คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชะตากรรมต้นไม้ใหญ่จากผืนนาสู่เมือง : ภาพถ่าย เรื่องเล่า ธุรกิจไม้ล้อม

29/04/2024

ชวนดูนิทรรศการต้นไม้ในวารินแล็บ เจริญกรุง 36 และเรื่องเล่าต้นไม้ที่ถูกล้อม เดินชิลๆ แวะ 4 สถานที่ดูต้นไม้ใหญ่ และชวนกินไอศกรีมร้านดั้งเดิมไม้ล้อม หรือไม้ขุดล้อม เป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้ เนื่องจากลงทุนสูงในเรื่องเทคโนโลยี ทั้งการขุด ล้อม และการดูแลจัดส่งต้นไม้นอกจากนี้คนทำธุรกิจไม้ล้อม ยังต้องเสาะแสวงหาต้นไม้ใหญ่ ฟอร์มสวย ทั้งจากชุมชนและท้องนา เพื่อขุดล้อมส่งขายให้คนร่ำรวย ขั้นตอนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงมีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเลี้ยงวัวยิ่งเมื่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ( ฉบับที่ 8 ) พ.ศ.2562 ยกเลิกมาตรา 7 ปลดล็อกปลูกไม้หวงห้าม และใช้ประโยชน์จากไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ได้ สามารถตัดทิ้งได้หรือถูกขุดล้อมออกจากพื้นที่ เพื่อขายทำเงินได้มากขึ้นล่าสุดภาพเล่าเรื่องธุรกิจไม้ล้อมในนิทรรศการ Tree Mangement Agency ในแกลอรี่เล็กๆ วารินแล็บ คอนเท็มโพรารี ย่านเจริญกรุง 36 (เปิดให้ชมวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่วันนี้-23 มีนาคม 67)  เลือกที่จะนำเสนอเรื่องการเคลื่อนย้ายต้นไม้ใหญ่ และการจัดการพื้นที่สีเขียวในเมืองนำเสนอโดย ประทีป สุธาทองไทย อาจารย์ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และโรเบิร์ต จ้าว เหรินฮุ้ย ชาวสิงคโปร์ ศิลปินทั้งสองต้องการสื่อสารเรื่องต้นไม้ใหญ่ที่หายไปผลงานนิทรรศการ Tree Mangement Agency ในแกลอรี่เล็กๆ วารินแล็บ คอนเท็มโพรารีภาพที่เห็นในนิทรรศการ จึงไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงาม แต่เป็นไม้ใหญ่ที่ถูกล้อมขุด โดยศิลปินตามไปดูคนทำธุรกิจการขุดล้อมไม้ใหญ่กลางท้องนา พร้อมๆ กับคำถามมากมายเล่าเรื่องด้วยภาพ : ล้อมต้นไม้ใหญ่แม้ต้นไม้ใหญ่ฟอร์มสวยที่ถูกพรากจากอีสานจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ แต่เมื่อหลอมรวมกันแล้ว ย่อมมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกได้ไม่มากก็น้อย“การปรับพื้นที่ทำการเกษตร และการปรับกฎหมายในปี 2562 ทำให้ต้นไม้ในพื้นดินกรรมสิทธิ ไม่ว่าหวงห้ามหรือไม่ก็ตัดได้ จึงกลายเป็นสินค้าแต่งสวนในบ้านคนรวย บางต้นไปไกลถึงสิงคโปร์”อาจารย์ประทีป เล่า หลังจากเดินดูต้นไม้ใหญ่ร่วมกับกลุ่มบิ๊กทรี และวารินแล็บ คอนเท็มโพรารี เมื่อปีที่แล้วศิลปินลงพื้นที่สำรวจต้นไม้ในอำเภอคำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ติดตามผู้คร่ำหวอดในธุรกิจต้นไม้ใหญ่กว่า 20 ปีไปดูการล้อมต้นไม้ใหญ่“คนไทยคิดว่าเรามีต้นไม้ใหญ่เยอะ ไม่ต้องเสียดาย จึงถูกตัดทิ้งง่ายๆ ต้นไม้ขนาดใหญ่ฟอร์มสวยเป็นที่ต้องการตลาด บางต้นล้อมไว้ก่อน รอคนซื้อ แล้วค่อยยกออกจากพื้นที่”นั่นคือที่มาของผลงานชุด UPROOT ของประทีป ส่วนโรเบิร์ตนำเสนอภาพผลงานชุด The 19 ในปี 2014 เขาเฝ้าสังเกตต้นไทรต้นหนึ่ง โดยซ่อนกล้องไว้ในต้นไม้  จนสามารถบันทึกภาพนกได้ 19 สายพันธุ์ และเมื่อต้นไทรต้นนั้นถูกล้อมและขุดออกจากพื้นที่ นกสวยๆ ก็หายไป ซึ่งเป็นความเปราะบางของระบบนิเวศที่เขาอยากสื่อสารนกที่โรเบิร์ตซ่อนกล้องถ่าย ผลงานชุดThe 19ส่วนภาพถ่ายผลงานชุด UPROOT ของประทีป สื่อถึงอุตสาหกรรมล้อมต้นไม้ เขาถ่ายภาพจัดแสงเน้นไปที่การขุดล้อมโคนต้น เพื่อให้เห็นการตัดรากให้ลงตัวก่อนขนย้ายภาพเหล่านี้เป็นเสมือนความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนต้นไม้จะถูกเคลื่อนย้าย โดยตั้งคำถามกับการพัฒนาเมืองและความยั่งยืน“จากเดิมชาวบ้านปลูกต้นไม้ ไว้สร้างบ้านและให้ร่มเงา แต่ทุกวันนี้มีมูลค่า มีคนมาขอซื้อต้นไม้ใหญ่ในที่ดิน บางทีซื้อจากชาวบ้านหลักพัน แต่พอมาอยู่ในตลาดหลักหมื่นหลักแสน หรือไม่ก็เจ้าของที่ดินตัดต้นไม้เพื่อปรับพื้นที่ทำนา เพราะร่มเงาทำให้ต้นข้าวไม่โต”ประทีป เล่า“นิทรรศการนี้ ผมทำขึ้นเพื่อให้คนตระหนักและเห็นมิติอื่นๆ จะโทษธุรกิจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจปัจจัยชีวิตคนในชุมชนด้วย จะโลกสวยอนุรักษ์อย่างเดียว ก็ไม่ใช่”ศิลปินตามไปดูล้อมต้นไม้ใหญ่ ก่อนถ่ายภาพไม้ใหญ่ ฟอร์มสวย ต้องอีสานแหล่งต้นไม้ใหญ่ฟอร์มสวย ไม่ว่าตะแบก ชุมแสง หว้า เสม็ดแดง มะขาม ต้องภาคอีสาน เนื่องจากมีพื้นที่แห้งแล้ง น้ำท่วมถึง ทำให้ต้นไม้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จึงมีรูปทรงแปลกๆ“คนซื้อต้นไม้ไปจัดสวนก็คิดแค่การมองเห็น แต่ไม่รู้สึก คนทำธุรกิจไม้ล้อมก็คิดว่าช่วยต้นไม้ให้รอดตายเป็นความหวังดีต่อต้นไม้ แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ใช่" ประทีป เล่า นั่นเพราะกระบวนการขนย้ายต้นไม้ ตัดกิ่งก้านสาขาต้นไม้ให้กว้างไม่เกินสามเมตรเพื่อใส่รถบรรทุก แม้จะตัดรูปทรงสวยแค่ไหน แต่ต้นไม้ที่เติบโตในธรรมชาติ ย่อมสวยงามกว่าธุรกิจล้อมขุดต้นไม้ใหญ่ธุรกิจไม้ล้อมที่ศิลปินไปพบเห็นและเก็บข้อมูล พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า  •  ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่คร่ำหวอดในวงการ ทั้งรับจัดหา ล้อมต้นไม้ ขนส่ง ออกแบบงานประดับ ทำแบบครบวงจร  •  มีการทำสัญญาซื้อขายถูกต้องในฐานะทรัพย์สินมีมูลค่า จะเคลื่อนย้ายเมื่อมีผู้ตกลงซื้อ  •  ลูกค้าต้นไม้ล้อม ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐี ข้าราชการชั้นสูง นิยมปลูกต้นไม้ใหญ่ประดับบ้าน เพื่อแสดงบารมี โดยผู้ทำธุรกิจนี้จัดส่งให้นักออกแบบ หรือทีมจัดสวน  •  ในการเสาะแสวงต้นไม้ใหญ่ หากคนในพื้นที่ชอบพอกับผู้มาขอซื้อ อาจยกต้นไม้ในที่ดินของตนให้ฟรีๆ หรือขายในราคาถูก เนื่องจากต้องการเอาต้นไม้ออก เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกิน   •  การยกเลิกวรรคหนึ่งของมาตรา 7 ในพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 ว่าไม้ทุกชนิดที่ขึ้นในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม ทำให้เกิดขายซื้อขายและขนย้ายต้นไม้ออกจากที่ดินเป็นจำนวนมาก  •  ไม้ล้อมที่มีราคาสูง พิจารณาจากขนาด รูปทรง พุ่มยอด และการแตกกิ่ง โดยเฉพาะความแปลกของรูปทรง ปูดโปน (คล้ายไม้ดัด) โคนใหญ่ ราคาจะสูงเป็นพิเศษ ทั้งนี้ต้นไม้ต้องมีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีแผลการจากถูกเผาไม้มาก่อน  •  ไม้ล้อมแต่ละต้น จะต้องถูกตัดแต่งกิ่งก้าน ให้มีขนาดที่สามารถขนย้ายด้วยรถได้ ไม้ล้อมจึงเสียรูปทรงกิ่งก้านที่มีอยู่เดิมจากการถูกย้ายร้านฮาร์โมนิค เยื้องๆ ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย เจริญกรุง 34 (ภาพ : BIG Trees)เดินดูต้นไม้ใหญ่กับบิ๊กทรีเป็นครั้งแรกที่กลุ่มบิ๊กทรีทำงานร่วมกับวารินแล็บ คอนเท็มโพรารี เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องต้นไม้ใหญ่กิจกรรมเดินดูต้นไม้ใหญ่ครั้งนี้ ฐิติพร คูณเจริญ รุกขกร และอรยา สูตะบุตร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบิ๊กทรี นำชมและให้ความรู้ 4 สถานที่    •  1. ด้านหน้าวารินแล็บ ซอยเจริญกรุง 36 ข้างๆ มีร้านอาหาร มีต้นไม้ขนาดกลางจัดเป็นสวนเล็กๆ มีที่นั่งพักเหนื่อย แม้จะเป็นช่วงบ่ายๆ ที่แดดจัด ต้นไม้เป็นร่มเงาได้ดีทีเดียวแนน- ฐิติพร รุกขกร ชี้ชวนให้ดูต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น กิ่งก้านแบบไหนตัดไม่ถูกวิธี ทำให้ลำต้นฉีกมีแผล หรือไม่ก็งตัดลึกเกินคอกิ่ง รวมถึงแผลโพรงต้นไม้ที่เกิดเชื้อราและที่สุดก็ตาย รวมถึงตัดบั่นยอด เทปูนทับโคนต้นไม้ ซึ่งไม่ดีต่อต้นไม้สารพัดเรื่องราวการตัดแต่งต้นไม้ผิดวิธี รุกขกร แนะว่า ถ้าตัดต้นไม้ผิดหลัก ต้นไม้จะตกใจ ออกเป็นกิ่งเล็กๆ หรือกิ่งกระโดงเยอะมาก หรือเวลาต้นไม้ป่วย สังเกตได้ว่าใบจะค่อยๆ แห้ง ไม่เขียว ไม่มัน“ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยสังเกตต้นไม้ที่มีกิ่งผุ หรือมีโพรง มันพร้อมจะหักโคนลงมา ก่อให้เกิดอุบัติเหตุโดยไม่ทันตั้งตัว”ร่มรื่นชวนนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย  •  2. ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย ซอยเจริญกรุง 34 เป็นบ้านโบราณอายุเกือบ 100 ปี เป็นห้องสมุดหนังสือภาพสำหรับเด็กปฐมวัยแห่งแรกของไทย มีที่นั่งอ่านหนังสือ ภายในมีต้นมะม่วงสูงใหญ่สี่ต้น คาดว่าจะปลูกมาตั้งแต่สร้างบ้าน เสียดายว่า โคนต้นไม้ใหญ่ถูกปกคลุมด้วยผืนหญ้าเทียม เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาห้องสมุดนี้เปิดทุกวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 10.00-17.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์มักมีกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กๆ ที่น่าสนใจโดยพี่ๆ บรรณารักษ์และอาสาสมัคร  •  3. ร้านฮาร์โมนิค เยื้องๆ ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย เป็นอีกร้านที่คนแนะนำอาหาร เรียกว่า ร้านลับ ที่น่าสนใจคือ ภายในร้านมีต้นไทรขนาดใหญ่สองต้น บรรยากาศต่างจากร้านอาหารทั่วไป แม้อายุต้นไม้จะอายุไม่เท่าบ้านร้อยปี แต่มีอายุพอๆ กับร้านอาหารที่เปิดมา 30-40 ปี  และเป็นอีกร้านที่ชาวต่างชาติชื่นชอบรสอาหารและบรรยากาศเปิดบริการทุกวันจันทร์-เสาร์ เวลา 11.00-22.00 น.(ปิดวันอาทิตย์) เบอร์ติดต่อ 02 6306270ภาพเฟซบุ๊ค พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก  •  4. พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เคยเป็นสมบัติของอาจารย์วราพร สุรวดี ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ซอยเจริญกรุง 43 ตรงข้ามไปรษณีย์กลาง เดินเข้าซอยไม่ไกล ปากซอยตึกด้านซ้ายมีร้านไอศกรีมโบราณ ฮงฮวด ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ รสชาติอร่อยไม่หวานมากภายในพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกมี4 อาคาร อาคารไม้หลังแรกเป็นทรงปั้นหยารุ่นปลาย มุ่งกระเบื้องว่าวสีแดง สร้างในปี 2480 ด้านในมีของเก่าเก็บให้ดูจำนวนมาก ภายในมีต้นไม้ร่มรื่นน่าเดินเที่ยวสำหรับคนที่เสพติดร้านกาแฟ ข้างๆ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก มีร้าน Enjoy One Craft & Eatery บรรยากาศดีต้นไม้เยอะพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น. เข้าชมไม่เสียค่าใช้จ่ายแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1117888

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

Top 6 พาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2024

21/03/2024

เชื่อหรือไม่ว่ามีการจัดอันดับความ “ทรงพลัง” ของพาสปอร์ตด้วย และผลปรากฏว่า พาสปอร์ตสหรัฐอเมริกาไมได้อยู่อันดับต้นๆตามดัชนี Henley Passport Index ประจำปี 2024 พลเมืองของ 6 ประเทศ ถือครองพาสปอร์ตที่ทรงพลังที่สุดในโลก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปนถือเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี ที่ดัชนีนี้จัดทำขึ้น ที่มีถึง 6 ประเทศครองอันดับ 1 ร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือพาสปอร์ตเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า โดยสามารถเดินทางเข้าได้ถึง 194 ประเทศ จากทั้งหมด 227 ประเทศตามมาติดๆ ด้วยเกาหลีใต้ สวีเดน และฟินแลนด์ ซึ่งสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 193 ประเทศ ส่วนอันดับ 3 ร่วม ได้แก่ ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ผู้ถือพาสปอร์ต 4 ประเทศนี้สามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 192 ประเทศพาสปอร์ตอเมริกาอยู่อันดับ 7 ของโลก พลเมืองอเมริกันถือพาสปอร์ตที่ทรงพลังเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยสามารถเดินทางไปยัง 188 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าย้อนกลับไปในปี 2014 สหรัฐอเมริกาเคยครองอันดับ 1 ร่วมกับสหราชอาณาจักร แต่ปัจจุบันอันดับของพาสปอร์ตอเมริกาได้ตกลงมาอยู่ที่ 7ขอขอบคุณข้อมูล :usatodayแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447183/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

นักออมเงินทราบหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินฝากต้องเสียภาษี?

20/03/2024

ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของผู้มีรายได้ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพากรสามารถทราบรายได้ของคุณได้ จากการส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากโดยสถาบันการเงินส่งให้กับกรมสรรพากร และหากมีรายได้ผิดปกติมีผลให้ถูกตรวจสอบ ตลอดจนถูกเรียกเก็บภาษีได้ โดยทั่วไปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะคิดดอกเบี้ยให้ผู้ฝากทุกวัน แต่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือนมิถุนายนและธันวาคม ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดก็จะมารวมเป็นเงินต้นสำหรับคิดดอกเบี้ยในแต่ละวันต่อไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของผู้มีรายได้ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพากรสามารถทราบรายได้ของคุณได้ จากการส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากโดยสถาบันการเงินส่งให้กับกรมสรรพากร และหากมีรายได้ผิดปกติมีผลให้ถูกตรวจสอบ ตลอดจนถูกเรียกเก็บภาษีได้ หากรายได้และดอกเบี้ยของคุณถึงเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งในครั้งนี้จะขออธิบายเรื่องของดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มเติมดังนี้ ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์แบบคร่าวๆ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้แจกแจงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์โดยยกตัวอย่างดังนี้ เมื่อวันที่ 1 มกราคม นาย A ฝากเงินธนาคารไว้ 20,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี มี 6 เดือนระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคมของทุกปี ดังนั้น นาย A จึงฝากเงิน 20,000 บาทไว้ทั้งปี และไม่ถอนออกหรือฝากเพิ่ม ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่นาย A จะได้รับในปีนี้สามารถคำนวณได้ดังนี้ เงินฝาก (ณ วันที่ 1 มกราคม) เงินต้น 20,000 บาท เงินฝาก+ดอกเบี้ย (ณ วันที่ 30 มิถุนายน) เงินต้น 20,197.26 (คิดดอกเบี้ย 2%) เงินฝาก+ดอกเบี้ย (ณ วันที่ 31 ธันวาคม) เงินต้น  20,203.63 (คิดดอกเบี้ย 2%) ระยะเวลาในการคำนวณจำนวนวันในการฝากเงินจะคำนวณถึงวันก่อนวันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 29 มิถุนายน รวม 180 วัน ระยะเวลาในการคำนวณจำนวนวันในการฝากเงินจะคำนวณถึงวันก่อนวันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม รวม 184 วัน ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ นาย A จะได้รับในปีนี้จะเท่ากับมูลค่าของเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม ลบด้วยมูลค่าของเงินฝาก ณ วันที่ 1 มกราคม = 20,203.63 บาท ลบด้วย 20,000.00 บาท หรือเท่ากับ 203.63 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม หาก นาย A ไม่ได้ถอนเงินต้นและดอกเบี้ยออกมา แต่ฝากเงินจำนวนดังกล่าวต่อเนื่องไป เงินต้นที่ถูกใช้ในการคำนวณดอกเบี้ยในปีถัดไปจะเท่ากับ 20,203.63 บาท ดอกเบี้ยออมทรัพย์แบบไหนที่ได้รับการยกเว้นภาษี จากตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้กล่าวไปแล้ว จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยประจำปีที่ผู้ฝากได้รับคือ 203.63 บาท ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับนี้ ทางสถาบันการเงินของผู้ฝากจะต้องส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ยังอาจจะต้องถูกหักภาษีด้วย แต่มีบางกรณีที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากเข้าเงื่อนไงดังนี้ - ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีรวมกัน มีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษี - ชื่อบัญชีเงินฝากและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ใช้ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ต้องเป็นของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก   - ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก ว่าไม่ให้นำส่งข้อมูลดอกเบี้ย และผลตอบแทนเงินฝากให้กับกรมสรรพากร ดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ต้องเสียภาษี เชื่อว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ภาษีของกรมสรรพากร หากมีเงินอยู่ในบัญชีของผู้มีรายได้ไม่ว่าจะเป็นรายได้เงินฝากหรือเงินผ่านช่องทางบัตรเครดิต จากสถาบันการเงินต่างๆ มีหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากร ซึ่งมีเงื่อนไขในการส่งข้อมูลคือ - เงินที่ฝากเข้าบัญชี 3,000 ครั้ง/ปี/บัญชี โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าของแต่ละครั้ง  - จำนวนการฝาก 400 ครั้ง/ปี/บัญชี และยอดรวม (เฉพาะฝาก) เกิน 2 ล้านบาท และทางกรมสรรพากรยังได้กำหนดให้ธนาคารส่งข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยออมทรัพย์แก่กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ โดยผู้มีเงินได้ที่ไม่ประสงค์ให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรจะต้องแจ้งให้ธนาคารทราบ พร้อมกับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับดอกเบี้ยในอัตรา 15% โดยทางธนาคารจะดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย และให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก นำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากของผู้ที่มีเงินได้ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และเก็บหลักฐานการยินยอมไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ระยะเวลาในการนำส่งภายในกำหนดเวลา ดังนี้ - ข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม ให้นำส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤศจิกายนให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนของปีนั้น  - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤษภาคมของปีนั้น - ข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก ซึ่งได้จ่ายเงินก่อนหรือในวันที่ 30 มิถุนายน ให้นำส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น กล่าวโดยสรุป ตามประกาศของกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยออมทรัพย์ หากผู้ได้รับดอกเบี้ยจากบัญชีออมทรัพย์รวมทุกบัญชีจากธนาคารเดียวกันเกิน 20,000 บาทในปีภาษีนั้น ธนาคารมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15% แต่ถ้ามีการฝากออมทรัพย์ในหลายๆ ธนาคารและมีดอกเบี้ยรับรวมกันเกินกว่า 20,000 บาทในปีภาษีนั้น ผู้ฝากมีหน้าที่แจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ย เพื่อให้ดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากรต่อไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์https://www.posttoday.com/columnist/699146

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เปิดตัว "LV THE PLACE BANGKOK" รวมทุกประสบการณ์เพื่อคนรัก "หลุยส์ วิตตอง"

29/04/2024

นับตั้งแต่ปี 1854 “หลุยส์ วิตตอง” ได้สร้างสรรค์ดีไซน์ ที่เป็นเอกลักษณ์สู่สายตาชาวโลก ภายใต้ปรัชญา “ศิลปะแห่งการเดินทาง” พร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และเปิดรับศาสตร์ใหม่ๆ จากเหล่าสถาปนิก, ศิลปิน และดีไซเนอร์ต่างสาขา เพื่อรังสรรค์ผลงานระดับไอคอนให้โลกจำล่าสุด “หลุยส์ วิตตอง” พาออกเดินทางสู่ “LV THE PLACE BANGKOK” ณ ศูนย์การค้าเกษรอัมรินทร์ จุดหมายแห่งใหม่ที่รวมคอนเซปต์ครบทุกประสบการณ์ภายในพื้นที่เดียวกัน ตั้งแต่งานนิทรรศการ, คาเฟ่ “LE CAFÉ LOUIS VUITTON”, รีเทลสโตร์ และร้านอาหาร โดยเชฟชื่อดัง “กากัน อนันต์” เพิ่มความโดดเด่นด้วยดีไซน์สถาปัตยกรรมอันเป็นแรงบันดาลใจ และการตกแต่งสวยงาม ตลอดจนเมนูต่างๆที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะ เพื่อพาไปค้นพบจินตนาการไร้ขีดจำกัด“LV THE PLACE BANGKOK” ครอบคลุมพื้นที่สองชั้นภายในตึกเกษรอัมรินทร์ บนทำเลล้ำค่าใจกลางกรุงเทพฯ ด้านนอกตกแต่งด้วยประติ มากรรมรูปทรงแบบเพชรขนาดใหญ่ที่ส่องแสงยามค่ำคืน ส่วนด้านในรวบรวมหลากหลายรูปแบบประสบการณ์ไว้ครบครัน ทั้งรีเทลสโตร์, อาหาร และเรื่องราววัฒนธรรมต้อนรับผู้มาเยือนอย่างน่าตื่นเต้น ด้วยพื้นที่จัดแสดงเรื่องราวการเดินทางแห่งวิสัยทัศน์ “VISIONARY JOURNEYS” นิทรรศการใหม่ที่จะพาไปสัมผัสมรดกล้ำค่าของเมซง ซึ่งไม่เคยแสดงที่ใดมาก่อน ด้วยผลงานออกแบบของบริษัทสถาปนิกระดับโลกอย่าง “OMA” และ “Partner Shohei Shigematsu” โดยนำจินตนาการของเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมมาถ่ายทอดในคอนเซปต์ใหม่ ห้องต่างๆ ถูกแบ่งเป็นธีมต่างกันชัดเจน ผสานเรื่องราวบริบทใหม่ทั้งประวัติศาสตร์ และชิ้นงานร่วมสมัย เพื่อเชิญชวนผู้มาเยือนให้ดื่มด่ำไปกับหัวใจหลักในเรื่องความเชี่ยวชาญงานฝีมือ, นวัตกรรม, การเดินทาง และความคิดสร้างสรรค์“Trunkscape” คือจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทาง ที่นำทรังก์ 96 ใบ มาเรียงต่อกันราวกับอุโมงค์ทอดยาวไปสู่เรื่องราวงานฝีมือและนวัตกรรมของ “หลุยส์ วิตตอง” ห้องแรกนำเสนอภายใต้ธีม “Origins” อุทิศให้กับเรื่องราวของตระกูลวิตตอง จัดเป็นแท่นแสดงคลังเก็บเรื่องราวที่อยู่รอบด้าน และชิ้นงานที่เป็นแรงบันดาลใจ รวมทั้งดีไซน์ต่างๆในยุคแรก รูปแบบของทรังก์ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์ทรังก์และบรรจุสิ่งของต่างๆ ส่วนตัวอย่างของโมโนแกรมแคนวาสหลากหลายรูปแบบที่พัฒนามาหลายทศวรรษ บ่งบอกถึงความต่อเนื่องและนวัตกรรมของแบรนด์อันไม่หยุดนิ่งห้องต่อมา “Iconic Bags” จัดแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง 25 ปี ในประวัติศาสตร์แฟชั่นของ “หลุยส์ วิตตอง” ถ่ายทอดเรื่องราวของดีไซน์กระเป๋าไอคอนิก 5 รุ่น คือ Alma, Keepall, Speedy, Noé และ Petite Malle ซึ่งนำกลับมาตีความใหม่โดยผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แต่ละยุคสมัยล้วนแสดงวิสัยทัศน์ความก้าวล้ำของสไตล์และความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือ รูปทรงและเอกลักษณ์ของกระเป๋าไอคอนิก ถูกนำเสนอผ่านกระเป๋า 21 ใบ พร้อมเสื้อผ้า 2 ลุค จัดแสดงภายในลูกบอลอะคริลิกใสทรงกลม 19 ลูกส่วนห้องสุดท้าย “Collaborations” พาไปค้นพบความสัมพันธ์กับเหล่าศิลปินที่รังสรรค์ให้เกิดผลงานกระเป๋าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่จดจำสูงสุดจากการตีความของสตีเฟน สเปราส์, ริชาร์ด ปรินซ์, ทากาชิ มุราคามิ และยาโยอิ คุซามะ โดยนำผลงานดั้งเดิมทั้ง 7 ชิ้น เป็นตัวแทนสะท้อนศักยภาพไร้ขีดจำกัด อีกด้านเป็นจอสกรีนแอนิเมชันครึ่งวงกลมฉายแพตเทิร์นงานของศิลปินแต่ละคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะลงบนฉากหลัง ซึ่งเป็นกระเป๋าชุบโครมจำนวน 184 ใบนอกจากนี้ ผู้มาร่วมชมนิทรรศการจะได้พบกับห้อง “Giveaway Room” ที่ชวนทำกิจกรรมเพื่อรับของที่ระลึก พิเศษสุดคือภายในรีเทลสโตร์มีบริการประทับลวดลายมาสคอตใหม่ของเมซง “น้องวิเวียน” (Nong Vivienne) เพื่อต้อนรับการเปิดตัวจุดหมายใหม่แห่งนี้...ถือเป็นแม่พิมพ์บทใหม่ของร้าน “หลุยส์ วิตตอง” ในอนาคต.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/fashion/2767098

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

แลนด์มาร์กใหม่ ราชบุรี “สะพานหนุนลอย M4” ข้ามแม่น้ำแม่กลอง (ชั่วคราว) ฝีมือทหารช่าง

29/04/2024

กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ สร้างความตื่นเต้นให้กับคนราชบุรีได้ไม่น้อย สำหรับ “สะพานหนุนลอย M4” ฝีมือของ กรมทหารช่างที่ 11 โดยหลายคนบอกว่าได้รำลึกความหลังที่เคยใช้สะพานแบบนี้เมื่อตอนเด็กๆภาพ: แฟนเพจกรมการทหารช่างสืบเนื่องมาจาก กรมทหารช่างที่ 11 ได้ดำเนินการประกอบสร้าง สะพานหนุนลอย M4 เรือทุ่นโลหะผสม ข้ามแม่น้ำแม่กลอง จาก สนามฟุตบอล กรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี ไปยัง ตลาดเก่าโคยกี้ จ.ราชบุรีภาพ: แฟนเพจกรมการทหารช่างซึ่งทางแฟนเพจกรมการทหารช่าง ระบุว่า สะพาน M4 ทหารช่างข้ามแม่น้ำแม่กลอง พร้อมต้อนรับพี่น้องประชาชนทุกท่าน ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ถึง 22.00 น.ภาพ: แฟนเพจกรมการทหารช่างสะพาน M4 สร้างขึ้น (ชั่วคราว) ในโอกาส จ.ราชบุรี เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 39 "ราชบุรีเกมส์" ประจำปี 2567 ห้วงวันที่ 21 - 31 มี.ค.67 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในการจอดยานพาหนะ ในกรมการทหารช่าง และให้พี่น้องประชาชนได้ใช้เดินข้ามแม่น้ำแม่กลอง พร้อมกิจกรรมมากมายร่วมกับ จ.ราชบุรี เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจใน จ.ราชบุรีภาพ: แฟนเพจกรมการทหารช่างแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000024425

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบเงิน 5 แสนบาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง ครั้งที่ 16”

20/03/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายแพทย์ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว (ที่ 2 จากซ้าย) ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคจำนวน 500,000 บาท แก่ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแทพย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล (กลาง) เพื่อร่วมสนับสนุนโครงการ "ศิริราช เดิน-วิ่ง ครั้งที่ 16" ที่ทางคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยตระหนักถึงการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขและแข็งแรงอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เตรียมตัวอย่างไร เพื่อขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุย

29/04/2024

บทความโดย "ศุภฤกษ์ ตรงจิตสุนทร"  AFPT,IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้น จากการที่รัฐบาลประกาศให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น” ธุรกิจภายในประเทศกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ อีกทั้งการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวให้กลับเข้ามาแล้ว แต่ก็ยังเห็นว่าปัญหาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ การลงทุน และส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน โดยสถาบันการเงินก็ต้องออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การให้พักชำระเงินต้น ลดค่างวดที่ต้องชำระ เป็นต้น ปัจจุบันสถาบันการเงินจึงจำเป็นเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความเสี่ยงป้องกันการเกิดหนี้เสียขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้อาจจะสุ่มเสี่ยง ขอสินเชื่อได้ยาก เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งก็มีมาตรการรัดกุมมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถขอสินเชื่อได้ เพียงแต่ถ้าอยากกู้ให้ผ่านฉลุย ต้องมีการเตรียมความพร้อม 1. หลักฐานการแสดงรายได้ต่าง ๆ เช่น สลิปเงินเดือน ใบรับรองเงินเดือน โบนัส 50 ทวิ ในกรณีที่เป็นรายได้อื่น ๆ ทางธนาคารจะขอดูหลักฐานในการยื่นภาษี บางธนาคารมีเกณท์เรื่องรายได้ขั้นต่ำเพิ่ม เช่น ต้องมีรายรับอย่างน้อยที่ 15,000-20,000 บาท ถึงจะผ่านเกณท์ในการยื่นกู้ ในการเตรียมตัวถ้า มีบ้าน คอนโดฯ หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ปล่อยเช่าแล้วมีรายได้ ก็สามารถยื่นเป็นรายได้ในการพิจารณาขอสินเชื่อได้ แต่ต้องสอบถามทางธนาคาร ซึ่งแต่ละที่เกณท์ในการประเมินจะไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องระวังคือ ห้ามนำบ้านที่ติดจำนองแล้วปล่อยเช่ามีรายได้ไปยื่นขอสินเชื่อบ้านหลังใหม่กับธนาคารเดียวกัน เพราะอาจจะโดนดอกเบี้ยปรับจากธนาคารได้ เนื่องจากทางธนาคารจะมองว่าเป็นการกู้ยืมที่ผิดวัตถุประสงค์ ต้องเป็นการกู้ยืมเพื่อการพักอาศัยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ 2. ประเมินความสามารถในการผ่อน สามารถคำนวณได้เองเบื้องต้น โดยเกณท์ของธนาคารจะประเมินโดยเทียบกับรายได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะคำนวณความสามารถในการผ่อนที่ประมาณ 40% ของรายได้ซึ่งบางธนาคารก็จะมีเกณท์ให้ที่ 60% แต่ถ้าในกรณีที่มีสิทธิสวัสดิการของบริษัท ที่ทำร่วมกับบางธนาคารอาจจะยอมให้ถึง 80% ของรายได้ ตัวอย่าง การคำนวณเบื้องต้นในการประเมินวงเงินขอสินเชื่อหมายเหตุ : สูตรการคำนวณดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น หากต้องการทราบข้อมูลแบบละเอียดชัดเจน ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่จากธนาคารที่ขอสินเชื่อ ในส่วนของข้อ 2 อาจจะต้องพิจารณาหักลบกับหนี้สินที่มีอยู่เดิมด้วย เช่น สินเชื่ออื่น ๆ ที่ยังต้องผ่อนชำระอยู่ และรายการที่มักจะไม่ค่อยทราบกันว่าจะส่งผลต่อการประเมินขอสินเชื่อกับธนาคารด้วย คือรายการผ่อนสินค้า 0% ต่าง ๆ มีโอกาสทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านก็ได้วงเงินน้อยลง เช่น ซื้อโทรศัพท์ 40,000 บาท ผ่อน 0% 10 เดือน โดยผ่อนชำระตกเดือนละ 4,000 บาท ทางธนาคารก็จะมองเป็นภาระค่าใช้จ่ายทันที โดยสมมติว่ากู้ซื้อบ้าน 2 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี ผ่อนต่อเดือนประมาณ 14,000 บาทต่อเดือน แต่มีภาระผ่อนมือถือ 4,000 บาทต่อเดือน ทางธนาคารก็อาจจะพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อน้อยลงจากการที่ต้องนำความสามารถในการผ่อนชำระไปหักภาระที่ต้องผ่อน เท่ากับว่า 14,000-4,000 = 10,000 บาท คงเหลือความสามารถในการผ่อนชำระที่ 10,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ขอสินเชื่อบ้านได้เพียงวงเงินที่ 1.5 ล้านบาท 3. ทำบัญชีทรัพย์สิน เงินออมในรูปแบบต่าง ๆ การมีเงินออมที่ฝากไว้ในธนาคารบัญชีออมทรัพย์, บัญชีเงินฝากประจำ, สลากออมสิน หรือการออมเงินในรูปแบบการลงทุน เช่น กองทุนรวมทั่วไป กองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ซึ่งบางธนาคารก็จะพิจารณาในส่วนนี้ให้เป็นการเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อบ้านให้ผ่าน ทั้งนี้ เกณท์การพิจารณาก็จะแตกต่างไปตามแต่ละธนาคาร ดังนั้น ในการยื่นเอกสารผู้ขอสินเชื่อควรที่จะสอบถามข้อมูลเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านฉลุย 4. เช็กประวัติเครดิตบูโร การขอข้อมูลเครดิตบูโรของตัวเองมาตรวจสอบ โดยขอได้จากช่องทางของธนาคารกรุงไทย ผ่าน Application Mobile Banking โดยจะมีค่าดำเนินการอยู่ที่ 150 บาท ภายใน 24 ชม. ก็จะมีการส่งให้ตาม Email ที่ลงทะเบียนไว้ ข้อมูลที่ได้มาก็เพื่อที่จะไว้ตรวจสอบ รายการแปลกปลอมต่าง ๆ เช่น บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือสินเชื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งรายการค้างชำระ โดยปกติระยะเวลาของบัญชีต่าง ๆ ที่แสดงในเครดิตบูโรจะอยู่ที่ 3 ปี กรณีที่มีรายการที่ค้างชำระนานเกิน 3 เดือน ข้อมูลก็จะปรากฏในรายการเครดิตบูโรว่าเป็นการผิดนัดชำระ แปลว่าต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี ในการให้ข้อมูลดังกล่าวหายไปจากเครดิตบูโร 5. การเตรียมตอบคำถาม จากสถานการณ์ช่วงโควิดที่ผ่านมา ที่ทางธนาคารประกาศมาตรการเยียวยาให้ผู้ที่ขอสินเชื่อไปลงทะเบียนในการแจ้งความประสงค์ ว่าได้รับผลกระทบจากงานประจำ หรือจากธุรกิจต่าง ๆ โดยธนาคารก็จะประเมินและให้การเยียวยา เช่น ให้พักชำระทั้งเงินต้น + ดอกเบี้ย ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เป็นต้น ในส่วนนี้ธนาคารจะเช็กข้อมูลจากเครดิตบูโรว่ามีการหยุดพักชำระหรือไม่ และจะถามจากผู้ขอสินเชื่อ ว่าได้มีการใช้มาตรการเยียวยาจากธนาคารหรือไม่ เพราะเหตุใด แล้วในปัจจุบันได้กลับมาผ่อนชำระปกติแล้วหรือไม่ โดยธนาคารก็จะซักข้อมูลถึงความจำเป็นที่ต้องพักชำระในช่วงที่ผ่านมา ว่าเกิดจากเหตุใด เช่น โดนลดเงินเดือน, ตกงาน, ขายของไม่ได้ และสถานะปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายแล้วหรือไม่ เพื่อเป็นการให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่าผู้ขอสินเชื่อมีความสามารถในการผ่อนคืนชำระสินเชื่อได้ โดยกรณีที่เป็นพนักงานบริษัทแล้วมีการโดนปรับลดเงินเดือน ธนาคารอาจจะมีการขอดูเอกสารเพื่อเป็นการยืนยันว่าเงินเดือนที่โดนลดไปได้มีการกลับคืนให้แล้วหรือไม่ เพื่อประเมินผู้ขอสินเชื่อ และความมั่นคงของบริษัทที่ผู้ขอสินเชื่อทำงานอยู่ด้วย จากวิธีการเตรียมตัวดังกล่าว เป็นเพียงการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านได้ อย่างไรก็ตาม ในการขอสินเชื่อแต่ละธนาคารเองก็ยังมีวิธีในการประเมินที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ได้ เช่น การพิจารณาหาคนมากู้ร่วม ดังนั้น การพูดคุยสอบถามทางเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่เราไปขอสินเชื่อโดยตรงนั้นก็มีความสำคัญมากที่จะช่วยให้ความกระจ่าง ทั้งในเรื่องการเตรียมตัวและการพิจารณาในการเลือกใช้บริการจากธนาคารที่ต้องการยื่นสินเชื่อ อ้างอิง : การคำนวณรายได้ในการประเมินวงเงินเพื่อขอสินเชื่อโดยประมาณของธนาคาร ธอส. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1522966

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย คืออะไร คุ้มครองอะไรบ้าง?

19/03/2024

เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันนั้นมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หลายคนจึงเริ่มหันมาสนใจเลือกทำ ประกันสุขภาพ ไว้เป็นตัวช่วยในยามเจ็บป่วย ซึ่งประกันแบบเหมาจ่าย จะเป็นตัวช่วยดีๆ ที่ช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถที่จะผ่านวิกฤตค่ารักษาพยาบาลก้อนโตไปได้ และสำหรับผู้ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวช่วยการวางแผนทางการเงิน หรือประกันประเภทนี้อยู่ บทความนี้จะช่วยทำให้คุณรู้จักกับ “ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย” เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมประกันสุขภาพ เหมาจ่าย คืออะไร?ประกันสุขภาพเหมาจ่าย เป็นประกันภัยสุขภาพที่จะให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องของค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันภัย โดยจะคุ้มครองในเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการเจ็บป่วย โรคภัย รวมไปถึงการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งจะมีการกำหนดวงเงินค่ารักษาต่อปีรอบกรมธรรม์ หรือมีการกำหนดวงเงินที่มากเพียงพอในค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง โดยจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในทุกหมวดหมู่ตามที่กรมธรรม์นั้นๆ กำหนดเอาไว้ความคุ้มครองของประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่าย อาจมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยแต่ละแห่ง ซึ่งผู้เอาประกันสามารถที่จะอ่านรายละเอียดความคุ้มครองได้จากเงื่อนไขของประกันภัยที่เลือกซื้อ แต่โดยส่วนมากแล้วความคุ้มครองของประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย มักที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล รวมถึงการดูแลสุขภาพที่จำเป็น ดังต่อไปนี้1. คุ้มครองผู้ป่วยใน หรือ IPD  •  ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะมีความคุ้มครองค่าห้องพัก ในกรณีห้องผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งจะ  •      รวมไปถึงค่าอาหารของผู้ป่วยด้วย ซึ่งบางแผนอาจมีความคุ้มครองกรณีห้องผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มเติม  •  ค่าบริการทางการแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น การตรวจวินิจฉัย, การบำบัดรักษา, การบริการโลหิต, การพยาบาล, ค่าและเวชภัณฑ์ทั่วๆ ไป เป็นต้น  •  ค่าประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์)  •  ค่าหัตถการและค่าผ่าตัด2. คุ้มครองผู้ป่วยนอก หรือ OPD  •  คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ยกตัวอย่างเช่น MRI, CT Scan, การล้างไต, เคมีบำบัด และรังสีบำบัด เป็นต้น  •  คุ้มครองในส่วนของค่ากายภาพบำบัด3. คุ้มครองการรักษาพยาบาล ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  •  ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ให้ความคุ้มครองกรณีที่เกิดการบาดเจ็บทางร่างกาย จากการเกิดอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง  •  ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลนอกอาณาเขตประเทศไทยเฉพาะการบาดเจ็บ หรือการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่สามารถคาดการณ์ได้ระหว่างอยู่ในต่างประเทศจนเป็นเหตุให้ต้องได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล4. คุ้มครองค่าใช้จ่าย ในการฟื้นฟูสุขภาพและร่างกายหลังการเจ็บป่วย  •  บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์สำหรับค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟู ค่าบริการกายภาพบำบัด ค่าบริการกิจกรรมบำบัด ค่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแพทย์ เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือนักกายภาพบำบัด ค่าเครื่องมือและเวชภัณฑ์สำหรับการรักษาต่อเนื่องในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่เกิดขึ้นภายใน ตามที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย หลังออกจากการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งนั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าบริการทางการพยาบาลและจิตวิทยาคลินิกก่อนซื้อประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ต้องพิจารณาจากอะไรถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่าย เหมือนกัน แต่ใช่ว่าประกันภัยทุกกรมธรรม์จะเหมือนกันเสมอไป ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัยสุขภาพ จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขต่างๆ ของกรมธรรม์ เพื่อให้ได้ประกันที่ครอบคลุมมากที่สุด และเพื่อความคุ้มค่าในการซื้อประกัน 3 สิ่งนี้ คือสิ่งที่ควรนำเอาไปพิจารณาเพิ่มเติม  •  ค่าเบี้ยประกัน ยิ่งหากประกันที่เลือกซื้อครอบคลุมเยอะเท่าไหร่ ค่าเบี้ยของประกันจะยิ่งสูงตามขึ้นไปด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำการเลือกซื้อจะต้องคำนวณค่าเบี้ยก่อนว่ากระทบต่อค่าใช้จ่ายระยะยาวหรือไม่  •  ประเมินค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันปัญหาวงเงินไม่เพียงพอต่อการเข้ารับการรักษา แนะนำให้ทำการประเมินค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่คาดว่าจะเข้ารับการรักษายามเจ็บป่วย  •  นำสวัสดิการที่มีมาประเมินร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เป็นพนักงานบริษัทและอาจมีประกันแบบกลุ่มอยู่แล้ว บางครั้งการเจ็บป่วยบางโรคค่ารักษาพยาบาลของประกันกลุ่มอาจไม่เพียงพอ การมองหาประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย จึงอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสรุปบทความถึงแม้ว่าประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จะเป็นรูปแบบของการทำประกันภัยที่มีค่าเบี้ยสูงหากเปรียบเทียบกับประกันภัยประเภทอื่นๆ แต่เชื่อเถอะว่าค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพที่จ่ายในแต่ละปีนั้นถูกมาก หากเทียบกับค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยเพียงแค่ครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคร้ายยิ่งมีค่ารักษาที่สูง ประกันจึงเป็นตัวช่วยดีๆ ที่จะเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากคุณมองหาประกันที่คุ้ม และครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ TIPINSURE คือคำตอบแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/517748

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” สำรวจเงินตราภาคอีสานจากอดีตสู่ปัจจุบัน

29/04/2024

เดินเที่ยว “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ชวนไปสำรวจเงินตราของภาคอีสาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และยังมีโซนจัดแสดงเรื่องราวของเมืองขอนแก่นในยุคปี 2500 ในฐานะเมืองหลวงของภาคอีสานพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่นมาเที่ยวที่ “ขอนแก่น” หลายคนคงจะนึกถึงการมาตระเวนไหว้พระ หรือการไปสำรวจโลกยุคดึกดำบรรพ์กับเหล่าไดโนเสาร์ แต่ยังมีอีกสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาแล้วทั้งได้ความสนุกสนานและความรู้กลับบ้านไปด้วย นั่นก็คือที่ “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น”“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของเมืองขอนแก่น เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเงินตราไทยที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่นอาคารพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เดิมเป็นอาคารสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2511 จนหมดสัญญาเช่าที่ราชพัสดุใน พ.ศ. 2560 กรมธนารักษ์จึงปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเงินตราไทย โดยเฉพาะเงินตราท้องถิ่นของภาคอีสาน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจการค้าและสังคมของจังหวัดขอนแก่นและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยตั้งแต่อดีตกับปัจจุบันมาถึงที่หน้าอาคาร ก็จะสังเกตเห็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในวงกลมขนาดใหญ่ อยู่ที่ด้านบนเหนือบันไดทางเข้าอาคาร ซึ่งนี่ก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาจากตราประทับบนเงินฮ้อย เงินตราท้องถิ่นอีสาน มีลักษณะที่ถูกตีความจากหลายความเชื่อ รวมถึง นาค ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อพื้นถิ่นดั้งเดิมของคนอีสานนิทรรศการเงินตราภาคอีสานการมาชมนิทรรศการที่นี่ จะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ และมีผู้นำชมบรรยายในส่วนต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ โดยที่นี่จะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน คือ นิทรรศการธนารักษ์พัฒนา นิทรรศการเงินตราภาคอีสาน และ นิทรรศการเล่าเรื่องเมืองขอนแก่นในส่วนแรกคือ “นิทรรศการธนารักษ์พัฒนา” บอกเล่าเกี่ยวกับภาคกิจสำคัญของกรมธนารักษ์ และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 6 แห่งต่อมาคือ “นิทรรศการเงินตราภาคอีสาน” ที่เริ่มต้นตั้งแต่การใช้โลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ พาเดินทางย้อนเวลาไปในโลกของเงินตรา ที่เชื่อมโยงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยผ่าน “นาค” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนอีสาน ผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาสมบัติมีค่าในทุกยุคทุกสมัย และ ภูมิปัญญางานโลหกรรม อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของคนอีสานที่สืบทอดกันมายาวนานห้องมรดกภูมิปัญญาไทยใต้ผืนดินอีสานเหรียญในสมัยทวารวดีเริ่มชมกันตั้งแต่ห้องแรกคือ “นาคา ผู้คน และเงินตรา จากตำนานสู่เรื่องราวบนแผ่นดินอีสาน” จากจุดกำเนิดของการค้นพบโลหะสำริดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อกว่าสองพันปีก่อน สืบต่อมายังห้อง “มรดกภูมิปัญญาไทยใต้ผืนดินอีสาน” เรียนรู้เงินตราในสมัยทวารวดี รวมถึงตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีสมัยวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรบนแผ่นดินอีสานสืบต่อมาถึงยุคของอาณาจักรล้านช้าง ที่ห้อง “อาณาจักรล้านช้าง ยุคสมัยของความรุ่งเรืองบนแผ่นดินลุ่มแม่น้ำโขง” เล่าถึงเงินตราท้องถิ่นภาคอีสาน ตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านช้าง มาจนถึงเงินตราในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยในห้องนี้ จะแสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านช้าง มีการค้าขายกับชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เจ้าเมืองคือมีผู้อำนาจผลิตเงินตรา นั่นก็คือ “เงินฮ้อย” และ “เงินลาด” ซึ่งเป็นเงินตราของอาณาจักรล้านช้าง จนเมื่อเข้าสู่ยุคสยามใหม่ ข้าหลวงประจำมณฑลคือตัวแทนของการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางเพื่อให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้มีการนำเหรียญกษาปณ์ออกใช้ และเงินตราท้องถิ่นหมดสิ้นไปห้องอาณาจักรล้านช้าง ยุคสมัยของความรุ่งเรืองบนแผ่นดินลุ่มแม่น้ำโขงเงินฮ้อย เงินลาด ในยุคล้านช้างวิธีการทำเงินจากโลหะในยุคก่อนแผงค้าขายยุคล้านช้างห้องอีสานยุคใหม่ สยามใหม่ สู่ ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้าก้าวเข้ามาสู่ห้อง “อีสานยุคใหม่ สยามใหม่ สู่ ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า” เงินตรามีการพัฒนาการทั้งทางด้านวัสดุ รูปแบบ และเทคนิคการผลิต ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละยุคสมัย โดยที่ห้องนี้จะจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ของไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-๘จากนั้นก็ผ่านโบกี้รถไฟ ตัวแทนแห่งยุคสมัยใหม่ที่มีการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ผ่านเข้ามาสู่ห้อง “อีสาน จากพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองการปกครอง สู่พื้นที่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต” ในห้องนี้จะได้ชมเหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึกในสมัยรัชกาลที่ ๙-๑๐เริ่มพัฒนาการผลิตเหรียญกษาปณ์ของไทยเหรียญกษาปณ์ของไทย สมัยรัชกาลที่ ๗โบกี้รถไฟ ตัวแทนแห่งการค้าขายยุคสมัยใหม่เหรียญกษาปณ์ไทยในยุครัชกาลที่ ๙-๑๐ลองทายว่าในตู้มีเหรียญอยู่กี่เหรียญสัมผัสเงินที่นำมาใช้ทำเหรียญกษาปณ์และส่วนสุดท้าย “นิทรรศการเล่าเรื่องเมืองขอนแก่น” บอกเล่าประวัติศาสตร์ ของเมืองขอนแก่นตั้งแต่ยุค 2500 ซึ่งภาครัฐได้กำหนดให้ ขอนแก่นเป็นเมืองหลวงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ขอนแก่นมีการพัฒนาโดยภาครัฐเป็นอย่างมาก นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและเป็นรากฐานการพัฒนาของเมืองขอนแก่นมาถึงปัจจุบันแบ่งออกเป็น ห้อง “นิราศขอนแก่น” ชมคลิปย้อนอดีตความศิวิไลซ์ของเมืองขอนแก่นในยุค 2500 พร้อมกับฟังนิราศขอนแก่น แต่งโดย โสภัณ สุภธีระ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น ที่เล่าถึงสถานที่ ผู้คน และบรรยากาศในยุคสมัยนั้นนิทรรศการ “เล่าเรื่องเมืองขอนแก่น”ขอนแก่น รากฐานจากยุคเหมืองหลวงอีสาน สู่ปัจจุบันและอนาคตสมาร์ทซิตี้ห้อง “ขอนแก่น รากฐานจากยุคเหมืองหลวงอีสาน สู่ปัจจุบันและอนาคตสมาร์ทซิตี้” บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คนในขอนแก่น ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ มาดูกันว่าขอนแก่นในยุค 2500 หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วในปัจจุบันสถานที่เดิมตรงนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างสุดท้ายคือห้อง “แม่นหยังน้อ สมาร์ทซิตี้” แนวคิดการพัฒนาเมืองในแบบคนขอนแก่น ร่วมกันออกแบบทิศทางของเมืองขอนแก่นในอนาคต ให้ไปสู่สมาร์ทซิตี้ ใครที่อยากให้เมืองขอนแก่นมีอะไรเพิ่มขึ้น มีด้านไหนที่ต้องพัฒนา ก็ร่วมลงมือออกแบบกันได้เลยนอกจากจะมาเดินชมนิทรรศการเพิ่มพูนความรู้และความสนุกสนานกันแล้ว ที่อาคาร “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ก็จะมีโซนจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนที่บริเวณชั้นล่าง มีคาเฟ่เล็กๆ และยังมีกิจกรรมหลากหลายที่หมุนเวียนมาให้ร่มสนุกกันแม่นหยังน้อ สมาร์ทซิตี้“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ตั้งอยู่ที่ถนนกลางเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เปิดให้บริการ วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (ปิดบริการทุกวันจันทร์ วันหยุดเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์)อัตราค่าเข้าชม : บุคคลชาวไทยและชาวต่างชาติ คนละ 50 บาท / เด็กหรือเยาวชนไทย อายุระหว่าง 10-18 ปี คนละ 20 บาทการเข้าชม จะมีเจ้าหน้าที่นำชมเป็นรอบ รอบละ 60 นาที รอบสุดท้ายเวลา 15.00 น.ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ Facebook : พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เว็บไซต์ www.trdmuseumkhonkaen.treasury.go.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000022680

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เขินจะตาย ทำไม "ห้องน้ำในโรงแรม" ใช้ "กระจกใส" ทั้งหมด

19/03/2024

กระจกใสในห้องน้ำของโรงแรมโดยเฉพาะกระจกใสในห้องน้ำของห้องเตียงคู่มักจะทำให้แขกหลายคนที่ไม่ใช่คู่รักรู้สึกเขินอาย แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นในการติดตั้งผนังกระจกใสในห้องน้ำของโรงแรมมีด้วย 4 เหตุผลดังนี้1. ประหยัดต้นทุนการก่อสร้าง เมื่อเปรียบเทียบกับผนังทึบ ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของผนังกระจกคือสามารถประหยัดต้นทุนได้มาก2. เพิ่มเอฟเฟกต์ภาพ พื้นที่ห้องพักทั่วไปมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ด้วยการออกแบบกระจก เอฟเฟกต์ภาพโดยรวมจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก3. ทำความสะอาดและบำรุงรักษาง่าย เมื่อเทียบกับกระเบื้องเซรามิกหรือโครงสร้างอื่นๆ กระจกจะพบคราบง่ายกว่าและยังดูแลง่ายกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังไม่สึกกร่อนง่ายดังนั้นค่าบำรุงรักษาจึงค่อนข้างต่ำ4. เพิ่มแสงสว่างในห้องน้ำ ห้องน้ำมักจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก หากอยู่ในที่ที่ปิดบังสายตาก็จะรู้สึกอึดอัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การออกแบบกระจกสามารถเพิ่มแสงสว่างในห้องน้ำได้ เพื่อให้ผู้คนไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในห้องน้ำแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446983/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X