Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปี 2566 มีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีลูกน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุในอนาคตมีแนวโน้มอยู่ตามลำพัง จะต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น หากเงินออมไม่เพียงพอ หรือไม่มีเงินออม และยิ่งมีหนี้สินต้องชำระ จะเป็นปัญหาใหญ่ในเรื่องรายได้ไม่เพียงพอยังชีพในวัยสูงอายุ ไม่รวมถึงค่ารักษายามเจ็บป่วย ทำให้ต้องทำงานจนกว่าสภาพร่างกายจะไม่ไหว เพราะเงินช่วยเหลือจากสวัสดิการภาครัฐน่าจะไม่เพียงพอ ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่มแรงงานสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เกือบ 90% เป็นกลุ่มแรงงานนอกระบบ เป็นกลุ่มเปราะบางจะต้องมีนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองการทำงานของแรงงานสูงอายุที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ และการสำรวจปี 2564 จากกลุ่มตัวอย่างแรงงานสูงอายุ 60-64 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 418 คน มีประมาณ 1 ใน 5 เป็นแรงงานนอกระบบ เคยมีสถานภาพเป็นแรงงานในระบบมาก่อน ส่วนใหญ่เปลี่ยนสภาพการทำงานตั้งแต่ช่วงอายุ 50-51 ปี โดยสัดส่วนมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 60-61 ปี ได้ชี้ให้เห็นว่าโอกาสการทำงานแบบมีนายจ้าง หรือได้รับการจ้างงานในสถานประกอบการของแรงงานสูงอายุ มีแนวโน้มลดลงตามอายุที่เพิ่มสูงขึ้น แรงงานสูงอายุส่วนหนึ่งจำเป็นต้องปรับตัวออกมาทำงานส่วนตัว โดยเฉพาะการขายของ หรือจำหน่ายสินค้า เช่น ขายอาหาร ขายของชำ ค้าขายทั่วไป ขายของเก่า คิดเป็นสัดส่วน 34.2% รองลงมาทำงานรับจ้างทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น รับจ้างเลี้ยงเด็ก ตัดเย็บเสื้อผ้า ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขับแท็กซี่ ตัดผม ซักรีด ดูแลเลี้ยงเด็ก หรือดูแลผู้ป่วย คิดเป็นสัดส่วน 29.4% ส่วนหนึ่งทำงานเป็นลูกจ้าง เช่น แม่บ้านทำความสะอาด ก่อสร้าง ลูกจ้างในโรงงาน หรือโรงแรม คิดเป็น 22% ส่วนงานฝีมือ งานเครื่องจักร และการประกอบ คิดเป็นสัดส่วน 5% ขณะที่งานบริหารจัดการธุรกิจ ค้าขายกิจการของครอบครัว หรือธุรกิจส่วนตัว คิดเป็นสัดส่วน 3.6% งานระดับผู้จัดการ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ คิดเป็น 2.6% งานด้านการเกษตร 1.7% และอาสาสมัครภาครัฐ 1.4% ซึ่งแรงงานผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคนอกระบบ และส่วนใหญ่ทำงานในพื้นที่บริเวณที่อยู่อาศัยของตัวเอง ผู้สูงอายุแรงงานนอกระบบ ไม่มีหลักประกันคุ้มครอง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังเป็นอีกปัญหาใหญ่ในสังคมไทยที่จะต้องเตรียมรับมือโดยเร็ว เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นสิ่งที่ “รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์” ผู้อํานวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความกังวล เพราะในอนาคต 1 ใน 3 ของคนไทยจะเป็นผู้สูงอายุ และมีจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ต้องทำงานหารายได้เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีหลักประกันทางสังคม จากการทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในระบบ “ผู้สูงอายุบ้านเราไม่มีรายได้เอาไว้ใช้สอย เพราะเป็นแรงงานนอกระบบมายาวนานมาก ทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ ประมาณ 20 ล้านคน ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา และมีหนี้สินอีกต่างหาก หัวละประมาณ 2-3 แสนบาท เยอะมากๆ ต้องทำงานไปใช้หนี้ไป” การแก้ปัญหาต้องปรับเรื่องสวัสดิการสังคม ทำคล้ายๆ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ส่วนใหญ่คนจนก็เป็นผู้สูงอายุมีประมาณ 5-6 ล้านคน ซึ่งการช่วยเหลือไม่ได้ง่ายๆ หากผู้สูงอายุพอมีเงินออมคงพอไปได้ ขณะที่โครงการคนละครึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก เพราะฉะนั้นควรตั้งกองทุนประกันสังคมเพื่อผู้สูงอายุ ในรูปแบบสิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 40 โดยรัฐอุดหนุนจ่ายเงินสมทบให้เฉพาะคนที่จ่ายไม่ได้ ตั้งแต่เป็นวัยทำงาน เพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายในวัยเกษียณ รวมไปถึงระบบสวัสดิการสังคมทุกระบบในบ้านเราล้าหลัง ต้องรื้อใหม่ทั้งหมด และต้องทำคู่ขนานกันไป คนแก่ในเมือง ทำงานแลกค่าจ้างน้อยนิด ดูแลลูกหลาน ปัจจุบันผู้สูงอายุซึ่งเป็นคนเมือง ต้องไปรับจ้างทำงานด้านบริการ เพราะก่อนหน้านั้นช่วงโควิดระบาดก็จนไม่มีรายได้กันไปแล้ว บางคนเมื่อขายของไม่ได้ก็ต้องไปกู้เงินนอกระบบหาเงินมาลงทุน กลายเป็นว่าผู้สูงอายุในเมืองจนดักดานจริง แตกต่างกับผู้สูงอายุในภาคเกษตร เมื่อไม่มีรายได้ก็สามารถเก็บผักมาทำเป็นอาหารได้ โดยช่วงโควิดคนลำบากเป็นจำนวนมาก เมื่อรัฐหยุดช่วยเหลือก็ยิ่งลำบากหนักกันไปใหญ่ ต้องพึ่งเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-700-800 บาทเท่านั้น ถือว่าต่ำกว่าเส้นยากจน มันน้อยมากเหมือนจะให้กินข้าวเปล่ากับน้ำปลา และบ้านคนชราก็ไม่มีให้อยู่ หรือการให้นโยบายว่าแต่ละครอบครัวจะต้องใส่ใจดูแลผู้สูงอายุ แต่เมื่อครอบครัวยากจนไม่สามารถทำได้ สุดท้ายผู้สูงอายุต้องหารายได้ไปเลี้ยงลูกหลาน จากปัญหาการหย่าร้าง และการพัฒนาความเจริญในแต่ละพื้นที่ของภาครัฐก็กระจุกตัว ทำให้ที่ทำงานกับบ้านห่างไกลกันต้องมาทำงานกรุงเทพฯ ปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่เพียงลำพัง “ผู้สูงอายุในเมืองลำบากมากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ 2 พันกว่าแห่งในกรุงเทพฯ ยังไม่รวมครอบครัวชายขอบอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่แย่มาก ก็ต้องไปรับจ้างรายวันหาเงินเลี้ยงลูกหลาน และแรงงานนอกระบบไม่มีเกณฑ์อะไรในการคุ้มครองดูแล ได้ค่าจ้าง 100 หรือ 200 บาท ก็เอา เพราะกฎหมายบังคับไม่ได้ แค่ขอให้มีกินในแต่ละวันก็พอ แต่ค่าครองชีพก็สูงขึ้นมาก ทำให้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก” โรงเตี๊ยมชุมชน 1 อบต. 1 โรงทาน ดูแลผู้สูงอายุ ขณะนี้ผู้สูงอายุมีอายุยืนกันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และกลุ่มเจน y ช่วงต้นๆ เริ่มมีอายุมากขึ้น หรือประชากร 3 คนจะเป็นผู้สูงอายุ 1 คน หากเป็นชนชั้นกลางก็ยังพออยู่ได้ ไม่เป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งการเตรียมพร้อมรับมือควรมีงานให้ทำสร้างรายได้ในละแวกที่อยู่อาศัย จะต้องดูแลแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น เพราะหากรัฐมีภาระมากขึ้น อาจล่มจมเหมือนประเทศเวเนซุเอลา ข้อเสนอในการแก้ปัญหาจะต้องดึงผู้สูงอายุมาร่วมเพิ่มผลผลิตในภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุปสงค์เทียม ในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ชัดเจนกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวให้มากขึ้น และให้คนท่องเที่ยวเมืองรองให้มากขึ้น เพื่อให้เงินกระจายไปในชนบท หรือทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตร แม้ได้มูลค่าไม่สูง แต่ให้ความปลอดภัย ทำให้ผู้สูงอายุในพื้นที่มีรายได้ อย่างชุมชนคุ้งบางกระเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนประสบความสำเร็จ “ถ้ารัฐบาลมีวิชั่น ก็สามารถทำได้ ต้องทำให้ครอบครัวเข้มแข็งมีรายได้ ผ่านวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน มีการรวมตัวทำผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ และมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่คอยให้คำปรึกษา ช่วยเหลือด้านการตลาดออนไลน์ สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทำให้คนในชุมชนมีฐานะที่ดีขึ้น จะได้ช่วยเหลือคนที่ยากลำบากได้ เพราะน้ำใจคนไทยยังมีอยู่ในการช่วยเหลือคนแก่ที่อยู่ตามลำพัง ให้มาช่วยงาน มีเงินให้บ้าง มีการทำโรงเตี๊ยมในชุมชน หรือ 1 อบต. 1 โรงทาน มีที่อยู่ มีอาหารให้กิน และคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ช่วงหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน” ส่วนรายได้ต่อเดือนของผู้สูงอายุที่จะพออยู่ได้ ประมาณ 3 พันกว่าบาท และมีสวัสดิการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคอยดูแลยามเจ็บป่วย หากอาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไม่พออย่างแน่นอน โดยสิ่งสำคัญอยู่ที่การช่วยเหลือของแต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชน ตามหลักการ “ไม่ให้ใครอดอย่างเด็ดขาด” และค่อยๆ สร้างรายได้ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ให้ผู้สูงอายุมีเงินเหลือบ้าง ในการไปทำบุญ หากช่วยตัวเองได้ ก็คงไม่อยากกินของฟรีไปตลอดชีวิต. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2639281
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
“ประกันอุบัติเหตุ” คือเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือเราให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งลักษณะความคุ้มครองที่ประกันอุบัติเหตุมอบให้แก่เรานั้นอาจเรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษา หรือมอบเงินชดเชยให้ในกรณีที่สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตหากดูจากที่เกริ่นมาในตอนต้นอาจทำให้หลายๆ คนเริ่มสนใจในทำประกันอุบัติเหตุมากขึ้น เพราะดูเหมือนว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ในหลายๆ ด้าน แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เพราะใช่ว่าประกันอุบัติเหตุจะคุ้มครองเราไปเสียหมดทุกกรณี วันนี้ noon จะมาเปิดให้หมดว่ามีกรณีไหน หรือข้อยกเว้นอะไรบ้างที่ประกันอุบัติเหตุไม่คุ้มครองเงื่อนไข และข้อยกเว้นพื้นฐานที่ประกันภัยอุบัติเหตุไม่คุ้มครอง1. อุบัติเหตุที่เกิดจากการกระทำของผู้เอาประกันภัยขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (มีแอลกฮอล์ในเลือดตั้งแต่ 150 มิลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) หรือยาเสพติด อาทิเช่น เมาแล้วขับชนต้นไม้2. การฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตาย หรือการทำร้ายร่างกายตนเอง3. การแท้งลูก4. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากสงคราม การปฏิวัติ หรือการก่อกบฏ5. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการจลาจล การนัดหยุดงาน การที่ประชาชนก่อความวุ่นวายลุกฮือต่อต้านรัฐบาล6. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการแผ่รังสีหรือกัมมันตภาพรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ อาวุธนิวเคลียร์7. อุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการเล่นหรือแข่งกีฬาอันตราย เช่น การดำน้ำ การเล่นบันจี้จั๊มพ์ เล่นสกี การแข่งรถ แข่งเรือ แข่งสเก็ต เป็นต้น8. อุบัติเหตุขณะขับขี่ หรือโดยสารรถจักรยานยนต์9. อุบัติเหตุขณะที่โดยสารอยู่ในเครื่องบินที่มิใช่สายการบินพาณิชย์ เช่น เฮลิคอปเตอร์10. อุบัติเหตุขณะที่เข้าร่วมการทะเลาะวิวาท ก่ออาชญากรรม หรือหลบหนีการจับกุม11. อุบัติเหตุขณะที่เข้าปราบปรามหรือปฏิบัติการทางสงครามหากผู้เอาประกันภัยเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครแต่ในบางเงื่อนไข หรือบางข้อยกเว้นก็สามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยเพิ่มเพื่อซื้อ หรือขยายความคุ้มครองได้ ซึ่งมีเพียง 5 กรณีเท่านั้น ได้แก่1. อุบัติเหตุจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์2. อุบัติเหตุการจลาจล การนัดหยุดงาน3. อุบัติเหตุจากการสงคราม4. อุบัติเหตุจากการโดยสารอากาศยานที่มิได้ประกอบการโดยสายการบินพาณิชย์5. อุบัติเหตุจากการเล่นหรือแข่งกีฬาอันตรายสำหรับใครที่กำลังสนใจอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปอ่านได้ที่บทความ “ประกันอุบัติเหตุคืออะไร จำเป็นมากไหมที่ต้องมี” ซึ่งความรู้ และความเข้าใจที่มากพอเกี่ยวกับรายละเอียดของประกันแต่ละประเภทจะช่วยให้เราลดโอกาสเสี่ยงในการทำประกันที่ไม่ตอบโจทย์ และไม่คุ้มค่าลงไปได้อีกหลายเท่าตัว ขอบคุณแหล่งที่มา : bangkoklife.com, oic.or.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/11-exception-pa-not-cover/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
27 กุมภาพันธ์ 2566 : นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า สมาคมประกันชีวิตไทย คาดการณ์ว่าธุรกิจประกันชีวิตจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 612,500 – 623,500 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตระหว่างร้อยละ 0-2 มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ ร้อยละ 81 – 82 ซึ่งการคาดการณ์ในครั้งนี้ก็ยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ GDP ของประเทศที่มีการขยายตัว ร้อยละ 2.7 – 3.7 (ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2566)"ก่อนหน้านี้นานมากแล้วอุตสาหกรรมประกันชีวิต นำตัวเลขของ GDP มาตั้งเป็นธงนำว่าจะมีอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมเป็นสองเท่าของ GDP แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น แบบประกันสะสมทรัพย์ที่เคยเป็นสินค้าหลัก แต่วันนี้ขนาดของจำนวนกรมธรรม์นั้นไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้บริษัทประกันลดจำนวนการขายประกันแบบสะสมทรัพย์ลง เช่นแบบประกันชำระ 2 ปี คุ้มครอง 10 ปี หรือชำระเบี้ย 5,6,7 ปีคุ้มครอง 10 ปีเป็นต้น จึงลดน้อยลงไปโดยปริยาย ส่งผลให้ประกันสะสมทรัพย์ในปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโต -2.3ถึงแม้ว่าประกันสุขภาพจะมีอัตราที่เติบโตมากขึ้นแต่ขนาดเบี้ยประกันก็ไม่สามารถมาทดแทนเบี้ยประกันสะสมทรัพย์ที่หายไปได้ ส่วนแบ่งทางการตลาดนั้นสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง บริษัทประกันต้องคำนึงถึงอายุของกรมธรรม์ในระยะยาวที่บริษัทประกันชีวิตต้องบริหารงานในภาวะผลตอบแทนน้อยมากๆ การขายเบี้ยใหม่เข้ามาสำคัญ แต่ต้องขายในแบบประกันที่มูลค่าตลอดสัญญาสอดคล้องกับการบริหารจัดการลงทุนด้วย ซึ่งความต้องการด้านประกันสุขภาพของคนไทยตอบโจทย์ด้านมิติของมูลค่าเบี้ยประกัน ถึงแม้ขนาดเบี้ยจะเล็ก บริษัทประกันต้องบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้ได้ ภายใต้ความพึงพอใจของลูกค้า" นายสาระ กล่าวส่วนทิศทางผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้น ภาคธุรกิจมองว่าผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่จะได้รับความนิยมและมีศักยภาพในการเติบโตสูง คือ ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และมีการบริการหลังการขายที่ครบวงจร (ทั้งระบบ online และ offline) เช่น telemedicine บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน (SOS) ฯลฯ โดยได้เชื่อมต่อกับระบบของโรงพยาบาลทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบทุกความต้องการและทุกกลุ่มเป้าหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Universal Life และ Unit Linked) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นภายใต้ระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ รวมถึงได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วยอย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตาม สถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) แต่ที่ผ่านมาภาคธุรกิจได้เตรียมความพร้อมในการปรับพอร์ตทั้งในส่วนของการลงทุนและ Product mix และทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตฐานกฎหมายสากล เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังนั้น สมาคมประกันชีวิตไทย จึงมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน เช่น การส่งเสริมให้มีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ผลักดันกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์แบบอัตโนมัติ รวมถึงการผ่อนคลายการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมสนับสนุนการพัฒนากระบวนการขายให้ครบถ้วนทุกช่องทาง สนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างครอบคลุม เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยบริหารต้นทุนในระยะยาวอีกทั้ง การสร้างองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนถึงการป้องกันและรู้เท่าทันเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างองค์ความรู้เพื่อป้องกันภัยจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี ซึ่งจะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย รวมถึงการดำเนินงานเชิงรุกในการขอปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เป็นปัจจุบัน ผลักดันระบบการจัดสอบความรู้ระบบออกใบอนุญาตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้บริษัทสมาชิกและบุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ขณะเดียวกัน ทางด้าน นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเสริมว่า ทิศทางการลงทุนในยุคนี้บอกได้ว่า ใครมือยาวสาวได้สาวเอา คาดเดาได้ลำบาก เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบสำคัญคือ ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเคลนมีผลกระทบกับทั่วโลกอย่างรุนแรง ซึ่งแรกๆ หลายคนบอกไกลตัวแต่ที่ไหนได้หลายเรื่องเช่น ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นและมีผลกระทบอย่างทั่วถึงทั่วโลกดังนั้น การลงทุนยุคนี้ท้าทายอย่างมาก คงจะมุ่งเน้นลงทุนกับสิ่งที่รู้จัก หากต่างชาติเขาแนะนำให้ไปลงที่ไม่รู้จักจะไม่ลงทุน เช่น คริปโต ก็ปิดไปแล้ว เป็นต้น ซึ่งการลงทุนมีความเสี่ยง ฉะนั้นธุรกิจประกันชีวิตเมื่อนำเงินของผู้เอาประกันมาบริหารจัดการยิ่งต้องระวังความเสี่ยงมากกว่าเงินส่วนตัวของเราอีกนายสาระ กล่าวต่อไปถึง ภาพรวมผลงานของธุรกิจประกันชีวิตปี 2565 ระหว่าง มกราคม - ธันวาคม มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 611,374 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 0.45 เมื่อเทียบกับ ปี 2564 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 169,878 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 0.49 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 441,496 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 0.43 โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 82สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 105,192 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.422.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 64,686 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 14.27จำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 325,227 ล้านบาท อัตราการเติบโตร้อยละ 1.43 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.202. การขายผ่านช่องทางธนาคาร มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 235,788 ล้านบาทอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 3.39 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.573. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 26,516 ล้านบาท อัตราการเติบโตร้อยละ 8.63 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.344. การขายผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 13,981 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 2.04 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.295. การขายผ่านช่องทางดิจิทัล มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,738 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 29.11 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.286. การขายผ่านช่องทางอื่น เช่น การขาย Worksite, การขายผ่านการออกบูธ, การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,124 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 13.44 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.33สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมในปี 2565 คือ สัญญาเพิ่มเติม (Riders) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคุ้มครองสุขภาพและโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง 103,635 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.85 หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.95 มาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงการดูแลและวางแผนเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทั้งยังสามารถเปรียบเทียบข้อมูลและเลือกแบบประกันได้ตรงตามความต้องการด้วยความสะดวกรวดเร็ว และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) สามารถเติบโตได้ดีด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม 15,741 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.72 หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.57แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=142100
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
โรคมะเร็ง เป็นโรคร้ายแรงและมีผลกระทบต่อประชากรหลายล้านคนทั่วโลก จากข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สูงที่สุดของไทย โดยในปี 2564 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 83,795 ราย หรือคิดเป็นชั่วโมงละเกือบ 10 คนนอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ป่วยและคนใกล้ชิด หรือการเสียชีวิตแล้ว โรคมะเร็งยังส่งผลกระทบต่อด้านการเงินอย่างมาก ทั้งค่ารักษาพยาบาลโดยตรง ค่าใช้จ่ายทางอ้อม และการเสียโอกาสในการสร้างรายได้ซึ่งปัจจุบันแนวทางการรับมือกับโรคมะเร็งที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาหายขาด ทำได้ไม่ยุ่งยาก และค่าใช้จ่ายต่ำกว่าคือการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เนื่องจากเมื่อตรวจพบโรคมะเร็งได้เร็ว การรักษามักจะได้ผลดีมากขึ้น และโอกาสการกลายเป็นมะเร็งระยะลุกลามลดลงนายแพทย์เพชร สมบูรณ์กุลวุฒิ ผู้บริหารศูนย์บริการการแพทย์ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA ได้ให้คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ไว้อย่างน่าสนใจว่า“การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งด้วยวิธีต่าง ๆ จะขึ้นกับชนิดของมะเร็งที่ต้องการคัดกรอง นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น อายุ เพศ ประวัติครอบครัว ความเสี่ยง และความจำเป็นตามมาตรฐานทางการแพทย์ ดังนั้นจึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เมื่อต้องการตรวจ หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ”นอกจากนี้ยังได้ให้ข้อมูลและคำแนะนำ สำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งที่พบบ่อยมีดังนี้1. มะเร็งลำไส้ใหญ่ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือมีอาการผิดปกติ หรือหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้แนะนำให้ตรวจเร็วขึ้น เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ทุก 5 ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงนอกจากนี้ ยังสามารถตรวจคัดกรองโดยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonoscopy) หรือการตรวจอุจจาระหาเลือดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (Fecal Occult Blood Test) ได้เช่นกัน ขึ้นการความเหมาะสม2. มะเร็งเต้านม การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแนะนำให้ตรวจด้วยหลายวิธีร่วมกันดังนี้ 1.การตรวจเต้านมด้วยตนเอง แนะนำให้ผู้หญิงตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 1 เดือน 2.การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไป พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมอย่างน้อยทุก 3 ปี ส่วนสตรีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปให้ตรวจทุกปีและ 3.การตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม (Mammogram) แนะนำให้ตรวจเป็นประจำในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัว มีบุตรช้า ประจำเดือนมาเร็ว หรือใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมน แนะนำให้ตรวจเร็วขึ้น3. มะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากสามารถทำได้โดยการตรวจวัดระดับสารพีเอสเอ (PSA) ในเลือด ซึ่งแนะนำให้ผู้ชายอายุ 50 – 70 ปี หรือมีอาการผิดปกติ ตรวจเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ตรวจทางทวารหนัก (Digital rectal examination: DRE) ร่วมด้วยซึ่งช่วยให้การตรวจคัดกรองมีประสิทธิภาพมากขึ้นปัจจุบันยังมีการคัดกรองโรคมะเร็งวิธีอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจ PAP Smear หรือการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในกลุ่มผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดโดยการตรวจ Low-Dose CT เป็นต้น ทั้งนี้ การเลือกตรวจคัดกรองแต่ละวิธีอาจขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาในการเลือกตรวจคัดกรองตามมาตรฐาน ความจำเป็นทางการแพทย์ และความเหมาะสมของแต่ละบุคคลแม้ว่าการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งบางวิธีมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับการรักษาโรคมะเร็งแล้ว พบว่าการรักษาโรคมะเร็งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย ได้แก่ ชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และ แนวทางการรักษา เป็นต้นในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการผ่าตัด และการให้ยาเคมีบำบัด อาจมีค่ารักษาสูงกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งอาจกระทบกับความมั่นคงทางการเงินของผู้ป่วยและครอบครัว ดังนั้น การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งจึงมีส่วนช่วยให้ตรวจพบโรคได้ในระยะเริ่มแรก และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ตาม แม้การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งยังไม่สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่สามารถจัดการความเสี่ยงด้านการเงินที่เกิดจากโรคมะเร็งได้โดยกรุงเทพประกันชีวิตเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มประกันโรคร้ายแรง ซึ่งมีหลายรูปแบบ หลายความคุ้มครอง ตามความต้องการของผู้เอาประกัน ซึ่งเมื่อตรวจพบโรคมะเร็งแม้จะพบจากการตรวจคัดกรองก็ตาม ก็สามารถรับความคุ้มครองได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ที่กำหนด ช่วยผู้ป่วยและคนใกล้ชิดสามารถมุ่งมั่นกับกระบวนการรักษาได้อย่างเต็มที่ และประกันโรคร้ายแรงช่วยบรรเทาผลกระทบด้านการเงินผลิตภัณฑ์ล่าสุดในกลุ่มของประกันโรคร้ายแรง ที่กรุงเทพประกันชีวิตได้พัฒนาขึ้นมีชื่อว่า “แฮปปี้ ซีไอ” ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภค เน้นความคุ้มครองที่มอบผลประโยชน์คุ้มค่า ครอบคลุมโรคร้ายแรงที่พบมากที่สุด 6 กลุ่มโรค อาทิ กลุ่มโรคมะเร็งและเนื้องอก หัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดสมองและระบบประสาท ไต การติดเชื้ออย่างรุนแรง และยังรวมไปถึงกลุ่มโรคผู้สูงอายุที่พบมากได้แก่ โรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน รวมทั้งหมด 14 โรคร้ายแรง ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะได้รับความสบายใจจากความคุ้มครองนี้ยาวถึงอายุ 99 ปี ด้วยเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดสัญญา ไม่เพิ่มตามอายุ และยังสามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยได้ทั้งแบบ 20 ปี หรือถึงอายุ 99 ปีนอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงระหว่างสัญญา หรือมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญาก็รับเงินก้อน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง แฮปปี้ ซีไอ สะสมตามจริง แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่าดังนั้นโดยสรุปแล้ว นอกเหนือจากการรับมือกับโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการหมั่นดูแลตรวจสอบสุขภาพร่างกายของเราโดยมีการตรวจคัดกรองโรงมะเร็งเพื่อให้พบความผิดปกติเร็วขึ้นและช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้นแล้ว การวางแผนด้านการเงิน ด้วยการมีแผนประกันความคุ้มครองที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทางด้านการเงิน จะสามารถช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ เพื่อการมีชีวิตที่มั่นคงและยืนยาวได้อย่างมีคุณภาพแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1206963
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
ประกันภัยสุขภาพ แบบมีความผิดส่วนแรก ‘Deductible’ และมีส่วนร่วมจ่าย ‘Co-payment’ สองฟีเจอร์ยอดฮิตที่ต้องระวังก่อนทำวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ต้องยอมรับว่าปัจจุบันประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในแบบประกันที่ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นต้นมา เพราะนอกจากประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน (นอนโรงพยาบาลมากกว่า 6 ชั่วโมง) จากอาการเจ็บป่วยจาก Covid-19 แล้ว ยังให้ความคุ้มครองครอบคลุมการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากโรคอื่น ๆ อีกด้วยอย่างไรก็ตาม ข้อกังวลใจสำคัญของผู้ซื้อหลาย ๆ คน ก็คือเรื่องของเบี้ยประกันภัยที่ต้องมีการชำระทุกปี หรือการมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากประกันกลุ่มของบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่แล้ว ก็เลยทำให้ความสนใจในประกันสุขภาพลดน้อยถอยลงไป และหากจะกลับมาสนใจในการทำประกันสุขภาพอีกครั้ง ก็จะเป็นช่วงเวลาที่อาจจะไม่ได้รับสวัสดิการประกันกลุ่มจากบริษัทแล้ว หรือเมื่อป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้ว ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ก็อาจจะสายเกินไปที่จะมาซื้อประกันสุขภาพก็ได้บริษัทประกันหลาย ๆ บริษัท จึงได้ออกฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ซื้อที่มีความหลากหลายเช่นกัน โดยเฉพาะฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน คือความรับผิดส่วนแรก ‘Deductible’ และมีส่วนร่วมจ่าย ‘Co-payment’ ซึ่งจะช่วยทำให้การตัดสินใจของผู้ซื้อประกันสุขภาพง่ายขึ้น แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องระวัง มิฉะนั้นอาจจะทำให้ผู้ซื้อเสียประโยชน์ไปได้วันนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘Deductible’ และ ‘Co-payment’ กันให้มากขึ้นเริ่มต้นจาก ‘Deductible’ หรือ ความรับผิดชอบส่วนแรก ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบด้วยตนเองจนครบ ก่อนที่จะเคลมส่วนเกินจากบริษัทประกัน โดยความรับผิดชอบส่วนแรกนี้ ทางบริษัทประกันอาจจะมีการกำหนดที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแบบประกัน และบริษัทประกันข้อดีของประกันสุขภาพที่มี Deductible ให้เลือกคือ ผู้เอาประกันภัยสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยได้ 20-30% ของเบี้ยประกันภัยปกติ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีประกันสุขภาพ หรือมีสวัสดิการประกันสุขภาพกลุ่มอยู่แล้ว เพราะความรับผิดชอบส่วนแรกนี้ สามารถใช้ประกันสุขภาพเดิมของตนเองหรือประกันสุขภาพกลุ่มมาจ่ายได้ ทำให้ไม่ต้องจ่ายด้วยตนเองตัวอย่างความรับผิดชอบส่วนแรกที่พบคือ “ความรับผิดชอบส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนรับผิดชอบทุกครั้ง” กล่าวคือ ประกันสุขภาพแบบนี้จะมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเท่าไรในแต่ละครั้งก่อนที่จะนำค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินมาเคลมบริษัทประกัน เช่น กำหนดค่ารับผิดชอบส่วนแรกไว้ที่ 30,000 บาท หากผู้เอาประกันภัยมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อครั้ง ผู้เอาประกันภัยจะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดแต่หากมีค่าใช้จ่ายเกิน 30,000 บาท ภายหลังจากการจ่ายค่ารักษา 30,000 บาทแรกด้วยตนเองแล้ว ก็สามารถนำส่วนที่เกิน 30,000 บาท มาเคลมค่ารักษากับบริษัทประกันได้ (ผู้เอาประกันภัยสามารถใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพเดิมของตนเองหรือประกันสุขภาพกลุ่มมาจ่ายความรับผิดชอบส่วนแรกได้) แสดงว่า หากค่ารักษาพยาบาลในครั้งนั้น ๆ ไม่ถึง 30,000 บาท ก็จะไม่สามารถเคลมบริษัทประกันได้อย่างแน่นอนนอกจากนี้ ยังมี “ความรับผิดชอบส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนรับผิดชอบเป็นรายปี” กล่าวคือ ประกันสุขภาพแบบนี้จะมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเท่าไรต่อปีก่อนที่จะนำค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินมาเคลมบริษัทประกัน เช่น กำหนดค่ารับผิดชอบส่วนแรกไว้ที่ 50,000 บาทต่อปี ดังนั้นผู้เอาประกันภัยจะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองตั้งแต่บาทแรกจนครบจำนวนที่เงื่อนไขกำหนดไว้ที่ 50,000 บาท โดยนับทุกการรักษาของการเป็นผู้ป่วยใน และเมื่อใดที่มีค่าใช้จ่ายเกิน 50,000 บาทต่อปีแล้ว ก็สามารถนำส่วนที่เกิน 50,000 บาท มาเคลมค่ารักษากับบริษัทประกันได้ (ผู้เอาประกันภัยสามารถใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพเดิมของตนเองหรือประกันสุขภาพกลุ่มมาจ่ายความรับผิดชอบส่วนแรกได้) แสดงว่าหากค่ารักษาพยาบาลในปีนั้น ๆ ไม่ถึง 50,000 บาท ก็จะไม่สามารถเคลมบริษัทประกันได้อย่างแน่นอนมาดูที่ ‘Co-payment’ กันต่อ ลักษณะการทำงานของ Co-payment จะเป็นการมีส่วนร่วมในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้ง โดยมีการกำหนดสัดส่วนความรับผิดชอบเอาไว้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกันแต่ละแบบ และลักษณะ Co-payment ที่ผู้เอาประกันภัยได้เลือกเอาไว้เช่น ผู้เอาประกันภัยเลือก Co-payment 20% หมายความว่า ทุกการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมา ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนร่วมในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล 20% ขณะที่บริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีก 80% ที่เหลือหรือ หากผู้เอาประกันภัยเลือก Co-payment 80% หมายความว่า ทุกการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมา ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนร่วมในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล 80% ขณะที่บริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีก 20% ที่เหลือ เป็นต้นข้อดีของ Co-payment ก็คือ ผู้เอาประกันภัยสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยได้ตามจำนวน Co-payment ที่ตนเองได้เลือกเอาไว้ เช่น หากเลือก Co-payment 20% ก็สามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยไปได้ 20% เช่นกัน หรือหากเลือก Co-payment 80% ก็สามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยไปได้ 80% เช่นกันซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีประกันสุขภาพ หรือมีสวัสดิการประกันสุขภาพกลุ่มอยู่แล้ว ทั้งนี้ผู้เอาประกันสามารถใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพเดิมของตนเองหรือประกันสุขภาพกลุ่มมาจ่ายความรับผิดชอบร่วมในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบได้จะเห็นได้ว่าทั้ง ‘Deductible’ และ ‘Co-payment’ เป็นฟีเจอร์ของประกันสุขภาพที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตที่ผู้เอาประกันภัยต้องระวัง คือ ลักษณะของ ‘Deductible’ และ ‘Co-payment’ นั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำเป็นประกันสุขภาพฉบับแรก และประกันฉบับเดียวของผู้เอาประกันภัย เพราะจะสร้างภาระด้านความรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นให้ผู้เอาประกันภัยเรียกได้ว่า จ่ายทั้งเบี้ยประกัน จ่ายทั้งค่ารักษา ไม่ได้ช่วยประหยัดเงินได้เลย และอีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือหากต้องการยกเลิก ‘Deductible’ และ ‘Co-payment’ เพื่อมาใช้ประกันสุขภาพแบบ Full coverage (ให้บริษัทประกันรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องมีส่วนร่วมในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล) ผู้เอาประกันภัยจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนที่จะได้รับความคุ้มครองอีกด้วยซึ่งหากมีประวัติสุขภาพก็อาจจะไม่สามารถทำประกันสุขภาพแบบ Full Coverage ได้ ดังนั้นผู้เอาประกันภัยต้องตัดสินใจให้ดีว่า ‘Deductible’ และ ‘Co-payment’ เหมาะสมกับเราจริง ๆ หรือไม่ แล้วเรามีแผนสำรองในกรณีที่ไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นแบบ Full Coverage แล้วหรือไม่ซึ่งหากไม่มีแผนสำรอง และก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องประหยัดค่าเบี้ยประกันภัย ก็ขอแนะนำให้เลือกซื้อแบบ Full Coverage ไปเลยตั้งแต่แรกดีกว่าบทความโดย โกเมศ สุพลภัค นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1208876
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี)ด้วยภาวะการแข่งขันที่สูงในปัจจุบันส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตแข่งกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ทำให้หลาย ๆ ครั้งผู้บริโภคสับสนว่าเวลาจะเลือกซื้อประกันชีวิตให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรจะพิจารณาอย่างไรผมจึงอยากแนะนำวิธีการพิจารณาเลือกซื้อแบบการประกันชีวิต เพื่อให้ผู้ซื้อได้ประโยชน์สูงสุดควรพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ข้อ ดังต่อไปนี้1. ตรวจเช็กสุขภาพทางการเงินของตนเองก่อน ว่ามีทุนประกันอยู่เพียงพอที่จะให้คนข้างหลังได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่เดือดร้อนทางการเงินได้นานกี่เดือนหรือกี่ปี2. มองหาแบบประกันที่ตรงกับช่วงจังหวะชีวิตของตนเอง เพราะแต่ละวัยย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน โดยให้มองถึงระยะเวลาของความคุ้มครองด้วย รวมถึงระยะเวลาในการชำระเบี้ย อีกทั้งให้วางแผนล่วงหน้าว่าแบบประกันชีวิตนี้สามารถเลือกซื้อสัญญาเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง3. ต้องการการันตีมากน้อยแค่ไหน เพราะปัจจุบันมีให้เลือกตั้งแต่แบบประกันทั่วไป (ที่บริษัทประกันภัยรับความเสี่ยงไว้เอง) แบบประกันยูนิเวอร์ซอลไลฟ์ (ที่บริษัทประกันภัยคอยประกาศจ่ายให้ Crediting rate เป็นระยะ) หรือแบบประกันยูนิตลิงก์ (ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนเองทั้งหมด) เป็นต้นทั้งนี้ ประชาชนไม่ควรใช้อัตราผลตอบแทน (IRR) มาใช้ในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว เนื่องจากแบบประกันชีวิตแต่ละแบบมีส่วนผสมของความคุ้มครองที่ไม่เหมือนกัน เวลาที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นจะคำนึงถึงสัดส่วนของการสะสมทรัพย์ กับความคุ้มครองชีวิตเป็นหลัก เช่น เบี้ยประกันชีวิต 100 บาทที่ได้รับมานั้นสำหรับแบบประกันชีวิตของบริษัทหนึ่งอาจจะเป็นการสะสมทรัพย์ 80 บาท และความคุ้มครองชีวิต 20 บาทส่วนสำหรับของอีกบริษัทหนึ่งอาจจะเป็นการสะสมทรัพย์ 70 บาท และความคุ้มครองชีวิต 30 บาท การที่ดูอัตราผลตอบแทน (IRR) เพียงอย่างเดียว จะบอกได้แค่ผลตอบแทนในส่วนของการสะสมทรัพย์เท่านั้น อีกทั้งผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตบางแบบอาจจะมีส่วนผสมของเบี้ยประกันภัยในส่วนของการสะสมทรัพย์เพียงแค่ 10 บาท และเบี้ยประกันภัยสำหรับความคุ้มครองชีวิตถึง 90 บาทก็เป็นได้ด้วยสัดส่วนที่แตกต่างกันเหล่านี้ จึงทำให้นำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตต่างแบบมาเปรียบเทียบกันด้วย IRR อย่างเดียวไม่ได้ หรืออาจเทียบให้เห็นภาพเช่นเดียวกับกาแฟ ที่มีวิธีการปรุงหลายแบบ อาทิ ลาเต้ มอคค่า คาปูชิโน่ เอสเพรสโซ่ ต่างก็มีส่วนผสมของเนื้อกาแฟและนมที่แตกต่างกัน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ากาแฟที่ปรุงแบบไหนดีกว่ากันนอกจากนี้ เงินสดคืนของแต่ละแบบประกันชีวิตก็มีไม่เหมือนกัน บางแบบจ่ายก่อน บางแบบจ่ายหลัง บางแบบให้ฝากคืนกลับบริษัทได้ แต่บางแบบฝากคืนกลับไม่ได้ การคำนวณอัตราผลตอบแทน (IRR) นั้น มีข้อจำกัดตรงที่เป็นวิธีการที่สมมุติว่าเงินสดคืนนั้นสามารถฝากกลับกับบริษัทได้ด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงแบบ IRRดังนั้นการคำนวณอัตราผลตอบแทน (IRR) มาใช้เปรียบเทียบจึงเป็นการพยายามเอาแอปเปิลมาเปรียบเทียบกับส้ม ประชาชนไม่ควรลืมว่า การซื้อประกันชีวิตคือการสะสมทรัพย์ที่มีความคุ้มครองไปด้วย บ่อยนักที่เราจะเห็นแบบประกันชีวิตที่มีอัตราผลตอบแทน (IRR) สูง แต่ให้ประโยชน์กับผู้เอาประกันภัยบางกลุ่มสู้แบบประกันชีวิตที่มีอัตราผลตอบแทน (IRR) รองลงมาแต่มีทุนความคุ้มครองชีวิตที่คุ้มค่ากว่าไม่ได้ดังนั้น ในการเลือกซื้อประกันชีวิต ต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เพราะทุกคนมีความเสี่ยง มีความต้องการ มีความมุ่งหวังที่แตกต่างกัน การวางแผนทางการเงินจึงอาจแตกต่างกัน และทุกแบบประกันชีวิตก็มีส่วนผสมที่ออกแบบมาเพื่อให้ลงตัวในแบบของมันเองแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชิธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1207288
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
การวางแผนทางการเงิน เปรียบเสมือนการวางแผนอนาคต ความจริงไม่ว่าจะวัยไหนก็ควรวางแผนการเงิน โดยเฉพาะในวัยเด็ก การปลูกฝังให้เด็กรู้จักการวางแผนทางการเงินแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ในอนาคตเด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่รู้จักบริหารจัดการตนเองได้ และอาจกลายเป็นเถ้าแก่น้อย ตั้งแต่อายุยังไม่มากได้เลยทีเดียว 1. วัยเด็ก วัยเด็กเป็นวัยที่ควรปลูกฝังให้มีนิสัยการใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล การสอนให้เด็กรู้จักวางแผนทางการเงินแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เด็กรู้จักค่าของเงิน เป็นพื้นฐานที่จะส่งผลที่ดีต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต กลายเป็นผู้ที่รู้จักบริหารจัดการตนเองได้ และอาจเป็นเถ้าแก่น้อย ตั้งแต่อายุยังไม่มากได้เลยทีเดียว 2. วัยทำงาน วัยทำงานเป็นวัยที่เริ่มมีเงินใช้เป็นของตนเอง และมีโอกาสตามกระแสสังคมมาก ส่งผลให้หลายคนเกิดปัญหาการใช้เงินเกินตัว และก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมามากมาย ดังนั้นหากไม่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี ก็อาจจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตเลยก็ว่าได้ 3. วัยสร้างครอบครัว ในช่วงวัยของการสร้างครอบครัว เป็นวัยที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง เนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูแล จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวางแผนทางการเงินอย่างรัดกุม ให้เพียงพอต่อรายจ่ายประจำในแต่ละเดือน 4. วัยเกษียณ ในวัยเกษียณแม้จะมีภาระทางการเงินที่น้อยลงแล้ว แต่ยังมีความจำเป็นต่อทำการวางแผนทางการเงินอยู่ เพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นภาระของลูกหลาน เนื่องจากคนวัยนี้ส่วนใหญ่จะมีรายรับน้อยลง แต่รายจ่ายในด้านการดูแล รักษาสุขภาพกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด การวางแผนทางการเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพราะนอกจากจะมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินแล้ว คุณยังอุ่นใจได้อีกว่า ตนจะไม่กลายเป็นภาระของผู้ใด และยังมีเงินเก็บสำรองสำหรับคนที่คุณรักไว้ใช้ในอนาคตต่อไปอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsme https://www.smartsme.co.th/content/249414
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เตรียมตัวให้พร้อม!! เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาทดแทนสิ่งเก่า ๆ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น อาจมีบาง ‘อาชีพ’ ที่อาจจะหายไป เพราะระบบ AI เข้ามาทำงานแทนได้ เป็นเรื่องจับตามองที่เทคโนโลยีต่างๆ เมื่อระบบ AI เข้ามาช่วยพัฒนาชีวิตมนุษย์ให้ดีขึ้น อย่าง ChatGPT ที่ไม่เพียงสร้างความแปลกใหม่ แต่มีประโยชน์หลายประการ และยังมาเสริมประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ บางอาชีพอาจตกเป็นอันตราย เสี่ยงในการตกงานหรือว่างงาน เพราะเทคโนโลยีนั้นสามารถทำแทนได้ และนี่คือตัวอย่าง 10 อาชีพ ที่มีโอกาสที่เทคโนโลยี AI จะเข้ามาทำงานแทนที่ได้ 1. งานสายการศึกษา ครูหรืองานเกี่ยวกับการสอน เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวว่าโรงเรียนในนิวยอร์ก ได้แบนการใช้งานของ ChatGPT บนเครือข่ายและอุปกรณ์ต่าง ๆ หลังมีนักเรียนนำมาใช้ช่วยทำการบ้าน สะท้อนให้เห็นว่าระบบ AI เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับภาคการศึกษา 2. งานเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และข้อมูลต่าง ๆ เช่น โปรแกรมเมอร์, วิศวกรซอฟต์แวร์, นักวิเคราะห์ข้อมูล, นักพัฒนาเว็บไซต์ ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน อาชีพเหล่านี้ยังคงเป็นที่ต้องการในหลายองค์กรก็ตาม แต่ในอนาคต เมื่อ AI พัฒนามากขึ้น ก็อาจเข้ามาทำงานแทนกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ล่าสุด เกิดกระแสความฮือฮา เมื่อ ChatGPT สัมภาษณ์ผ่านฉลุย และจะถูกจ้างในตำแหน่ง “วิศวกรซอฟต์แวร์ ระดับ 3” ของ Google ได้งานค่าจ้างเดือนละกว่า 5 แสนบาท 3. งานด้านกฎหมาย โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดี รวบรวมและหาหลักฐานสนับสนุนในการว่าความ 4. งานสายการเงิน นักวิเคราะห์การเงิน, ที่ปรึกษาทางการเงิน เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ในปัจจุบัน เริ่มใช้ระบบ AI ในการเก็บข้อมูลกันอย่างแพร่หลายแล้ว อย่างไรก็ดี ถึงแม้ AI ที่กำลังพัฒนาจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่ช่วยเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า อำนาจในการตัดสินใจทางการเงินและเศรษฐกิจที่สำคัญ ก็จะยังเป็นของมนุษย์อย่างแน่นอน 5. งานเกี่ยวพันกับการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เพื่อทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ หรือนักเทรดหุ้นนี้ มีโอกาสที่จะโดน AI เข้ามาแทนที่ เพราะการทำงานที่มีระบบ และรูปแบบค่อนข้างตายตัว โดยอาศัยข้อมูลและการคาดการณ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI เชี่ยวชาญอีกด้วย 6. งาน graphic design ,สถาปัตยกรรม หรือด้านอื่นๆ ของการออกแบบ โดยวงการนี้ก็สะเทือนตั้งแต่มีแอพพลิเคชัน ‘Canva’ ออกมาให้ใช้งานกันแล้ว ยิ่งในตอนนี้มีการพัฒนา AI ที่วาดภาพได้หลากหลาย เพียงป้อนคำสั่งกำหนดเนื้อหาและสไตล์เข้าไป กลับถูกใจลูกค้าที่ชอบความง่ายและรวดเร็ว ส่งให้โอกาสสร้างรายได้ของอาชีพนี้ก็ยิ่งน้อยลง 7. งานสื่อมวลชนและโฆษณา โดยเฉพาะการสร้างคอนเทนต์ด้วยงานเขียน ซึ่งได้มีหลายองค์กรเริ่มมีการทดลองใช้ ChatGPT สร้างงานเขียนออกมา 8. งานการผลิตและเภสัชกรรม เมื่อกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ผลิตในปัจจุบันได้รับการใช้เครื่องจักรแล้ว AI ก็สามารถจัดการด้านการปฏิบัติงานได้ดีเช่นกันไม่แพ้มนุษย์ แม้แต่ในห้องปฏิบัติการเภสัชกรรมหุ่นยนต์สามารถทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างการทดลองต่าง ๆ ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่หุ่นยนต์จะสามารถทำแทนนักวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ 9. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย เริ่มมีให้เราเห็นขึ้นเยอะ สามารถตรวจสอบได้ละเอียดและแม่นยำ มีโอกาส 84% ที่ AI จะเข้ามาแทนที่ทั้งหมด 10. งานบริการลูกค้า ซึ่งในตอนนี้บริษัทส่วนใหญ่ก็ใช้เทคโนโลยี AI ทำงานแทนมนุษย์กัน เพราะมองว่าฝ่ายบริการลูกค้าที่ทำงานโดยมนุษย์ อาจมีอารมณ์หรือบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป การตอบคำถามหรือพูดคุยอาจมีความผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ตำแหน่งนี้ได้ถูกแทนที่ไปบ้างแล้วด้วยแชทบอท ที่รองรับการหาข้อมูลจำนวนมากโดยไม่จำกัดอีกด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะมาทดแทนการทำงานของมนุษย์ เพราะ ยังมีกิจกรรม อาชีพอีกมากมายที่ยังคงต้องใช้มนุษย์ในการสร้างสรรค์และควบคุมอยู่ เพียงแต่นำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบร่วมให้สามารถทำได้ดี แน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราก็คงต้องปรับตัวตามกันให้ทันแล้ว เพราะดูเหมือนระบบ AI นี้ จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์ https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_7521954
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เปิดกระบวนการฟอกเงินสีเทาให้เป็นสีขาว ทั้งกลุ่มยาเสพติด พนันออนไลน์ ค้ามนุษย์ คอร์รัปชัน ล้วนแต่ใช้วิธีเดียวกัน ‘ผศ.ดร.สุพัตรา แผนวิชิต’ อาจารย์นิติศาสตร์ มสธ. แจง ‘15 รูปแบบ’ การฟอกขาว บางอย่างเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน รวมทั้งมีการแสวงหาผู้ถูกรางวัลที่ 1 เพื่อใช้เงินสีเทาซื้อสลากฯ กลายเป็นเงินถูกกฎหมายได้ทันที ขณะเดียวกัน การใช้บ่อนกาสิโนฟอกเงิน ทำได้ง่ายๆ ระบุเทคโนโลยีทำให้แก๊งมิจฉาชีพพัฒนารูปแบบ ส่งผลให้หน่วยงานรัฐยากต่อการตรวจสอบ ทั้งบัญชีม้า สกุลดิจิทัล มั่นใจกฎหมายไทยตามไล่หลัง แต่เอาผิดได้แน่! กระบวนการฟอกเงินสีเทาๆ ให้กลายเป็นเม็ดเงินสีขาวได้โดยง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เงินดังกล่าวมีที่มาจากการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ การคอร์รัปชัน และการประกอบธุรกิจสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ปัจจุบันกระบวนการฟอกเงินได้มีการเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการฟอกเงินไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จนทำให้เกิดความซับซ้อนยากต่อการตรวจสอบและติดตามร่องรอยทางการเงิน เนื่องจากมีขบวนการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติไปแล้ว อย่างไรก็ดี หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ปปง. ป.ป.ช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ ก็ได้ผนึกกำลังความร่วมมือเพื่อปราบปราม จับกุม ยึดทรัพย์บรรดาผู้กระทำผิดดังกล่าว ซึ่งปรากฏเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญเงินสีเทาๆ เหล่านี้ บางรูปแบบก็ผ่านกระบวนการฟอกเงินที่เราอาจคาดไม่ถึง! ผศ.ดร.สุพัตรา แผนวิชิต อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระบุว่า การฟอกเงินคือการนำเงินที่ผิดกฎหมายมาผ่านกระบวนการแปรสภาพทรัพย์สิน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การฉ้อโกงประชาชน แชร์ลูกโซ่ การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ เป็นต้น โดยกระบวนการฟอกเงินจะมีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงิน เพื่อซุกซ่อนทรัพย์สิน ปกปิดความเป็นเจ้าของที่แท้จริง ปกปิดแหล่งที่มาที่ผิดกฎหมาย และเป็นกระบวนการที่ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะดำเนินการผ่าน 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. การนำทรัพย์เข้าสู่ระบบ เป็นกระบวนการขั้นแรกในวงจรการซักฟอกเงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด โดยมีการจัดการเงินสดจำนวนมหาศาลที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย โดยเคลื่อนเงินสดจากสถานที่สามารถถูกตรวจสอบได้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าพนักงาน และจะเปลี่ยนสถานะจากเงินเป็นทรัพย์สิน หรือสินทรัพย์ เช่น การนำเงินสดฝากเข้าธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยอาจผสมกันกับเงินหรือผลกำไรที่ได้จากธุรกิจถูกกฎหมาย การนำเงินสดออกนอกประเทศ การใช้เงินสดซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจ หรือในบางกรณีตามที่สังคมจะได้ยินข่าวว่ามีคนที่เกี่ยวข้องกับเงินดังกล่าว เอาเงินสดไปซุกซ่อนไว้ในบ้าน หรือแอบซ่อนใส่ตู้เซฟ สำหรับวิธีการเอาเงินสดเก็บไว้ในบ้านคือการฟอกเงินประเภทหนึ่งแม้ว่าจะไม่ได้แปรสภาพจากเงินตัวเดิมก็ตาม 2. การทับซ้อนธุรกรรม เป็นขั้นตอนที่อาชญากรพยายามที่จะซ่อนเร้นหรือเปลี่ยนแปลงที่มาของความเป็นเจ้าของเงินสกปรก จะกระทำโดยการคิดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการกระทำธุรกรรมทางการเงิน โดยที่จะหลบเลี่ยงการตรวจสอบและไม่ถูกบ่งชี้ตัวบุคคล เพื่อที่จะตัดความสัมพันธ์ของเงินสกปรกจากแหล่งที่มาอันผิดกฎหมาย โดยเจตนาทำธุรกรรมที่ซับซ้อนเพื่อมิให้ถูกตรวจสอบที่มาและเจ้าของเงิน วิธีการเช่น การโอนเงินไปบริษัทในต่างประเทศ หรือบริษัทบังหน้าที่ก่อตั้งอย่างถูกกฎหมายแต่ก่อตั้งมาจากทุนที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย การนำทรัพย์สิน หรืออสังหาริมทรัพย์ที่นำเงินสกปรกไปซื้อมาขายเลหลังหรือขายต่ออีกทอดหรือหลายๆ ทอด เช่น นำเงินที่ผิดกฎหมายไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ นำเงินไปซื้อทองคำ จากนั้นนำทองคำไปขาย เมื่อขายทองคำเสร็จนำเงินไปซื้อรถหรู ซื้อรถหรูเสร็จ นำไปซื้อหุ้นในตลาดหรือทำอย่างอื่นต่อ เพื่อให้มีความซับซ้อนในการทำธุรกรรมหลายๆ ชั้น เพื่อจะทำให้การติดตามเส้นทางการเงินได้ลำบาก 3. การปนทรัพย์ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ เป็นขั้นตอนที่เงินถูกทำให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินอย่างถูกกฎหมาย รวมไปถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้จากการกระทำความผิดก็เข้าสู่ระบบอย่างถูกกฎหมายด้วย เช่น การโอนเงินผ่านระบบที่ซับซ้อน (ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ) ซึ่งทำให้การแกะรอยทางการเงินไม่สามารถกระทำได้ หรือกระทำได้อย่างยากยิ่ง การแสดงรายได้ที่ถูกฎหมาย ซึ่งมาจากการขายธุรกิจ หรือสินทรัพย์ของธุรกิจที่ใช้เงินสกปรกซื้อ ‘ผศ.ดร.สุพัตรา แผนวิชิต’ อาจารย์นิติศาสตร์ มสธ. ผศ.ดร.สุพัตรา บอกว่า จากการศึกษาและติดตาม พบว่า รูปแบบการฟอกเงินจากในอดีตที่ผ่านมากับปัจจุบันมีความแตกต่างกันตรงที่ในยุคนี้จะมีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำธุรกรรม เช่น ระบบการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เช่น การใช้เงินสกุลดิจิทัล โดยนำเงินที่ได้จากการทำความผิดไปซื้อเงินดิจิทัลสกุลต่างๆ พวก Cryptocurrency แล้วก็ไปแลกเปลี่ยนกันใน ตลาด Crypto ซึ่งจะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการโอนเงินไปที่ไหน อย่างไร เพราะว่าไม่สามารถตรวจสอบที่มาของเงิน รวมทั้งไม่สามารถระบุตัวตนความเป็นเจ้าของเงินสกุลดิจิทัลได้ “การซื้อขายยาเสพติดอาจจะเป็นการใช้ตัว Cryptocurrency ในการซื้อขาย ทำให้เกิดความยากในการตรวจสอบ เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทลายแก๊งยาเสพติด แก๊งพนันออนไลน์ แก๊งค้ามนุษย์ สุดท้ายเราจะได้เงินสด รถหรู บ้าน แต่พวกเงินดิจิทัลจะไม่ปรากฏ เพราะไม่สามารถเข้าดูได้ มันจะมีรหัส private key ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจมีอยู่จำนวนมากๆ ก็ได้” “ที่สำคัญมิจฉาชีพอาจใช้บัญชีกระเป๋า Crypto Cryptocurrency ซึ่งไม่ได้เปิดใช้บริการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. แต่ใช้ตัวกลางในต่างประเทศเป็นช่องทางในการซื้อขาย เมื่อไม่ได้ผ่านตัวกลางที่ถูกกำกับดูแลภายใต้กฎหมายไทย จึงเป็นการยากในการตรวจสอบและติดตาม สืบสวนสอบสวนผู้กระทำความผิด” ส่วนรูปแบบการฟอกเงินที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังดำเนินการอยู่มีทั้งหมด 15 รูปแบบ 1. จะมีการนำเงินดังกล่าวไปฝากไว้ที่สถาบันการเงินต่างๆ รวมไปถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ที่มีการตั้งขึ้นมา 2. การนำเงินไปซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถหรู ทองคำ เพชรพลอย เป็นต้น ซึ่งวิธีการนี้ยังดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง 3. การฟอกเงินผ่านการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร 4. การแลกเปลี่ยนหรือซื้อเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือเอาเงินสดติดตัวออกนอกประเทศ 5. การขนเงินสดผ่านแดน/ทางเรือ/ทางบก 6. การนำเงินไปฟอกผ่านการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยการเอาเงินสีเทาไปจ่ายเบี้ยประกัน สุดท้ายจะได้เงินปันผลซึ่งเป็นผลประโยชน์กลับมา และถ้าจ่ายครบตามสัญญาก็จะได้เงินก้อนกลับมา เงินที่มาจากกรมธรรม์ จะดูเหมือนว่าเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย 7. การนำเงินไปฟอกผ่านการถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยไปขอซื้อรางวัลที่ 1 หรือรางวัลอื่นจำนวนมากๆ จากคนที่ถูกรางวัล จากนั้นนำไปขึ้นเงินจากสำนักงานสลากฯ โดยอาจจะให้คนอื่นมาขึ้นแทนก็ได้ และเงินที่ได้รับมานั้นย่อมจะมีที่ไปที่มาชัดเจน ส่วนจะหาคนที่ถูกรางวัลได้ที่ไหนเพื่อจะไปซื้อรางวัลจากเขานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจะเห็นมีการตั้งโต๊ะรับซื้อรางวัลตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งคนที่ฟอกเงินจะรู้และเสาะแสวงหาได้ 8. การนำเงินไปฟอกเงินผ่านการประกันวินาศภัย โดยประกันทรัพย์สินที่มีราคาสูงแล้วทำลายทรัพย์สินที่ทำประกัน 9. การฟอกเงินผ่านบ่อนกาสิโนที่ถูกกฎหมายในต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกาสิโนที่ถูกกฎหมาย แต่ในต่างประเทศมีกาสิโนถูกกฎหมาย จึงมีการนำเงินไปฟอกด้วยการเอาเงินไปเล่นในกาสิโน และการที่เราได้เงินมาจากกาสิโนที่ถูกกฎหมายจากต่างประเทศจะเป็นที่มาอันหนึ่งว่า เงินนี้ได้มาจากกาสิโนที่ไปเล่นมา “วิธีการไม่มีอะไรซับซ้อน คือ การนำเงินที่ผิดกฎหมายไปเล่น ได้เงินมาเท่าไหร่ก็จะมีที่มาว่าได้เงินมาจากการเล่นในกาสิโนที่ถูกกฎหมาย คือการนำเงินสดที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมายไปแลกชิปกาสิโน พอเข้าไปเล่นการพนันแล้ว ได้เท่าไหร่ก็จะมีหลักฐานการจ่ายเงินจากกาสิโน และพอโดนอายัดทรัพย์สิน เวลาที่แจ้งจะบอกว่าเงินจำนวนดังกล่าวมีที่มาจากการเล่นกาสิโน โดยใช้ประกอบกับหลักฐานในหนังสือเดินทาง ก็บอกว่าไปเล่นที่นี่มา ที่เป็นกาสิโน มีที่แลกเงินตรงนี้ ในกรณีดังกล่าวจะต้องมีการพิสูจน์ตั้งแต่ต้นทางว่าเงินที่ไปแลกมาเป็นเงินที่มีที่มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” 10. การฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล bitcoin cryptocurrency เพื่อซื้อสินค้าและบริการ 11. การนำเงินไปฟอกเงินโดยผ่านการซื้อบัตรเงินสด (e-money) คือการเอาเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้อบัตรเงินสดในรูปแบบต่างๆ เช่น บัตรทางด่วน บัตรกำนัลซื้อของ บัตรที่มีมูลค่าในตัวเอง และใช้เงินไปตามมูลค่าบัตรนั้น ก็เป็นการฟอกเงินไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน 12. การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) เพื่อปกปิดร่องรอย ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการ e-payment จะต้องรายงานธุรกรรมต่างๆ ไปที่สำนักงาน ปปง. 13. การนำเงินไปฟอกผ่านบัญชีม้า ซึ่งถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดต่างๆ ทั้งความผิดเกี่ยวกับการพนัน ฉ้อโกง ยาเสพติด ในอดีตพบว่ากลุ่มที่มีการนำบัญชีม้าไปใช้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด กลุ่มวงการพนัน รวมทั้งกลุ่มนอมินีที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินแทนผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง ปัจจุบันการติดตามทรัพย์สินมีปัญหาเรื่องบัญชีม้าซึ่งสร้างความยากลำบากมากในการติดตามทรัพย์สิน และดำเนินคดี 14. การจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินกิจการบังหน้า แต่เบื้องหลังคือการฟอกเงิน 15. การใช้ระบบโพยก๊วนหรือธนาคารใต้ดิน เพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบ โดยจะทำผ่านร้านการแลกเปลี่ยนเงิน ผ่านวิธีการเครดิต เดบิตเงิน โดยไม่มีการนำเงินออกมา ไม่มีการนำเงินข้ามประเทศจริงๆ อย่างบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเรา คือจะมีการถือคำสั่งโอนเงินให้สาขาประเทศนั้นปล่อยเงินไปให้คนในบัญชีที่ระบุไว้ ซึ่งสาเหตุที่เราต้องมีโพยก๊วน เพราะว่าไม่ต้องการแสดงตัวตนในการโอนเงิน และหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการโอนเงิน ผศ.ดร.สุพัตรา กล่าวทิ้งทายว่า การฟอกเงินผ่านสถาบันการเงิน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ระบบของหน่วยงานรัฐจะสามารถเชื่อมโยง ทำให้สามารถตรวจสอบและดำเนินคดีได้ แต่สิ่งที่ตรวจสอบยากจะเกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีม้า การโอนเงินใต้ดิน การแลกเปลี่ยนเงิน และพวกเงินดิจิทัลทั้งหลาย ซึ่ง ปปง.และหน่วยงานรัฐต่างๆ ได้มีการแก้กฎหมายที่จะสามารถดำเนินคดีต่อคนที่เกี่ยวข้องได้ แม้ว่าจะทำงานไล่ตามหลังพวกแก๊งมิจฉาชีพก็ตาม! แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/specialscoop/detail/9660000015549
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องแก้ให้ตรงจุด เพื่อให้ครัวเรือนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกในหลายแนวทางโดยเฉพาะหนี้เรื้อรังของกลุ่มเปราะบาง ในกลุ่มคนอายุมากและมีปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง รวมถึงการออกเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายหนี้ และผลักดันให้มีกฎหมายที่ช่วยให้ลูกหนี้รายย่อยทั่วไปที่ไปต่อไม่ไหว ได้เข้ากระบวนการฟื้นฟู หรือขอล้มละลายด้วยตนเอง ทุกอย่างมีที่มาที่ไปว่าทำไมคนไทยถึงเป็นหนี้มากมายขนาดนี้ ส่วนหนึ่งมีจากพฤติกรรมติดหรูชอบความสบายใช้เงินเกินตัว และคนวัยทำงานอายุ 25-29 ปี ส่วนใหญ่มากกว่า 58% เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบตั้งแต่ทำงานได้เพียงปีเดียว ใช้บัตรเครดิตนำไปใช้จ่าย กินเที่ยวจนเต็มวงเงินภายในไม่ถึง 1 ปี ต้องจ่ายหนี้ขั้นต่ำจนหนี้พอกพูน สุดท้ายกลายเป็นหนี้เสีย ความน่ากลัวของการเป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคล พบว่าเกือบ 30% มีหนี้เกิน 4 บัญชีต่อคน วงเงินรวมสูงกว่าเงินเดือนหรือรายได้มากถึง 10-25 เท่า ทำให้แต่ละเดือนมีภาระจ่ายหนี้เกินครึ่งของรายได้ จนเงินไม่พอใช้ จึงไม่แปลกที่ครัวเรือนไทยกว่า 62% มีเงินออมไม่เพียงพอไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และการผ่อนชำระขั้นต่ำมายาวนาน ทำให้คนอายุเกิน 60 ปี ยังต้องมีภาระหนี้ต้องผ่อนชำระ เป็นหนี้เฉลี่ยสูงกว่า 415,000 บาทต่อคน เมื่อเกินความสามารถในการชำระหนี้ หรือถึงทางตันในการผ่อนชำระก็ต้องยอมให้ถูกฟ้อง ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด แต่ก็ยังปลดหนี้ไม่ได้ จนกลายเป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น เพราะหากไม่มีการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน คาดว่าหนี้ครัวเรือนจะสูงกว่า 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับเฝ้าระวัง อาจฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ และสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินได้. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2630783
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
11/02/2025
30/04/2024
30/04/2024
31/07/2024
29/02/2024