คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จปี 2566 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์รักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพของไทย

29/04/2024

กรุงเทพฯ 5 เมษายน 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน “A Conversation with CEO” โดยนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ที่สูงเป็นอันดับ 1 ในทุกมาตรวัด(1)และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 21 ทำลายสถิติผลการดำเนินงานที่ผ่านมากว่า 8 ทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงและความแข็งแกร่งของเอไอเอ ประเทศไทย นอกจากนี้ นายนิคฮิลยังได้บอกเล่าทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเอไอเอ ประเทศไทย ในปี 2567 เพื่อเป้าหมายในการยกระดับการดูแลคนไทยให้ครอบคลุมครบทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงสุขภาพการเงิน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21 เป็น 24,857 ล้านบาท จากความสามารถของพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share)(1) ที่สูงที่สุดในทุกมิติ ได้แก่   •  ร้อยละ 24 เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่(2)(ANP)    •  ร้อยละ 50 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ   •  ร้อยละ 57 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง    •  ร้อยละ 59 ยอดขายประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์)    •  ร้อยละ 22 ยอดขายประกันกลุ่ม “ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 มาจากการที่เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งทำให้เอไอเอแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนรูปแบบการทำงานที่เน้น Agility เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่องทางการขายที่แข็งแกร่งทั้งช่องทางพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอเป็นอันดับ 1 ในตลาด(1) ทั้งในแง่จำนวนตัวแทนที่มีมากกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ รวมถึงจำนวนตัวแทนที่ได้รับคุณวุฒิ MDRT มากที่สุดนับตั้งแต่เอไอเอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของพลังตัวแทนเอไอเอ และความสำเร็จของการสร้าง AIA Financial Advisor (AIA FA) ที่เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 28 สำหรับช่องทางพันธมิตร เอไอเอ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ในการสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้น เอไอเอ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อส่งมอบการบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในขั้นตอนการพิจารณากรมธรรม์แบบอัตโนมัติ (STP) ในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 87 เพิ่มศักยภาพในการอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตรายเดี่ยวได้มากถึง 1,500 กรมธรรม์ต่อวัน และพิจารณาเคลมได้สูงสุดถึง 9,000 เคสต่อวัน การลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาบริการดิจิทัลและแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและตัวแทนผ่านแอป AIA+ และ AIA ONE เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้เราก้าวทันยุคดิจิทัลและสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแบบไร้รอยต่อได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายคือการดำเนินธุรกิจอย่างมีวินัยเพื่อมุ่งนำเสนอความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพระยะยาวที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนกลยุทธ์ ABCDEF เป็นกลยุทธ์ที่เอไอเอมุ่งเน้นเพื่อยกระดับการดูแลและการบริการลูกค้า พร้อมกับการรักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย  •  A – Agency Transformation การพัฒนาช่องทางตัวแทนประกันชีวิตให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการทำงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมยกระดับการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพ และมุ่งพัฒนาตัวแทนใหม่อย่างต่อเนื่อง  •  B – Business Partner Acceleration การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอมุ่งเสริมความแกร่งของช่องทางขายผ่านพันธมิตรที่มีอยู่เดิม พร้อมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า  •  C – Customer Centricity การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเปลี่ยนบทบาทจากเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม (Payor) เป็นพาร์ตเนอร์ (Partner) ที่พร้อมดูแลลูกค้าในทุก ๆ วัน   •  D – Digitalisation Journey การวางเส้นทางไปสู่ยุคดิจิทัลเพื่อตอกย้ำการเป็น Digital Insurer แห่งแรกของประเทศไทย โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อเสริมการบริการให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นผ่าน All-in-one Application สำหรับลูกค้าและตัวแทน  •  E – Employee Wellbeing ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยเอไอเอให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในที่ทำงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานได้เสนอความคิดเห็น เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน  •  F – Future Healthcare การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อคนไทย ด้วยการนำเสนอโซลูชันด้านการดูแลและรักษาสุขภาพที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน ตลอดจนได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล“เอไอเอ มุ่งมั่นเดินตามพันธกิจที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจากการที่ปัจจุบันเรามองเห็นแนวโน้มที่คนจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ และมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 100 ปี เนื่องด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ แต่ในขณะที่อายุสุขภาพกลับไม่ยืนยาวสอดคล้องไปตามอายุขัย ฉะนั้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลาย ๆ คนอาจตกอยู่ในภาวะที่เงินเก็บไม่เพียงพอสำหรับใช้ในการรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้ เอไอเอจึงได้พัฒนาโซลูชันด้านสุขภาพให้สามารถดูแลคนไทยได้ครอบคลุมและคุ้มครองยาวนานขึ้นถึงอายุ 99 ปี(3) รวมทั้งได้ออกแคมเปญ Living to 100 ที่เราตั้งใจผลักดันให้คนไทยเตรียมวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น “เอไอเอ ยังคงเดินหน้าดูแลคนไทยในฐานะผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรมและตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้แก่คนไทยทุกคน” นายนิคฮิล กล่าวทิ้งท้ายที่มา: (1) ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ เดือนธันวาคม 2566 (2) เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่: เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP) + 10% เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว (SP) (3) ความคุ้มครองเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ 4 ห้องจัดแสดงใหม่ เทคนิคใหม่ พอเพียง ประหยัด เรียบง่าย

29/04/2024

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ปรับปรุงส่วนจัดแสดงและจัดสร้างห้องนิทรรศการใหม่ จำนวน 4 ห้อง ได้แก่ อุโมงค์เวลา ห้องลือระบิลพระราชพิธี ห้องดวงใจปวงประชา (รัชกาลที่ 8 - 9) และห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10 นำเสนอด้วยเทคนิคทันสมัยสืบเนื่องจากการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีขึ้นระหว่างวันที่ 4–6 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญและมีความหมายที่สุดของปวงชนชาวไทยนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และแหล่งรวบรวมข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่เริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ นำเสนอผ่านเทคโนโลยีทันสมัยหลากหลายรูปแบบ จึงร่วมเทิดพระเกียรติและบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญดังกล่าวปัทมนิธิ เสนาณรงค์ อธิบายห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10“โดยรวบรวมเนื้อหาพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงด้วยหลักการพอเพียง ประหยัด และเรียบง่ายตามพระราชจริยวัตร ผสมผสานกับเทคนิคการนำเสนอที่แปลกใหม่ จากพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชดำริและพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด” ปัทมนิธิ เสนาณรงค์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ กล่าวเพื่อการนี้ ‘นิทรรศน์รัตนโกสินทร์’ ดำเนินการจัดทำและเปิดส่วนจัดแสดงและห้องนิทรรศการใหม่ จำนวน 4 ห้อง ได้แก่1. อุโมงค์เวลาเริ่มทางเข้าอุโมงค์เวลาส่วนจัดแสดงจุดเริ่มต้นก่อนเข้าชมห้องจัดแสดงนิทรรศการ มีลักษณะเป็นโถงทางเดิน ผนังทั้งสองด้านของโถงทางเดินจัดแสดงภาพวาดและภาพถ่ายบอกเล่าประวัติศาสตร์ชาติไทยกับประวัติศาสตร์โลกในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอุโมงค์เวลาเริ่มตั้งแต่เมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระนครขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่ สร้างวัดพระแก้ว และฟื้นฟูความเจริญทุกด้าน เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้คืนมาดังเดิมเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนแรกชื่อ จอร์จ วอชิงตัน ผู้นำทางทหารที่เก่งกล้าสามารถจนประกาศเอกราชจากอังกฤษ และสถาปนาสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาเมื่อปีพ.ศ.2326 หรือหนึ่งปีให้หลังจากการสร้างกรุงเทพฯมีเรื่องราวน่าสนใจในลักษณะดังกล่าวตามลำดับพุทธศักราช โดยมีส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือการนำเสนอ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเรื่องการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยเทคนิค Hollow Display จัดแสดง แบบจำลองรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานให้กระทรวงสาธารณสุข2. ห้องลือระบิลพระราชพิธีเทคนิค Slide Screenจัดแสดงพระราชพิธีสำคัญและหาชมได้ยากตั้งแต่รัชกาลที่ 1 อาทิ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งหลัง รัชกาลที่ 5 พ.ศ.2416, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 พ.ศ.2468, พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี พ.ศ.2475พร้อมเพิ่มเนื้อหาจัดแสดงพระราชพิธีเนื่องใน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว อาทิ พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาความพิเศษของการจัดแสดงภายในห้องนี้คือการใช้ เทคนิค Slide Screen โดยเมื่อเคลื่อนจอซึ่งติดตั้งไว้หน้านิทรรศการภาพนิ่งไปยังจุดที่ได้กำหนดไว้ จะเกิดภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอจริงที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีนั้นๆ ให้ได้รับชม ราวได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธี3. ห้องดวงใจปวงประชาการจัดแสดงใน "ห้องดวงใจปวงประชา"จัดแสดงพระราชประวัติของ รัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 3 ส่วนย่อย คือ(1) ต้นโพธิ์แห่งแผ่นดินจัดแสดงพระราชประวัติรัชกาลที่ 9 จำนวน 9 ช่วงเวลา ด้วยเทคนิค Soft touch Interactive ที่เมื่อผู้เข้าชมสัมผัสข้อความในนิทรรศการ จะปรากฏภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชประวัติช่วงนั้นๆห้องดวงใจปวงประชา วีดิทัศน์บนจอโค้ง(2) ใต้พระบรมโพธิสมภารนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยจัดแสดงบนจอโค้ง ใช้ซอฟต์แวร์ Dataton Watchout ควบคุมการแสดงวิดีโอหลายจอ เพื่อสร้างจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ไร้รอยต่อ พร้อมแถวที่นั่งสำหรับชมราวอยู่ในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กเล่าเรื่องด้วยภาพพระบรมฉายาลักษณ์และวีดิทัศน์ประวัติราชสกุลมหิดล การอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสพระราชธิดาตั้งแต่วัยเยาว์ พระราชจริยวัตร ความรักความผูกพันสองพี่น้องระหว่าง รัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 พระราชดำริในการครองพระองค์ การประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกร ฯลฯ พร้อมเสียงดนตรีบรรเลงและเสียงบรรยายประกอบในบางจังหวะห้องดวงใจปวงประชาปกติจอในโรงภาพยนตร์ตั้งเผชิญหน้ากับผู้ชม แต่จอภาพใน “ห้องดวงใจปวงประชา” มีลักษณะโค้งเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีภาพปรากฏทั้งด้านขวาและซ้ายมือของผู้ชมโดยเฉพาะช่วงแสดงพระราชกรณียกิจนับร้อยนับพันโครงการ ภาพและวีดิทัศน์ที่ทยอยหลั่งไหลมาจากปลายสุดด้านข้างของจอโค้งด้านหนึ่งไปยังอีกด้านนั้นเหมือนจะหมุนไปรอบห้อง ผู้นั่งชมราวได้รับการโอบกอดจากพระหัตถ์และน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์(3) ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์จัดแสดงบันทึกพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ‘รัชกาลที่ 9’ โดยออกแบบผนังห้องนิทรรศการเป็นเส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราชสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อการประกอบพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ การถวายอาลัยและไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปีตามคำประกาศของรัฐบาล จวบถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560ส่วนจัดแสดงย่อยที่ (3) ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์เริ่มจากการเปิดวีดิทัศน์ย้อนเวลากลับไปในช่วงบ่ายของวันพฤหัสฯ ที่ 13 ตุลาคม 2559 เสียงและภาพ “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย” รายงานประกาศสำนักพระราชวัง เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคตวีดิทัศน์ฉายต่อด้วยหมายกำหนดการการเคลื่อนพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ พระบรมมหาราชวัง ของวันที่ 14 ตุลาคม 2559ภาพบนผนังตลอดความยาวของส่วนจัดแสดงนี้ เขียนเป็นภาพลายเส้นพสกนิกรที่พากันออกมานั่งเฝ้าส่งเสด็จด้วยหัวใจที่แตกสลายตลอดสองฟากฝั่งถนนจากโรงพยาบาลศิริราชถึงพระบรมมหาราชวัง เขียนขึ้นจากภาพถ่ายจริงที่ได้รับการบันทึกไว้มากมายรวมข้อมูลขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯบางช่วงบนผนังมีวีดิทัศน์สัมภาษณ์ความรู้สึกของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศซึ่งเดินทางไปถวายความอาลัย ณ พระบรมมหาราชวัง รวมทั้งจอวีดิทัศน์แสดงสาสน์จากผู้นำประเทศต่างๆ ที่มีต่อข่าวการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 9บริเวณสุดท้ายของส่วนจัดแสดงนี้มีวีดิทัศน์แบบแตะสัมผัส บันทึก “ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ” การถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ให้ได้ศึกษา จำนวน 6 ริ้วขบวนเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9รวมทั้งวีดิทัศน์ให้เรียนรู้ ศาสตร์และศิลป์แห่งการออกแบบ “พระเมรุมาศ” ของในรัชกาลที่ 9 จำนวน 10 เรื่อง ผ่านกล่องไม้จำนวน 10 กล่อง แต่ละกล่องมีหัวเรื่องเขียนกำกับไว้อาทิ การออกแบบพระเมรุมาศ ประติมากรรมเทวดา ประติมากรรมบันไดนาค ประติมากรรมพระพิฆเนศ ประติมากรรมพระเมรุมาศ ประติมากรรมคุณทองแดง ประติมากรรมคชสาร ภาพจิตรกรรมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และฉากบังเพลิงเมื่อนำกล่องไม้ที่มีหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาไปวางยังจุดที่กำหนด ก็จะปรากฏเรื่องนั้นบนจอวีดิทัศน์ที่ติดตั้งอยู่บนผนัง4. ห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10การจัดแสดงในส่วน “สืบสาน” หน้าที่แห่งกษัตริย์ของชาติไทยถ่ายทอดเนื้อหา 3 ส่วน ตามพระปฐมบรมราชโองการที่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศในวันบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 คือ(1) “สืบสาน” หน้าที่แห่งกษัตริย์ของชาติไทยนำเสนอพระราชประวัติผ่านภาพวาด จำนวน 10 เหตุการณ์ อาทิ พระบรมราชสมภพ, ภาพสถาปนาพระราชอิสริยยศขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารเมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 20 พรรษาบริบูรณ์ พ.ศ.2515, ภาพทรงผนวชเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2521 ณ วัดพระแก้วเทคโนโลยีจาก “ภาพวาด” สู่ “ภาพวีดิทัศน์”ภาพวาดทั้ง 10 เหตุการณ์ วาดโดย ปุณณภพ บุญเกตุ ศิลปินจิตรกรรมซึ่งมีผลงานการวาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดแสดงในนิทรรศการสำคัญๆ หลายโอกาสแต่มิใช่เป็นการเดินชมภาพวาดเท่านั้น ทว่าเป็นการนำเสนอในลักษณะจาก “ภาพวาด” สู่ “ภาพวีดิทัศน์” ผู้เข้าชมนิทรรศการฯ เพียงยกแท็บเล็ตที่ติดตั้งไว้ตามจุดต่างๆ หน้าผนังภาพวาด ส่องไปยังภาพวาดที่มี “สัญลักษณ์อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ประดับอยู่ใกล้ๆหน้าจอแท็บเล็ตก็จะปรากฏคลิปวีดิโอเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวเนื่องกับภาพวาดนั้นๆ ให้ชมดนตรีที่เปิดประกอบในพื้นที่ส่วนจัดแสดงบริเวณนี้เป็นเพลงบรรเลงชื่อ ลาวคำหอม บทเพลงทรงโปรดในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว(2) “รักษา” สุขแห่งประชาราษฎร์ให้คงอยู่นำเสนอพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ ในรูปแบบ Interactive Information และ Model Display ผู้ชมสามารถสัมผัสข้อความในนิทรรศการเพื่อชมคำอธิบายเพิ่มเติมได้ประกอบด้วยพระราชกรณียกิจด้านการเกษตร ศาสนา การต่างประเทศ การศึกษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การแพทย์และการสาธารณสุข ด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรมเทคโนโลยี Immersive Theatre(3) “ต่อยอด” แผ่นดินไทยให้ยั่งยืนนำเสนอพระราชกรณียกิจผ่าน เทคโนโลยี Immersive Theatre โดยเปรียบ การทรงงานแบบปิดทองหลังพระ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเสมือน ดวงดาวในม่านหมอกผู้ชมมีส่วนร่วมไปกับนิทรรศการได้โดยการใช้กล้องที่ออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายตะเกียงส่องไฟของประภาคาร เมื่อส่องแสงไฟไปยังจอบนผนังห้องที่ออกแบบเหมือนท้องฟ้ายามค่ำที่มีหมอกบดบัง ก็จะปรากฏ ภาพการทรงงาน ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวกระจ่างออกมาท่ามกลางเมฆหมอกเรียนรู้การทรงงานแบบปิดทองหลังพระด้านต่างๆ ของพระองค์เพิ่มเติม ผ่านการหมุนกล้องกวาดแสงไฟไปยังท้องฟ้าส่วนอื่นๆภาพ : โสภน สุเสนส่วนจัดแสดงใหม่ของนิทรรศน์รัตนโกสินทร์นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ : เปิดให้บริการวันอังคาร - วันอาทิตย์ ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ปิดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 09.00 -17.00 น.  •  เฉพาะวันเสาร์- อาทิตย์ เวลา 12.00 - 13.30 น. มีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรม นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ โดยเด็กและเยาวชนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้าชมฟรี ณ เวทีการแสดงเพื่อเด็กและเยาวชน  •  ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nitasrattanakosin.com สอบถามเข้าชมนิทรรศการ โทร. 0 2621 0044 สอบถามเวทีการแสดงฯ โทร. 09 5476 5868แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1120229

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ที่นั่งสำรอง (Priority seat) บนรถไฟฟ้า คนทั่วไปนั่งได้ไหม

05/04/2024

ทุกวันนี้เราเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้า MRT ซึ่งก็มีหลากหลายเส้นทาง และอย่างที่ทราบกันว่าในทุกบริการขนส่งมวลชนย่อมมีที่นั่งสำรอง หรือ Priority seat ที่จะเป็นที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษ อย่างพระสงฆ์ เด็ก คนท้อง คนแก่ ผู้บกพร่องทางร่างกายอย่างไรก็ตามก็มีคำถามว่า Priority seat ทุกคนนั่งได้หรือเปล่า โดยทางเพจรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกมาโพสต์ว่า"ที่นั่งสำรอง​ (Priority seat)... คนปกตินั่งได้ไหม???ที่นั่งสำรองออกแบบมาสำหรับบุคคล​พิเศษ​ ทุกคนสามารถนั่งได้ แต่ต้องพร้อมเสมอที่จะลุกเสียสละ เมื่อมีบุคคล​พิเศษ​ดังกล่าว​จำเป็นต้องใช้ที่นั่ง มีน้ำใจให้แก่กัน​ ถ้อยทีถ้อยอาศัย​​ดีกว่านะครับ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นนะคลิกร่วมสร้างสังคมมีน้ำใจในการเดินทาง โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่ เด็ก คนพิการ คนท้อง ผู้สูงอายุ พระภิกษุ"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447091/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

"ถูกเหยียดในที่ทำงาน" มนุษย์เงินเดือนต้องรับมืออย่างไร?

04/04/2024

ทุกองค์กรย่อมมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะการทำงานกับคนที่หลากหลายทั้งด้านอายุ ความคิด ประสบการณ์  และอารมณ์ ย่อมมีเรื่องต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในมนุษย์เงินเดือน ระหว่างการทำงานอยู่สม่ำเสมอ คือ "การเหยียด" จากข้อความของผู้ใช้ X ชื่อ W โพสระบุว่า 78% ของพนักงานเคยถูกเหยียดอายุระหว่างการทำงาน เหยียดอายุ เกิดได้ทั้ง 1) อายุมากกว่า เหยียดคน อายุน้อยกว่า 2) คนอายุน้อยกว่า เหยียด คนอายุมากกว่า มาจากการเลี้ยงดู และบริบทที่แตกต่างกับ ทำให้หลายๆ คนเติบโตมามีคุณค่าที่อาจจะแตกต่างกันมากขึ้น และตอนนี้กลายเป็นเทรนด์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การเหยียดอายุ (Ageism) เป็นทัศนคติแบบเหมารวมและตัดสินด้วยอคติว่าแต่ละช่วงวัยควรมีคุณลักษณะอย่างไร จนทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นไปได้ทั้งในกรณีที่ผู้อาวุโสใช้ “วัยวุฒิ” ข่มและ “กดทับเด็กใหม่” หรือ มองว่าเด็กใหม่ไม่ประสีประสา ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่อาจจะใช้ทัศนคติและการก้าวทันโลกกดทับคนรุ่นเก่า หรือมองว่าคนรุ่นเก่านั้นเป็นภาระของตน ซึ่งพบได้มากที่สุดในที่ทำงาน เนื่องจากมีคนหลายช่วงวัยมารวมตัวกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ชาวเจน Z เข้าสู่ตลาดงาน ยิ่งทำให้ความหลากหลายระหว่างวัยในที่ทำงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลวิจัยจาก WHO พบว่าการเหยียดอายุในผู้สูงอายุส่งผลให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตแย่ลง ส่งผลให้เกิดความโดดเดี่ยวทางสังคมและความเหงาเพิ่มยิ่งขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง และเกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดย WHO คาดการณ์ว่าการเหยียดอายุนี้เป็นต้นตอของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ 6,300,000 คนทั่วโลก   •  การเหยียดที่ทุกคนมักพบเจอ น.ส.นิลุบล สุขวณิชนักจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา  กล่าวว่า คำว่า “เหยียด” ในยุคปัจจุบันมักถูกใช้ไปในความหมายว่า เหยียดหยาม ดูถูก ดูหมิ่น ทำให้คนที่โดนเหยียดถูกด้อยค่าลง หรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี การเหยียดนั้นตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่หลายคำด้วยกัน  ซึ่งการเหยียดคนอื่นแบบเป็นกลุ่มซึ่งจะตรงกับการเหยียด 2 ประเภท ดังนี้ 1. Stereotype หมายถึง การตัดสินคนอื่นแบบเหมารวมเป็นกลุ่ม ยกตัวอย่างจากงานวิจัยของนักจิตวิทยา Susan Fiske ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Princeton และนักศึกษาปริญญาโท Cydney Dupree ที่พบว่า แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในศูนย์ child care เป็นอาชีพที่คนมักตัดสินว่าเป็นอาชีพที่มีความสามารถสูง มีลักษณะอบอุ่น เป็นห่วงเป็นใย เป็นอาชีพที่คนให้ความสำคัญ มีหน้ามีตาในสังคม ผู้คนรับรู้ถึงความภาคภูมิใจและความชื่นชม เต็มไปด้วยทัศนคติด้านบวก ขณะที่ พนักงานล้างจาน คนเก็บขยะ คนขับรถแท็กซี่ ผู้คนได้เลือกจัดอันดับว่ามีลักษณะนิสัยที่ไม่เป็นมิตร มีทัศนคติด้านลบ ให้ความรู้สึกดูถูกหรือโดนรังเกียจโดยคนส่วนใหญ่ นั่นอาจแปลว่า ผู้คนส่วนมากมักสรุปว่าอาชีพที่ไม่ได้มีรายได้สูง คืออาชีพที่ไม่ได้ใช้ความสามารถมากนัก เป็นต้น 2. Prejudice and discrimination หมายถึง อคติและการเลือกปฏิบัติ โดยคนบางกลุ่มอาจจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปเพราะถูกตัดสินด้วยอคติ ซึ่งความคิดและอารมณ์ของบุคคลจะส่งผลต่อพฤติกรรม  ตัวอย่างเช่น การปฏิเสธไม่รับคนเข้าทำงานเนื่องจากฝ่ายบุคคลมีมุมมองว่าคนที่เป็น LGBTQ+ เป็นกลุ่มคนที่มีอารมณ์รุนแรงหรือยังมีความเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิตใจ หรือบางสถานประกอบการอาจมีอคติต่อคนที่จบการศึกษามาจากบางแห่งว่าความสามารถไม่ถึง หรือ มีนิสัยหยิ่งยโสเข้ากับใครไม่ได้ เป็นต้น   •  เหยียดอายุ รูปร่างหน้าตาส่งผลต่อสุขภาพกาย ใจ พญ.ปรานี ปวีณชนา  จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า Body shaming-BS คือ การที่คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตา การแต่งตัว บุคลิกท่าทาง และรูปลักษณ์ที่แสดงออกภายนอกของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพูดตรงๆ พูดเปรียบเทียบ หรือพูดล้อเล่น คำพูดเหล่านี้ส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของคนที่ถูกต่อว่าล้อเลียนอย่างมาก (emotional trauma) เป็นรูปแบบหนึ่งของการกลั่นแกล้งกัน (bullying) ทำให้เหยื่อรู้สึกไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง (low-self esteem) นำไปสู่การป่วยเป็นโรคด้านจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า (Depression) โรควิตกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา (Body Dysmorphic Disorder-BDD) โรคการกินผิดปกติ (Eating Disorder) ยิ่งถูก BS ตั้งแต่อายุน้อยเท่าไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวัยรุ่นที่ต้องมีพัฒนาสร้างความเป็นตัวตน (self-identity) จะส่งผลเสียอย่างมาก มีการศึกษาวิจัยจากทั่วโลกพบความชุกของเรื่อง BS ร้อยละ 25-35 รายงานที่พบความชุกมากสุด คือ ร้อยละ 45 ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนย่อมอยากได้รับการยอมรับจากคนอื่นในสังคมที่อาศัยอยู่ มาตรฐาน “รูปร่างหน้าตาที่ดี” (beauty standards) ได้รับอิทธิพลจากสื่อที่ยัดเยียดค่านิยมต่าง ๆให้ เช่น “สวย=ขาว หมวย ผอม” “คนอ้วน=น่าเกลียด” ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อช่องทางต่างๆ จนคนในสังคมมีความเชื่อแบบเดียวกัน นอกจากจะกดดันตัวเองให้เป็นตามนั้น ยังกดดันคนอื่นอีกด้วย แม้จะมีกลุ่มคนที่พยายามสื่อสารว่าทุกคนมีความงามในแบบฉบับของตนเอง ให้ยอมรับนับถือในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่สุดท้ายยังไม่สามารถสู้กับอิทธิพลที่มาจากสื่อและคนส่วนใหญ่ได้ คนที่ถูก BS ไม่ใช่แค่จะเสียสุขภาพจิต แต่ยังส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น บางคนพยายามที่จะอดข้าวลดน้ำหนักจนขาดสารอาหาร (malnutrition) เข้ารับการผ่าตัดหรือทำหัตถการต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการดมยาหรือผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการผ่าตัดนั้น เพื่อให้สวยในแบบที่สังคมต้องการ   •  ทำไมคนเราถึงเหยียดกัน? จากทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคม (Social Identity Theory) ได้กล่าวถึงการสร้างความเป็นคนใน (In-group) และความเป็นคนนอก (Out-group) ขึ้นมา โดยมาจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเองอย่างรวดเร็วของคนเราที่มักจะเกิดความรู้สึกเห็นใจ ชอบ และรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนที่เป็นคนใน ยกตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันวอลเล่ย์บอลไทย vs ตุรกี ก็จะมีโอกาสน้อยมากหรือไม่มีโอกาสเลยที่คนไทยจะเลือกเชียร์ทีมตุรกี เป็นต้น ความรู้สึกอคติแบบคนใน-คนนอก มักนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ และเป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้ง (Bullying), การเหยียดเชื้อชาติ (Racist) เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะแสดงออกในทางบวกกับสิ่งที่เรามองเป็น In-group มากกว่าสิ่งที่เรามองว่าเป็น Out-group นั่นเอง ซึ่งในเรื่องนี้ปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรมถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องมากทีเดียว โดยจากการศึกษาของ Fiske พบว่า หากสังคมวัฒนธรรมนั้น ๆ ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมว่า “ชาติเรายิ่งใหญ่ที่สุด” คนในสังคมก็จะไม่มีมุมมองต่อคนชาติอื่นว่าด้อยกว่า ยิ่งใหญ่น้อยกว่า   •  การเหยียดนำไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง? กลุ่มคนที่ถูกเหยียดมีปัญหาสุขภาพ ยกตัวอย่างของประเทศแถบที่มีการจัดแบ่งคนเอาไว้เป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มได้รับการยกย่องให้คุณค่าลดหลั่นกันตั้งแต่ยกย่องให้คุณค่าสูงไปจนถึงถูกมองว่าไม่มีคุณค่าเลย กลุ่มคนที่ถูกเหยียดก็จะไม่สามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพที่ดีได้ เมื่อเกิดความเจ็บป่วยก็อาจจะไม่มีสถานพยาบาลไหนที่รับให้การรักษา ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะเครียดจนเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้ การเหยียดทำให้มีการเลือกปฏิบัติมากขึ้น กลุ่มคนที่ถูกเหยียดมักถูกเลือกปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น ชาติที่มีการวางสถานะของผู้หญิงไว้ต่ำกว่าผู้ชาย ก็จะมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น เช่น ไม่รับผู้หญิงเข้าทำงาน ผู้หญิงไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารได้ ยิ่งมีการเหยียดเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ การเลือกปฏิบัติก็จะยิ่งเกิดขึ้นในหลายมิติมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนอกเหนือไปจากการเลือกปฏิบัติแล้ว ก็อาจนำไปสู่การคุกคามได้มากขึ้นอีกด้วย เช่น ในสถานประกอบการที่มีการเหยียดผู้หญิงก็อาจจะมีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นได้บ่อย เพราะผู้ชายในองค์กรมีความเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งจากผลสำรวจในปี 2018 พบว่า ผู้หญิง 59% เคยถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน 7 เรื่องที่ไม่ควรพูดเหยียดคนอื่น 1. เพศ เรื่องเพศ เป็นความละเอียดอ่อนที่ถูกนำมาใช้ในการเหยียดกันมากที่สุด เนื่องจากสมัยก่อนเราใช้การแบ่งแยกกันเพียงเพศหญิงและชาย ผู้คนที่แสดงความแตกต่างจากเพศกำเนิดจึงมักถูกเหยียดหรือบูลลี่ เช่น ไอตุ๊ด, พวกผิดเพศ, ตัวประหลาด, เปลี่ยนทอมเป็นเธอ เป็นต้น ปัจจุบัน เรื่องเพศได้เปิดกว้างมากขึ้น สังคมเริ่มยอมรับความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มคนเพศทางเลือก (LGBTQ) มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงวัยเด็ก- วัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่ได้รับความรุนแรงจากการเหยียดเรื่องเพศมากที่สุด ผู้ใหญ่-ผู้ปกครอง นอกจากต้องเปิดใจยอมรับ ความแตกต่างอย่างเข้าใจเมื่อลูกเป็น LGBTQ แล้ว ยังควรสอนให้ลูกหลานหรือเด็กๆ เคารพในความแตกต่างด้านเพศ 2. รูปร่างหน้าตา สีผิว  รูปร่างหน้าตาและสีผิวของคนเรา เป็นเรื่องของพันธุกรรมตามธรรมชาติค่ะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่เรามักจะชื่นชอบคนที่รูปร่างหน้าตาดี แต่การใช้รูปร่างหน้าตาและสีผิวมากำหนดกฎเกณฑ์จนกลายเป็นความลำเอียง, การกีดกันไม่ว่าจะด้านหน้าที่การงานหรือการเข้าถึงบริการด้านต่างๆ, การสร้างสิทธิพิเศษเฉพาะคนหน้าตาดี รวมถึงการแซว การเหยียด คนที่รูปร่างหน้าตา สีผิว ที่ไม่ตรงตามค่านิยมของสังคมนั้น เช่น อ้วน, ดำ, หน้าสิว, ผอมจัง, นมแบน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ที่ร้ายแรงกว่านั้น การถูกบูลลี่เรื่องรูปร่าง (Body shaming) อาจก่อให้เกิดเป็นโรคทางจิตเวชได้ เช่น โรควิตกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา (Body Dysmorphic Disorder) โรคคลั่งผอม (Anorexia Nervosa) เป็นต้น ดังนั้น การเหยียดกันเรื่องรูปร่างหน้าตาจึงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องตลกที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่เป็นไร เพราะคนที่ถูกบูลลี่นั้นอาจเกิดผลกระทบทางจิตใจมากกว่าที่คิด 3. เชื้อชาติ-ศาสนา ทุกเชื้อชาติ มีลักษณะของรูปร่างหน้าตา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาเหยียดหรือเกลียดชังซึ่งกันและกัน รวมถึงการนับถือศาสนาซึ่งเป็นความความเคารพ ความเชื่อส่วนบุคคล  4. รสนิยม ความชอบ รูปแบบการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ รสนิยม ความชอบ เช่น การแต่งหน้า แต่งตัว งานอดิเรก อาหารการกิน ฯลฯ เป็นสิ่งเฉพาะบุคคลที่ไม่มีผิดหรือถูก หากสิ่งนั้นไม่ไปลิดรอนสิทธิ หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ในปัจจุบันเรื่องรสนิยม ความชอบ การใช้ชีวิตได้เปิดกว้างมากขึ้น อย่างเช่นแฟชั่นการแต่งตัวที่ไม่มีกรอบมาจำกัดอีกต่อไป ทุกคนมีสิทธิในร่างกายของตนเองที่จะทำตามความชอบโดยไม่ผิดกฎหมายหรือกาลเทศะ  5. การศึกษา ต้นทุนชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนมีโอกาสได้เรียนสูง ได้เรียนในสิ่งที่ต้องการ แต่กับบางคนโอกาสอาจจะมีไม่มากนัก การนำระดับการศึกษาหรือสถาบันมาใช้เหยียดกันนับเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำค่ะ เพราะคุณภาพชีวิตของคนเราไม่ได้วัดแค่เพียงการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยในการดำเนินชีวิตที่จะส่งผลให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ หรืออยู่อย่างมีความสุขได้ในสังคม 6. ฐานะ หลายครั้งที่เรามักได้ยินการพูดเหยียดเรื่องฐานะ เช่น ไอลูกคนจน, ลูกคุณหนู, เด็กสลัม ฯลฯ เราไม่ควรใช้ชนชั้นฐานะและเงินทองมากำหนดลักษณะนิสัยของคนทั้งหมด ความรวยอาจสร้างโอกาสที่ดีในการดำเนินชีวิตได้มากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจนจะมีคุณค่าความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนรวยเลย 7. อาชีพ หน้าที่การงาน อาชีพและหน้าที่การงาน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนเรามักนำมาใช้เหยียดกัน ด้วยค่านิยมของการตัดสินว่าคนในระดับสูงหรืออาชีพที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถสูง ได้เงินมาก มักจะดีกว่า ส่วนลูกน้องระดับล่างหรืออาชีพที่ใช้ความสามารถต่ำได้เงินน้อย มักจะถูกดูแคลนอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าอาชีพหรือหน้าที่การงานในระดับไหน ต่างก็มีบทบาทหน้าที่สำคัญและมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ทำอย่างไรจึงจะลดการเหยียดลงได้? 1. ปลูกฝังให้คนในสังคมมี empathy ฝึกคิดและรู้สึกในมุมของคนที่แตกต่างไปจากตนเอง แม้ตนเองจะไม่เคยอยู่ในจุดนั้นและไม่เคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนั้นมาก่อนเลยก็ตาม โดยอาจจะลองจินตนาการดูก็ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไรหากถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกคุกคามรังแก 2. จัดกิจกรรมทางสังคมให้คนที่มีความแตกต่างกันได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองกัน ตัวอย่างเช่น กิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดจากไอเดียของกลุ่มคนที่ต้องการให้ ‘อคติ’ และ ‘ความคิดแบบเหมารวม’ ที่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหายไป โดยกิจกรรมนี้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศเดนมาร์กและดำเนินการมาแล้วเป็นเวลา 21 ปี 3. รณรงค์เกี่ยวกับการตระหนักรู้ในตนเอง สร้างสื่อหรือกระแสที่ชวนให้คนในสังคมฝึกสังเกตความคิดของตนเอง มีสติก่อนที่จะคิด-พูด-ทำอะไรออกไป และคอยสำรวจตรวจสอบว่าความคิดของตนเองมันสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ 4. ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับพฤติกรรมของคนในสังคมให้มีการเหยียดลดลง ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมมากขึ้น รับมืออย่างไร? เมื่อเราถูกเหยียด 1. ทบทวนหาข้อดีของตัวเอง  สำคัญที่สุดคือความพอใจในตัวเราเอง ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง หากเรารักและยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ (Self-love/self-acceptance) มีสุขภาพที่ดี และรูปร่างหน้าตาของเรา อายุของเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนกับตัวเองหรือคนอื่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากยังไม่มั่นใจให้ลองคุยกับคนที่มองโลกตามความเป็นจริงเชื่อถือได้ พร้อมที่จะให้กำลังใจและคำแนะนำที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น เช่น ให้เขาบอกคุณสมบัติข้อดีของเรา เพื่อให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง 2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับคนที่เป็นพิษ (toxic people) บางคนมีทัศนคติเป็นลบกับทุกเรื่อง และพร้อมที่จะทิ่มแทงให้คนอื่นต้องเจ็บปวด มีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ เข้าใกล้ทีไรทำให้เราเสีย self-esteem เราไม่สามารถไปเปลี่ยนเขาได้ สิ่งที่เราทำได้ คือ การเลี่ยง เพื่อไม่ให้ตัวเราเองต้องเจ็บปวดกับพิษที่เขาสาดใส่ ติดต่อกันเท่าที่จำเป็น หากถูกเขา BS จนเราทนไม่ได้ เรามีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง (assertive) ด้วยการบอกว่าเราไม่ชอบและสิ่งที่ต้องการให้เขาทำ  3. เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากเราไม่อยากถูกเหยียด เราเองต้องไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่นเช่นเดียวกัน หัวข้อที่เราสามารถนำมาคุยกันมีตั้งหลายเรื่อง ไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องรูปร่างหน้าตา หรืออายุ ก็ได้ 4. เข้าหากลุ่มที่ให้การช่วยเหลือเรื่องการเหยียด ที่ต่างประเทศมีองค์กรที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนที่ถูก BS หรือการเหยียด โดยตรง วิธีทำงานกับคนที่ชอบเหยียดคนอื่น  1. รักษาระยะห่าง เรื่องแย่ๆ มันมีมากมายถมเถจนแทบอยากจะทรุด แต่ไม่ว่าคุณจะซวย ถึงขั้นโดนมอบหมายงานให้ทำ กับคนที่ไม่อยากแม้กระทั่งอยู่ใกล้ๆ แค่ไหน ก็ต้องมีการรับมือที่ดี หาทางออกเพื่อประคองความสัมพันธ์ในงานที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดี การรักษาระยะห่าง จึงเป็นเรื่องหลักที่ช่วยให้ สมองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เพราะมีงานวิจัยว่า การรักษาระยะห่างที่ 25 ฟุต (7.6 เมตร) สามารถช่วยให้หลุดพ้นจากอาการเหยียด หรือเกลียดได้ เช่นเดียวกับการหลับตา ไม่ว่าจะใกล้แค่ไหน แต่ช่างปะไร เพราะไม่เห็นอะไรซะอย่าง 2. ทำใจให้เป็นกลาง ปล่อยวางเข้าไว้ คนเหล่านี้ มักจะมีรสนิยมแปลกๆ ที่ชอบเห็นความเดือดร้อน หัวเราะเยาะในขณะที่คนอื่นกำลังตกที่นั่งลำบาก ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่ยิ่งดี วิธีรับมือที่ดีที่สุดไม่ใช่การนิ่งเฉย แต่เป็นการละเลย สิ่งไร้สาระที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด พูดคุยให้น้อย ติดต่อกันเฉพาะเหตุจำเป็น ในส่วนของงาน (หลีกเลี่ยงการคุยงานโดยผ่านช่องแชท) เพราะอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันในเจตนา ที่จะสื่อออกไป และอาจกระทบต่องานได้ นอกนั้นหลังเลิกงานก็มองเป็นอากาศธาตุ ปลิวไปเหมือนกับทานอสดีดนิ้วได้เลยจ้า 3. อย่าวู่วาม มันก็แปลกดีนะที่จะบอกว่า เกลียดใครต้องใช้เวลา ไม่ว่าพฤติกรรมแย่ๆ ที่เราเจอจะเป็นวันนี้ หรืออาทิตย์ก่อนก็ตาม ปล่อยให้มันผ่านไปทำเป็นหูทวนลม สงบจิต สงบใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นหลักฐานอย่างดี หลังจากนั้น ก็รวบรวมพรรคพวกให้เยอะๆ เอาจำนวนเข้าว่า อย่างน้อยจะได้ไม่พลาด หากงูพิษแว้งกัดขึ้นมาจะได้ไหวตัวทัน 4. เปิดใจคุยแบบไร้อคติ หรือจริงๆ แล้ว เขาอาจจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีคนหนึ่งก็เป็นได้ สังเกตง่ายๆ คนเหล่านี้ชอบที่จะเป็นจุดสนใจ และอยากให้ทุกคนยอมรับ แต่มาพลาดเอาตรงเลือกใช้วิธีผิดๆ ในการเข้าหาคน จนติดเป็นนิสัย แต่กลับกัน ถ้าใครที่เป็นเพื่อนหรือถูกยอมรับโดยคนที่มีนิสัยแปลกๆ เหล่านี้ ก็จะไม่มีท่าที หรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆ กับคนคนนั้นอีก แรกๆ ก็อาจจะทำใจลำบากหน่อย คิดซะว่าทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก็แล้วกันนะ อาจจะช่วยให้อะไรๆ ในสถานที่ทำงานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเท่าเทียมอาจจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรปล่อยให้ในสังคมมีการเหยียดเกิดขึ้นจนเกิดผลกระทบต่าง ๆ ตามมา  อ้างอิง: iSTRONG Mental health, fwd ,โรงพยาบาลมนารมย์, BBC, NZ Business, The Story Exchange แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/labour/1119838

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“Hong Kong Art Toy Story” นิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลก เล่นใหญ่ที่เซ็นทรัลเวิลด์

29/04/2024

เซ็นทรัลเวิลด์จัดงานนิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลกแห่งปี “Hong Kong Art Toy Story 2024” ในวันที่ 4-7 เม.ย. 67 ที่โซน Dazzle ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาดครั้งนี้ พบกันอีกทีปีหน้าหลังจากปีที่ผ่านมาได้เสียงตอบรับอย่างดีจากแฟนอาร์ตทอยทั้งชาวไทยและต่างชาติ ปีนี้ “Hong Kong Art Toy Story” นำผลงานออริจินัลมาสร้างเซอร์ไพร์ส และความประทับใจครั้งใหม่ให้แฟนอาร์ตทอยไทยอีกครั้งในงาน “Hong Kong Art Toy Story 2024” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2567 ที่โซน Dazzle ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์Hong Kong Art Toy Story 2024 เป็นนิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลกแห่งปี ที่จัดขึ้นโดยสมาคมผู้ประกอบการนวัตกรรม (IEA) ร่วมกับ Create Hong Kong (CreateHK) ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมงานอาร์ตทอยของดีไซเนอร์ฮ่องกง” โดยได้คัดเลือก 20 ศิลปินอาร์ตทอย มากฝีมือจากฮ่องกง ที่มีคาแร็กเตอร์โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กว่า 300 ชิ้นมาจัดแสดงภายในงาน ซึ่งเหล่านักสะสมและคนรักอาร์ตทอยทั่วประเทศไทยไม่ควรพลาดสำหรับศิลปินอาร์ตทอยจากฮ่องกงทั้ง 20 คนที่ได้รับการคัดเลือกให้จัดแสดงผลงานในครั้งนี้ เป็นศิลปินชื่อดังที่เคยมาจัดแสดงผลงานแล้ว 3 คน ร่วมกับ 17 ศิลปินรุ่นใหม่ที่เป็นดาวเด่นของวงการ ได้แก่ Rainbo, Ryan Lee, Winson Ma, Aaron Lau, Anna Chan, Cheng Ki KI, Felix Ip , Gilbert Yam, Gino Lai, Joseph Tang, Keith Li, Leo Pak, LeonLollipop, Leung Kwok Kin, Lock Lai, Mickey Mic, Ricky Chan, Sunny Tam, Tomm Wong and Tony Leung.นอกจากผลงาน Art Toy ที่ชวนตื่นตาตื่นใจแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมน่าสนใจต่าง ๆ อาทิ กิจกรรมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับศิลปินฮ่องกงอย่างใกล้ชิด สาธิตการวาดภาพ สนุกกับการแบทเทิลเอามันระหว่าง ‘ศิลปิน’ VS ‘แฟนคลับ’ เพื่อมอบประสบการณ์สนุกสนานให้นักสะสมและคนรักอาร์ตทอยทั่วไทย ภายใน Hong Kong Pavilion ตลอด 4 วันเต็ม ๆแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000029334

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“ฮวาเหลียน” สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน เมืองท่องเที่ยวดังที่โดนแผ่นดินไหวบ่อย

29/04/2024

พาไปรู้จักกับเมือง “ฮวาเหลียน” เมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ที่เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวอันงดงาม จนได้รับฉายาว่าเป็น“สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน” ซึ่งในรอบ 7 ปี เมืองนี้เกิดแผ่นดินไหวถึง 4 ครั้ง โดยล่าสุดคือแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในช่วงเช้าของวันที่ 3 เม.ย. 67 ที่มีขนาดถึง 7.4 แมกนิจูด ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ของไต้หวันเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 เมษายน 2567 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 แมกนิจูด ขึ้นที่เมืองฮวาเหลียน ทางตะวันออกของไต้หวัน (ห่างจากไทเป 160 กม.) ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีความลึกจากพื้นดิน 20 กิโลเมตร รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ทั่วเกาะไต้หวัน โดยมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ขนาด 5-6.2เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีรายงานสภาพบ้านเรือนที่เสียหาย และไฟฟ้าดับเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปีของไต้หวัน นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ.2542) ที่ไต้หวันเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 7.6 คร่าชีวิตผู้คนไป 2,400 คนและทำลายอาคาร 5,000 หลังสภาพตึกสูงในฮวาเหลียนที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่ 7.4 ในไต้หวัน เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 67 (ภาพจาก สื่อไต้หวน)สำหรับเมืองฮวาเหลียนที่เป็นศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง โดยแผ่นดินไหวใหญ่ 4 ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นที่เมืองฮวาเหลียนนั้น ได้แก่เมืองฮวาเหลียนนั้น ได้แก่- 6 ก.พ. 2561 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 6.4 แมกนิจูด- 17 ก.ย. 2565 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 6.4 แมกนิจูด- 18 ก.ย. 2565 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7.3 แมกนิจูดและล่าสุดวันที่ 3 เม.ย. 2567 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7.4 แมกนิจูด รุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ของไต้หวัน ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นสำหรับเมืองฮวาเหลียน หรือ “ฮัวเหลียน”(Hualien) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ มีเนื้อที่กว่า 4,600 ตร.กม. มีประชากรราว ๆ 350,000 คนฮวาเหลียนเมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน (แฟ้มภาพก่อนเกิดแผ่นดินไหว)ฮวาเหลียนเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีที่ราบไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน โดยมีภูเขาโอบล้อมถึงสามด้านในแนวเหนือ-ใต้-ตะวันตก ส่วนทางฝั่งตะวันออกเป็นแนวชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกยาวตลอดเหนือจรดใต้ด้วยความที่เมืองนี้อุดมธรรมชาติ โอบล้อมไปด้วยภูเขา มีบรรยากาศชนบท ทำให้ฮวาเหลียนเป็นเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของไต้หวัน ได้รับฉายาว่าเป็น“สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน” ซึ่งสำนักข่าว CNN เคยจัดให้ฮวาเหลียนเป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในเอเชียเมืองฮวาเหลียนโดดเด่นทั้งทะเลและภูเขา (แคนยอน)สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮวาเหลียนนั้นก็มีหลากหลาย นำโดย “อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ” (Taroko National Park) อุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน มีเนื้อที่ประมาณ 920 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 3 เมืองคือ ไทจง,หนานโถว และฮวาเหลียน โดยไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เมืองฮวาเหลียนเป็นหลักอช.ทาโรโกะ ตั้งชื่อตามชนเผ่า Truku หรือ ชนเผ่า “ทาโรโกะ”(Taroko) ชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ คำว่าทาโรโกะเป็นคำเรียกขานในภาษาญี่ปุ่น ขณะที่คนจีนเรียกอุทยานฯแห่งนี้(และชนเผ่าทาโรโกะ) ว่า“ไท่หลู่เก๋อ”อช.ทาโรโกะ มีลักษณะธรรมชาติเฉพาะตัวแบบแคนยอน (หุบเขาลึก) อันโดดเด่นอช.ทาโรโกะเป็นสถานที่ธรรมชาติที่มีภูมิประเทศเป็นขุนเขา โดดเด่นไปด้วยแคนยอน (หุบเขาลึก) ช่องแคบ โตรกผาสูงชัน ซึ่งมีทั้งหุบเขาหินปูนและหินอ่อน ที่เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ ลม ฝน จนเกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงามแปลกตาในระหว่างช่องเขามีแม่น้ำลี่อู๋(Liwu)ไหลผ่าน จากป่าต้นน้ำบนเทือกเขาแห่งทาโรโกะไปออกยังปากอ่าวท้องทะเลแปซิฟิก โดยมีช่องแคบแคนยอนช่วงหน้าผาชิงสุ่ย(Qingshui)ไปถึงยอดเขาหนานหู (Nanhu Peak) ที่สูงถึง 3,742 เมตร ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามและเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ อช.ทาโรโกะ แห่งนี้แนวช่องแคบระหว่างภูเขาหินที่มีแม่น้ำลี่อู๋ไหลผ่าน ที่ อช.ทาโรโกะนอกจากนี้ อช.ทาโรโกะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลากหลาย อาทิ จุดชมวิวผาชิงสุ่ย, สะพานพระคุณมารดา, หมู่บ้านปุโลวัน, ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อช.ทาโรโกะ ฯ รวมถึง 2 ไฮไลต์ต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนอุทยานแห่งนี้ คือ- “อุโมงค์นกนางแอ่น” หรือ “อุโมงค์ 9 โค้ง”(Tunnel of Nine Turns) ที่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ - ฤดูร้อน จะมีฝูงนกนางแอ่นจำนวนมากบินมาเพื่อสร้างรังตามโพรงหินที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของลำธาร และน้ำจากดินที่ผุดขึ้นมาตามโพรงหิน จนเป็นที่มาของชื่ออุโมงค์แห่งนี้เส้นทางเดินชมอุโมงค์นกนางแอ่นบริเวณอุโมงค์นกนางแอ่น มีเส้นทางให้เดินชมสิ่งน่าสนใจที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติดูน่าตื่นตาตื่นใจ อาทิ “หน้าผาโพรงนกนางแอ่น” เป็นบริเวณแนวทำรังของนกนางแอ่นที่เจาะแนวหินสร้างบ้านทำรังไว้จนเป็นรูพรุนดูสวยงามแปลกตา“แนวช่องแคบระหว่างภูเขา” เป็นแนวหน้าผาหินอ่อน(บางช่วงเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาห่างกันแค่ประมาณ 10 เมตร) เบื้องล่างมีลำธารจากแม่น้ำลี่อู๋ไหลผ่าน ในวันที่ฟ้าเปิดจะมองเห็นลำธารเป็นสีฟ้าสวยงาม และ “จุดชมวิวสะพานแขวน” ที่ในอดีตชนพื้นเมืองใช้เป็นเส้นทางสัญจรไป-มา ส่วนปัจจุบันกลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตศาลเจ้าฉางชุน-น้ำตกฉางชุนส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ของ อช.ทาโรโกะก็คือ “ศาลเจ้าฉางชุน” (Changchun Shrine หรือ Eteranal Spring Shrine) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสักการะดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตกว่า 200 คน จากการทำถนนใน อช.ทาโรโกะศาลเจ้าฉางชุน(ฉางชุนแปลว่าฤดูใบไม้ผลิอันยาวนาน) เป็นอีกหนึ่งภาพงามสัญลักษณ์ของ อช.ทาโรโกะ ตัวศาลเจ้าตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณเชิงเขา เบื้องล่างมีสาย“น้ำตกฉางชุน”ไหลเป็นสายฟูฟ่องลงมาสู่สายธารของแม่น้ำลี่อู๋ ซึ่งทาง อช.ทาโรโกะได้สร้างจุดชมวิวไว้ที่ฝั่งตรงข้ามของศาลเจ้าให้นักท่องเที่ยวได้มายลในความงามและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมถึงมีเส้นทางเดินเท้าจะจุดชมวิวสู่ตัวศาลเจ้าฉางชุนอีกด้วยหาดซีซิงถันนอกจากอุทยานแห่งชาติทาโรโกะแล้ว เมืองฮวาเหลียนยังมี สถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ดังนี้- “หาดซีซิงถัน”(Qixingtan) หรือ“ทะเลสาบเจ็ดดาว” ที่เป็นแนวชายหาดรูปวงพระจันทร์ยาวกว่า 20 กม. เป็นแนวชายหาด “ก้อนกรวด” ขนาดใหญ่ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามแปลกตา- “วัดชิงซิ่วเยี่ยน”(Qing-Xiu Temple) วัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นอายุเก่าแก่ร่วม 100 ปี สร้างขึ้นในสมัยญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ภายในวัดมีไฮไลท์คือ พระพุทธรูปหิน 88 องค์ ซึ่งวันนี้วัดแห่งนี้ยังคงเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิกและบรรยากาศเปี่ยมศรัทธาให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสในพลังแห่งธรรมกันล่องเรือชมวาฬ-โลมาที่สือทีผิง- “ทะเลสาบหลีหยู่” หรือ “ทะเลสาบปลาคาร์ฟ” (Liyu (Carp) Lake) ที่โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงาม- “กิจกรรมการเที่ยวชมวาฬ-โลมา” (Whale and Dolphin Watching)ที่ “สือทีผิง” ซึ่งจะมีเรือนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวออกไปเฝ้ารอชมเจ้าวาฬ-โลมา โดยเปอร์เซ็นต์การได้เห็นวาฬและโลมานั้นอยู่ที่กว่า 90% เลยทีเดียวและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ส่วนหนึ่งของเมืองฮวาเหลียน เมืองที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นที่ได้รับฉายาว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน ซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงมา ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ชาวเมืองฮวาเหลียน และชาวไต้หวันผ่านพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้โดยเร็วแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000029305/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ เอ ไลฟ์ ส่งแคมเปญ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)” มอบกรมธรรม์อุบัติเหตุฟรี ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทต่อกรมธรรม์

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 4 เมษายน 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ เอ ไลฟ์ (ALive Powered by AIA) โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เปิดตัวแคมเปญ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” โดย เอ ไลฟ์ ขอมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และยังได้อุ่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะวางแผนเดินทางท่องเที่ยว เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปฉลองกับครอบครัว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ผลักดันให้คนไทยหันมาตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด สอดคล้องกับตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ 'Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น'ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่สนใจ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุฟรี และศึกษารายละเอียดความคุ้มครองในกรมธรรม์ ผ่าน LINE Official @AIAThailand ที่ลิงก์ https://bit.ly/freepa_edm (เพิ่ม AIA Thailand เป็นเพื่อน แล้วกดรับสิทธิได้ที่ LINE Rich Menu “รับฟรีประกันอุบัติเหตุ”) ลงทะเบียนรับสิทธิได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิจะครบจำนวนหมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการนำเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียด ข้อกำหนด และเงื่อนไข ของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่ เอไอเอ เวลเนส ประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

‘ฉลองสงกรานต์’ ชมงานศิลปะป๊อปอาร์ตสุดอลังการ ‘จักรวาลล็อบสเตอร์’

29/04/2024

ศิลปินป๊อปอาร์ตระดับโลก ‘ฟิลิป โคลแบร์’ นำ ‘จักรวาลล็อบสเตอร์’ มาให้คนไทยชม ‘ฉลองสงกรานต์’ ณ พาร์ค พารากอน ‘สยามพารากอน’สยามพารากอน ชวน ฉลองสงกรานต์ ครั้งยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ด้วยนำ จักรวาลล็อบสเตอร์ ผลงานศิลปินป๊อปอาร์ตระดับโลกชาวอังกฤษ ฟิลิป โคลแบร์ จัดให้ชมอย่างอลังการฟิลิป โคลแบร์ (Philip Colbert) ศิลปินร่วมสมัย สร้างผลงาน The Lobster ล็อบสเตอร์ก้ามโตสีแดงส้มสดใส ซึ่งได้จัดแสดงในหลากหลายรูปแบบทั่วโลก ทั้งภาพวาด ประติมากรรม ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น เป็นไอคอนสุดป๊อปที่โด่งดังไปทั่วโลกล็อบสเตอร์ใจกลางเมืองบริเวณน้ำพุไต้หวันสยามพารากอน ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย และ JOOX สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เนรมิตพาร์คพารากอนด้วยอินสตอลเลชั่นอาร์ตขนาดยักษ์ ต้อนรับซัมเมอร์ ฉลองสงกรานต์ กับงาน  Siam Paragon Ultrasonic Water Festival 2024 Songkran Lobster Wonderland by Philip Colbertลฺ็อบสเตอร์ที่ มารินา เบย์ แซนด์ สิงคโปร์โคลแบร์ (Philip Colbert) นำ จักรวาลล็อบสเตอร์ (The Lobster) ผลงานศิลปะอันโด่งดัง ซึ่งได้จัดแสดงและปรากฏผลงานหลากหลายรูปแบบในทั่วโลก ทั้งภาพวาด ประติมากรรม ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น เป็นไอคอนสุดป๊อปที่โด่งดังไปทั่วโลกที่บริเวณหน้าสถานีคิงครอส ลอนดอน“ผมกลายเป็นศิลปิน เมื่อผมกลายเป็นล็อบสเตอร์ล็อบสเตอร์แลนด์ คือโลกแห่งจินตนาการของผม ที่ล็อบสเตอร์ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ”ฟิลิป โคลแบร์โคลแบร์ ศิลปินผู้ถือกำเนิดใหม่ในร่างของ ล็อบสเตอร์ กล่าวถึงการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์ (Lobster Persona) ขึ้น โดยสื่อสารและแสดงออกทางศิลปะผ่านล็อบสเตอร์ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แสดงถึงการตื่นรู้ทางศิลปะ และเป็นสะพานนำไปสู่การสำรวจวัฒนธรรมร่วมสมัย และประวัติศาสตร์ศิลป์ ด้วยผลงานป๊อปอาร์ตที่เปี่ยมไปด้วยสีสันสดใส ผสมผสานวัฒนธรรมร่วมสมัย และงานศิลปะคลาสสิก บวกกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เต็มเปี่ยมด้วยจินตนาการล็อบสเตอร์ที่เวนิซ อิตาลีทุกวันนี้ โคลแบร์ กลายเป็นดาวเด่นในวงการศิลปะร่วมสมัย จนได้รับการขนานนามว่า ทายาททางศิลปะของแอนดี้ วอร์ฮอลในวัฒนธรรมตะวันตก ล็อบสเตอร์ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เป็นอาหารอันโอชะที่ดูหรูหรามีราคา ขณะเดียวกัน ด้วยรูปร่างที่โดดเด่น สีสันดึงดูดสายตา บวกกับลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของสัตว์ซึ่งมักต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอาหารและดินแดน คาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์ของโคลแบร์ จึงสะท้อนถึงด้านมืดของธรรมชาติของมนุษย์ด้วยล็อบสเตอร์ที่แกรนด์ พาเลซ สวิตเซอร์แลนด์โคลแบร์เริ่มจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดป๊อปขนาดใหญ่ ที่มีคาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์เป็นครั้งแรกในปี 2017 นับจากนั้น ล็อบสเตอร์ก็กลายเป็นลายเซ็นของเขา เป็นตัวละครที่สะท้อนเรื่องราวอันหลากหลายของวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัย ผ่านการใช้สีสันสดใส มีชีวิตชีวา ดูสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็ล้อเลียนและเสียดสีสังคมสมัยใหม่ศิลปินชื่อดังสร้าง จักรวาลล็อบสเตอร์ ผ่านภาพวาด ภาพพิมพ์ ประติมากรรม และจัดแสดงผลงานไปทั่วโลก และได้รับการยกย่องจากนักสะสมและนักวิจารณ์ศิลปะทั่วโลก เป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยที่น่าจับตามองมากที่สุดในปัจจุบันประวัติของ ฟิลิป โคลแบร์ ศิลปินหนุ่มชาวอังกฤษ เกิดปี 1980 ที่เมือง Aberdeen ประเทศสก็อตแลนด์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาปรัชญาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ สร้างชื่อเสียงระดับโลกด้วยคาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์สุดแนว และภาพวาดแนวไฮเปอร์ป๊อปประติมากรรมล็อบสเตอร์ผลงานของเขาสำรวจลวดลายของวัฒนธรรมดิจิทัลร่วมสมัย และความสัมพันธ์กับบริบททางประวัติศาสตร์ศิลป์ จนได้รับการยกย่องในระดับสากล โดยได้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลก ด้วยแนวคิดใหม่ที่สดใสในการผสมผสานจิตรกรรมและทฤษฎีป๊อปอาร์ตThe Lobster ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่ถูกครอบงำโดยวัตถุนิยม แสวงหาความสุขจากการบริโภค ได้เดินทางไปจัดแสดงยังประเทศต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลก อาทิ The Saatchi Gallery ในลอนดอน The Tate Modern ในลอนดอน The Whitestone Gallery ในไทเป และ The New Art Museum ในคารุอิซาวะ เป็นต้นนอกจากนี้โคลแบร์ยังเป็นที่รู้จักจากผลงานการร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย อาทิ Montblanc, Adidas, Bentley และ Samsungล็อบสเตอร์ ที่พาร์คพารากอนชม The Lobster เวอร์ชั่นใหม่ที่โคลแบร์สร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ในงาน Siam Paragon Ultrasonic Water Festival 2024 “Songkran Lobster Wonderland by Philip Colbert”วันที่ 9-16 เมษายน 2567 ณ พาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน สอบถามโทร.02 610 8000, FB: SiamParagonแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1120124

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมต้องหรี่ไฟในเครื่องบิน ตอนเครื่องบินขึ้น-ลง

03/04/2024

หลายครั้งที่การเดินทางโดยเครื่องบินเราต้องปฏิบัติตามกฎต่างๆ ของสายการบิน รวมทั้งระหว่างเดินทางเราก็มักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทาง อย่างเช่นเวลาเครื่องบินขึ้น หรือเครื่องบินลงจอด ไฟภายในห้องโดยสารจะต้องหรี่ลง และคุณทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไรจะต้องหรี่ไฟในเครื่องบินเหตุผลการหรี่ไฟในห้องโดยสารขณะเครื่องบินขึ้น-ลงหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไฟในห้องโดยสารเครื่องบินต้องหรี่ลงขณะขึ้นและลง นั่นเป็นเพราะเหตุผลสำคัญสองประการ1. มองเห็นทางออกฉุกเฉินได้ง่ายขึ้นเมื่อไฟภายในห้องโดยสารมืดลง ป้ายทางออกฉุกเฉินที่ส่องสว่างจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในสภาวะปกติและกรณีฉุกเฉิน การมองเห็นทางออกอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร2. ปรับสายตาให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมช่วงขึ้นและลงเครื่องเป็นช่วงที่ต้องเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ ดังนั้นการให้ผู้โดยสารคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไฟที่หรี่ลงช่วยให้ดวงตาปรับตัวได้ทั้งกับสิ่งที่อยู่ภายในและภายนอกเครื่องบิน หากไฟสว่างเกินไป จะส่งผลต่อการมองเห็นทัศนียภาพด้านนอก ซึ่งอาจส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ในกรณีฉุกเฉินได้"การปรับดวงตาไว้ล่วงหน้าช่วยป้องกันไม่ให้คุณมืดมิดเมื่อต้องวิ่งหนีออกจากเครื่องบินยามเกิดเหตุฉุกเฉินที่มีควันหรือความมืด" คุณ Patrick Smith นักบินสายบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว และผู้เขียนหนังสือ "Ask the Pilot" กล่าวเสริม"นอกจากนี้ แสงไฟที่หรี่ลงยังช่วยให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประเมินอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้หรือเศษวัสดุได้ง่ายขึ้น เพราะหากไฟสว่างจ้า แสงสะท้อนจะบดบังทัศนวิสัยด้านนอก"ความสำคัญของการมองออกไปนอกหน้าต่าง การมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในเที่ยวบิน ตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์สายการบินบริติชแอร์เวย์ในปี 2013 ฝาครอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินเปิดออกหลังเครื่องขึ้น และเนื่องจากปัญหามองเห็นได้ผ่านหน้าต่าง ลูกเรือจึงสามารถลงจอดฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วในอีกกรณีหนึ่งผู้โดยสารของ United Airlines บนเที่ยวบินจากนวร์กไปเวนิสมองเห็นเชื้อเพลิงรั่วออกจากปีกผ่านหน้าต่าง ผู้โดยสารจะต้องมองเห็นภายในเครื่องบินได้ชัดเจนด้วย จากข้อมูลของมูลนิธิความปลอดภัยการบิน ในกรณีที่มีควัน ผู้โดยสารอาจสูญเสียความสามารถในการค้นหาเส้นทางได้มากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ และอาจไม่สามารถมองเห็นป้ายทางออกได้ในทันที นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งประมวลกฎหมายการบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาและสำนักงานความปลอดภัยการบินของสหภาพยุโรปจึงกำหนดให้เส้นทางทางออกของเครื่องบินควรมีความสว่างพอที่จะมองเห็นได้ในความมืด ในหลายกรณี ระบบไฟส่องสว่างระดับพื้นนั้นอาศัยเทคโนโลยีเรืองแสงในที่มืดที่ทำจากวัสดุโฟโตลูมิเนสเซนท์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงทำงานอยู่หากไฟของเครื่องบินดับ การหรี่ไฟห้องโดยสารขณะเครื่องขึ้นและลงช่วยให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขอขอบคุณข้อมูล :afarแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447083/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567 โดยมี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ผู้บริหาร และข้าราชการ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ หอประชุมคุรุสกา กระทรวงศึกษาธิการโดยเอไอเอ ประเทศไทยได้รับรางวัลในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านหลากหลายกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี (AIA Healthiest Schools) โครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โค้ดดิ้ง (AIA Coding school) โครงการเอไอเอ ฟุตบอล คลินิก รวมไปถึงการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ให้โรงเรียน คุณครู บุคลากร รวมถึงเด็กนักเรียนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X