Everyday knowledge for you
อสังหาริมทรัพย์
15/07/2025
วิธีเลือกซื้อบ้านมือสองอย่างไรให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิต ไม่ยากเช็กที่นี่ K Property มีคำตอบ สภาพดี ราคาประหยัด อยู่อาศัยดีลงทุนได้การเลือกซื้อบ้านมือสอง ควรพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ไม่ต่างการจากซื้อบ้านมือหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดในการซื้อบ้าน คือ การเลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ตอบโจทย์กับความต้องการตนเอง เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เป็นอยู่มากกว่าการตัดสินใจซื้อบ้านมือสองต้องเลือกอย่างไรดี? • ประเมินราคา ราคาบ้านไม่แพงกว่าที่ตนเองสามารถผ่อนไหว • ทำเลที่ตั้งของบ้าน ให้พิจารณาก่อนว่าทำเลที่ตั้งของบ้านสะดวกกับการเดินทางไปทำงานหรือไม่ บริเวณรอบ ๆ บ้านนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากหรือไม่ ในบางจุดที่ไม่มีรถโดยสารสาธารณะผ่าน จะไม่สะดวกสำหรับคนที่ไม่มีรถโดยสารส่วนตัว • ประเภทของบ้านที่ต้องการจะซื้อ โดยปกติที่อยู่อาศัยจะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ซึ่งคอนโดมิเนียมจะไม่ค่อยสะดวกสบายมากนักสำหรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ เนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด และยากต่อการปรับขยายขนาดของพื้นที่ • จำนวนสมาชิกในบ้าน จำนวนสมาชิกที่อยู่อาศัยร่วมกันในบ้านจะเป็นตัวกำหนดพื้นที่ และปริมาณห้องนอนที่ต้องการ เช่น สมาชิกในบ้านมี พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ตา และยาย ควรที่จะมีห้องนอนอย่างน้อย 4 ห้องขั้นตอนซื้อบ้านมือสองคล้ายกับการซื้อบ้านมือหนึ่ง แต่จะลงรายละเอียดที่การตรวจบ้านเป็นพิเศษขั้นตอนการซื้อบ้านมือสองที่ควรรู้แบบครบจบในที่เดียวขั้นตอนการซื้อบ้านมือสองที่ควรรู้มีอะไรบ้าง? สำหรับมือใหม่ที่อยากมีบ้าน ต้องบอกก่อนเลยว่าในการซื้อบ้านมือสอง จะมีขั้นตอนที่คล้ายกับการซื้อบ้านมือหนึ่ง แต่จะต้องลงรายละเอียดในเรื่องของการตรวจบ้านมากกว่า โดยมีขั้นตอนในการซื้อบ้านมือสองทั้งหมด 7 ขั้นตอนหลัก ๆ ได้แก่1. เลือกโครงการบ้านที่สนใจสามารถลองค้นหาบ้านที่ใช่ จากเว็บไซต์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงการบ้านมือสองจากทางธนาคาร ซึ่งสามารถค้นหาบ้านจากทำเลที่สนใจ หรือลองค้นหาจากการกำหนดราคาบ้านที่ต้องการ เพื่อคุมงบประมาณค่าใช้จ่าย2. ติดต่อสถาบันการเงินสามารถลองติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการขอกู้ซื้อบ้านมือสอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูล รายละเอียดบ้านให้ชัดเจน3. เตรียมยื่นเอกสารเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการซื้อบ้าน ประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รายการเดินบัญชีย้อนหลัง สำเนาสมุดบัญชี ใบรับรองเงินเดือน หรือใบจดทะเบียนการค้า (ถ้ามี)1. ทำสัญญาซื้อขายบ้านสัญญาซื้อขายบ้านจะต้องระบุวันที่ วันชำระเงิน ราคาของบ้านอย่างชัดเจน รวมถึงระบุข้อมูลส่วนบุคคลของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย2. วางเงินประกันการเสนอซื้อบ้านตามที่ตกลงในการซื้อบ้านมือสองจะต้องวางเงินประกันการเสนอซื้อบ้านทันที ไม่มีการยื่นขอผ่อนเงินประกันการเสนอซื้อ (ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องวางเงินประกันการเสนอซื้อประมาณ 5-20% ของราคาบ้าน)3. ตรวจบ้านก่อนโอนในการซื้อบ้านมือสองจะต้องมีการตรวจบ้านให้ละเอียดก่อนการเซ็นรับโอน เนื่องจากตัวบ้านมือสอง อาจมีรอยแตก รอยร้าว หรือแม้แต่โครงสร้างบ้านทรุดก็เป็นได้ จึงต้องตรวจสอบให้ดีก่อน4. นัดวันโอนบ้านเพื่อรับโฉนดที่ดิน ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการซื้อบ้านมือสอง ซึ่งคู่สัญญาจะต้องไปลงชื่อในเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาขั้นตอนการซื้อบ้านมือสองอย่างละเอียด ก็สามารถศึกษาขั้นตอนเพิ่มเติมได้ เพื่อให้สามารถเลือกซื้อบ้านได้ตอบโจทย์และสามารถอยู่อาศัยได้ในระยะยาว ซึ่งทางธนาคารกสิกรไทยก็ได้รวบรวมขั้นตอนวิธีซื้อสินทรัพย์มือสองของธนาคารง่าย ๆ ไว้ให้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้เลย ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านมือสองควรตรวจสอบว่าตัวเองมีความพร้อมด้านการเงินมากน้อยแค่ไหนข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านมือสองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้านมือสองนั้น ควรตรวจสอบว่าตนเองมีความพร้อมทางด้านการเงินมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากการตัดสินใจซื้อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านมือหนึ่ง หรือบ้านมือสอง จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว ดังนั้น จึงควรคำนวณค่าผ่อนบ้านให้มีความเหมาะสมกับรายรับในแต่ละเดือนสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การซื้อบ้านมือสองจะมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งวิธีการยื่นขอซื้อ การเซ็นสัญญาซื้อขาย ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจสอบสภาพบ้าน จึงควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจสำรวจสภาพการเงินตัวเองให้ดีอย่างแรกสุด คือการประเมินศักยภาพทางการเงินของตนเองว่ามีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านมือสองในช่วงราคาประมาณไหน โดยให้วางแผนในการใช้จ่ายให้ดีก่อน ทั้งการแบ่งรายรับแต่ละเดือน และคำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็น อีกทั้งควรศึกษาค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านมือสองให้ถี่ถ้วน หากไม่มีการวางแผนในการใช้เงินให้ดี อาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือร้ายแรงที่สุด คือ ไม่สามารถผ่อนบ้านต่อไปได้ ทำให้ธนาคารต้องยึดทรัพย์คืน ดังนั้นขอแนะนำให้ลองแบ่งสัดส่วนการใช้เงินของตนเองคร่าว ๆ ก่อน เช่น • สำรวจเงินเก็บออมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในการซื้อบ้านมือสองนั้น จำเป็นต้องวางเงินประกันการเสนอซื้อบ้านอย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน ดังนั้นเงินเก็บในปัจจุบันควรจะมากกว่าจำนวนนเงินประกันการเสนอซื้อ รวมกับเงินเก็บเผื่อในยามฉุกเฉินด้วย • สำรวจค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตนเอง แน่นอนอยู่แล้วว่าการเดินทางไปทำงาน หรือแม้แต่ผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าประกันชีวิตต่าง ๆ ให้ลองคำนวณคร่าว ๆ แล้วสรุปเป็นรายเดือนออกมาก่อนว่าค่าใช้จ่ายส่วนตัวเฉลี่ยอยู่ที่กี่บาท • รายจ่ายและหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน รายจ่ายและหนี้สินของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนต้องแบกรับภาระครอบครัว หนี้บัตรเครดิต หรือต้องผ่อนบ้านหลาย ๆ หลังไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นให้นำหนี้สินที่จำเป็นต้องจ่ายในแต่ละเดือน มาคำนวณร่วมด้วยว่าจะสามารถกู้ซื้อบ้านมือสองเพิ่มอีกได้หรือไม่ • ค่าใช้จ่ายในอนาคตที่สนใจ เช่น มีการวางแผนจะซื้อรถ หรือซื้อคอนโดต่อเลย ก็จะต้องคำนวณถึงจำนวนปีที่จะต้องผ่อน รวมถึงความสามารถทางการเงินของตนเองว่าสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรือไม่ตรวจสอบโครงการบ้านที่จะซื้อให้ดูตั้งแต่รายละเอียดของโครงการ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางว่าจะต้องมีการชำระอะไรเพิ่มบ้างอีกเท่าไหร่ ประวัติของตัวบ้าน รวมทั้งสำรวจที่ดินในบริเวณใกล้เคียงว่าเสี่ยงต่อการโดนเวนคืนที่ดินหรือไม่? เป็นบ้านติดจำนองหรือไม่? และที่สำคัญที่สุดในวิธีเลือกซื้อบ้านมือสอง คือ ทำเลที่ตั้งของบ้านจะต้องไม่ใช่บ้านที่ตั้งในที่ดินสาธารณะหรือที่ดินเอกชนที่บริจาคให้เป็นสาธารณะ เพราะมีสิทธิ์ถูกเพิกถอนภายหลังได้รู้ข้อกฎหมายที่สำคัญศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการซื้อบ้านมือสองให้ละเอียด โดยปกติแล้วจะต้องมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายอย่างถูกต้องเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน ซึ่งในสัญญาจะต้องระบุราคาซื้อขาย การจ่ายเงินมัดจำ และเงินส่วนที่เหลือจะชำระต่อไป หากผู้ซื้อไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ในเวลาที่กำหนด ผู้ขายมีสิทธิ์ที่จะยึดเงินมัดจำได้ เมื่อดำเนินการยื่นขอสินเชื่อเสร็จสิ้น และได้รับอนุมัติสินเชื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องทำสัญญาซื้อขายต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินเท่านั้นถึงมีผลผูกกันตามกฎหมาย และยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก เช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะ ฯลฯตรวจรับบ้านก่อนโอนให้เรียบร้อยตรวจบ้านก่อนโอนให้เรียบร้อยในการซื้อบ้านมือสอง ควรมีการตรวจสอบสภาพบ้านมือสองอย่างละเอียดก่อนการโอนร้บบ้าน โดยตรวจสอบตามบริเวณรอบ ๆ บ้าน ดังนี้ • โครงสร้างบ้าน ผนังบ้าน กำแพงบ้าน พื้นบ้าน ระเบียงบ้าน บันได และคานบ้าน ควรอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ไม่มีส่วนไหนที่ผุพัง หรือแตกหักจนเห็นเหล็กโครงสร้างภายใน • ทางเดินภายในบ้าน เริ่มตั้งแต่ประตู หน้าต่าง จะต้องอยู่ในสภาพดี สามารถใช้งานได้ ในทางที่ดีประตูหรือหน้าต่างไม่ควรเปิดแล้วชนกัน และไม่มีจุดไหนที่น้ำสามารถรั่วซึมเข้ามาได้ • สภาพบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพดาน พื้นบ้าน ผนังบ้าน จะต้องไม่มีรอยรั่ว หรือแตก • ระบบไฟฟ้า มีสภาพดี ไม่มีสายไฟหรือปลั๊กตัวไหนเสียหาย • ระบบประปาและช่องทางการระบายน้ำ จะต้องไม่มีจุดรั่วซึม หรือแตกหัก ปั๊มน้ำสามารถทำงานได้ตามปกติ รางน้ำฝนไม่มีจุดแตกหัก สุขภัณฑ์ไม่มีจุดเสียหาย • ภายนอกของตัวบ้าน และพื้นที่รอบตัวบ้าน ให้สังเกตตั้งแต่บริเวณรั้วบ้านว่าจะต้องมีสภาพดี ตัวบ้านไม่ควรทรุดจากบริเวณโดยรอบมากนัก อยากได้บ้านมือสองดี ๆ จะหาซื้อได้จากที่ไหนหลังจากที่ได้รู้วิธีการเลือกซื้อบ้านมือสอง พร้อมกับสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนซื้อบ้านมือสองไปแล้วนั้น ขั้นตอนต่อไป คือ การหาบ้านมือสองที่ใช่ ทำเลที่ชอบ แต่จะหาจากที่ไหนได้บ้าง? เพราะในปัจจุบันการหาบ้านมือสองที่ราคาดี ตั้งอยู่ในทำเลที่ตอบโจทย์ในการใช้งาน ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ๆ เลยก็ว่าได้ทั้งนี้การซื้อบ้านมือสองในปัจจุบันมีข้อดีมากกว่าที่คิด เนื่องจากผู้ซื้อสามารถเลือกดูบ้านที่สนใจ ราคาที่ใช่ อีกทั้งยังเลือกทำเลที่ชอบได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าการซื้อบ้านมือสองจะต้องดูเรื่องสภาพบ้านให้ละเอียดกว่าบ้านมือหนึ่งค่อนข้างมาก แต่การซื้อบ้านมือสองก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะตัวบ้านมือสองมักเป็นบ้านที่พร้อมอยู่เรียบร้อยแล้ว หากอยากเปลี่ยนสภาพบ้านให้น่าอยู่มากขึ้น เพียงแค่นำมาต่อเติม หรือตกแต่งใหม่ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ก็สามารถเนรมิตจากบ้านมือสองธรรมดาให้ดูสวยเหมือนบ้านมือหนึ่งได้เลยที่มา:K-Property เว็บไซต์สำหรับการค้นหาบ้านมือสองที่ดำเนินการโดยธนาคารกสิกรไทยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/real-estate/632043
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
14/07/2025
14 กรกฎาคม 2568 : สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 16.00 น. มีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวนกว่า 50 คน รวมตัวกัน ณ บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เนื่องจากกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวได้รับความเสียหายจากกรณีที่นายบัณฑิต จำปาแขม (นายบัณฑิตฯ) นายหน้าประกันวินาศภัย ได้ตั้งโต๊ะรับทำกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และต่ออายุภาษีรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ภายในบริเวณสถานีบริการน้ำมันดังกล่าว ต่อมา เมื่อกลุ่มนักศึกษาได้ชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัย นายบัณฑิตฯ ได้ออกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวให้แก่ผู้ขอเอาประกันภัยในนาม บริษัท ศรีกรุงโบรกเกอร์ จำกัด แต่ไม่นำเงิน ค่าเบี้ยประกันภัยส่งให้แก่บริษัทประกันภัย รวมทั้งไม่ดำเนินการต่ออายุภาษีรถประจำปีให้แก่กลุ่มนักศึกษาแต่อย่างใดภายหลังได้รับรายงาน นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จึงได้มอบอำนาจให้ นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการด้านกฎหมายและตรวจสอบ นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค นายจอม จีระแพทย์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี และนางสาววิไลรัตน์ แสงแก้ว ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดโดยสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัย รับข้อร้องเรียน รวมถึงให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายในการแจ้งความร้องทุกข์นายบัณฑิตฯ ในความผิดฐานฉ้อโกงและความผิดตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น โดยมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์นายบัณฑิตฯ ต่อพนักงานสอบสวน จำนวน 57 ราย นอกจากนี้ บริษัท ศรีกรุงโบรกเกอร์ จำกัด ได้เยียวยาความเสียหายโดยการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 57 รายในวันเดียวกันนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายบัณฑิตฯ ว่า การที่ นายบัณฑิตฯ รับชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย แต่มิได้แจ้งขอเอาประกันภัย และมิได้นำส่งเงินค่าเบี้ยประกันภัยให้กับบริษัทประกันภัย อันมีผลทำให้ผู้ขอเอาประกันภัยมิได้รับความคุ้มครอง การกระทำของนายบัณฑิตฯ ดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการดำเนินงานที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 76/1 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวของนายบัณฑิตฯ ถือได้ว่ามีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการให้ผู้อื่นนั้นทำสัญญาประกันภัยกับบริษัท แต่ไม่ดำเนินการให้มีการทำสัญญาประกันภัยเกิดขึ้น และโดยการหลอกลวงดังกล่าวของนายบัณฑิตฯ ทำให้ได้ไป ซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามการกระทำของนายบัณฑิตฯ จึงเข้าข่ายเป็นความผิดฉ้อฉลประกันภัยตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งนายบัณฑิตฯ รับทราบตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว และไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดนำมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาข้างต้นอีกเลขาธิการ คปภ. ในฐานะนายทะเบียน จึงมีคำสั่งที่ 27/2568 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยของนายบัณฑิตฯ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 76/1 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ นายบัณฑิตฯ ไม่สามารถกระทำการและไม่อาจยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันชีวิตและวินาศภัยได้ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 สำหรับความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไปสำหรับประเด็นปัญหาคนกลางประกันภัยทุจริตเงินค่าเบี้ยประกันภัยนั้น สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ได้วางแนวทางการดำเนินการและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างให้บริษัทประกันภัยกำหนดแนวนโยบายให้การรับชำระเบี้ยประกันภัยจะต้องโอนเข้าบัญชีของบริษัทประกันภัยโดยตรงเท่านั้น หากตัวแทนประกันภัยหรือนายหน้าประกันภัยบุคคลธรรมดา รับชำระค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงินสดจากผู้ขอเอาประกันภัย บริษัทประกันภัยจะต้องมีระบบในการตรวจสอบการรับชำระเงินของตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย โดยให้นำส่งบริษัทประกันภัยภายใน 24 ชั่วโมงหากมีการฝ่าฝืนไม่นำส่งเงิน ภายในระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ให้บริษัทประกันภัยยกเลิกสัญญาแต่งตั้งตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย บุคคลธรรมดา และนำข้อมูลดังกล่าวส่งให้สำนักงาน คปภ. เพื่อบันทึกในระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย หรืออาจจะฉ้อฉลประกันภัยของตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัยต่อไปแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=186553
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
14/07/2025
‘เบิกบานบุรี’ จับมือ ‘นายดี ช่างหม้อ’ ชวนศิลปินนานาชาติมาจัด เวิร์คช้อปเซรามิก ที่ เขาใหญ่ ภายใต้แนวคิด ‘เสียงกระซิบจากพงไพร’ธีรศักดิ์ ธนพัฒนากุล ผู้ก่อตั้ง เบิกบานบุรี พื้นที่เวิร์คช้อปศิลปะและธรรมชาติที่เขาใหญ่ ร่วมมือกับ นายดี ช่างหม้อ ศิลปินเซรามิกชาวไทยจัด โครงการ KICA - Nature Speaks เชิญชวนศิลปินต่างชาติ 13 คน จาก 10 ประเทศเข้ามาพำนักในเมืองไทย เพื่อทำเวิร์คช็อปและใช้เวลาร่วมกับศิลปินไทย เยาวชนและผู้ที่สนใจในงานเซรามิก ที่ เบิกบานบุรี เขาใหญ่ 1-14 กรกฎาคม 2568จัดงานแถลงข่าวในบรรยากาศอบอุ่นยามสายท่ามกลางกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่ เท ทรงวาด สำหรับโครงการ KICA (Khao Yai International Contemporary Arts)โดยมี ธีรศักดิ์ ธนพัฒนากุล ผู้ก่อตั้งเบิกบานบุรี อดีต Worldwide Chairman บริษัทโฆษณาที่ปัจจุบันมาทำงานศิลปะร่วมสมัย และ นายดี ช่างหม้อ ศิลปินเซรามิกที่มีผลงานเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกันเล่าถึงที่มาของโครงการและกิจกรรมพิเศษภายใต้แนวคิด Nature Speaks ว่าเกิดจากความต้องการให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติที่มีต่อทุกชีวิตในโลกนี้ ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความรักความเคารพ การปกป้องรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน รวมทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศอันเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพของโลกอีกด้วยธีรศักดิ์ ธนพัฒนากุล นายดี ช่างหม้อ และศิลปินนานาชาติในโครงการ KICA (Khao Yai International Contemporary Arts)กิจกรรมนี้ได้เชิญชวนศิลปินต่างชาติ 13 คน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ DAG – นอร์เวย์, Brian - สหรัฐอเมริกา, Silvia - อิตาลี, Tevfik – ตุรกี, Ruth - ออสเตรเลีย, Yang - สิงคโปร์, Demi - ญี่ปุ่น,Hyunmoon - เกาหลี, Ziyun - จีน, Lu - จีน, ลี – เกาหลี, นายดี และ ธีรศักดิ์ 2 ศิลปินไทย ไปพำนักและสร้างสรรค์ผลงานเซรามิกขนาดใหญ่ที่เบิกบานบุรี เขาใหญ่ โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนและผู้สนใจงานศิลปะเข้าร่วมเวิร์คช้อปกับศิลปินด้วย (มีโปรแกรม 1 วันและ 4 วัน) ระหว่างวันที่ 11 – 14 กรกฎาคม 2568สำหรับผลงานที่สร้างสรรค์ของศิลปินนานาชาติเมื่อแล้วเสร็จ จะนำมาจัดแสดงในนิทรรศการที่มีชื่อว่า Nature Speaks ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2568 ที่ร้านเท ทรงวาด อีกครั้งหนึ่งธีรศักดิ์ ธนพัฒนากุล ผู้ก่อตั้งเบิกบานบุรี อดีต Worldwide Chairman บริษัทโฆษณาที่ปัจจุบันมาทำงานศิลปะร่วมสมัย“เราเชื่อว่าธรรมชาติ คือภาษาสากลที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนจากทุกวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โครงการ KICA เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสนทนาระหว่างมนุษย์ กับ ธรรมชาติ และระหว่างศิลปินต่างวัฒนธรรม การได้เห็นศิลปินนานาชาติ ศิลปินไทย และน้อง ๆ เยาวชน มาสร้างสรรค์ผลงานร่วมกันในพื้นที่ที่เปี่ยมด้วยพลังอย่างพื้นที่เขาใหญ่ ทำให้เราตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะถือกำเนิดขึ้น" ธีรศักดิ์ กล่าวหลังจิบกาแฟจบการแนะนำโครงการแล้ว สองศิลปินตัวแทนจากประเทศไทยและผู้ริเริ่มโครงการได้เชื้อเชิญให้ศิลปินต่างชาติและผู้มาร่วมงานขึ้นไปชมพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะบนชั้น 2 และ 3 ของร้านเท ทรงวาด ซึ่งกำลังจัดแสดงผลงานของ ธีรศักดิ์ แห่งเบิกบานบุรี ในนิทรรศการ RE>BIRTH ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงพลังของภูเขาภูเขาสแตนเลสลอยอยู่กลางห้องนิทรรศการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในเถ้าถ่าน“คุณมองเห็นความรักและความหวังอยู่ในนั้นไหม”ธีรศักดิ์ สร้างภูเขาสแตนเลสขนาด 4 X 1.30 เมตร ติดตั้งให้ลอยอยู่กลางห้องเพื่อให้ผู้ชมได้ใกล้ชิดกับภูเขามากที่สุด ทั้งนี้ยังสามารถเข้าไปดูสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืดของภูเขาด้วยการนำไฟฉายเข้าไปส่องพี่ค้นหาประติมากรรมเซรามิกรูปสัตว์น้อยใหญ่ที่ต้องจากไปด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางกองถ่านสีดำที่เรียงรายอยู่ด้านในของภูเขาสแตนเลส“เมื่อทุกอย่างดับสิ้น ความรักของเรายังทำงานอยู่ไหม” ศิลปินตั้งคำถามต่อ กองเถ้าถ่านบนพื้นห้องจัดแสดงปรากฏดอกไม้สีชมพู (สื่อความหมายถึง ความรัก) ที่งอกงามขึ้นมาใหม่ ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นในพลังแห่งความรัก การดับสิ้นก่อให้เกิดสิ่งใหม่ได้เสมอนี่คือ ผลงานศิลปะจากเบิกบานบุรีที่รอคอยภาคต่อที่จะเกิดขึ้นใน โครงการ KICA - Nature Speaks ซึ่งจะนำมาจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันนี้ในเดือนสิงหาคม - กันยายน โปรดติดตามกันต่อไปภาพ : สมัชชา อภัยสุวรรณนิทรรศการ RE>BIRTH จัดแสดงวันนี้ – 20 กรกฎาคม 2568 ทุกวันเวลา 9.30 – 17.30 น. ชั้น 2 และ 3 ร้านเท ทรงวาดติดตามรายละเอียดการเข้าร่วมเวิร์คช้อปกับศิลปินนานาชาติในโครงการ KICA - Nature Speaksได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/burgbarnburi โทร. 09 5426 2035พิกัดร้านเท ทรงวาด https://maps.app.goo.gl/JuergLukUkrgiKLU6เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/taysongwatแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1187110
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
14/07/2025
พังงาเปิดตัวที่เที่ยวแห่งใหม่ “น้ำตกภูผาสวรรค์” แหล่งธรรมชาติอันซีนกลางผืนป่า ที่แม้วันนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเที่ยวอย่างต่อเนื่องจังหวัดพังงาเปิดตัวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ได้แก่ “น้ำตกภูผาสวรรค์” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านนาแฝก หมู่ 9 ตำบลนาเตย อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงาน้ำตกภูผาสวรรค์ เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีธารน้ำไหลออกมาจากผืนป่าผ่านหน้าผาในความสูงประมาณ 60 เมตร ลงสู่ด้านล่างที่เป็นแอ่งน้ำใสเย็นฉ่ำ ซึ่งสามารถลงเล่นน้ำได้ 2 จุด ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของป่าดิบชื้น มีมอส เฟิร์น ต้นไม้ป่าขึ้นปกคลุมตามโขดหิน บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ในระบบนิเวศของน้ำตกแห่งนี้วันนี้น้ำตกภูผาสวรรค์ถือเป็นดังอันซีนพังงาที่มีความสวยงามแต่คนยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อย่างไรก็ดีหลังน้ำตกแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติทยอยเข้ามาเที่ยวชมและเล่นน้ำตกภูผาสวรรค์กันอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ที่สนใจต้องการไปเยี่ยมชมความสวยงามของน้ำตกภูผาสวรรค์ สามารถเดินทางโดยใช้ถนนเพชรเกษมสายอำเภอท้ายเหมือง–ตลาดโคกกลอย ขับจากตัวอำเภอท้ายเหมืองประมาณ 6 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านนาแฝก แล้วขับต่อไปตามถนนลาดยางและคอนกรีตในชุมชนอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะพบกับลานจอดรถใกล้ทางเข้าน้ำตก แล้วเดินเท้าไปอีกเพียง 20 เมตร ก็จะได้พบกับความงดงามของน้ำตกภูผาสวรรค์ซ่อนตัวอยากลางผืนป่า มีสายน้ำไหลเย็นชุ่มฉ่ำ เหมาะต่อการพักผ่อนและเล่นน้ำไม่น้อยนับได้ว่าน้ำตกภูผาสวรรค์เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย หาความสงบ และสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ท่ามกลางป่าเขาในจังหวัดพังงาภาพ: อโนทัย งานดีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000065502
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
09/07/2025
“ก้าวแรกของอิสรภาพทางการเงิน เปิด 6 บทเรียน “การเงิน” ที่โรงเรียนไม่สอน แต่พ่อแม่ควรสอน "ลูก" เก็บออม ให้เป็น ,ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ,ไม่เป็นทาสการตลาด และ แยกให้ออก อยากได้ กับ จำเป็น ต่างกันอย่างไร ?”“ถ้าเราไม่สอนลูกให้ควบคุมเงินตั้งแต่วันนี้…วันหนึ่งเงินจะควบคุมชีวิตเขาแทน”แนวคิดบางส่วนของ Dave Ramsey นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนบุคคล ระดับโลก คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อคิดเชิงปรัชญา แต่สะท้อนความจริงของโลกยุคปัจจุบันได้อย่างตรงไปตรงมา หลายคนใช้ชีวิตไปโดยไม่มีเข็มทิศทางการเงิน ขาดทักษะพื้นฐานอย่างการวางแผน การควบคุมอารมณ์ในการใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งการเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของเงิน เพราะไม่เคยมีใครสอนมาตั้งแต่เด็กแม้โรงเรียนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิชานี้เท่าที่ควร แต่บ้านและพ่อแม่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดได้ และนี่คือ 6 บทเรียนพื้นฐานทางการเงิน ที่พ่อแม่ควรสอนลูกตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนที่เขาจะเติบโตไปเจอโลกจริงที่บางครั้งโหดร้ายเกินกว่าจะมีโอกาสเริ่มใหม่ได้ง่าย ๆ6 บทเรียนพื้นฐานทางการเงิน พ่อแม่ ใช้สอนลูกได้ 1. แยกแยะให้ได้ ระหว่าง “จำเป็น” กับ “อยากได้”นี่คือพื้นฐานของการใช้จ่ายอย่างมีสติ เพราะในทุกช่วงวัยของชีวิต มนุษย์จะเผชิญกับทางเลือกระหว่าง “สิ่งที่อยากได้” กับ “สิ่งที่จำเป็นต้องมี” อยู่เสมอ การปล่อยให้เด็กโตมากับแนวคิดที่ว่า อยากได้อะไรก็ต้องได้ อาจทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ติดกับดักบริโภคนิยม และเสพความพอใจชั่วขณะโดยไม่คิดถึงผลกระทบระยะยาวตัวอย่างง่าย ๆ: ของเล่นใหม่กับรองเท้านักเรียนคู่ใหม่ อะไรสำคัญกว่า?2. เงินไม่ได้มาจากตู้วิเศษ หรือบัตรเสกของเด็กหลายคนคิดว่าแค่พ่อแม่รูดบัตรหรือกดเงินจากตู้ ATM เงินก็จะไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือความเข้าใจผิดที่ต้องรีบแก้ไข พ่อแม่ควรอธิบายที่มาของเงินให้ลูกเข้าใจว่า ทุกบาทเกิดจากการทำงานหนัก ต้องแลกมาด้วยเวลา ความรู้ ความพยายาม และความรับผิดชอบลองให้ลูกเห็นภาพโดยชวนไปที่ทำงาน หรือเล่าเรื่องวันทำงานเหนื่อย ๆ พร้อมจำนวนเงินที่ได้มา จะช่วยให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของเงินมากขึ้น3. ให้ใช้เอง เรียนรู้เอง ด้วยงบประจำวันการให้ค่าขนมไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่คือโอกาสในการฝึกวางแผนและตัดสินใจ ลองให้ลูกมี “งบประจำวันหรือประจำสัปดาห์” แล้วปล่อยให้เขาบริหารเอง เช่น จะใช้หมดในวันเดียว หรือจะแบ่งเก็บเพื่อซื้อของที่ใหญ่กว่าก็ได้ บทเรียนนี้จะทำให้เด็กรู้จักการยับยั้งชั่งใจและเห็นค่าของการออมอย่ากลัวให้ลูกใช้เงินพลาดในวงจำกัด เพราะการเจ็บจากเงิน 50 บาทวันนี้ ดีกว่าพลาดครั้งละ 5 หมื่นในอนาคต4. ซื้อของอย่างมีแผน : ตั้งงบ + เปรียบเทียบ + หาความคุ้มเด็กสามารถเรียนรู้การวางแผนการใช้เงินได้ตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มจากการซื้อของเล่นหรือขนมง่าย ๆ ชวนลูกวางงบ ทำลิสต์ของที่ต้องการ แล้วลองเปรียบเทียบราคาหลายร้าน อธิบายว่า “ราคาถูก” ไม่ได้แปลว่าคุ้มเสมอ และบางครั้งของแพงอาจใช้ได้นานกว่าและคุ้มค่ากว่าในระยะยาวเทคนิค: ทำกิจกรรม “ตามล่าของดีราคาถูก” กับลูก และให้เขาเป็นคนตัดสินใจสุดท้าย5. โฆษณา = เรื่องแต่งบางส่วนเด็กสมัยนี้โตมากับหน้าจอ โฆษณาในยูทูบ เกม หรือโซเชียลมีอิทธิพลอย่างมาก หากไม่รู้เท่าทัน เด็กอาจถูกชักจูงให้ใช้เงินกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีคุณค่าพ่อแม่ควรฝึกให้ลูกตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น เช่น “สินค้านี้ดีจริงหรือแค่ดูดีในโฆษณา?” “เราต้องการมันจริงไหม?” อธิบายให้ลูกเห็นว่าการตลาดคือการทำให้คนอยากซื้อ ไม่ได้แปลว่าสินค้านั้นจำเป็นเสมอ6. รู้จัก “แบ่งปัน” เพื่อใช้เงินให้โลกดีขึ้นการใช้เงินอย่างชาญฉลาดไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับสังคมด้วย พ่อแม่สามารถปลูกฝังจิตสำนึกด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ให้ลูกได้ตั้งแต่เด็ก เช่น สอนให้ลูกแบ่งเงินบางส่วนไปบริจาค ช่วยเหลือเพื่อน หรือซื้อของให้คนที่ลำบากบางครอบครัวมี “กระปุกแห่งการให้” แยกไว้จากกระปุกออมทรัพย์ เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าการแบ่งปันคือหนึ่งในความสุขของการใช้เงินสุดท้ายแล้ว อย่าลืมว่า แมโลกอนาคตเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เด็กที่เติบโตขึ้นโดยไม่มีภูมิคุ้มกันเรื่องเงิน อาจตกเป็นเหยื่อของหนี้สิน การใช้จ่ายเกินตัว หรือการไม่รู้จักออม การเริ่มต้นสอนลูกตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่อง “ตัวเลข” แต่คือการวางรากฐานชีวิตให้เขามีอิสรภาพในอนาคต หรือ สอนให้ลูกใช้เงินอย่างฉลาดวันนี้ ดีกว่าปล่อยให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีอำนาจต่อรองในวันหน้าที่มา : ธนาคารไทยพาณิชย์ แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/financial_planning/2854972
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
09/07/2025
คปภ. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย - เงินกองทุนด้านความเสี่ยง ยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้เป็นมาตรฐานสากล เริ่มใช้ 31 ธ.ค. 2568สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ปรับปรุงแนวทางการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 6-21 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมชี้แจงไป เมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2568 รวมทั้งได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเชิงเทคนิค (Focus Group) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยทั้งนี้ ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ได้แก่ 1. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย 2. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต และ 3. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยสำหรับหลักการที่ได้มีการปรับปรุง คือ ปรับปรุงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย และเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิม พิจารณาที่ระดับผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น เปลี่ยนเป็น พิจารณาที่ระดับประเภทการรับประกันภัย ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันเริ่มมีผลบังคับใช้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/633943
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
09/07/2025
เพื่อสานสายใยมิตรภาพ เฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน “ไอคอนสยาม” จับมือบริษัทเซี่ยงไฮ้ ยู่หยวน ทัวริสต์มาร์ท กรุ๊ป ผู้จัดเทศกาลโคมไฟยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และอินเตอร์สเต็ปส์ ร่วมกันจัดงานใหญ่แห่งปี “มหกรรมแสดงศิลปะโคมไฟยู่หยวน : ชุดจิตวิญญาณแห่งภูผาและมหาสมุทร และเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน” (Spirit of Mountains and Seas:Yuyuan Lantern Festival and 2025 China–Thailand Culture Month) ถือเป็นมหกรรมโคมไฟยู่หยวนเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศ ไทย เปิดประสบการณ์ให้ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้สัมผัสความงดงามทรงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่ของจีน ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00-22.00 น. ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยามมหกรรมโคมไฟยู่หยวนจากนครเซี่ยงไฮ้ ไม่เพียงสะท้อนถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ยังทำให้เห็นถึงพลังของศิลปวัฒนธรรม ที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนจากต่างเชื้อชาติให้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ “ไอคอนสยาม” ในฐานะจุดหมายปลายทางแห่งประสบการณ์ระดับโลก มุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือทางศิลปะ และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษด้านศิลปวัฒนธรรมให้กับผู้มาเยือนทุกคน“เทศกาลโคมไฟยู่หยวนจากนครเซี่ยงไฮ้” เป็นเทศกาลโคมไฟที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีน โดยครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เทศกาลโคมไฟ อันงดงามและยิ่งใหญ่ระดับตำนานโลก ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีนงานนี้จัดแสดงในธีม “จิตวิญญาณแห่งภูผาและมหา สมุทร” ได้แรงบันดาลใจจากคัมภีร์โบราณ “ซานไห่จิง” หรือ “คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล” มาผนวกเข้ากับแนวคิด “เกาะแห่งเจ้าพระยา” จำลองเป็นดินแดนมหัศ จรรย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ดูราวกับเป็นเกาะลอยน้ำ ประดับประดาด้วยแสงสีหลากหลายของโคมไฟร่วมสมัย ผสานเทคนิคแสง เงา และอินเตอร์แอคทีฟ ให้โคมไฟแต่ละกลุ่มเปรียบเสมือนเกาะลึกลับที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ โดยมีสิ่งมีชีวิตจากคัมภีร์ ขุนเขาและท้องทะเลรอคอยให้ผู้ชมได้เข้าไปสำรวจและค้นพบประ สบการณ์ใหม่อันตระ การตา นับเป็นการนำเสนอภาพแห่งมิตรภาพอันงดงามระหว่างไทยกับจีนในรูปแบบที่ชวนตื่นตาตื่นใจนอกจากความตระการตาของมหกรรมโคมไฟยู่หยวน ภายในงานยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแสดงศิลปวัฒนธรรม, ตลาดสินค้าท้องถิ่น, การจัดงานสัปดาห์วัฒนธรรมในธีมต่างๆ รวมถึงนิทรรศการศิลปะและแสงสี ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน ท่ามกลางแสงสีของโคมไฟ ที่สะท้อนแสงแห่งมิตรภาพไทย-จีนสู่สายตาทั่วโลกเปิดให้ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าชมฟรี (ยกเว้นโซนนิทรรศการพิเศษ บัตรเข้าชมราคา 200บาท) ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00-22.00 น. ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยาม.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/thaitravel/2868473
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
09/07/2025
มือใหม่หัดบิน อาจจะมีหลายอย่างที่กังวลและกลัวอยู่ อย่างเช่น เรื่องการเข้าห้องน้ำบนเครื่องบิน หลาย ๆ คนอาจจะกังวลไม่รู้วิธีการใช้ห้องน้ำบนเครื่องบิน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางคน นี่คือวิธีใช้อย่างถูกต้องและสะดวกสบาย มือใหม่ต้องรู้ห้องน้ำบนเครื่องบิน อยู่ตรงไหน? • ห้องน้ำบนเครื่องบิน มักตั้งอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังของเครื่อง และบางลำมีตรงกลาง • ใช้สัญลักษณ์ “Lavatory” หรือสัญลักษณ์ห้องน้ำบนผนังเพื่อค้นหา • สามารถเช็กได้จาก ไฟแสดงสถานะ (ว่าง/ไม่ว่าง) หน้าห้องน้ำห้องน้ำบนเครื่องบินวิธีเปิด-ปิดประตูห้องน้ำบนเครื่องบิน • กดหรือเลื่อนปุ่มเปิด (ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องบิน) • เมื่อเข้าไปแล้ว ล็อกประตู โดยเลื่อนสลักหรือกดปุ่มให้แน่นการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องน้ำบนเครื่องบิน • กดปุ่มชักโครก (Flush) หลังใช้เสร็จ เครื่องจะดูดน้ำอัตโนมัติ • ใช้กระดาษชำระที่มีให้และทิ้งลงชักโครก ห้ามทิ้งขยะอื่นๆ • ล้างมือด้วยน้ำกด (บางรุ่นต้องกดค้าง) และใช้กระดาษเช็ดมือหรือเครื่องเป่าลมออกจากห้องน้ำอย่างปลอดภัย • เช็กให้แน่ใจว่าไม่ได้ลืมของ • เปิดประตูออกอย่างระมัดระวัง เผื่อมีคนรออยู่ข้างนอกข้อควรระวัง • ห้ามสูบบุหรี่ในห้องน้ำ (มีสัญญาณเตือนและค่าปรับสูง) • หลีกเลี่ยงการเข้าออกบ่อยๆ ในช่วงที่มีการแจกอาหารหรือรถเข็นกำลังผ่าน • ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน เช่น ประตูล็อกไม่ออก ให้กดปุ่มเรียกพนักงานแค่นี้ก็สามารถใช้ห้องน้ำบนเครื่องบินได้อย่างสะดวกและถูกต้องแล้วแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451755/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
25/06/2025
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)เมื่อพูดถึงนิสัยการออมเงิน หลายคนอาจจะนึกถึงความจำเป็นต้องมีวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด หรือบังคับตัวเองให้หักเงินออมทุกเดือน อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งแนวทางการออมที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “การออมเงินแบบไม่รู้ตัว” โดยอาศัยหลักจิตวิทยาและจิตใต้สำนึกที่จะสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยที่การออมนั้นยังคงประสิทธิภาพไว้เช่นเดิมวิธีการออมเงินแบบไม่รู้ตัวแนวคิดนี้เริ่มต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง ที่ผมจะแบ่งเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันออกเป็น 3 ชั้น ซึ่งทำให้ผมพบว่าวิธีนี้สามารถที่จะช่วยเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ชั้นที่ 1 : ให้ทุกคนจินตนาการถึงกระเป๋าเงินนะครับ ชั้นแรกของกระเป๋าสตางค์ของผมนั้นจะอยู่ข้างในที่สุด ลึกที่สุด เพื่อที่ผมจะเก็บแบงก์ใหญ่ ๆ เอาไว้ เช่น แบงก์ 1,000 หรือแบงก์ 500 เอาไว้ในกระเป๋าเงินของตัวเอง เอาไว้เผื่อต้องจ่ายอะไรที่ฉุกเฉินต่าง ๆชั้นที่ 2 : ชั้นนี้ผมขอเรียกว่าชั้นกลาง หรือเป็นช่องที่เราจะเอามาหยิบจับใช้บ่อยที่สุด ซึ่งกระเป๋าส่วนนี้ผมจะเอาไว้เก็บแบงก์ย่อย เช่น แบงก์ 100 หรือแบงก์ 20 ซึ่งจะถูกจัดเก็บอยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมเองชั้นที่ 3 : จะเป็นชั้นที่เอาไว้เก็บเศษเหรียญ หรือเหรียญจากเงินทอน เช่น เหรียญ 10 บาท เหรียญ 5 บาท เป็นต้นวิธีนี้ทำให้ควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยปกติแล้ว ในชีวิตประจำวันผมจะใช้เงินในชั้นที่ 2 หรือชั้นกลาง (แบงก์ย่อย) เป็นหลักในการใช้จ่าย ซึ่งสิ่งที่สำคัญในชั้นที่ 2 หรือชั้นกลางนี้คือเราจะรู้จำนวนเงินในชั้นอยู่เสมอ ว่ามีเงินประมาณเท่าไหร่ในกระเป๋าของเรา เมื่อเราเริ่มที่จะใช้เงิน จิตใต้สำนึกของเราก็จะคอยคิดว่าเราใช้ไปเท่าไหร่ เหลืออยู่เท่าไหร่ ซึ่งทำให้เราเข้าใจการใช้จ่ายในแต่ละวันได้อย่างไม่รู้ตัวแต่ถ้าหากวันนั้นเงินในชั้นกลางไม่พอ เราจะรู้สึกว่าอาจจะต้อง “ยืม” เงินจากชั้นที่ 1 (กระเป๋าเงินหรือแบงก์ใหญ่) เพื่อมาใช้จ่ายต่อไป ซึ่งจะทำให้เริ่มรู้สึกและจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “วันนี้ใช้เงินเยอะไปหรือเปล่า ?” เหมือนกับว่ากำลังยืมเงินจากตัวเองเพื่อที่จะรักษาความสมดุลในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการใช้เงินแบบที่ผมได้กล่าวไปจะทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับส่วนชั้นที่ 3 หรือช่องเก็บเหรียญ ที่มาจากเงินทอนหรือเหรียญที่เราเก็บอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว ผมแนะนำให้เก็บเหรียญเหล่านี้อย่างดี และนำกลับบ้านไปใส่กระปุกเก็บไว้ เพราะเหรียญเหล่านี้สามารถกลายเป็นเงินเก็บจำนวนมากได้ในอนาคต หากพิจารณาตามตัวอย่างต่อไปนี้ ในหนึ่งวัน เวลาที่คุณใช้จ่ายมักจะมีเหรียญทอนกลับมาบ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ถ้าคุณเก็บเหรียญเหล่านี้ทุกวัน อย่างเช่น ประมาณ 20 บาท ต่อวัน แล้วหยอดกระปุกทุกวัน วันหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี คุณอาจจะมีเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เพียงแค่เก็บเหรียญเหล่านี้ไว้ทุกวัน โดยที่ไม่ไปแตะต้องเงินในช่องนี้เลย การออมเงินในรูปแบบนี้อาจจะดูไม่เยอะ แต่หากสะสมไปเรื่อย ๆ ทุกวัน จะกลายเป็นกองทุนใหญ่ที่สร้างเงินเก็บได้โดยไม่รู้ตัวครับสรุปส่งท้ายการแบ่งเงินออกเป็น 3 ชั้นช่วยให้เราสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีระเบียบ โดยชั้นที่ 1 จะเป็นเหมือนทุนสำรองที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ชั้นที่ 2 คือเงินสำหรับใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งหากเหลือก็สามารถนำไปสะสมใช้ในวันถัดไปได้ส่วนชั้นที่ 3 คือเศษเหรียญที่ได้จากการทอนหรือการใช้จ่ายในแต่ละวัน เราสามารถนำเหรียญเหล่านี้ไปออมเพื่อสร้างเป็นเงินเก็บอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ซึ่งการแบ่งเงินแบบนี้จะช่วยให้ไม่รู้สึกกดดันในการควบคุมค่าใช้จ่าย เพราะทุกอย่างจะเป็นการทำตามนิสัยและธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องคิดหรือคำนวณมากเกินไป ทั้งยังช่วยให้มีการเก็บออมเงินอย่างไม่รู้ตัว โดยไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถจัดการกับเงินได้ดีขึ้น และสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติครับหากคุณออมเงินในรูปแบบของการลงทุน เช่น หุ้นหรือกิจการ การเข้าใจมูลค่ายุติธรรมจะช่วยให้คุณวางแผนทางการเงินระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.abs-valuation.com/tfrs9-fair-valueแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1818482
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สุขภาพ
25/06/2025
หลายปีที่ผ่านมา “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” ถูกกล่าวถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังขาดความตระหนักและความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วภาวะดังกล่าวใกล้ตัวและร้ายแรงกว่าที่คิด ซึ่งในขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิกของชาวมิลเลนเนียลที่ถูกกระตุ้นด้วยสังคมผู้สูงอายุ เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณะสุข ทั้งด้านการเงินและความเป็นอยู่ของผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอย่างไร ?หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นระริก หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอเอฟ” (AF: Atrial Fibrillation) คือการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ ส่วนมากหัวใจจะเต้นเร็วเกินไป มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ปกติจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที) จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อของหัวใจห้องบนทั้งสองห้องไม่สัมพันธ์กันจากรายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019)* พบว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึง 5-6 เท่า หลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2593 มีการคาดเดาว่าจำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียจะมีมากถึง 72 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีผู้ป่วยมากเป็น 2 เท่าของจำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือรวมกันปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอ.นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จริง ๆ แล้วมีเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นภาวะนี้คือ อายุ และเนื่องด้วยสังคมปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นตามไปด้วยส่วนปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไขมันสูง และผู้ที่เคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอาการโดยทั่วไปของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ • เหนื่อยง่าย • อ่อนเพลีย • ใจสั่น • หายใจติดขัด • แน่นหน้าอกซึ่งมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยออกกำลังกายได้น้อยลงอย่างไรก็ตาม อ.นพ.ธัชพงศ์ กล่าวว่า “เนื่องจากอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้งไม่ชัดเจนเหมือนโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่คิดว่านั่นคือความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มาหาหมอครั้งแรกด้วยอาการอัมพาต บ้างมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจากภาวะน้ำท่วมปอด” ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฯ ที่พบว่า 15-46% ของผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกไม่มีอาการ และผู้ป่วย 10.7% มีอาการเรื้อรังขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผลกระทบต่อชีวิตนอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังก่อให้เกิดภาระในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านการเงิน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต จากรายงานข้างต้น ผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นถึง 1.8-5.6 เท่าในทุก ๆ 10 ปี และมากถึง 57% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตถูกบั่นทอน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวและใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5 ถึง 12.5 วันต่อปีในโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อปีกว่า 2,400 เหรียญสหรัฐในไต้หวัน (ประมาณ 73,000 บาท) 3,600 เหรียญสหรัฐในไทย (ประมาณ 109,000 บาท) และเกือบ 9,000 เหรียญสหรัฐในเกาหลี (ประมาณ 273,000 บาท)ศาสตราจารย์ภิชาน นพ.กุลวี เนตรมณี อาจารย์พิเศษ ฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และอายุรแพทย์โรคหัวใจ และหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีการติดตามและร่วมการศึกษากับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกเพื่อติดตามการรักษาและสถานการณ์ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมจากภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจในไทยนั้นค่อนข้างจำกัด โอกาสต่อยอดและการฝึกฝนจึงมีน้อยตามไปด้วย ทำให้แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการรักษาในไทยมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย”การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก การรักษามี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่1. การใช้ยา เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอย่างยาละลายลิ่มเลือดควบคู่กับการควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป หรือการใช้ยาเพื่อให้หัวใจเต้นเป็นปกติตลอดเวลา กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ร่างกายจะไม่ตอบสนองกับยากลุ่มหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นยาทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อรักษาอาการให้หายขาด ยังคงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเป็นอัมพฤตอัมพาตและโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาอยู่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ก่อให้เกิดปัญหาด้านค่าใช้จ่าย2. การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency Catheter Ablation) นับเป็นวิทยาการล่าสุดและมีวิธีกระบวนการรักษาที่ต่างกันออกไปแล้วแต่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น นพ.กุลวี อธิบายถึงการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยวิธีที่ท่านกำลังใช้อยู่ว่า “เป็นการรักษาด้วยการจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุผนวกกับการจำลองภาพ 3 มิติของหัวใจ 2 ห้องบนพร้อมประมวลผลและแสดงความซับซ้อนของคลื่นไฟฟ้าในหัวใจโดยใช้สีเพื่อจำลองหัวใจผู้ป่วยให้เสมือนจริงมากที่สุด ทำให้การหาตำแหน่งและจี้ทำลายจุดที่ก่อให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะชัดเจนและแม่นยำขึ้น เป็นการรักษาที่ต้นเหตุโดยตรง ทำให้การฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น” งานวิจัยของ นพ.กุลวี ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยบางรายที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถหายขาดได้ อายุยืนขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีโอกาสน้อยกว่า 3-4% ที่อาการจะกลับมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยด้วย คุณหมอทั้งสองท่านกล่าวเหมือนกันว่า เราควรตรวจดูชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ เพราะหากตรวจเจอเร็วก็จะสามารถรักษาได้แต่เนิ่น ๆ เปอร์เซ็นต์การหายขาดก็จะเพิ่มขึ้นตาม แต่ที่สำคัญที่สุดเราควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง ป้องกันกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีก็จะตามมา *รายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019) คือรายงานสถิติที่ถูกรวมรวบโดย Biosense Webster ผู้นำระดับสากลด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินัจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สถิติและข้อมูลในรายงานถูกรวบรวมจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์และการค้นคว้าทางคลินิก ทั้งนี้ ข้อมูลด้านความแพร่หลายและค่ารักษาพยาบาลถูกรวบรวมจากงานวิจัยที่ถูกจัดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตัวเลขจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/health/18811/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
09/07/2025
18/04/2024
25/10/2024
10/06/2024
29/04/2024