่ ที่ต่างปรับตัวมาแอบอิงพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทำให้ตามโคน ลำต้น กิ่งก้าน ของต้นไม้ใหญ่-น้อยในป่าเมฆ เต็มไปด้วยพืชอิงอาศัย จำพวก มอส เฟิร์น ฝอยลม กล้วยไม้ ขึ้นปกคลุมหนาแน่น กลายเป็นต้นไม้ที่มีลักษณะพิเศษที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” ซึ่งเมื่อมองโดยรวมจะให้ความรู้สึกคล้ายกับ “ป่าโบราณ”หรือ “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์อันโดดเด่นของดอยอินทนนท์ อันเกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติที่น่าทึ่งไม่น้อยขณะที่ตามพื้นดินใต้ต้นไม้ในบริเวณป่าดึกดำบรรพ์ช่วงหนึ่งจะเต็มไปด้วย “ข้าวตอกฤาษี” หรือ “สแฟกนัมมอส” ซึ่งเป็นพืชไร้ดอกจำพวกมอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย รวมถึงเป็นมอสเพียงชนิดเดียวที่มีชื่อเรียกในภาษาไทยข้าวตอกฤๅษีเป็นมอสมีคุณสมบัติพิเศษ มันชอบขึ้นในที่ชื้นและหนาวเย็น ทั้งยังทนทานต่อการสูญเสียน้ำได้ดี ในช่วงฤดูแล้งที่ปริมาณน้ำน้อยมันจะจำศีล ส่วนในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำมากมันก็จะกลับมาสวยสดเขียวชอุ่มเต็มตามพื้นดินดูคล้ายกับพรมสีเขียวผืนใหญ่ที่ขึ้นประดับในผืนป่าอ่างกาและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา บนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งถือเป็นเส้นทางเดินป่าอันสวยงามและน่าทึ่งแห่งหนึ่งของเมืองไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000062327

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X