Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
23/06/2025
คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก “อุดม แต้พานิช” ในฐานะนักแสดงเดี่ยวไมโครโฟนอันดับต้นของประเทศ ที่ใช้คำพูดสร้างเสียงหัวเราะผ่านทัศนคติส่วนตัวมานานหลาย ทศวรรษ แต่เบื้องหลังม่านนั้นยังมีอีกด้านที่เงียบกว่า, ลึกกว่า และจริงจังยิ่งกว่า “เทรนดี้ แกลเลอรี่” พาไปเปิดจักรวาล “Lost in DOMLAND” นิทรรศการที่จะพาก้าวเข้าสู่ดินแดนลับๆของ “น้าดม” ซึ่งความอึกทึกของวัยเด็กและความเงียบงันของใจผู้ใหญ่ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเมียดละไม ผ่านสีสัน, พื้นผิว และจินตนาการนิทรรศการ “Lost in DOM LAND” คือประตูบานเล็กๆที่อนุญาตให้เข้าไปสู่โลกภายในของ “อุดม แต้พานิช” งานศิลปะนับ 1,000 ชิ้น ที่ปรากฏในนิทรรศการนี้ มิได้ถูกสร้างเพื่ออธิบายอะไร แต่ทำขึ้นเพื่อเข้าไปอยู่กับความ รู้สึกที่บางครั้งก็ไม่มีคำอธิบายใดจำแนกได้ เขาแค่ทำงานศิลปะสม่ำเสมอ ต่อเนื่องยืนระยะมากว่า 30 ปี ทำในวันปกติธรรมดาที่ไม่มีใครดู ไม่มีใครเห็น ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีเวที ไม่มีสปอตไลต์ ไม่มีบทพูด เหมือนคนเขียนบันทึกประจำวัน โดยไม่หวังให้ใครมาอ่าน แต่เขาก็ยังเขียน มันเป็นวิธีเดียวที่ทำให้รู้ว่ายังรู้สึกการทำงานศิลปะเหล่านี้ไม่ใช่การสร้างผลงาน มันคือการหายใจอีกแบบ เป็นการเยียวยา ในวันที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็นเพื่อนสนิทที่สามารถแชร์เรื่องราวในส่วนลึกของจิตใจ เป็นการเล่นในวันที่โลกจริงอาจจะหนักเกินไป นี่ไม่ใช่การหลบหนี เดินทางออกไปข้างนอก แต่เป็นการเดินทางเข้าไปในความคิดคำนึง ความทรงจำ หรือความเวิ้งว้างของตัวเอง บางวันมันคือสมุดบันทึก บางวันมันคือสนามเด็กเล่น และหลายวันมันเป็นถ้ำหลบภัยเล็กๆ ที่เขาไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจ ไม่จำเป็นต้องตลก ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไรการเดินทางในจักรวาล “Lost in DOMLAND” เริ่มต้นจาก “น้าดม” ประติมากรรมสูง 6 เมตร ที่ยืนต้อนรับอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยลูกโป่งนับร้อย ชวนให้นึกถึงวัยเด็ก ที่ทั้งคึกคักและอ่อนโยน จากนั้นเข้าสู่ห้องสเกตช์ที่เต็มไปด้วยภาพร่างนับพันแผ่น กระจายจากพื้นจรดเพดาน เหมือนเดินเข้าไปในหัวของศิลปิน เห็นกระบวน การคิด จินตนาการ และเสียงเล็กๆก่อนจะก้าวสู่ห้องผลงานที่เสมือนห้องแห่งกาลเวลา เรียงร้อยผลงานตลอด 3 ทศวรรษของ “อุดม แต้พานิช” เมื่อความรู้สึกถูกแปรเป็นรูปทรง จึงก่อเกิดเป็น “สัตว์ประหลาดบนสายพาน” ประติมากรรมเหล็กที่เคลื่อนตัวช้าๆออกจากอุโมงค์ราวกับมาจากอีกมิติ เลื่อนผ่านหน้าผู้ชมอย่างเงียบงัน อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือ ห้องประติมากรรมไฟเบอร์ขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาหน้าตาประหลาดพิกลพิการจำนวนมหาศาล จากเวทีเดี่ยว 13 ครั้งนี้ไม่ได้แอบอยู่ฉากหลัง แต่มาโผล่ให้เราสบตา ทบทวน และค้นพบว่าในความไม่สมบูรณ์แบบของพวกเขา ก็คือเงาสะท้อนของเราเองเชื่อมต่อกันคือห้องที่เปรียบเสมือน “มอนสเตอร์โชว์” นำเสนอผลงานด้วยแท่นหมุนคล้ายในงานมอเตอร์โชว์ เป็นการโชว์นวัตกรรมทางความรู้สึก รอบข้างคือ “ไม้ปิงปอง” ที่เปิดให้ผู้ชมโต้ตอบกับงานศิลปะได้อย่างสนุก ถัดไปเป็น ห้อง Kaleidoscope ซึ่ง “Dom Dog” ตัวแทนความรู้สึกของการเป็นอันเดอร์ด็อก ถูกตีความใหม่ในโลกของแสงสะท้อนและภาพซ้อนซ้ำ เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ราวกับจะถามว่าเราจะยืนอยู่อย่างไรในโลกยุคใหม่นี้ พลาดไม่ได้คือ “เทพทำใจ” ประติมากรรมหัวกล้วยสูง 3 เมตรอันโด่งดัง ที่ไม่ได้มีไว้ขอพร แต่เตือนสติว่าชีวิตเป็นของเรา จะเลือกให้มันซับซ้อน หรือปล่อยให้มันง่าย? ยังมีสารคดีบทสนทนา 20 นาที ระหว่าง “อุดม” กับ “นิ้วกลม-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์” ที่จะเปิดมุมมองใหม่ให้เข้าใจอุดมลึกซึ้งกว่าเคย แถมท้ายด้วย “ห้องพรมสีชมพูละมุน” และห้องจัดแสดงภาพวาดขนาด 4×9 เมตร ที่ศิลปินตั้งใจกระโดดลงไปเล่นบนผืนผ้าใบขนาดยักษ์ปลุกความเป็นเด็กให้คึกคักอีกครั้ง กับนิทรรศการ “Lost in DOMLAND” ณ The Pinnacle Hall ชั้น 8 ไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้ ถึง 3 ส.ค.2568 ซื้อบัตรเข้าชมที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขา หรือ www.allticket.com/event/lostindomlandแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรับออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/2865647
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
23/06/2025
หากใครกำลังมองหาสถานที่ที่ผสมผสานความสงบเงียบ ความงามทางประวัติศาสตร์ และธรรมชาติอันร่มรื่นใจกลางกรุงโตเกียว ศาลเจ้าเนซุ (Nezu Shrine) คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด ด้วยอายุเก่าแก่กว่า 1,900 ปี ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อุโมงค์เสาโทริอิสีแดงสด และบรรยากาศที่เงียบสงบซึ่งหาได้ยากในมหานครอันวุ่นวาย“ศาลเจ้าเนซุ” ตั้งอยู่ใจกลางเขตบุงเกียวของโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นหลักฐานแห่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าและความงามตามธรรมชาติของญี่ปุ่นศาลเจ้าชินโตแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,900 ปีเป็นสถานที่พักผ่อนที่เงียบสงบสำหรับผู้มาเยือนจากชีวิตในเมืองที่พลุกพล่าน ศาลเจ้าเนซุมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม สวนอะซาเลียที่สดใส และประตูโทริอิสีแดงสดมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา ศาลเจ้าเนซุเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว ผสมผสานความสำคัญทางประวัติศาสตร์เข้ากับสุนทรียศาสตร์ที่น่าทึ่งได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับทั้งผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และผู้ที่รักธรรมชาติเรื่องราวของศาลเจ้าเนซุเต็มไปด้วยตำนานและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตามตำนาน ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนโดยนักบวชในตำนาน ยามาโตะ ทาเครุ โนะ มิโกโตะ เดิมทีศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในเซ็นดากิ ทางเหนือของที่ตั้งปัจจุบัน และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับซูซาโนะโนะ มิโกโตะ เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและพายุของศาสนาชินโตศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นอย่างมากในช่วงยุคเอโดะ ในปี ค.ศ. 1705 โทกูงาวะ สึนะโยชิ โชกุนลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์โทกูงาวะได้ย้ายศาลเจ้าไปที่เมืองเนซุ การย้ายครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการรับอิเอโนบุเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง การย้ายครั้งนี้ทำให้สถานะของศาลเจ้าสูงขึ้น โดยโทกูงาวะ อิเอโนบุ ได้เลือกศาลเจ้าแห่งนี้เป็นเทพผู้พิทักษ์ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของศาลเจ้าเนซุขยายออกไปไกลกว่ายุคโทกูงาวะ เมื่อจักรพรรดิเมจิย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปยังโตเกียวในปี 1868 พระองค์ได้ส่งทูตไปยังศาลเจ้าเนซุเพื่อขอพรจากเทพเจ้า การกระทำนี้ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของศาลเจ้าในช่วงเปลี่ยนผ่านของญี่ปุ่นสู่ยุคสมัยใหม่นอกจากนี้ศาลเจ้าเนซุสามารถต้านทานภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโตเกียวมาหลายศตวรรษได้อย่างไม่น่าเชื่อ ศาลเจ้าแห่งนี้รอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คันโตในปี 1923 และการทิ้งระเบิดเพลิงในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยยังคงรักษาโครงสร้างดั้งเดิมของยุคเอโดะเอาไว้ได้ ความทนทานนี้ทำให้ศาลเจ้าเนซุเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ในโตเกียวที่ผู้เยี่ยมชมสามารถสัมผัสกับสถาปัตยกรรมและบรรยากาศของยุคเอโดะที่แท้จริงศาลเจ้าเนซุมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมที่งดงาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบกงเงนสึคุริ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการก่อสร้างศาลเจ้าในสมัยเอโดะรูปแบบนี้ซึ่งพบเห็นได้ในศาลเจ้าโทโชกุอันเลื่องชื่อในนิกโก้ เช่นกัน มีลักษณะโดดเด่นที่รายละเอียดที่ประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงและผสานเข้ากับธรรมชาติโดยรอบได้อย่างกลมกลืนศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับ งานแต่งงานแบบญี่ปุ่นโดยคู่รักจะขอพรให้ชีวิตคู่ของพวกเขาผ่านพิธีกรรมชินโตแบบดั้งเดิม พิธีกรรมเหล่านี้ซึ่งมีพิธีกรรมโบราณและเครื่องแต่งกายสีสันสดใส จะทำให้สัมผัสได้ถึงประเพณีวัฒนธรรมอันล้ำค่าของญี่ปุ่นไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนศาลเจ้าเนซุคือ อุโมงค์เสาโทริอิสีแดงสด ที่ทอดยาวเป็นทางเดินไปสู่ศาลเจ้าย่อยด้านบน การเดินผ่านอุโมงค์เสาโทริอิที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบนี้มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเป็นเอกลักษณ์ ราวกับได้ก้าวเข้าสู่อีกมิติหนึ่งที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และพลังงานที่สงบเงียบ เป็นจุดยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพที่ระลึกที่สวยงามอีกด้วยนอกจากนี้ศาลเจ้าเนซุมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่อง สวนดอกอาซาเลีย ที่งดงาม โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม สวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกอาซาเลียหลากสีสันบานสะพรั่งกว่า 3,000 ต้น สร้างภาพทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด หากคุณมาเยือนโตเกียวในช่วงเวลานี้ การได้มาชมเทศกาลดอกอาซาเลียที่ศาลเจ้าเนซุถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งนอกเหนือจากการเดินชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามและอุโมงค์เสาโทริอิแล้ว ศาลเจ้าเนซุยังมีกิจกรรมและจุดที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น การขอพรและเขียนแผ่นป้ายเอมะ (Ema) เช่นเดียวกับศาลเจ้าญี่ปุ่นทั่วไป สามารถเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นไม้เอมะ แล้วนำไปแขวนไว้ในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ เชื่อกันว่าคำอธิษฐานของคุณจะถูกส่งไปถึงเทพเจ้าส่วนใครที่ชื่นชอบในเรื่องของเครื่องรางนำโชค (Omamori) ที่ศาลเจ้ามีร้านค้าเล็กๆ ที่จำหน่ายเครื่องรางนำโชคหลากหลายแบบ แต่ละแบบมีความหมายแตกต่างกัน เช่น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง การเรียน การงาน หรือความรัก ลองเลือกซื้อเป็นของที่ระลึกหรือเพื่อความเป็นสิริมงคลแม้ว่าศาลเจ้าเนซุจะเป็นที่รู้จักในเรื่องของความเก่าแก่และเทศกาลดอกอาซาเลียอันงดงาม แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้คนนิยมมาขอพรในเรื่องความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาความสัมพันธ์ที่ดี หรืออยากให้ความรักที่มีอยู่มั่นคงและยืนยาวภายในบริเวณศาลเจ้ามีบ่อน้ำขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟสีสันสดใสว่ายวนไปมา เป็นจุดที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลายหลังจากเดินชมศาลเจ้าจนเหนื่อยแล้ว สามารถแวะพักผ่อนและเติมพลังในย่านเนซุซึ่งมีร้านอาหารและคาเฟ่น่ารักๆ ซ่อนตัวอยู่มากมาย โดยเฉพาะร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หรือคาเฟ่ที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ เหมาะสำหรับการนั่งจิบกาแฟและสัมผัสบรรยากาศท้องถิ่นที่เงียบสงบศาลเจ้าเนซุตั้งอยู่ในย่านบุนเกียวของโตเกียว สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟใต้ดิน โดยลงที่สถานี Nezu (สาย Chiyoda), สถานี Todaimae (สาย Namboku) หรือสถานี Sendagi (สาย Chiyoda) จากนั้นเดินต่ออีกไม่กี่นาทีศาลเจ้าเนซุเป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเหมือนโอเอซิสแห่งความสงบที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณและความงามของญี่ปุ่นโบราณ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ หรือเพียงแค่มองหาสถานที่พักผ่อนจากความวุ่นวายในเมือง ศาลเจ้าแห่งนี้จะมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้คุณอย่างแน่นอนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000058895
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
18/06/2025
โดย : ราชันย์ ตันติจินดาเก็บเงินหรือลงทุนเพื่อสะสมเป็นความมั่งคั่ง หรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต ใครๆ ก็อยากทำและเชื่อว่าหลายคนเองก็กำลังทำอยู่ แต่ถ้าเก็บแล้วให้ดูดี มีคลาส ด้วยจำนวนเงินที่เก็บเท่าเดิมหรือไม่ต้องเก็บมากจนเกินความสามารถตนเองก็ทำได้ไม่ยาก ด้วย 3 Step เก็บเงินให้ชีวิตดูดีแบบติดแกลม1. ลงทุนแบบ Dollar-Cost AveragingDollar-Cost Averaging หรือเรียกสั้นๆ ว่า DCA คำศัพท์การลงทุนที่คุ้นหูหลายคน พอใครมาถามว่าทุกวันนี้เก็บอย่างไร หรือมีโอกาสได้แชร์หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ แค่พูดว่า “ทุกวันนี้ DCA กองทุน xxx ทุกเดือนอยู่” แค่นี้ก็ดูดีในสายตาคนฟังแล้ว ไม่ว่ากองทุน xxx ที่ว่าจะเป็นกองทุนอะไร ใช่กองทุนที่น่าลงทุนหรือไม่ก็ตามการลงทุน DCA กองทุนใดๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะ Application ของธนาคารหรือ บลจ. แทบทุกที่ มีฟังก์ชั่นนี้ให้เลือกใช้ เพียงแค่แต่ละที่อาจใช้ชื่อฟังก์ชั่นต่างกัน เช่น DCA, ลงทุนต่อเนื่อง, แผนลงทุนอัตโนมัติ ฯลฯ โดยเป็นการระบุจำนวนเงินและวันที่ ที่จะลงทุนทุกๆ เดือน โดยหักจากบัญชีเงินฝาก หรือบัตรเครดิต (กรณีกองทุนลดหย่อนภาษี)การลงทุนแบบ DCA ถือเป็นการสร้างวินัยการเก็บเงินทุกเดือน เพื่อสะสมไว้เป็นเงินเก็บและความมั่งคั่งในอนาคต ไม่ว่ากองทุนที่ว่าจะเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มูลค่าไม่ค่อยผันผวน โอกาสน้อยมากที่จะขาดทุนเกิน 1-6 เดือน อย่างกองทุนตลาดเงิน แต่ผลตอบแทนมักสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป รวมไปถึงกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่าง กองทุนผสม กองทุนหุ้น ฯลฯ ด้วย อีกทั้งหากเป็นกองทุนความเสี่ยงปานกลาง-สูง อย่างกองทุนผสม กองทุนหุ้น ฯลฯ ยังเป็นการเฉลี่ยต้นทุน และช่วยตัดอารมณ์หรือความวิตกกังวลในการลงทุนแต่ละครั้งลง2. ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีกองทุนลดหย่อนภาษี อย่างกองทุน Thai ESG และกองทุน RMF ผู้ที่ลงทุนควรเป็นคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีเท่านั้น โดยต้องถือและลงทุนระยะยาวตามเงื่อนไข ดังนั้นถ้าบอกใครว่าตนเองมีลงทุนในกองทุน Thai ESG หรือ RMF อยู่ มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีรายได้สูง จนต้องมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษี และเป็นคนมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย เพราะสามารถแบ่งเงินไปลงทุนระยะยาวในกองทุน Thai ESG หรือ RMF ได้สำหรับคนที่รายได้และฐานภาษีต่ำ เช่น 5%-10% อาจคิดว่าการลงทุนในกองทุน Thai ESG หรือ RMF ที่ต้องถือหน่วยลงทุน 5 ปี หรือลงทุนต่อเนื่องจนถึงายุ 55 ปี ตามลำดับ ไม่คุ้มกับเงินภาษีที่ได้คืน แต่หากมองว่าเงินส่วนนี้คือการเก็บเงินหรือลงทุน และเงินส่วนนี้ตั้งใจลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว โดยผลตอบแทนขึ้นกับสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป ส่วนเงินคืนภาษีเป็นเพียงผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ดังนั้นแม้ว่าฐานภาษีจะอยู่ที่เพียง 5% หรือเงินเดือนประมาณ 27,000 – 39,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถเก็บเงินโดยลงทุนกองทุน Thai ESG หรือ RMF ได้ เพียงแค่ต้องเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขการลงทุนได้ โดยสามารถศึกษาเงื่อนไขการลงทุนได้ที่บทความ “กองทุนลดหย่อนภาษี ตัวไหนดี และวิธีเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะกับเรา” ส่วนใครที่กังวลกับความเสี่ยงการลงทุน กองทุน Thai ESG หรือ RMF ก็มีกองทุนตราสารหนี้ให้เลือกลงทุน โดยลักษณะของกองทุนตราสารหนี้ มูลค่ามักมีความผันผวนต่ำ แม้มีบางช่วงที่ขาดทุนบ้าง แต่หากถือได้ 1 -12 เดือน หรือ 1-3 ปีขึ้นไป มูลค่าก็มักกลับมาเท่าทุนหรือกำไรได้ ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ ซึ่งจากข้อมูล Morningstar Thailand ณ 6 มิ.ย. 68 พบว่าประเทศไทยมี กองทุน Thai ESG ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ (Mid/Long Term Bond) จำนวน 11 กองทุน (จาก Thai ESG ทั้งหมด 53 กองทุน) และกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ (RMFFIX) จำนวนมากถึง 56 กองทุน (จาก RMF ทั้งหมด 377 กองทุน)3. ตั้งเป้าหมายเงินล้านด้วย Wealth PrivilegeWealth Privilege หรือสิทธิประโยชน์สำหรับผู้มีสินทรัพย์สูงกับธนาคาร เช่น มีสิทธิถือบัตรเครดิตที่มีหน้าบัตรต่างจากลูกค้าทั่วไป ฯลฯ ซึ่งมีอยู่หลายระดับ โดย ณ ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่มี Wealth Privilege สำหรับผู้มีสินทรัพย์กับธนาคารนั้น 1 ล้าน หรือ 2 ล้านบาทขึ้นไป โดยสินทรัพย์ที่ว่า ธนาคารส่วนใหญ่มักนับรวมเงินฝากประจำ กองทุน ซึ่งรวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง Thai ESG และ RMF ด้วยดังนั้นการตั้งเป้าหมายมีเงินล้านแรก โดยทยอยสะสมเงินลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี หรือกองทุนรวมทั่วไป ในธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นหลัก ก็ช่วยให้นอกจากมีเงินเก็บหลักล้านแล้ว ยังได้ถือบัตร Wealth Privilege ไว้อวดเพื่อน หรือใช้ออกงานสังคมได้ด้วยยกตัวอย่างเช่น การลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีปีละ 300,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท) ที่เป็นกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5%-7%ต่อปี กับธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นหลัก ก็มีโอกาสมีเงินลงทุนจำนวน 2 ล้านบาทได้ ภายในเวลา 6 ปี พร้อมกับได้สิทธิถือบัตร Wealth Privilege ด้วย หรือสำหรับใครที่เก็บเงินหรือลงทุนได้น้อยกว่านี้ ก็ทยอยลงทุนเท่าที่สามารถลงทุนได้ แล้วเมื่อรายได้สูงขึ้นค่อยทยอยเพิ่มการลงทุนภายหลังได้ แม้ไม่ได้ Privilege ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นตั้งเป้าหมายเงินล้านได้ชีวิตติดแกลม วิถีชีวิตในกระแสคนยุคใหม่ในปัจจุบัน เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายคนต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการเงิน เพราะถ้าไม่เริ่มสะสมและลงทุนตั้งแต่วันนี้ ชีวิตอาจไม่สามารถติดแกลมได้ไปยาวๆ โดยเฉพาะในวันที่ต้องเริ่มมีภาระดูแลครอบครัว หรือเริ่มมีหนี้จากการซื้อบ้านซื้อรถยนต์เป็นของตนเองDisclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/finance/516748
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
17/06/2025
คนไทยป่วย “มะเร็งปอด” เสียชีวิตวันละ 40 ราย พบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ยวันละ 48 ราย มลพิษอากาศและฝุ่น PM2.5 เป็นตัวเร่งมะเร็งปอดที่อันตราย พร้อมแนวทางป้องกันจากแพทย์ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตมะเร็งปอดที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตอย่างรุนแรง โดยมีผู้ป่วยใหม่เฉลี่ยวันละ 48 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดสูงถึง 40 รายทุกวัน ข้อมูลนี้ได้รับการเปิดเผยจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่มาพร้อมกับวิกฤตมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 ที่ถูกระบุว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกฝุ่น PM2.5 ขึ้นเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งกลุ่มเดียวกับบุหรี่ ซึ่งมีความเสี่ยงในการทำให้เซลล์ของร่างกายเกิดการกลายพันธุ์และเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติยังเผยว่าในปี 2022 ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยวันละ 227 ราย โดยมะเร็งเต้านมยังคงเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งที่พบในผู้ป่วย แต่สิ่งที่น่าตกใจคือมะเร็งปอดซึ่งอยู่ในอันดับที่สอง มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องรศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง กล่าวว่า การหายใจเข้าซึ่งออกซิเจนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งไม่ชอบออกซิเจน แต่ชอบสิ่งที่เป็นกรดและมีออกซิเจนต่ำ การหายใจในอากาศสะอาดจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักในปัจจุบันคือมลพิษทางอากาศที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ซึ่งทำให้คนไทยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดมากขึ้นรศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิฝุ่น PM2.5 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์ปอดเกิดการกลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์มะเร็ง PM2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ลึกถึงหลอดลมและเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดปัญหาปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง และในบางกรณีก็ทำให้เกิดมะเร็งปอดตามมาการป้องกันโรคมะเร็งปอดทำได้โดยการหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ เช่น การหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่น PM2.5 หนาแน่น การออกกำลังกายในที่อากาศบริสุทธิ์ และการรับประทานอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เช่น บล็อกโคลี, ชาเขียว, แครอท และฟักทอง รวมถึงอาหารที่ช่วยต้านการอักเสบ เช่น ขิงและขมิ้นชันการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่จัด หรือเคยมีปัญหากับปอด เช่น มีแผลในปอด หรือเคยฉายแสงที่ปอด การตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 80% ซึ่งถือเป็นทางออกสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/health-wellness/health/630211
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
17/06/2025
เมกาบางนา จัดเทศกาลศิลปะยิ่งใหญ่ประจำปี ดึง 4 ศิลปินคนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์แลนด์มาร์คงานอาร์ต ในงาน MEGA Art Journey 2025 ภายใต้แนวคิดความหลากหลายทุกแง่มุมของผู้คนศูนย์การค้าเมกาบางนา (MEGABANGNA) เชิญทุกคนร่วมเปิดประสบการณ์แห่ง ‘ศิลปะร่วมสมัย’ ในงาน “MEGA Art Journey 2025: MEGA PEOPLE. MEGA INSPIRATION.” เทศกาลศิลปะยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกวันพิเศษกว่าที่เคยMEGA Art Journey 2025ปีนี้ เมกาบางนา เนรมิตพื้นที่กิจกรรมด้านนอกศูนย์ฯ 4 โซน รวมพื้นที่กว่า 690 ตารางเมตรให้กลายเป็นแกลเลอรีศิลปะสุดครีเอทีฟ ถ่ายทอดเรื่องราวความหลากหลายของผู้คน ผ่านมุมมองของ 4 ศิลปินรุ่นใหม่นักสร้างสรรค์ ได้แก่ • give.me.museums • 22mm.t • shittak • Fluffy Omelet 4 ศิลปินรุ่นใหม่ได้ออกแบบผลงานที่สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก และความหลากหลายของผู้คน เป็นการเชื่อมต่อศูนย์การค้ากับกลุ่มคนรักศิลปะร่วมสมัยได้อย่างลงตัว พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ๆ และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่เมกาบางนา ดังนี้ • โซนเมกา พลาซ่า : คอนเซ็ปต์ Single Moment, Freedom Blooming“น้องดื้อ” คาแรคเตอร์เด็กผู้หญิงผมแดงสร้างสรรค์โดย give.me.museums หรือ ออย – คนธรัตน์ เตชะไตรศร ศิลปินหญิงผู้โดดเด่นด้วยลายเส้นอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ถ่ายทอดความสุขของการอยู่คนเดียวผ่านมุมมองของการรักตัวเอง และการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างอิสระในทุ่งกว้างสื่อสารผ่านคาแรคเตอร์ “น้องดื้อ” คาแรคเตอร์เด็กผู้หญิงผมแดงหน้าตาซุกซน นิสัยอ่อนโยน ใจดี และเข้ากับอื่นได้ง่าย มีความสุขกับสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากการได้ใช้เวลาดีๆกับ ตนเอง ครอบครัว หรือสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ก็เหมือนกับดอกไม้ที่มีหลากหลายสีสันและกำลังเบ่งบานอยู่ในทุ่งหญ้ากว้าง เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตที่ 'เมกาบางนา' พื้นที่ที่พร้อมมอบ Blooming Moment ให้กับทุกคน • โซนเมน เอนทรานซ์ :คอนเซ็ปต์ Lover’s Moment, Jump into Falling in Loveคาแรคเตอร์ Millie & Megaศิลปินผู้ออกแบบคือ 22mm.t หรือ มะเหมี่ยว – ฐิติพร กลิ่นทโชติ นักวาดภาพประกอบคนดังกับสไตล์ลายเส้นที่ไม่เน้นสัดส่วนสมจริง แต่เป็นคาแรคเตอร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความสนุก และสีสันจัดจ้านอันเป็นเอกลักษณ์ชวนทุกคนดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความรักที่พาให้หัวใจล่องลอย ผ่อนคลาย และมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นผ่านคาแรคเตอร์ของ “Millie” และ “Mega” สะท้อนความหลากหลายและความงดงามของผู้คน หรือ "Mega Diversity - Mega People" ที่ Megabangna สถานที่ที่เชื่อมโยงผู้คน คู่รัก และประสบการณ์ใหม่ๆ เข้าไว้ด้วยกันผลงานนี้ศิลปินต้องการสื่อว่า Megabangna เป็นสถานที่ที่คู่รักได้มาร่วมใช้เวลา ทำกิจกรรมร่วมกันได้ในทุกวัน ทั้งการกินข้าว ดูหนัง ช้อปปิ้ง ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่เคยน่าเบื่อ ด้วยกิจกรรมมากมายที่ตอบโจทย์ทุกคู่รักการเลือกใช้สีใน "Millie & Mega" จึงออกแบบมาเพื่อสื่อแนวคิดว่า "ความรัก" เป็นสิ่งที่อยู่เหนือข้อจำกัดทางเพศ หรือเพศสภาพของคนสองคน ที่มีความรู้สึกดีต่อกัน ไม่ว่าคุณจะรักใคร เพศอะไร หรือระบุตัวตนแบบไหน ความรู้สึกนั้นล้วนมีค่า และควรได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียม • บริเวณทางเข้าอิเกียMEGA Moment. MEGA People.จัดแสดงผลงานของ 2 ศิลปิน คือ shittak หรือ ชายแดน เทียมไสย์ เจ้าของลายเส้นสุดกวนแต่เต็มไปด้วยพลังจินตนาการ ออกแบบผลงานครั้งนี้ภายใต้แนวคิด “MEGA Moment. MEGA People.”คาแรคเตอร์ที่ออกแบบมานั้นเน้นเรื่อง "ความหลากหลาย" ในทุกแง่มุมของผู้คน ตั้งแต่รูปร่างหน้าตา เจนเนอเรชั่น อายุ เพศสภาพ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับ Megabangna ที่เป็นพื้นที่ที่เข้าใจและพร้อมตอบโจทย์ทุกความแตกต่างอย่างครบครันคาแรคเตอร์ "มัว"ศิลปินอีกคนคือ Fluffy Omelet หรือ เภรย – ณัชริญา เหล่าศรีสิน เจ้าของคาแรคเตอร์แสนสดใส กับผลงาน “Family Moments, Familytopia”สำหรับผลงานนี้ ศิลปินได้ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ภายใต้แนวคิด Family Moments, Familytopia ผ่านคาแรคเตอร์ "มัว" เจ้าหมาลายจุดตัวอวบ ที่กำลังนั่งพักผ่อนท่ามกลางทุ่งหญ้าและดอกไม้สีสดใสด้วยลายเส้นนุ่มนิ่มและบรรยากาศสบายๆ งานชิ้นนี้ถ่ายทอดความตั้งใจให้ Megabangna เป็นมากกว่าสถานที่ช้อปปิ้ง แต่เป็น "พื้นที่พักผ่อน" ที่อบอวลด้วยความรัก ความผูกพัน และความสุขที่เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้มีร่วมกันในทุกๆ วัน • โซน MEGA People ณ ฟู้ดวอล์ค พลาซ่านำคาแรคเตอร์ของศิลปินทั้ง 4 คนมาจัดแสดงในรูปแบบ Hanging Art Exhibition พร้อมทั้งนำคาแรคเตอร์ทั้งหมดมาร้อยเรียงเป็นคำว่า “MEGA” ที่สื่อความหมายทั้งหมดของงานในครั้งนี้ด้วยวรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวว่า ตลอดปีที่ผ่านมา เมกาบางนาได้มุ่งมั่นสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้คนทุกกลุ่มวัย เพื่อเสริมสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง และเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ในทุกๆ วัน ตามแนวคิด Your Everyday Meeting Place"ซึ่งครั้งนี้ เรายังคงเดินหน้านำเสนองาน MEGA Art Journey 2025 เทศกาลศิลปะสุดยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้สัมผัสและมีส่วนร่วมกับศิลปะร่วมสมัยอย่างใกล้ชิด ผ่านผลงาน Installation Art จาก 4 ศิลปินรุ่นใหม่ ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวความหลากหลายของผู้คนด้วยมุมมองสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด MEGA PEOPLE. MEGA INSPIRATION."ทั้งนี้ เทรนด์ความนิยมในงานศิลปะแนว Art Toy ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ก็สะท้อนถึงการที่ศิลปะกลายเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายสอดคล้องกับแนวคิดของ MEGA Art Journey 2025 ที่ต้องการเปิดประสบการณ์ศิลปะให้กว้างไกลและใกล้ชิดกับผู้คนยิ่งขึ้น ผ่านผลงาน Installation Art ที่ทุกคนสามารถสัมผัสและเชื่อมโยงได้ด้วยตัวเอง“เราเชื่อว่างานนี้จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้าที่มาเยี่ยมชมงาน และยังเชื่อมโยงศูนย์การค้าเข้ากับคอมมูนิตี้คนรักศิลปะและลูกค้าทั่วไปได้อย่างแนบแน่น รวมทั้งยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของเมกาบางนาในฐานะศูนย์กลางแห่งการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ได้ในทุกๆ วัน” วรรณวิมล กล่าวศิลปะจัดวางคอนเซ็ปต์ Single Moment, Freedom Bloomingเชิญสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกวันพิเศษกว่าที่เคย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ศิลปะที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน และเก็บภาพความประทับใจ แรงบันดาลใจจากงานศิลป์สุดครีเอทีฟที่ถ่ายทอดทุกโมเมนต์ของชีวิตอย่างมีสีสันในงาน MEGA Art Journey 2025: MEGA PEOPLE. MEGA INSPIRATION. ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนานอกจาก ศิลปะจัดวาง (Installation Art) ที่จัดแสดงให้ชมกันตลอดทั้งเดือน เมกาบางนา ยังได้นำลายเส้นของศิลปินทั้ง 4 คนไปออกแบบเป็นของที่ระลึกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายภายในศูนย์ฯ ครบตามเงื่อนไขที่กำหนด สามารถแลกรับได้ฟรี! อาทิ • MEGA Scarf ผ้าพันคอดีไซน์ลิมิเต็ดเอดิชัน มูลค่า 890 บาท • MEGA Bag กระเป๋านุ่มนิ่มสีสันสดใสสุดอินเทรนด์ มูลค่า 1,290 บาท • ร่วมสนุกกับกิจกรรมทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์เพื่อแลกรับพวงกุญแจ MEGA Keychain ดีไซน์พิเศษลายเส้นจากศิลปิน มูลค่า 280 บาทศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน (จากซ้าย) shittak, Fluffy Omelet และ 22mm.tgive.me.museums หรือ ออย - คนธรัตน์ เตชะไตรศรแหล่งที่าข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1180012
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
17/06/2025
สิ่งที่นักเดินทางต้องรู้ก่อนขึ้นเครื่องบิน เมื่อเดินทางโดยเครื่องบินแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ น้ำหนักกระเป๋า สามารถนำขึ้นเครื่องได้กี่กิโล ถือขึ้นเครื่องได้กิโล และขนาดกระเป๋า ซึ่งแต่ละสายการบินมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน Sanook Travel จะมาให้คำตอบกับคุณในเรื่องนี้กัน เพื่อที่จะทำให้ทริปของคุณผ่านไปอย่างราบรื่น และมีความสุขน้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่องที่สายการบินกำหนดน้ำหนักกระเป๋าที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสายการบิน โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก • สายการบินต้นทุนต่ำส่วนใหญ่จำกัดน้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่องไม่เกิน 7 กิโลกรัม ตัวอย่างเช่น AirAsia, Thai Lion Air และ Nok Air บางสายการบินอาจอนุญาตให้นำกระเป๋าใบเล็กเพิ่มได้ เช่น กระเป๋าสะพายหรือกระเป๋าโน้ตบุ๊ก • สายการบินฟูลเซอร์วิสน้ำหนักที่อนุญาตอยู่ระหว่าง 7 – 10 กิโลกรัม แล้วแต่สายการบิน ตัวอย่างเช่น Thai Airways, EVA Air, Scoot และ Singapore Airlines บางสายการบินมีเงื่อนไขพิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจที่สามารถนำกระเป๋าน้ำหนักมากขึ้นได้ขนาดของกระเป๋าถือขึ้นเครื่องขนาดของกระเป๋าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยทั่วไป ขนาดมาตรฐานที่สายการบินกำหนดคือ • กว้างประมาณ 35 – 40 เซนติเมตร • ยาวประมาณ 50 – 56 เซนติเมตร • หนาประมาณ 20 – 25 เซนติเมตรอย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบข้อกำหนดของสายการบินที่ใช้เดินทางล่วงหน้า เพราะบางสายการบินอาจมีกฎเฉพาะที่แตกต่างกันโดยทั่วไป น้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจะอยู่ที่ 7 – 10 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสายการบินที่เลือก ควรตรวจสอบนโยบายของสายการบินล่วงหน้าและใช้เทคนิคจัดกระเป๋าให้คุ้มค่าน้ำหนัก เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451855/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
17/06/2025
การประกอบอาชีพในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ประชากรกลุ่มเจเนอเรชันวาย (Gen Y) จำนวนมากเผชิญกับภาวะหมดไฟในการปฏิบัติงาน ปัจจุบันการทำงานได้แตกต่างจากแนวทางการทำงานในอดีตที่เน้นความผูกพันกับองค์กรเดียว โดย Gen Y พบว่าตนเองมีความจำเป็นต้องดำเนินงานในหลากหลายบทบาทเพื่อรองรับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ต้องการ ซึ่งบ่อยครั้งส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจ ข้อมูลจากงานวิจัยของ Academized ระบุว่า ร้อยละ 52 ของ Gen Y มีการประกอบอาชีพเสริม และเป็นที่น่าสังเกตว่า หนึ่งในสี่ของกลุ่มดังกล่าวปฏิบัติงานพร้อมกันถึงสามงาน ในขณะที่ หนึ่งในสามบริหารจัดการแหล่งรายได้มากถึงสี่ช่องทางปรากฏการณ์นี้ หรือที่เรียกว่า "การทำงานแบบพหุลักษณ์" (Multi-Hyphenate Working) ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในบริบทที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Gen Y จำนวนไม่น้อยจึงแสวงหาแหล่งรายได้ที่หลากหลายเพื่อความมั่นคงทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากงานวิจัยเพิ่มเติมชี้ให้เห็นว่า Gen Y เผชิญกับความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มประชากรอื่น โดยข้อมูลจาก Gallup พบว่า ในปี พ.ศ. 2565 อัตราภาวะหมดไฟในกลุ่มผู้จัดการ Gen Y สูงถึงร้อยละ 42 ดังนั้น การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลระหว่างความสำเร็จทางอาชีพและสุขภาวะส่วนบุคคลปัจจัยขับเคลื่อนการทำงานหลากหลายบทบาทในกลุ่ม Gen Yปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลให้ Gen Y มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพมากกว่าหนึ่งประเภท ประกอบด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ: Gen Y เผชิญกับแรงกดดันทางการเงินอันเนื่องมาจากภาระหนี้สินจากการศึกษาและอัตราค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้การมีแหล่งรายได้เสริมกลายเป็นความจำเป็น ข้อมูลจาก Academized บ่งชี้ว่า Gen Y ที่มีอาชีพเสริมมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12,689 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และผู้ประกอบอาชีพอิสระในสาขาเทคโนโลยีบางรายมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 45,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีศักยภาพของเทคโนโลยี: แพลตฟอร์มดิจิทัลและโอกาสในการปฏิบัติงานระยะไกลได้ลดข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสการทำงานเสริมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการสำรวจของ Academized เผยว่า ร้อยละ 35 ของ Gen Y ใช้เครื่องมือดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการงานเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเทคโนโลยีนิยามใหม่ของความมั่นคงทางอาชีพ: ภายหลังการเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจหลายครั้ง Gen Y ตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายแหล่งรายได้เพื่อลดความเสี่ยงจากการว่างงาน แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงานจึงถูกปรับเปลี่ยนไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาชีพจากแหล่งรายได้ที่หลากหลายการเปลี่ยนแปลงค่านิยมสู่ความเป็นอิสระ: Gen Y จำนวนมากให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและคุณค่าของงานมากกว่าการเติบโตในสายอาชีพตามรูปแบบดั้งเดิม การทำงานหลากหลายบทบาทตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินโครงการที่สนใจควบคู่ไปกับการมีแหล่งรายได้ที่มั่นคงผลประโยชน์ของการทำงานหลากหลายสำหรับ Gen Y • การลดความเสี่ยงและความมั่นคงทางจิตใจ: การมีแหล่งรายได้หลายทางช่วยลดความกังวลและความไม่แน่นอนทางการเงิน ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจในการตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพมากขึ้น • การพัฒนาทักษะและการเติบโตทางอาชีพ: การปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาทช่วยให้ Gen Y ได้รับประสบการณ์และพัฒนาทักษะที่หลากหลาย ซึ่งสามารถส่งเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอื่น ๆ และเร่งการเติบโตทางอาชีพในระยะยาว • การขยายเครือข่ายทางวิชาชีพ: การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในหลากหลายอุตสาหกรรมช่วยสร้างเครือข่ายทางวิชาชีพที่กว้างขวาง ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสที่ไม่คาดคิดในอนาคต • ความเป็นอิสระและการลดความเครียด: การไม่พึ่งพิงแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวช่วยให้ Gen Y มีอำนาจในการกำหนดขอบเขตการทำงานและปฏิเสธโครงการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือความเป็นอยู่ของตนเองความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของ Gen Y จากการทำงานหลากหลายบทบาทแม้จะมีผลประโยชน์ดังกล่าว แต่ความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนัก งานวิจัยจาก Moodle เผยว่า ปัจจุบัน พนักงานชาวอเมริกันถึงสองในสาม (ร้อยละ 66) กำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟ ซึ่งมีสาเหตุหลัก ประกอบด้วย • ปริมาณงานที่มากเกินกว่าเวลาที่มี • การขาดแคลนทรัพยากรและเครื่องมือที่เหมาะสมในการปฏิบัติงาน • ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจ • การรับภาระงานมากเกินไปเนื่องจากการขาดแคลนบุคลากร • ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อบทบาทหน้าที่นอกจากนี้ ผลการสำรวจของ Academized ยังชี้ให้เห็นว่า ร้อยละ 42 ของ Gen Y ที่บริหารจัดการงานหลายอย่างประสบกับภาวะหมดไฟ อันเนื่องมาจากการทำงานล่วงเวลา และ ร้อยละ 26 รายงานปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัววิธีการบริหารจัดการงานหลากหลาย เพื่อการป้องกันภาวะหมดไฟสำหรับ Gen Yการประยุกต์ใช้กลยุทธ์เหล่านี้สามารถช่วยให้สามารถรักษาสมดุลระหว่างการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาทและสุขภาวะส่วนบุคคลได้อย่างยั่งยืนการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสม: รูปแบบการทำงานแบบพหุลักษณ์มีความหลากหลาย ควรพิจารณารูปแบบที่สอดคล้องกับสถานการณ์และเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น การมีแหล่งรายได้หลักที่มั่นคงควบคู่ไปกับการดำเนินงานเสริมที่มีความหลากหลาย โดยงานพาร์ทไทม์เหล่านี้ ควรใช้ทักษะที่เกี่ยวข้องจากเดิมอยู่แล้ว การสร้างระบบและขอบเขตที่ชัดเจน: การทำงานแบบหลายงาน (พหุลักษณ์) ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการแบ่งแยกบทบาทและกำหนดขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน รวมถึงการจัดสรรเวลา การแบ่งพื้นที่ปฏิบัติงาน และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพการให้ความสำคัญกับการฟื้นฟู: การจัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนและการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการกำหนดเวลาพักผ่อน การสร้างช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างบทบาท และการสังเกตระดับพลังงานของตัวเองการตระหนักถึงสัญญาณเตือนของภาวะหมดไฟ: การสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณเริ่มต้นของภาวะหมดไฟ เช่น อาการทางกาย อารมณ์ และประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน: การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนช่วยให้การทำงานหลากหลายบทบาทมีความยั่งยืนมากขึ้น และรู้ว่าควรหยุด และพักในเวลาใดการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: การตระหนักถึงขีดจำกัดของตนเองและการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานที่ไม่สามารถรับผิดชอบได้การให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: งานวิจัยเน้นย้ำว่า Gen Y ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หากไม่สมดุลอาจนำไปสู่การเปลี่ยนงานการแสวงหาความช่วยเหลือ: การขอความช่วยเหลือจากบุคคลใกล้ชิดหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับภาระงานได้Gen Y กำลังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป การบริหารจัดการหลากหลายบทบาทอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างสมดุลระหว่างความสำเร็จทางอาชีพและสุขภาวะส่วนบุคคล รวมถึงการตระหนักถึงความเสี่ยงและประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Gen Y สามารถสร้างชีวิตการทำงานที่ยั่งยืนและเติมเต็มความพึงพอใจในชีวิตส่วนตัวได้โดยปราศจากภาวะหมดไฟได้ข้อมูล : Forbesภาพ : istocksแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2859205
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
13/06/2025
วันที่ 13 มิถุนายน 2568 นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการการจังหวัดพิจิตร ได้มอบหมายสั่งการให้ นางสาวสาวิตรี สร้อยอุทา นายอำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ให้ลงไปตรวจสอบการทำประกันของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตอำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร หลังจากได้รับการร้องทุกข์ร้องเรียนจากผู้ปกครองของเด็กนักเรียนว่า มีบุคคลที่แอบอ้างเป็นตัวแทนนายหน้าขายประกันบริษัทชื่อดังที่น่าเชื่อถือให้กับโรงเรียน ซึ่งจากการที่ นายอำเภอวังทรายพูน ได้ลงตรวจสอบก็พบว่ามีโรงเรียนที่เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่วหนึ่ง ใน อบต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ที่ผู้ปกครองได้จ่ายเงินทำประกันเป็นจำนวน 200 บาท ให้กับตัวแทนนายหน้าขายประกัน โดยโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กแห่งนี้มีจำนวนนักเรียนกว่า 100 คน ที่ได้ทำประกันกับตัวแทนประกันรายนี้ แต่ตัวแทนประกันรายนี้ไม่นำเงินไปส่งให้กับทางบริษัท จึงทำ ให้เด็กนักเรียนทั้งหมดไม่มีชื่อ-ไม่มีสิทธิ์ในการทำประกัน เรียกได้ว่า “เป็นการทำประกันทิพย์” ที่ไม่สามารถเบิกรักษาเยียวยาอะไรได้เมื่อเกิดเหตุที่ตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ ซึ่งขณะนี้ผู้ปกครองของนักเรียนต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า สำหรับผู้เสียหาย คือ นางเจนจิรา อายุ 34 ปี อยู่หมู่ 3 ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ซึ่งเป็นผู้ปกครองของ เด็กหญิงปรีญากมล อายุ 3 ปี ซึ่งเรียนอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้ใน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ที่ลูกสาวได้เกิดอุบัติเหตุหลังจากไปเที่ยวบ้านญาติที่ อ.โพทะเล และได้ตกไปในเตาเผาถ่าน ต้องถูกตัดนิ้วเท้าไป 3 นิ้ว และมีบาดแผลหลายแห่งอาการสาหัส ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 68 และได้เข้ารักษาตัวที่ รพ. ปรากฏว่าเมื่อต้องการเรียกร้องสินไหมและค่ารักษาจากบริษัทประกันไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีชื่อในการทำประกัน และตัวแทนที่มาทำประกันให้กับโรงเรียนก็ไม่มีตัวตนในบริษัท ซึ่งทาง นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้สั่งการนางสาว สาวิตรี สร้อยอุทา นายอำเภอวังทรายพูน พาพ่อแม่ของเด็กหญิงรายนี้ ไปแจ้งความดำเนินคดี กับตัวแทนประกันคนดังกล่าวคนนี้ที่มาหลอกลวง ฉ้อโกงประชาชน โดยแอบอ้างว่า เป็นตัวแทนจากบริษัทมาเก็บเงินค่าประกันจากทางโรงเรียน ทางด้าน นายวิทยาธร (สงวนนามสกุล)อายุ 36 ปี พ่อของเด็กหญิงปรีญากมล กล่าวว่า หลังจากลูกเกิดอุบัติเหตุ ตนเอง ได้พยามติดต่อนายหน้าประกันของทางโรงเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ดังกล่าว ซึ่งกว่าจะติดต่อได้ ปรากฏว่านายหน้าที่มาแอบอ้างจะขอจ่ายเองโดยจะจ่ายเงิน ค่ารักษาพยาบาลที่ถูกตัดนิ้ว 3 นิ้ว เป็นเงิน 1,800 ค่านอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 25,000 บาท ซึ่งตนเองมองว่าจ่ายน้อยเกินไป ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทางโรงเรียนศูนย์เด็กเล็ก ก่อนจะให้มีคนมาทำประกันทำไมไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนว่า เป็นนายประกันจริงหรือไม่ ตอนนี้ลูกสาวของตนเองมีอาการซึมเศร้าน่าสงสารมาก ส่วนตนเองก็ไม่มีเงินที่จะพาลูกไปรักษาอย่างต่อเนื่องจาก เพราะตอนนี้ก็กู้หนี้ยืมสินรักษาลูกหมดเงินไปแล้วกว่า 60,000 บาท ดังกล่าวอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/628843
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
13/06/2025
นิทรรศการแห่งความสดใสของ “4 ดอกไม้ประจำจังหวัด: ทองกวาว ราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ ชบา” ที่พร้อมใจกันมาเบ่งบานกลางมหานคร ผ่านผลงานศิลปะหลากรูปแบบ เชื่อมโยงอัตลักษณ์ท้องถิ่นกับหัวใจของมหานคร ณ TCDC กรุงเทพฯนิทรรศการจะนำความสดใสของดอกไม้ประจำ 4 จังหวัด ได้แก่ ทองกวาว (จังหวัดเชียงใหม่) ราชพฤกษ์ (จังหวัดขอนแก่น) กัลปพฤกษ์ (จังหวัดราชบุรี) และชบา (จังหวัดปัตตานี) มาเนรมิตเป็นกิจกรรมสุดสร้างสรรค์ มากมายในงาน เช่นInteractive & Immersive Art: ศิลปะสื่อใหม่เล่าเรื่องดอกไม้แบบสุดล้ำLive Printing Installation: ศิลปะพิมพ์ภาพผ้าสดในบรรยากาศของการร่วมมือร่วมใจลายผ้าดอกไม้: ลวดลายดอกไม้ร่วมสมัยแรงบันดาลใจมาจาก 4 ดอกไม้ประจำจังหวัดนำร่องนิทานดอกไม้: 4 เรื่องราวแห่งจินตนาการสุดเพลิดเพลินและน่าจดจำมุมระบายสี: พื้นที่พลังศิลปะให้เบ่งบานสำหรับผู้ร่วมงานทุกเพศทุกวัยสื่อส่งสารของโครงการ: สื่อเล่าเรื่องดอกไม้ประจำจังหวัดบนโลกออนไลน์ในนาม “ลีลาดอกไม้”และชวนชาวมหานครร่วมกันตอบคำถามสนุกๆ ว่า ถ้า “ถ้ากรุงเทพฯ มีดอกไม้ประจำเมือง จะเป็นดอกอะไร?”พิเศษสำหรับชาวกรุงเทพมหานคร! ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจมาร่วมเดินชมและรับฟังแนวคิดเบื้องหลังนิทรรศการลีลาดอกไม้ ตอน “ดอกไม้ม(า)หานคร” ความสดใสของ 4 ดอกไม้ประจำจังหวัดที่พร้อมใจกันเบ่งบานกลางมหานครพร้อมร่วมกิจกรรม “พิมพ์ผ้าสดลายดอกลงบนผืนผ้าขนาดยาวร่วมกัน” นำกิจกรรมโดย ดร.วิจิตร อภิชาติเกรียงไกร(ศิลปินเจ้าของแนวคิดสาธารณศิลป์และแนวคิดนิเวศสุนทรีย์) ด้วยกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ “ภาพพิมพ์” สร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่สาธารณะ ผ่านผืนผ้าพิมพ์สดที่ความยาวเพิ่มขึ้นทุกครั้งในการพิมพ์ กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสุนทรีย์ให้เกิดขึ้นในบรรยากาศของการร่วมมือร่วมใจ หลังจบกิจกรรมสามารถรับผ้ากลับไปได้เลยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ ณ จุดลงทะเบียนด้านหน้านิทรรศการและผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ ลีลาดอกไม้ ตอน “ดอกไม้ม(า)หานคร” ได้ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ณ TCDC กรุงเทพฯ ห้องแกลเลอรี ชั้น 1 เวลา 10.30 – 19.00 น.กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ลีลาดอกไม้ – พัฒนาอำนาจนุ่มนวลของไทย ผ่านการสรรสร้างและเล่าเรื่องดอกไม้ประจำจังหวัด สนับสนุนโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และดำเนินงานโดย บริษัท สุโต จำกัดหมายเหตุไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม และสามารถจอดรถได้ที่อาคาร NT บางรัก ในอัตรา 20 บาท/ชั่วโมงTCDC ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์ด้วยโครงการ Open Space @ TCDC ให้กลุ่มคนครีเอทีฟได้แสดงศักยภาพผ่านการโชว์ผลงานและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์รูปแบบต่าง ๆ ที่ TCDC กรุงเทพฯแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000054491
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
13/06/2025
ชวนตื่นตาทะเลสาบสีฟ้ากลางป่าสนและหุบเขาที่ “เหมืองหินเก่าถ้ำทองหลาง” ที่ถูกยกให้เป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยแห่งใหม่ในพังงา ซึ่งวันนี้กำลังเดินหน้าสู่ “ป่านันทนาการ” ที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชนในอนาคตท่ามกลางขุนเขาเขียวขจีของอำเภอทับปุด จังหวัดพังงา มีสถานที่อันซีนซ่อนตัวอยู่คือ “เหมืองหินเก่าถ้ำทองหลาง” ที่วันนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่มาแรงของจังหวัดพังงา กับวิวทิศทัศน์ที่มีบรรยากาศคล้ายต่างประเทศจนถูกยกให้เป็น “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” แห่งใหม่ของบ้านเรา“เหมืองหินเก่าถ้ำทองหลาง” หรือ "เหมืองหินเก่าบ้านถ้ำทองหลาง” ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลถ้ำทองหลาง อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เหมืองหินเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนเข้าหมู่บ้านเขาตำหนอน ม.1 และบ้านในวัง ม.4 ห่างจากถนนเพชรเกษมสายเขานางหงส์ ประมาณ 1.5 กิโลเมตรในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นเหมืองหินมาก่อน แต่เมื่อหมดอายุสัมปทานการทำเหมืองยุติลง ธรรมชาติก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูตนเอง กลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสสีฟ้าอมเขียว มีความลึกราว 10-20 เมตร ทอดตัวเป็นแนวยาวริมภูเขา ด้านหนึ่งเป็นภูเขาหินปูนสูงตระหง่านส่วนอีกด้านเป็นป่าสนที่ปลูกเรียงรายเป็นแนวยาวอย่างมีระเบียบ ยามแสงแดดในช่วงเช้าสาดแสงส่องกระทบผิวน้ำ จะเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ตัดกับฉากหลังของภูเขาเขียวและหมอกบาง ๆ ดูงดงามโรแมนติกไม่น้อยด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงามและบรรยากาศที่ดูคล้ายต่างประเทศทำให้ที่นี่ถูกยกให้เป็น “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” แห่งใหม่ของบ้านเรา ซึ่งหลังเปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ได้ไม่นานเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว เหมืองหินเก่าแห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินน้องใหม่มาแรงของจังหวัดพังงา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาถ่ายรูปและสัมผัสกับฟีลเมืองนอกในพังงากันไม่ได้ขาดอย่างไรก็ดีวันนี้เหมืองหินเก่าถ้ำทองหลางยังไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็น “ป่านันทนาการ” ที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชนในอนาคตสำหรับใครที่กำลังมองหาจุดหมายใหม่ ๆ ที่งดงามน่าเที่ยว มีความเป็นธรรมชาติและได้บรรยากาศคล้ายเมืองนอก ปักหมุดรอเหมืองหินเก่าถ้ำทองหลาง จังหวัดพังงา ไว้ในลิสต์ได้เลยเพราะในอนาคต หลังเหมืองเก่าแห่งนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ คาดว่าที่นี่จะเป็นพชรเม็ดงามแห่งใหม่ของภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งจะมีคนมาเที่ยวชมความงามกันเป็นจำนวนมาก และสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้ไม่น้อยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000051756
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
06/09/2024
08/05/2025
04/01/2025
21/05/2024
31/05/2024