คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ภาษี

ธุรกิจต้องรู้ "บริจาค" แบบไหนประหยัดภาษี หักรายจ่ายได้สูงสุด 2 เท่า

30/04/2024

ทุกๆ ธุรกิจต่างก็ต้องเสียภาษี โดยหากวางแผนภาษีได้ดี ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น โดยรายจ่ายที่กิจการมักจะมองข้ามคือ "การบริจาค" ทราบหรือไม่ว่า การบริจาคบางประเภทสามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้สูงสุดถึง 2 เท่า แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทไหน เมื่อมีรายได้ย่อมต้องเสียภาษี ซึ่งในระหว่างปีภาษีนั้นๆ เจ้าของกิจการที่จดบริษัทเป็น "นิติบุคคล" สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักเป็นรายจ่าย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในการเสียภาษีได้ และรายจ่ายที่กิจการมักจะมองข้ามคือ “การบริจาค” ซึ่งในกรณีที่มีการบริจาคเงิน หรือทรัพย์สินในนามนิติบุคคลจะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ โดยเฉพาะการบริจาคบางประเภท สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้สูงสุดถึง 2 เท่า แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดดังนี้   •  หลักการบริจาคพื้นฐานเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษี สำหรับกิจการที่มีการบริจาคเงินและทรัพย์สินให้กับหน่วยงานต่างๆ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาระทางภาษีได้ต่างกัน ซึ่งแบ่งเป็น “กรณีทั่วไป” และ “กรณีพิเศษ” ดังนี้ 1.กรณีทั่วไป 1.1 หักได้ 1 เท่า แต่ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ - บริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะ ประกอบด้วย 1) วัด สภากาชาดไทย 2) สถานพยาบาล สถานศึกษาของราชการ 3) องค์การหรือสถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล และสถานศึกษาอื่นที่ รมว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา - บริจาคเพื่อการสาธารณประโยชน์ - บริจาคให้กองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ - บริจาคให้ 1) กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2) กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม 3) กองทุนคุ้มครองเด็ก - บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านบริษัทหรือนิติบุคคลอื่น - บริจาคให้กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม 1.2 หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ - บริจาคการศึกษา และการกีฬา - บริจาคให้กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ 2.กรณีพิเศษ 2.1 หักได้ 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิ - บริจาคให้สถานศึกษา ตามโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ - ค่าใช้จ่ายสร้างและบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ สนามกีฬาเอกชน - บริจาคให้กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา - รายจ่ายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดตั้งหรือสนับสนุนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก - บริจาคให้ 1) โครงการฝึกอบรมอาชีพ และกิจกรรมเกี่ยวกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็ก ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 2) ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม 2.2 หักได้ 1 เท่า ค่าใช้จ่ายที่จัดให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ   •  บริจาคให้สถานพยาบาลของทางราชการ บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่บริจาคเงินและทรัพย์สินให้กับสถานพยาบาลของทางราชการ สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาคไป ทั้งที่จ่ายเป็นเงินสดและทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และต้องเป็นรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้าง และการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ใช้ทั่วไป ไม่มีการเก็บค่าบริการ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการ ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อ สาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬาตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้กับกิจการสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป   •  บริจาคเงินให้มูลนิธิผ่าน e-Donation หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า ในส่วนของการบริจาคให้กับมูลนิธิ กิจการสามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาค หากทำการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรให้แก่มูลนิธิ 3 แห่ง ดังนี้ 1. มูลนิธิชัยพัฒนา 2. มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 3. มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินหรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมากจากการบริจาคให้แก่มูลนิธิดังกล่าว ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยการบริจาคผ่านระบบ e-Donation จะสามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคไว้ เพราะเป็นระบบบริจาคเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพกากรใช้รองรับข้อมูลการรับบริจาคของหน่วยงานต่างๆ เพื่อความสะดวก   •  บริจาคเพื่อส่งเสริมการศึกษา หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า กิจการที่บริจาคเงินและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาให้แก่สถานศึกษาของทางราชการ สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า ของรายจ่ายที่จ่ายไป แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และเพื่อการศึกษาหรือการกีฬา โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. นิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาให้แก่สถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาขององค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนและสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 1.1 บริจาคในโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ ได้แก่ - สถานศึกษาตามโครงการพระราชดำริ - สถานศึกษาตามนโยบายที่จะระดมพลังเพื่อเร่งรัดปรับปรุงคุณภาพ - สถานศึกษาที่รองรับพัฒนาเด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ 1.2 บริจาคให้แก่สถานศึกษาตามรายชื่อที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศกำหนด 1.3 บริจาคเพื่อการจัดหา หรือจัดสร้างอาคาร อาคารพร้อมที่ดินหรือที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในทางศึกษา 1.4 บริจาคเพื่อการจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อการศึกษา แบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา (กรณีบริจาคเป็นคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์จะต้องเป็นของใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน) 1.5 ต้องมีหลักฐานจากสถานศึกษาที่พิสูจน์ได้ว่าค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปนั้น เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาตามโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ (มีใบเสร็จของสถานศึกษา) ​ หมายเหตุ (1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเมื่อใช้สิทธิตามมาตรานี้แล้ว จะต้องไม่นำเงินบริจาคดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายเพื่อการศึกษาอีก หมายเหตุ (2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ใช้สิทธิตามมาตรการนี้ จะต้องไม่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนหรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น 2. กรณีนิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนด้านสันทนาการในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ สนามกีฬาของทางราชการหรือของเอกชนที่เปิดให้ริการเป็นการทั่วไปโดยไม่เก็บค่าบริการใดๆ รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อสนับสนุนด้านสันทนาการนี้ เมื่อไปรวมกับรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของ กำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา โดยหักรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายไป สรุป ดังนั้น จะเห็นได้ว่าหลายช่องทางการบริจาค กิจการสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่อย่างน้อยที่สุดการบริจาคทุกๆ ครั้ง ถือเป็นการทำบุญช่วยให้จิตใจเบิกบาน มีแรงใจในการบริหารจัดการธุรกิจของตนเองได้อย่างเต็มที่ แถมได้โบนัสเป็นเงินเหลือจากการเสียภาษีน้อยลงอีกด้วย ----------------------------------- Source : Inflow Accounting แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1031413

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ไทยรั้งท้าย อันดับระบบบำนาญดีที่สุดในโลก ปี 2022

30/04/2024

ผลสำรวจต่างประเทศเผย ไอซ์แลนด์ ระบบบำนาญดีที่สุดในโลก ขณะที่ไทย อันดับระบบบำนาญรั้งท้าย แนะนำให้วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณให้ดีที่สุด วันที่ 14 ตุลาคม 2565 บริษัท Mercer บริษัทให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ และการบริหารสินทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยรายงานการสำรวจ Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI) ครั้งที่ 14 ซึ่งร่วมกับสถาบัน CFA Institute สถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ในการสำรวจคุณภาพของระบบบำนาญใน 44 ประเทศ ผลการสำรวจ เปิดเผยว่า ประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) เป็นประเทศที่มีระบบบำนาญที่ดีที่สุดในโลก โดยได้คะแนนที่ 84.7 คะแนน จัดอยู่ในระดับ A ขณะเดียวกัน ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่ถูกจัดอันดับระบบบำนาญอยู่ในระดับ A อีก 2 ประเทศคือ เนเธอร์แลนด์ (Netherlands) ได้คะแนนที่ 84.6 คะแนน และเดนมาร์ก (Denmark) ได้คะแนนที่ 82.0 คะแนน ขณะที่ประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับประเทศที่มีระบบบำนาญดีที่สุดในโลก เป็นอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 44 ประเทศ โดยได้รับคะแนนที่ 41.7 คะแนน จัดอยู่ในระดับ D และเป็นอันดับสุดท้ายในระดับเอเชียอีกด้วย โดยสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับระบบบำนาญดีที่สุดในบรรดาประเทศทวีปเอเชีย (อันดับ 9 ของโลก ด้วยคะแนน 74.1 คะแนน) ผลการสำรวจมีการระบุถึงรูปแบบกองทุนบำนาญขององค์กรในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงจากกองทุนแบบกำหนดผลประโยชน์ทดแทน (Defined Benefit-DB) เป็นกองทุนแบบกำหนดเงินสมทบ (Defined Contribution-DC) ซึ่งทำให้ผู้คนต้องวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณกันมากขึ้น Dr. David Knox Senior Partner ของ Mercer ระบุว่า แต่ละคนมีความรับผิดชอบเรื่องการออมเพื่อการเกษียณมากขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่สูง และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการเกษียณอายุได้รับการสนับสนุน พัฒนา และควบคุมดูแลอย่างดี การสำรวจ MCGPI เป็นการสำรวจเกี่ยวกับระบบบำนาญจาก 44 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 65 ของประชากรโลก เน้นข้อบกพร่องบางประการในแต่ละระบบ และแนะนำด้านที่เป็นไปได้ของการปฏิรูปที่จะช่วยให้สวัสดิการหลังเกษียณมีความเพียงพอและยั่งยืนมากขึ้น โดยสำรวจจาก 3 ด้านหลักคือ 1. ความเพียงพอของบำนาญ (Adequacy) ในแง่ทรัพย์สิน ผลตอบแทน สิทธิประโยชน์ และการสนับสนุนจากภาครัฐ 2. ความยั่งยืนของระบบบำนาญหลังเกษียณ (Sustainability) โดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจ และหนี้สาธารณะ 3. ความครบถ้วน มั่นคงของระบบ (Integrity) ตั้งแต่ระเบียบและข้อกฎหมาย ความคุ้มครอง และการสื่อสารต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1084399

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน?

30/04/2024

หากคุณกำลังมีคำถามว่า จะเลือกรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ ลดดอกเบี้ยบ้านดี? วิธีการไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน วิธีการและขั้นตอน ความยาก-ง่ายของแต่ละวิธีจะเป็นอย่างไร วันนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)แนะนำคำตอบและเลือกวิธีประหยัดดอกเบี้ยบ้านที่เหมาะกับคุณในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เมื่อผ่อนบ้านมาได้สักระยะหรือเต็มที่ 3 ปี หลายคนก็คงคิดเรื่องของการ รีไฟแนนซ์บ้าน หรือ การขอลดดอกเบี้ยบ้านกัน เพราะเมื่อขึ้นปีที่ 4 หลายธนาคารมักจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น จากเดิม อัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ราว 3% – 4% ของภาระหนี้สิน แต่เมื่อปรับขึ้นจะอยู่ราว 5% – 7% เมื่อคิดต่อปีแล้ว ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึงหลักแสนบาทต่อปี ฉะนั้น หากคุณกำลังมีคำถามว่า จะเลือกรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ ลดดอกเบี้ยบ้านดี? วิธีการไหนจะคุ้มค่าากว่ากัน วิธีการและขั้นตอน ความยาก-ง่ายของแต่ละวิธีจะเป็นอย่างไร ธอส.พามาหาคำตอบและเลือกวิธีประหยัดดอกเบี้ยบ้านที่เหมาะกับคุณกันเลยรีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร? ได้อัตราดอกเบี้ยประมาณเท่าไร?รีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance) คือ การเปลี่ยนสินเชื่อจากธนาคารเดิมเป็นธนาคารใหม่ โดยมีการยื่นกู้ ยื่นเอกสารใหม่เหมือนเราขอสินเชื่อบ้านใหม่ทั้งหมด และมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ใหม่เหมือนกับการยื่นกู้ 3 ปีแรก ผู้ที่ขอยื่นรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารจึงมีโอกาสได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้านจากธนาคารเดิมอัตราดอกเบี้ยจากวิธีรีไฟแนนซ์บ้านเหมือนการคิดอัตราดอกเบี้ย แรกขอสินเชื่อ อาจได้โปรโมชันต่างๆ ของธนาคาร โดยอาจจะเป็น Fixed Rate แบบที่เพิ่มเป็นขั้น ซึ่งเฉลี่ยตลอด 3 ปี อาจจะอยู่ที่ 3% – 4% ขอลดดอกเบี้ยบ้าน คืออะไร? ได้อัตราดอกเบี้ยประมาณเท่าไร?การขอลดดอกเบี้ยบ้าน หรือที่เรียกกว่า “รีเทนชัน” (Retention) คือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมที่เรากำลังผ่อน ว่าหลังจากปีที่ 4 ที่อัตราดอกเบี้ยลอยตัวขึ้นไป จะขอลดอัตราดอกเบี้ยที่จะชำระได้หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารจะลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าชั้นดี (ไม่ผิดนัดชำระ ชำระไม่ขาด) อย่างไรก็ตาม วิธีขอลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมจะลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่มากเท่ากับวิธีรีไฟแนนซ์บ้านอัตราดอกเบี้ยจากวิธีขอลดดอกเบี้ยหรือ Retentionจากปกติที่อัตราดอกเบี้ยหลัง 3 ปี แรก (เฉลี่ยราว 3%-4%) อัตราดอกเบี้ยจะลอยตัวขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเหลือราว -0.5% หรือ -1% จาก MRR (Minimum Retail Rate) หรือก็คือ เหลือราว 5% – 7%แล้วเลือกแบบไหนคุ้มกว่ากัน?เมื่อเทียบกันว่า ระหว่าง รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน เฉพาะเรื่อง อัตราดอกเบี้ย ก็คือ วิธีรีไฟแนนซ์บ้านคุ้มกว่า แล้วรีไฟแนนซ์บ้านคุ้มกว่าขอลดดอกเบี้ยบ้านแค่ไหน ดูตัวอย่างด้านล่างนี้สมมติว่า ปัจจุบันเหลือภาระหนี้ 2,000,000 บาท ถ้วน หลังจากผ่อนมาแล้ว 3 ปี (ระยะเวลาผ่อนที่เหลือ 27 ปี) โดยอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 7% ต้องชำระสินเชื่อบ้าน 15,100 บาท ต่อเดือน (คำนวณสินเชื่อได้ที่นี่)กรณีขอลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม อย่างมากจะได้ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 5% ต่อปี จะมีภาระผ่อนชำระหนี้ 12,500 บาท ต่อเดือน (ลดลง 2,600 บาท)กรณีขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ สมมติว่าได้อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกเฉลี่ย 3% จะมีภาระผ่อนชำระหนี้ในช่วง 3 ปีนั้น 10,200 บาท ต่อเดือน (ลดลง 4,900 บาท) สรุปก็คือ หากเปรียบเทียบ รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน ภายในช่วง 3 ปีแรก ที่ขอรีไฟแนนซ์หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย วิธีรีไฟแนนซ์ประหยัดจะประหยัดเงินได้ถึง 176,400 บาท [(15,100 x 36) – (10,200 x 36)] ส่วนวิธีขอลดดอกเบี้ยจะประหยัดได้ 93,600 บาท [(15,100 x 36) – (12,500 x 36)]ดังนั้น รีไฟแนนซ์คุ้มค่ากว่าถึง 82,800 บาท (หรือเกือบหนึ่งแสนบาท)เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย รีไฟแนนซ์บ้าน vs ขอลดดอกเบี้ยธนาคารเดิมข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้านได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง การรีไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งใหม่ จะนำเอายอดค้างชำระที่เหลือจากธนาคารเดิมมาคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง ช่วยให้จำนวนเงินผ่อนชำระถูกนำไปหักดอกเบี้ยลดลงและนำไปหักเงินต้นได้มากขึ้น สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ เช่น เปลี่ยนจากการกู้ร่วม เป็นกู้คนเดียวก็ได้ หรือจะเปลี่ยนฐานะผู้กู้ร่วม-ผู้กู้หลักก็ได้เหมือนกัน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะช่วยให้วางแผนจัดการภาระหนี้สินและการเงินของเราได้คล่องตัวมากขึ้น เลือกยืดระยะเวลาในการผ่อนได้ การขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ สามารถขอเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระเพิ่มได้ ซึ่งเมื่อจำนวนงวดเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้ยอดผ่อนบ้านต่องวดถูกลงได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้มากขึ้นข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้านรีไฟแนนซ์แม้จะมีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ตำ่กว่า แต่ก็มีเรื่องของการดำเนินการ เรื่องการยื่นเอกสาร และตรวจสอบเครดิตทางการเงินใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้น สำหรับคนที่เครดิตทางการเงินไม่ดีนัก เช่น ผู้ประกอบการ รายได้บางส่วนหายไป มีภาระหนี้สินอื่นๆ เพิ่ม ก็อาจยื่นขอรีไฟแนนซ์ไม่ผ่านนอกจากนี้ การรีไฟแนนซ์จะดำเนินการเหมือนตอนยื่นขอสินเชื่อบ้านครั้งแรก จึงมีค่าใช้จ่ายในการยื่นเอกสาร ได้แก่ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ (3,000 – 5,000 บาท)ค่าจดจำนอง ณ กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าประกันอัคคีภัย ฯลฯ (ตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป)ข้อดีของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้าน (Retention)สำหรับการขอลดดอกเบี้ยบ้าน หรือ Retention แม้จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ารีไฟแนนซ์ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากยุ่งยากเรื่องการยื่นเอกสาร หรือมีเครดิตการเงินในปัจจุบันไม่ดีเหมือนตอนขอกู้รอบแรก เช่น มีภาระหนี้สินเพิ่ม รายได้ลดลง ฯลฯ ก็ยังมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยได้ด้วยการขอ Retentionข้อดีของการขอ Retention จากธนาคารเดิมไม่มีการยื่นเอกสารใหม่ไม่ต้องตรวจสอบเครดิตบูโร (Credit Bureau)ค่าธรรมเนียมถูก (ไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้) หรือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมข้อเสียของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้าน (Retention)ข้อเสียข้อสำคัญของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้านกับธนาคารเดิม (Retention) เมื่อเทียบกับการขอรีไฟแนนซ์ คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อย แม้ว่าการขอรีไฟแนนซ์จะมีค่าธรรมเนียมการยื่นเอกสารมากมาย แต่เมื่อคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยที่ได้ลดลงแล้ว เพียงไม่กี่เดือนรีไฟแนนซ์ก็คุ้มกว่าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังเหลือยอดผ่อนชำระอยู่ค่อนข้างมาก ตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไปอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการรีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน ก็ถือว่าเป็นอีกกระบวนการหนึ่งของคนที่ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน ต้องทำเพื่อให้ภาระผ่อนชำระสินเชื่อบ้านลดลง ขั้นตอนการขอรีไฟแนนซ์ และขั้นตอนการขอลดดอกเบี้ย1. ขอรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance)ขั้นตอนการขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ จะมีวิธีการเหมือนกับตอนที่ไปดำเนินการขอสินเชื่อบ้านครั้งแรก ซึ่งจะต้องเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่ายๆ ต่างให้ครบถ้วน ตรวจสอบสัญญากู้เดิม ตรวจสอบสินเชื่อดูก่อนว่าถึงเวลาที่สามารถยื่นรีไฟแนนซ์ได้หรือยัง ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารจะอนุญาตให้รีไฟแนนซ์หรือไถ่ถอนสินเชื่อเดิมได้เมื่อผ่อนชำระครบ 3 ปี แล้ว แต่สามารถเร่ิมมองหาธนาคารที่จะรีไฟแนนซ์ก่อนถึงกำหนดชำระครบ 3 ปี ก่อนประมาณ 1-2 เดือน ได้ เพราะกระบวนการขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการเลือกธนาคารและโครงการสินเชื่อ เลือกดูโครงการสินเชื่อ โปรโมชัน จากธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยตำ่กว่า แนะนำว่า ให้คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี แรก หรือดูจากอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาว่าที่ไหนให้ได้คุ้มมากที่สุดเตรียมเอกสารใหม่เหมือนยื่นกู้สินเชื่อ ได้แก่ เอกสารส่วนตัว เอกสารทางการเงิน และเอกสารหลักประกันต่างๆ รวมเอกสารยื่นสินเชื่อที่ต้องใช้<< ดูที่นี่)เตรียมค่าใช้จ่ายดำเนินการให้พร้อม ประมาณ 2% – 3% ของวงเงินกู้ ได้แก่ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ (3,000 – 5,000 บาท)ค่าจดจำนอง ณ กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าประกันอัคคีภัย ฯลฯ (ตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป)ยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ หลังจากเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมแล้ว ขั้นตอนที่เหลือก็คือ การยื่นรีไฟแนนซ์ ขั้นตอนโดยคร่าวๆ ได้แก่ ทราบผลการอนุมัติรีไฟแนนซ์จากธนาคารแห่งใหม่ติดต่อธนาคารเดิมเพื่อขอไถ่ถอนที่ดินและปิดบัญชีสินเชื่อเดิมนัดธนาคารเดิมและธนาคารแห่งใหม่มาทำนิติกรรมจดจำนองสินทรัพย์ทั้งนี้ หากกังวลเกี่ยวกับขั้นตอนการยื่น สามารถติดต่อและสอบถามธนาคารแห่งใหม่ได้ ธนาคารจะคอยช่วยอำนวยความสะดวกและบอกขั้นตอนต่างๆ กับคุณ2. ขอลดดอกเบี้ยบ้าน (Retention)ขั้นตอนในการขอลดดอกเบี้ยบ้าน จริงๆ แล้ว สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงติดต่อทำเรื่องกับธนาคารเดิมโดยดูก่อนว่า ประวัติการชำระหนี้ของเราใกล้ครบ 3 ปี แล้วหรือยัง โดยธนาคารส่วนใหญ่จะอนุมัติการขอลดดอกเบี้ยให้เฉพาะลูกหนี้ชั้นดีเท่านั้น คือ ลูกหนี้ที่ชำระหนี้ตรงเวลา ไม่ผิดนัด อย่างน้อย 24 เดือน และต้องไม่อยู่ในระหว่างประนอมหนี้ส่วนเอกสารที่อาจจะต้องเตรียม (บางธนาคารไม่ขอ) ได้แก่ สัญญาเงินกู้สำเนาทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประชาชนส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับดำเนินการ ไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้โดยระยะเวลาในการพิจารณาขอลดดอกเบี้ยจะอาจรวดเร็ว เพียง 7 วัน หรืออย่างช้าไม่เกิน 45 วัน เพราะธนาคารมีเอกสารและประวัติการชำระหนี้ของคุณอยู่ก่อนแล้ว และไม่ต้องดำเนินการประเมินสินทรัพย์ใหม่อีกรอบ ทำให้กระบวนการทั้งหมดทำได้อย่างรวดเร็วเลือกรีไฟแนนซ์บ้านหรือขอลดดอกเบี้ยธนาคารเดิมดี?หากคุณกำลังผ่อนชำระหนี้บ้านได้เกือบครบหรือครบ 3 ปี แล้ว ถึงเวลาที่คุณจะเริ่มพิจารณาหาวิธีลดอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ปรับตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิธีรีไฟแนนซ์บ้านธนาคารใหม่ หรือ ขอลดดอกเบี้ยบ้านจากธนาคารเดิม ช่วยลดภาระชำระหนี้ ให้คุณผ่อนบ้านได้หมดไวขึ้นทั้งนี้ เรารู้แล้วว่า การรีไฟแนนซ์บ้านนั้นคุ้มค่ามากกว่า แต่จะเลือกวิธี รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน โดยสรุปแล้ว มี 2 ปัจจัยสิ่งที่ต้องพิจารณาตรวจสอบเครดิตทางการเงิน ตรวจดูว่า เรายังมีเครดิตทางการเงินดีหรือไม่ รายได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหรือไม่ สัดส่วนภาระหนี้สินต่อรายได้เป็นอย่างไร ถ้าเครดิตการงานของเราปกติ การรีไฟแนนซ์ จะเหมาะกว่า แต่ถ้ามีหนี้อื่นๆ เข้ามา ควรเลือกวิธีขอลดดอกเบี้ย หรือ Retention จะได้ไม่ถูกเช็กประวัติเครดิตบูโร (Credit Bureau) และการขอรีไฟแนนซ์มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านอนุมัติตรวจสอบภาระค่าใช้จ่าย ตรวจดูว่า การรีไฟแนนซ์มีค่าใช้จ่ายอะไรอะไรบ้าง คำนวณทั้งหมดแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการขอลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว วิธีการใดช่วยประหยัดได้มากกว่า ทั้งนี้ ถ้าเหลือหนี้หรือภาระที่ต้องผ่อนชำระมากกว่า 1,000,000 บาท แม้คำนวณค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายแล้ว การรีไฟแนนซ์ก็ช่วยประหยัดได้มากกว่าแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1031247

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ถอดรหัส "อัตราดอกเบี้ย" แต่ละแบบ "ต่างกันอย่างไร"

30/04/2024

ความต่างของดอกเบี้ย ซึ่งมีหลายแบบ โดยเงินกู้แต่ละประเภทก็มีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เหมือนกัน และธนาคารแต่ละแห่งก็คิดดอกเบี้ยผู้กู้ แต่ละรายไม่เหมือนกันด้วยในช่วงที่ "ดอกเบี้ย" ขาขึ้นแบบนี้ หลายคนที่มีเงินกู้ ทั้งกู้บ้าน กู้รถ กู้สินเชื่อ หรือ บัตรเครดิต เริ่มหันมาคำนวณต้น คำนวณดอก ยอดหนี้ว่าตอนนี้ดอกทบต้น ต้นทบดอกไปเท่าไหร่แล้วขณะที่ คนที่กำลังตัดสินใจกู้ก็ยิ่งศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้มากขึ้น เพราะรู้หรือไม่ว่า สถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยกับผู้ขอสินเชื่อแต่ละรายแตกต่างกัน ซึ่งอาจจะสูง หรือ ต่ำ กว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อแต่ละราย โดยบวกอัตราเพิ่มหรือลดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่กำหนดทีนี่ "เรามาถอดรหัสศัพท์ดอกเบี้ย" แต่ละแบบกันว่าแตกต่างกันอย่างไรเริ่มที่ประเภทการคิดดอกเบี้ย1. ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก  คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นคงเหลือที่ลดลงจากงวดก่อนหน้า เมื่อเงินต้นลดดอกเบี้ยจะลดลงไปด้วยใช้ในการคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด เป็นต้น2. ดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อน หารเฉลี่ยเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยเป็นค่างวดให้จ่ายเดือนละเท่าๆ กัน มักใช้กับการเช่าซื้อรถมาต่อที่ "ประเภทอัตราดอกเบี้ยเงินกู้"อัตราดอกเบี้ย (Fixed rate) กำหนดเป็นตัวเลขคงที่ ไม่ขึ้นหรือลงตามต้นทุนของสถาบันการเงิน เช่น ดอกเบี้ยคงที่ 7% ต่อปี ตลอดอายุสัญญาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว (Floating rate) เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของสถาบันการเงิน แบ่งเป็น 3 ประเภทตามกลุ่มลูกค้าสินเชื่อ คือ 1. MLR (Minimum Loan Rate) ใช้กับผู้ขอสินเชื่อรายใหญ่ชั้นดี ประวัติการเงินดี หลักทรัพย์เพียงพอ น่าเชื่อถือใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดเวลาชัดเจน เช่น สินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ2. MOR (Minimum Overdraft Rate) ใช้กับวงเงินเบิกเกินบัญชี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ สำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ โดยสถาบันการเงินจะเก็บดอกเบี้ยเมื่อมีการเบิกเงินเกินวงเงินออกมาใช้3. MRR  (Minimum Retail Rate) ใช้กับลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยข้อมูล : ธนาคารแหง่ประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/182383

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพแบบไหนที่ใช่เรา

30/04/2024

ตั้งแต่ปี 64 จนกลางปี 65 โรคภัยไข้เจ็บก็ยังแวะมาทักทายกันอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดหย่อนจนเงินเดือนจะเหลือเป็นเงินทอนอยู่แล้ว หนำซ้ำต้นทุนค่ารักษายังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดหย่อน หากมีแต่ความคุ้มครองขากหลักประกันสุขภาพของรัฐเพียงอย่างก็อาจไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้  การมีหลักประกันสุขภาพทางเลือก อย่าง “ประกันสุขภาพ” อาจช่วยให้ความมั่นคงทางการเงินของเราไม่สั่นคลอน แถมยังทำให้มีอิสรภาพในการเลือกสถานพยาบาลเพื่อข้ารับการรักษา แต่ก่อนที่จะกดเบอร์โทรหาตัวแทนประกัน เราอยากพาทุกคนไปทำความจักกับประกันสุขภาพกันให้มากขึ้น เพราะยิ่งเข้าใจประกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดโอกาสในจะซื้อแบบประกันที่ไม่ตอบโจทย์มากเท่านั้นประกันสุขภาพ คือการประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่าย (ค่ารักษา) ที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้เอาประกันภัยไม่ว่าค่าใช้จ่าย (ค่ารักษา) นั้นจะเกิดจากเจ็บป่วยด้วยโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และปัจจุบันการซื้อประกันสุขภาพนั้นก็สะดวกสบายมากขึ้น เพราะสามารถซื้อประกันสุขภาพได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่ง noon.in.th ก็เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือทางด้านบริการประกัน และมีระบบที่โดดเด่นซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ และแนะนำแบบกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเงินซื้อแบบประกันสุขภาพที่ไม่ตอบโจทย์ประกันสุขภาพมีกี่ประเภทประกันสุขภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประกันสุขภาพแบบหมู่คณะ(มีผู้เอาประกันภัยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) และประกันสุขภาพแบบรายบุคคล (มีผู้เอาประกันภัยคนเดียว) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้มีหมวดความคุ้มครองที่เหมือนกัน ดังนี้ 1. ให้ความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการป่วยไข้ โดยจะชดเชยค่าใช้จ่ายอันเกิดจาก                  •  ค่าห้องและค่าอาหาร   •  ค่าบริการทั่วไป   •  ค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน หลัง      •  การเกิดอุบัติเหตุ 2. ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการผ่าตัด ค่าปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัด 3. ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการให้แพทย์มาดูแล 4. ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาที่คลีนิค หรือแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล 5. ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร 6. ค่าใช้จ่ายในการรักษาฟัน 7. การชดเชยค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจากการบริการโดยพยาบาลพิเศษขณะอยู่ในโรงพยาบาล หรือที่บ้านภายหลังจากการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามคำสั่งของแพทย์ประกันสุขภาพมีกี่แบบปัจจุบันแบบของประกันสุขภาพมีหลากหลายมาก แต่แบบแผนที่มักเป็นที่นิยมมีหลักๆ ดังนี้ 1. ประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยใน (IPD) คือแบบประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าผู้เอาประกันภัยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่ายา ค่าแพทย์เยี่ยม ค่าผ่าตัด ค่ารถพยาบาลและอุปกรณ์อื่นๆ บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบแทนผู้เอาประกันภัย 2. ประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) คือแบบประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือคลินิก แต่ไม่ต้องนอนพัก อาทิเช่น อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยที่แค่รับยา หรือทำแผลแล้วสามารถกลับบ้านได้เลย เหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ต้องการมีประกันสุขภาพไว้เพื่อแบ่งเบาภาระค่ารักษาในกรณีที่เหตุฉุกเฉิน อาทิเช่นประสบอุบัติเหตุขาหัก หรือแขนหัก เป็นต้น 3. ประกันสุขภาพชดเชยรายได้ (HB) คือแบบประกันสุขภาพที่จะจ่ายชดเชยรายได้ให้แก่ผู้เอาประกันในกรณีที่ต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล 4. ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (ECIR) คือแบบประกันสุขภาพที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความคุ้มครองให้ครอบคลุมการเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ซึ่งเป็นโรคที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษา อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง อย่างเช่น เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือดสมอง ฯลฯ หากเราได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกเมื่อไหร่ว่าว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรง บริษัทประกันก็จะทำการจ่ายเงินผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ให้แก่เรา ยกตัวอย่างเช่น นาย noon ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ประกันสุขภาพก็จะจ่ายเงินผลประโยชน์ให้แก่นาย noon ทันที 1 ก้อนเพื่อนำไปใช้เป็นค่ารักษาต่อไปหวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจประกันสุขภาพกันมากขึ้นแล้ว แต่เอ๊ะ! แบบของของประกันสุขภาพมีมากมายเหลือคณานับ แล้วแบบไหนล่ะที่เหมาะ และตอบโจทย์จริงๆ  ซึ่งวันนี้โอกาสทองมาถึงแล้ว เพราะเราได้อัญเชิญเทพ เทวดาทั้ง 8 ทิศมาช่วยปลุกเสกคาถาเลือกซื้อประกันสุขภาพอย่างไรให้ปัง รับรองท่องแล้วมีแต่คุ้มกับคุ้มท่องให้ขึ้นใจ‼ คาถามหาอุตม์เลือกซื้อประกันสุขภาพสุดปังL = (Lifestyle) รูปแบบการดำเนินชีวิตการดำเนินชีวิตของคนเราทุกคนมีความแตกต่างกัน แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนมีความเสี่ยง ขึ้นอยู่ว่าจะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยแค่ไหนก็แค่นั้นเอง ความเสี่ยงของดำเนินชีวิตของเราเนี่ยแหละจะเป็นตัวแปรสำคัญที่นำมาใช้วิเคราะห์ว่าประกันตัวไหนที่เหมาะสมกับเรา และสามารถตอบสนองกับความเสี่ยงของเราได้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์สายปิ้งย่างทั้งหลายที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหาร เนื่องจากว่าการปิ้ง ย่าง หรือทอดเนื้อสัตว์ที่ใช้ความร้อนสูงจะก่อให้เกิดสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ซึ่งแน่ๆ ล่ะโรคนี้ค่าใช้จ่ายสูงในการรักษาสูงแน่นอนดังนั้นการทำประกันชีวิตโรคร้ายแรงก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยเราแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาโรคร้าย อย่างเช่นมะเร็งได้ O = (Observe) สังเกต ก่อนที่จะทำประกันสุขภาพสักตัว เราควรสังเกต และสำรวจเสียก่อนว่าค่ารักษา ค่าหมอ หรือค่าบริการอื่นๆ ของโรงพยาบาลที่เราอยากจะเข้าไปใช้บริการอยู่ในเกณฑ์ไหน ซึ่งเกณฑ์ตรงนี้นี่แหละจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราควรเลือกทำประกันสุขภาพแบบใด ซึ่งจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นๆ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเองไม่ให้จ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงเกินกว่าความจำเป็น ก็เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง V = (Veracious) เชื่อถือได้ ความน่าเชื่อถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้ออะไรสักอย่าง ซึ่งการทำประกันสุขภาพเองก็เช่นกัน นอกเหนือจากความคุ้มครองที่จะได้รับแล้ว ความน่าเชื่อถือของตัวบริษัทประกัน หรือตัวแทนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลย หากเราได้บริษัทประกันที่มีความมั่นคง ไม่บิดพลิ้วใส่บวกกับการได้ทำประกันกับตัวแทนที่ดูแลดี ส่งเรื่องเคลมไวก็จะส่งผลดีต่อเราเอง ซึ่งการหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกัน หรือตัวแทนว่าเจ้าไหนเด็ด แนะนำให้ไปสอบถามกับคนที่เคยทำประกันสุขภาพมาก่อน หรือจะเข้ามาซื้อประกันสุขภาพผ่าน noon.in.th ก็ได้นะ เพราะตัวแทนที่เราคัดสรรมานั้นผ่านการคัดเลือกมาแล้วอย่างดี รับรองว่าสบายใจหายห่วง E = (Elect) เลือกหลักจากที่เรารู้แล้วว่าอยากจะทำประกันสุขภาพแบบไหนแล้ว ให้ลองหาข้อมูลดูดีๆ ว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีประกันสุขภาพในลักษณะเดียวกับที่เราอยากทำ ซึ่งในปัจจุบันนี้บริษัทประกันมีเยอะแยะมากมาย บางที่ก็ออกกรมธรรม์มาคล้ายๆกัน แต่อาจมีความแตกต่างในเรื่องของเบี้ยประกัน หรือวงเงินคุ้มครอง ซึ่งเราสามารถเอาข้อมูลตรงนี้มาชนกันไปเลยว่ากรมธรรม์ไหนดีที่สุด บางที่อาจคุ้มครองเท่ากันแต่กลับต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงกว่าอีกอันนึง ดังนั้นต้องเลือกสรร และคัดสรรกันให้ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เหอะการจ่ายเบี้ยประก็ต้องขึ้นกับสามารถของเราด้วยนะว่าสู้ได้แค่ไหน ทางที่ดีไม่ควรเกิน 10%-15% ของรายได้รวมต่อปีหลักจากที่เรารู้แล้วว่าอยากจะทำประกันสุขภาพแบบไหนแล้ว ให้ลองหาข้อมูลดูดีๆ ว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีประกันสุขภาพในลักษณะเดียวกับที่เราอยากทำ ซึ่งในปัจจุบันนี้บริษัทประกันมีเยอะแยะมากมาย บางที่ก็ออกกรมธรรม์มาคล้ายๆ กัน แต่อาจมีความแตกต่างในเรื่องของเบี้ยประกัน หรือวงเงินคุ้มครอง ซึ่งเราสามารถเอาข้อมูลตรงนี้มาชนกันไปเลยว่ากรมธรรม์ไหนดีที่สุด บางที่อาจคุ้มครองเท่ากันแต่กลับต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงกว่าอีกกรมธรรม์หนึ่ง หรือจะใช้เครื่องมือที่มีฟังก์ชันช่วยเปรียบเทียบแบบประกันอย่าง noon.in.th เข้ามาช่วยก็ได้ ลดทั้งเวลา และความวุ่นวาย ซื้อประกันที่ตรงใจได้ง่ายๆ เพียงแต่ไม่กี่ขั้นตอน การซื้อประกันสุขภาพเราจำเป็นจะต้องเลือกสรร และคัดสรรกันให้ดี และที่สำคัญคือเบี้ยประกันก็ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เราสามารถจ่ายไหวด้วยเช่นกัน ทางที่ดีไม่ควรเกิน 10%-15% ของรายได้รวมต่อปีเห็นไหมล่ะว่าการเลือกซื้อประกันสุขภาพไม่ยากอย่างที่คิด ขอแค่ทำตามคาถานี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว แต่ถ้าอยากให้ชีวิตง่ายขึ้นไปอีกสเต็ปลองมาซื้อประกันสุขภาพผ่าน noon ดูซิ แล้วจะรู้ว่าประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์หาไม่ยากอย่างที่คิด คลิกเลยที่ noon.in.thขอบคุณแหล่งข้อมูล :oic.or.th ,philliplife.com , oic.or.th, oic.or.th, honestdocs.comแหล่งที่มาข่าว noonhttps://www.noon.in.th/blog/how-to-buy-health-insurance-and-what-type-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การตลาด

ทำความเข้าใจ ‘NFT’ ในฐานะ ‘เครื่องมือการตลาด’ ที่มีดีกว่าแค่เป็น ‘ของสะสม’

30/04/2024

หากพูดถึงตลาด Non-Fungible Token หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า NFT หลายคนมักจะมองแต่ในฝั่งของ ‘ผู้บริโภค’ ที่ทำการซื้อ-ขายกัน หรือไม่ก็ดูในแง่ของ ‘กำไร-ขาดทุน’ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงฝั่งของ ‘แบรนด์’ ที่กระโดดเข้ามาในตลาด NFT จำนวนมาก ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์เล็ก ว่าแต่ NFT น่าสนใจแค่ไหนในฐานะ Marketing Tools ไปดูกัน​NFT = วิวัฒนาการของศิลปะหลายคนน่าจะพอรู้ว่า NFT ได้ถูกนำไปใช้ในวงการศิลปะไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพกราฟิก วิดีโอ และเพลง โดยถือเป็นวิธีสากลสำหรับครีเอเตอร์ในการเป็นผู้ ควบคุม และ ได้รับประโยชน์ จากการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา ไม่เหมือนในอดีตที่ถูกก๊อปเกลื่อนอินเทอร์เน็ต ดังนั้น NFT จึงช่วยขยายตลาดของคน รักงานศิลปะ เพราะไม่ต้องซื้อของจริงเพื่อสะสม“ศิลปินที่ทำผลงานในรูปแบบ NFT มันทำให้เขาได้ส่วนแบ่งกลับมาเรื่อย ๆ ช่วยแสดงความเป็นตัวตน ไม่ได้ถูกก๊อปไปลงอินเทอร์เน็ตเหมือนอดีต นอกจากนี้ ยังใช้บล็อกเชนบันทึกเส้นทางร่องรอยของผลงานได้ คนเป็นเจ้าของร่วมก็ได้ประโยชน์ ถือเป็นโอกาสที่ดีของศิลปินในอนาคต” วรพจน์ ธาราศิริสกุล Chief of Technology บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด อธิบายไทยมีผู้ใช้ NFT มากสุดในโลกที่น่าสนใจคือ ตัวเลขของปี 2021 ที่รวบรวมโดย Statista ระบุว่า ไทยถือเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ NFT มากที่สุดในโลกถึง 5.65 ล้านบัญชี ตามด้วย  •  บราซิล 4.99 ล้านบัญชี  •  สหรัฐอเมริกา 3.81 ล้านบัญชี  •  จีน 2.68 ล้านบัญชี  •  เวียดนาม 2.19 ล้านบัญชี“ส่วนหนึ่งคนไทยชอบเล่นเกม และที่ผ่านมาก็มีเกม NFT เยอะ และต้องยอมรับว่า คนไทยชอบเก็งกำไร เห็นอะไรทำกำไรได้ก็โดดเข้ามาเล่น มันเลยเติบโตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่เราเชื่อว่าตลาดจะไม่ได้ขับเคลื่อนเพราะเก็งกำไร แต่เกิดจากนักสะสม”NFT กับ Token ต่างกันอย่างไรในมุมการตลาดตั้งแต่การมาบูมของตลาด คริปโตเคอร์เรนซี ในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าแบรนด์เริ่มใช้ประโยชน์จากการออก Token และ NFT โดยในส่วนของการออก Token นั้น จะใช้เสมือนการแจก พอยต์ สำหรับใช้แทนอะไรบางอย่าง แต่สำหรับ NFT นั้นจะเปรียบเสมือน ของสะสม ดังนั้น จะเหมาะสำหรับการตลาดที่เล่นกับ Emotional การสร้าง Membership การสร้าง Community ของลูกค้า แฟนคลับ และกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่ใช้ NFT เป็นเครื่องมือการตลาด แต่ควรเป็นแบรนด์ที่มี ฐานลูกค้า หรือ ฐานแฟนคลับ ดังนั้น สำหรับประเทศไทยจะเห็นแบรนด์ในกลุ่ม คอนซูมเมอร์โปรดักส์ เพื่อใช้ NFT เป็นของสะสมหรือสร้าง Engagement ให้กับลูกค้า เพราะจะช่วยให้แบรนด์หา Real User หรือ แฟนคลับของแบรนด์จริง ๆ เพื่อเก็บเป็นข้อมูลในการทำการตลาดต่อไป ไม่ใช่แค่แจกแล้วจบตัวอย่างงานศิลปะ NFT บนมาร์เก็ตเพลซ OpenSeaนอกจากนี้ NFT ยังช่วยเพิ่มรายได้จากการขายสินค้า เพราะข้อดีของการทำ NFT คือ งบลงทุนที่น้อยกว่า ดังนั้น สามารถทำควบคู่กับของสะสมแบบ Physical ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับแบรนด์ที่ทำ NFT เพื่อแจกให้เป็นของสะสมในปริมาณมาก ควรจะแบ่งระดับความหายากหาง่าย (Rare, Super Rare) เพื่อให้เกิดความต้องการ“อย่างหัวเว่ย ทำ NFT แจกเฉพาะลูกค้าที่ซื้อมือถือ แปลว่าคนที่ถือ NFT เป็นแฟนคลับจริง ๆ ต่อไปการทำโฟกัสกรุ๊ป หรือจะทำการตลาดอื่น ๆ เราก็สามารถต่อยอดกับคนกลุ่มนี้ได้ ซึ่งเราเชื่อว่า NFT มันเป็นตัวเชื่อมโลกดิจิทัลและเทรดดิชันนอล โดยที่แบรนด์เข้ามาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ โดยเราเชื่อว่า NFT มันจะแมสมากขึ้น เพราะเข้าใจง่ายกว่าคริปโตฯ”Use Case การใช้ NFT ของแบรนด์ไทย  •  ไปรษณีย์ไทย : ถือเป็นหนึ่งใน Use Case ที่เห็นภาพการใช้ NFT ได้ชัดที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ไปรษณีย์ไทยจำหน่าย แสตมป์ เพื่อสะสม โดยล่าสุดได้ทำ แสตมป์ NFT ส่งผลให้จำนวนลูกค้ากว่า 80% ที่เข้ามาซื้อเป็นผู้เล่น NFT ไม่ใช่นักสะสมแสตมป์ แสดงให้เห็นว่า NFT ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กับไปรษณีย์  •  Index Creative Village : การจำหน่าย NFT Collection พิเศษในงานตอนเสิร์ต แสตมป์ อภิวัชร์ รวมถึงใช้ NFT เป็นตั๋วแบบ Excrusive ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้จากเดิมที่ขายบัตรและสปอนเซอร์ โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มแฟนคลับและวัยรุ่น  •  Pixel Paint : การนำเอา NFT มาใช้เป็นสื่อกลางในการสร้างประสบการณ์การซื้อขายสิทธิ์ เพื่อยืนยันว่าใครคือผู้ที่ซื้องานศิลปะ เพื่อยืนยันตัวตนในการรับรูปภาพ โดยหลังจากเปิดขายรอบแรกมียอดจองขายหมดภายใน 24 ชั่วโมง  •  เจมาร์ท โมบาย : ที่ออก Jaybird NFT Collection 2022 จำนวน 7,777 ชิ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์  Enjoy MetaWorld“อย่างงาน หมู่ วาไรตี้โชว์ ที่ Jmart Group เป็นสปอนเซอร์เราก็ใช้ NFT เป็นตั๋วเข้างาน และจะเป็นของสะสมจากงานนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าโลกจากนี้จะเป็นการไฮบริดระหว่างดิจิทัลและประสบการณ์บนโลกจริง ช่วยสร้างแวลู และประสบการณ์ใหม่ ๆ ในยุคที่คนรุ่นใหม่ต้องการความแตกต่าง ความแปลกใหม่”เดินหน้าขยายลูกค้า B2Bสำหรับเป้าหมายของ JNFT ในปี 2566 ตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) เพื่อนำเอา NFT เข้าสู่ธุรกิจและองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าผลักดันแพลตฟอร์ม NFT Marketplace ของตัวเองที่เปิดมาประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันมีทรานแซกชั่นประมาณ 50,000 – 100,000 ครั้ง/เดือน จากผู้ใช้ประมาณ 5,000 บัญชี โดยตั้งเป้าปีหน้าเติบโตหลายเท่าตัว“ต้องยอมรับว่าตอนนี้มันเป็นช่วงขาลง แต่เราเชื่อว่าตลาดยังกลับมาได้ เพราะ NFT เป็นของสะสม มูลค่าอาจไม่มีตอนนี้แต่อนาคตมันอาจมีมูลค่าเหมือนของสะสมอื่น ๆ”ปัจจุบัน มีแบรนด์ที่สนใจทำ NFT กับบริษัทประมาณ 2 ราย/เดือน นอกจากนี้ เริ่มมีเอเจนซี่การตลาดเริ่มมาปรึกษาการทำ NFT ให้กับลูกค้า ซึ่งถ้าแบรนด์ใช้ NFT ในการทำการตลาดมากขึ้น ต่อไป NFT ก็จะแมสและผู้ใช้แพลตฟอร์ม Marketplace ก็จะตามมาตอนนี้ความท้าทายการประยุกต์ใช้ NFT กับการตลาดคือเรื่องความเข้าใจ แบรนด์ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องการเก็งกำไรนำ แต่เป็นในแง่ของสะสมซึ่งมันแมสมากกว่า การแจก NFT มันสามารถสร้างแวลูได้มากกว่าแทนที่จะแจกเป็นสิ่งของแล้วเขาเอาไปทิ้ง แต่ให้ NFT เราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้ากลับมาได้ด้วยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1403822

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกเขาทำกัน

30/04/2024

กลุ่มคน1% นี้ หมายถึงกลุ่มคนที่เป็นที่สุดของที่สุดของทุกวงการ นักกีฬา นักศิลปะ นักการเงิน แต่ป๊าจะพูดถึงกลุ่มนักการเงิน มันเปรียบเทียบเป็นตัวเลขแล้วเข้าใจง่ายทำไมบางคนจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง?แต่ทำไมบางคนพยายามแทบตาย ถึงได้แค่อยู่รอด ? ทำไมบางคนทำอะไรก็สำเร็จ ? ทำไมบางคนไม่เคยใกล้เคียงกับคำว่าสำเร็จเลย ?มีคนไทยแค่ 1% ที่เกษียณได้อย่างมั่งคั่ง 4% ที่เกษียณแล้วพออยู่ได้อีก 95% ที่อยู่แบบต้องทำงาน มหาเศรษฐีระดับโลก 8 คนมีทรัพย์สินเท่ากับรวมคน 50% ของโลกในระดับล่าง ทำไมมันถึงเเตกต่างกันถึงขนาดนั้น ?ทุกอาชีพคนสำเร็จจะน้อยกว่าคนไม่สำเร็จนะครับ อะไรที่ทำให้คนเราแตกต่างกันได้ขนาดนั้นนั่นคือคำว่า "MINDSET"ช่องว่างระหว่างของคน 1% กับคน 99% ที่ต่างกันคือ "ช่องว่างทางความคิด"MINDSET ก็คือตัวกำหนดผลลัพธ์ของคุณ คุณจะมีผลลัพธ์ในชีวิตเท่ากันกับขนาด MINDSET ของคุณทั้งทางด้านกว้างและความลึกทุกๆความสำเร็จที่คน 99%ตั้งเป้าหมาย มันจะเเผ่วบางไม่มั่นคง ทำให้ไม่สำเร็จแต่คน 1% ที่เขาตั้งเป้าหมาย เขาคิดแบบนี้ครับ- เขาจะตอกย้ำความคิดดีๆ- ย้ำๆๆๆมันอยู่นั่น - ทำซ้ำบ่อยๆ - ทำจนเป็นนิสัย - ล้มแล้วต้องลุก- มี GROWTH MINDSET - ไม่ FIX MINDSET - ใส่ปุ๋ยทางความคิดเสมอๆคือถ้าผิดพลาดก็คิดเเก้ไข ดัดเเปลง- ทำซ้ำๆจนจิตใต้สำนึกเราเชื่อว่ามันไม่ยาก- เราต้องเชื่อก่อน แล้วเราก็ลงมือทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์- ทำจนความสำเร็จเป็นเหมือนนิสัย ซึ่งมันไม่ได้ยากเลยในหนังสือเขียนถึงขนาดว่าเราต้องเปลี่ยนจากจิตสำนึก ไปให้อยู่ระดับจิตใต้สำนึให้ได้ ขนาดป๊าอ่านฟังคลิปนี้ 5 เที่ยวยังงงๆอยู่เลยครับสรุปสั้นๆเลยนะครับ คนชนะ 1% เขากัดไม่ปล่อย เขาทำจนเป็นนิสัยเลย ทำจนมันอยู่ใน "จิตใต้สำนึก" เลยครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/4979

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เงินเฟ้อคืออะไร น่ากลัวแค่ไหน?

30/04/2024

เงินเฟ้อคืออะไร ส่งผลอย่างไรบ้าง และน่ากลัวแค่ไหนกัน?วันที่ 3 ตุลาคม 2565 เชื่อว่าในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงได้ยินคำ “เงินเฟ้อ” กันอย่างหนาหู ซึ่งเงินเฟ้อเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของทุกคนโดยตรง แต่บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร ลักษณะเป็นอย่างไร และน่ากลัวแค่ไหน ”ประชาชาติธุรกิจ” พาทุกคนมาทำความรู้จักกับภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลอย่างไรต่อเงินในกระเป๋าเราบ้างเงินเฟ้อ = ของแพงขึ้นเงินเฟ้อคือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่มีปริมาณหรือคุณค่าเท่าเดิม นั่นหมายความว่า เมื่อเราใช้เงินเท่าเดิมในการซื้อสินค้าหรือบริการ เราจะได้สินค้าและบริการที่มีปริมาณลดลง เรียกง่าย ๆ ว่าเงินของเรามีมูลค่าที่ลดลงนั้นเอง ซึ่งสาเหตุของเงินเฟ้อมี 3 สาเหตุหลัก1. ประชาชนต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) ประกอบกับสินค้าและบริการนั้น ๆ ในตลาดมีไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขายปรับราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นอธิบายง่าย ๆ ก็คือการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาลที่เห็นได้ชัดเจนคือ โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ที่จะจัดสรรงบประมาณให้ประชาชนโดยตรง หรือกองทุนหมู่บ้าน ที่อัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ชาวบ้านมีเงิน ทำให้เกิดการใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น2. ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (Cost-Push Inflation) กล่าวคือ หากผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จะทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้นด้วยซึ่งสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน (เมื่อสินค้ามีความต้องการมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องเพิ่มกำลังการผลิต หรือจ้างงานมากขึ้น ทำให้ต้องเสียค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น) การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ หรือการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในขณะนี้ต้นทุนการผลิตคือสิ่งที่ใช้พิจารณานโยบายกำหนดราคาสินค้าและบริการ ถ้าต้นทุนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หรือราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นด้วย ราคาสินค้าสูงขึ้นผู้บริโภคต้องใช้เงินมากกว่าเดิม ทำให้ปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น3. การที่รัฐบาลพิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมาก (Printing Money Inflation) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินในระบบ เห็นได้ชัดในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาช่วงปี 1980 รัฐบาลเห็นว่าประชาชนไม่มีเงินจึงพิมพ์เงินเพิ่ม ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) คนมีเงินมากขึ้นแต่ซื้อของไม่ได้ เพราะราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือไม่มีสินค้าขาย หรือในอีกแง่หนึ่งคือ มูลค่าเงินด้อยค่าลงอย่างรวดเร็วนั่นเองประเภทของเงินเฟ้อเงินเฟ้อแบ่งเป็น 2 ประเภท1. อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) คืออัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าและบริการทุกประเภทที่บริโภคโดยทั่วไป (CPI) ครอบคลุมราคาสินค้า ทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องนุ่งห่ม เคหสถาน การตรวจรักษา และบริการส่วนบุคคล ยานพาหนะ การขนส่ง การสื่อสาร การบันเทิง การอ่าน การศึกษา ฯลฯ2. อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ที่หักสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดเงินเฟ้อกระทบเราอย่างไรภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบให้กับทุกระดับที่อยู่รวมกัน เพราะการดำรงอยู่ของประเทศมีองค์ประกอบหลายระดับ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้1. ผลกระทบต่อประชาชนผลกระทบแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ ผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งเป็นคนส่วนมากที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือ ราคาสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และผลกระทบจะยิ่งหนักขึ้น หากรายได้ที่ได้รับมีค่าเท่าเดิม แบบนี้จะทำให้เงินออมต่อครอบครัวลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อยังส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยอีกด้วย โดยอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะมีมูลค่าที่น้อยลงนั่นเอง2. ผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินค้าและบริการให้กับประชาชนย่อมได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการที่ประชาชนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง เพราะราคาสินค้าและบริการมีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายน้อยลง ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหลายรายมียอดขายที่น้อยลงจนต้องลดปริมาณการผลิตและพนักงานลง เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ต้องแบกรับ หรือรุนแรงที่สุดก็คือต้องปิดกิจการทิ้งไป ทำให้ประชาชนตกงาน ไม่มีเงินรายได้นั่นเอง3. ผลกระทบต่อประเทศอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจในช่วงเงินเฟ้อจะมีอัตราที่น้อยจนบางครั้งถึงขั้นติดลบกันเลยทีเดียว ดังนั้น หากเกิดภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องนาน ๆ จะทำให้ชาติขาดสภาพคล่องทางการเงิน เกิดภาวะฟองสบู่ และภาระหนี้สินครัวเรือนสูงขึ้น ทำให้ประเทศต้องแบกรับความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีราคาที่สูงขึ้นเกินความเป็นจริง ถึงแม้จะฟังดูเหมือนเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับคนที่ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรจะมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเมื่อราคาสูงขึ้นความต้องการในการซื้อย่อมลดลงนั่นเองเงินเฟ้อน่ากลัวแค่ไหนแน่นอนว่าเมื่อเงินเฟ้อคือการที่ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นเรื่อย ๆ แต่รายได้หรือมูลค่าของเงินในมือกับมีมูลค่าเท่าเดิม ดังนั้น ผลเสียของเงินเฟ้อหลัก ๆ ก็คือ ทำให้ค่าของเงินในอนาคตลดลง เช่นในวันนี้เรามีเงิน 100 บาท อาจกินข้าวได้ 2 มื้อ แต่ในอนาคตเงิน 100 บาท อาจกินข้าวได้แค่มื้อเดียว เป็นต้นนั่นแปลว่าเราจะต้องซื้อของแพงขึ้น มีภาระค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาบ้าน ค่าโดยสารรถไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้อีกด้วย แต่เงินในกระเป๋ามีเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับราคาของที่แพงขึ้น ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ทำให้หนักอกหนักใจไม่น้อยวางแผนรับมือเงินเฟ้ออย่างไรเมื่อภาวะเงินเฟ้อคือภาวะที่ส่งผลกระทบกับตัวชีวิตประจำของเราโดยตรง ดังนั้น จึงต้องเตรียมวางแผนรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไว้ก่อน เพื่อที่เราจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด1. ออมเงินการออมเงินเป็นการเตรียมเงินสำรองสำหรับชีวิตที่ดีที่สุด เพราะหากเกิดภาวะเงินเฟ้อแล้ว สินค้าและบริการมีราคาที่สูงขึ้น หากเรามีเงินออมแสดงว่าเราจะมีเงินสำหรับใช้ซื้อสินค้าและบริการที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่เป็นหนี้2. วางแผนการเงินการวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ชีวิตมีความมั่นคง เพราะเราจะรู้ว่าเงินที่มีอยู่จะต้องใช้จ่ายส่วนใดบ้าง และทำให้จัดสรรชีวิตให้เป็นระบบได้3. หาแหล่งรายได้เพิ่มแหล่งรายได้ไม่ควรมีเพียงอย่างเดียว เพื่อความมั่นคงของชีวิตควรมีแหล่งรายได้อย่างน้อย 2-3 ช่องทาง เพื่อเหตุฉุกเฉินหากช่องทางใดช่องทางหนึ่งหายไป เรายังมีรายได้จากช่องทางหนึ่งมาสำรองอยู่ ดังนั้น คุณควรหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเองด้วยสำหรับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยังไม่อยู่ในระดับที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของใครหลายคน แต่ทางที่ดีทุกคนควรเตรียมความพร้อมด้วยการวางแผนการเงิน เก็บออมและหารายได้เสริม เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ ย่อมดีกว่าได้รับผลกระทบแล้วค่อยแก้ไขย่อมดีที่สุดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1069084

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

4 เหตุผลที่ช้างเท้าหน้าควรมีประกันไว้ในครอบครอง

30/04/2024

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า “ช้างเท้าหน้า” คือ การเป็นหัวหน้า หรือผู้นำ โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคำนี้เราก็มักจะนึกถึงเพศชายเป็นอันดับแรกๆ แต่ด้วยยุคสมัยที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป  คำว่า“ ช้างเท้าหน้า” จึงไม่ได้เป็นแค่ชุดคำที่ใช้แทนภาพของเพศชายเหมือนแต่ก่อน ผู้หญิงหลายๆ คนก้าวขึ้นมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว คำๆ นี้จึงกลายเป็นภาพแทนของบุคคลที่ทำหน้าที่หาเลี้ยง และเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศใดถึงแม้คำว่า “ช้างเท้าหน้า”  จะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนแต่ก็ยังคงมีหนึ่งสิ่งที่ยังคงอยู่เช่นเดิมนั้นคือความรับผิดชอบ และหน้าที่อันหนักอึ้งของคนที่ทำหน้าที่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของครอบครัวไม่ว่าคุณจะลงมือทำอะไรซักอย่างสิ่งแรกเลยที่คุณจะคำนึงถึงก็คือคนที่อยู่ข้างหลัง คุณกลัวเสมอว่าสิ่งที่คุณเลือกลงมือทำนั้นส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร ทุกๆ ก้าวของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นเรื่องสำคัญ “ช้างเท้าหน้า” จึงต้องมีแผนไว้รองรับเมื่อยามภัยมา หากวันหนึ่งคุณต้องโบกมือบั้ยบายโลกใบนี้ไปอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วคนที่อยู่ข้างหลังจะทำอย่างไร ดังนั้นการมีแผนเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงก็อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาครอบครัวคุณได้แผนรองรับความเสี่ยง ณ ปัจจุบันมีอยู่มากมาย แต่วันนี้ที่อินชัวรี่จะหยิบมาพูดถึงกันก็คือ “ประกันชีวิต” จุดประสงค์หลักๆ ของประกันชีวิตคือ “การคุ้มครองความเสี่ยง” ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ของคนที่มีสถานะเป็นช้างเท้าหน้า ถ้ายังนั่งงงๆ มองไม่ออกว่าทำไมช้างเท้าหน้าถึงควรมีประกันไว้ในครอบครองลองมาฟังเหตุผลดี๊ดี๊ที่อินชัวรี่เอามาบอกกันดีกว่าเหตุผลที่ช้างเท้าหน้าควรมีประกันไว้ในครอบครองเหตุผลข้อที่ 1 เป็นเงินเยียวยายามไม่อยู่ตามหลักของประกันชีวิตเมื่อคุณจากไปในระยะที่กรมธรรม์ยังคุ้มครองอยู่ทางบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามทุนประกันที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งอาจจะเป็นภรรยา บุตร หรือใครก็ได้ตามแต่ใจของผู้เอาประกันภัย แนะนำว่าควรเลือกทุนประกันให้ครอบคลุมในหลายๆ ด้าน มิใช่แค่เพียงพอต่อค่าจัดงานศพเท่านั้น เพราะถ้าคุณหวังอยากจ่ายเบี้ยประกันแบบสบายๆ ด้วยการเลือกทุนประกันต่ำ ๆ ก็อาจทำให้การทำประกันชีวิตไม่ได้ช่วยเยียวยาคนที่คุณเป็นห่วงใยได้จริงๆเหตุผลข้อที่ 2 ช่วยดูแลยามเจ็บป่วยการเจ็บป่วยของช้างเท้าหน้าเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณเป็นรายได้หลักของครอบครัว การป่วยทีนึงนั้นอาจทำให้คุณเสียการเสียงาน เสียรายได้ และที่สำคัญคือเสียเงิน ซึ่งค่ารักษาบอกเลยว่ามีขนร่วงกันบ้างล่ะ ถ้ามีเงินไว้สำรองก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่มีจนต้องขอยืมคนอื่นนั้นแย่แน่ๆ เพราะว่าไม่เพียงแค่คุณจะลำบากเท่านั้นครอบครัวของคุณเองก็อาจจะได้รับผลกระทบตรงนี้ไปแบบเต็มๆ แต่ถ้าหากคุณทำประกันชีวิต + ประกันสุขภาพไว้ บริษัทประกันจะคอยดูแลในเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลให้แก่คุณเองประกันสุขภาพนั้นเป็นสัญญาแบบเพิ่มเติม (Rider) หรือเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือเสริมของประกันชีวิตตัวหลักซึ่งมีหลากหลายมากคุณสามารถเลือกได้เลยว่าอยากจะทำกรมธรรม์แบบใด แต่รี่แนะนำว่าเลือกให้ตอบโจทย์กับความต้องการของคุณให้ได้มากที่สุดอย่าเห็นแก่เบี้ยถูกเพียงอย่างเดียวเหตุผลข้อที่ 3 เสริมสร้างวินัยทางการเงิน“ภาษีทางสังคม” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวการร้ายที่คอยกัดกินวินัยทางการเงินของคุณ ตั้งใจจะออมทีไรก็อดใจที่จะซื้อไม่ได้ซักที ไหนจะต้องเลี้ยงลูกน้องอีกความฝันที่อยากจะซื้อบ้าน ซื้อรถให้กับครอบครัวก็จำเป็นต้องล่มสลายอยู่เรื่อยไป ถ้าการเก็บเงินแบบธรรมดายังช่วยให้ฝันไปไม่ถึงฝั่งซักทีก็คงอาจจะต้องลองมองหาเครื่องมือทางการเงินซักตัวเข้ามาช่วยประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่จะช่วยเสริมสร้างวินัยการออมเงินให้กับคุณด้วยรูปแบบการทำงานของบริษัทประกันที่มีการกำหนดเบี้ยที่ต้องชำระในแต่ละงวดอย่างชัดเจน และรายละเอียดว่าต้องชำระกี่งวด รวมไปถึงการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ อาทิเช่น ทางไปรษณีย์ ทางโทรศัพท์ เป็นต้น ใครที่ขี้หลงขี้ลืมก็สบายตัวได้เลยวิธีนี้อาจจะไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการออมเงินแต่ก็สามารถสร้างวินัยทางการเงินให้คุณได้อย่างแน่นอน แถมยังได้การคุ้มครองด้วยนะบอกเลย “คุ้มในคุ้ม”เหตุผลข้อที่ 4 ช่วยลดหย่อนภาษีช้างเท้าหน้าคนไหนที่เงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท ( เงินได้ – ค่าใช้จ่าย (สูงสุด 100,000 บาท) – ค่าลดหย่อน  = เงินได้สุทธิ ) ก็เตรียมตัวจ่ายภาษีกันได้เลย แต่ถ้าคุณมีประกันชีวิตอยู่ในกำมือล่ะก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เลยประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท แต่กรมธรรม์นั้นต้องมีระยะคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป หากมีเงินคืนระหว่างสัญญา เงินคืนสะสมต้องไม่เกินร้อยละ 20  ของเบี้ยประกันสะสมประกันชีวิตก็เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งคุณเคยได้พยายามทำเพื่อพวกเขาเพียงขอแค่ให้พวกมีชีวิตที่สุขสบาย ถึงแม้ว่าทุนประกันก้อนนี้อาจจะไม่ได้ทำให้พวกเขาสบายไปตลอดชีวิต แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับช้างเท้าหน้าบางคนแล้วแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/4-reason-that-family-leader-should-have-buy-life-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ค่าเงินบาทแข็ง VS ค่าเงินบาทอ่อน ใครได้ใครเสีย?

30/04/2024

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  แบงก์พาณิชย์เริ่มทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งฝากและกู้ หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1% ต่อปี กระทบลูกหนี้ถ้วนหน้า โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนของประชาชนคนไทยที่พุ่งทะลุฟ้าเกือบ 3 ล้านล้านบาท ส่วนเอกชนสุดเสี่ยงยืนปากขอบเหวรับมือต้นทุนการเงินเพิ่ม ค่าไฟฟ้า ค่าแรง บาทอ่อน มติของ กนง. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา เห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยขยับจาก 0.75% เป็น 1% ต่อปี ให้มีผลทันที โดย กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับส่วนเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และ 2.6 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และ 2566 อยู่ที่ 2.4ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้างกนง.ประเมินระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าส่วนครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ เห็นควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง และมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบางกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)  วิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.ยังจะมีอีกอย่างน้อย 3 รอบ โดยการประชุม กนง.รอบถัดไปในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 กรุงศรีฯ คาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% และอาจจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งละ 0.25% อีก 2 ครั้งในไตรมาส 1 ของปี 2566 ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะได้เห็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.75% ในกรอบระยะเวลาดังกล่าว โดยการปรับดอกเบี้ยของ กนง.ดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป และเห็นว่าเศรษฐกิจจะยังคงฟื้นตัวต่อไปท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทันทีที่ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แบงก์พาณิชย์ก็เด้งรับขยับขึ้น โดยแบงก์กรุงเทพ นำหัวขบวน ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.15-0.50% ต่อปี และเงินกู้เพิ่มขึ้น 0.30-0.40% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ตามที่ นางรัชนี นพเมือง  รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้ฝากเงิน และเพื่อเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบกับกลุ่มเปราะบางในด้านเงินกู้ ธนาคารจึงได้ปรับอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อื่นๆ โดยเพิ่มขึ้นมา 0.30% ต่อปีแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดี ต้องถือว่าบรรดาลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยคราวนี้เป็นกลุ่มที่น่าห่วงที่สุด สะท้อนจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่กู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ และเสริมสภาพคล่องเพื่อจับจ่ายใช้สอย ฯลฯ ยังคงไต่ทะยานไม่หยุด  นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทยที่สะสมมานาน และซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้รุนแรงขึ้นในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เห็นได้จากปี 2553 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 60% ของจีดีพี ผ่านไป 10 ปี หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 80% ของจีดีพีในปี 2562 และล่าสุดไตรมาส 2/2565 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 88% ของจีดีพีนายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า ภาคการเงินเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านความช่วยเหลือไปสู่ลูกหนี้ โดยเดือน ก.ค. 2563 สถาบันการเงินได้ช่วยเหลือลูกหนี้สะสมสูงสุดอยู่ที่ 12.5 ล้านบัญชี ยอดหนี้รวม 7.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นราว 40% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ ทยอยลดลงมาตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุด ณ เดือน มิ.ย. 2565 คงเหลือลูกหนี้อยู่ที่ 3.9 ล้านบัญชี ยอดหนี้เกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือ 14% ของสินเชื่อรวมเป้าหมายภายในปี 2565 ธปท.จะออกแนวทางการปัญหาโครงสร้างหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขหนี้ในระยะยาว และช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือน เช่น เกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ครอบคลุมทั้งหนี้ก้อนใหม่ และลดการก่อหนี้เกินตัว โดยการแก้หนี้ครัวเรือนต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก คือหนึ่ง ต้องทำอย่างครบวงจร ตั้งแต่ก่อก่อหนี้ ต้องสร้างวินัยการเงินให้ลูกหนี้ ส่วนเจ้าหนี้ต้องปล่อยหนี้อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และช่วงเป็นหนี้ต้องสร้างกลไกช่วยลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้หนี้พอกพูน เช่น กลไล Risk-based Pricing คือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อโดยเพิ่มการประเมินความเสี่ยงเข้ากับต้นทุนสำหรับการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ส่วนช่วงที่มีปัญหาชำระหนี้ ควรมีกลไกสนับสนุนการแก้ปัญหาเพื่อช่วยลูกหนี้หลุดจากวงจรหนี้ได้ เช่น การไกล่เกลี่ยหนี้นอกศาล หรือการแก้หนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายสอง ต้องทำให้ถูกหลักการ แก้หนี้ให้ตรงจุดสอดคล้องกับปัญหาลูกหนี้ ไม่สร้างภาระเพิ่มให้ลูกหนี้ในอนาคต ไม่ลดโอกาสเข้าถึงสินเชื่อและ สาม บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหนี้ที่ต้องให้สินเชื่อใหม่โดยคำนึงถึงศักยภาพลูกหนี้ในการชำระหนี้มากขึ้น ภาครัฐมีบทบาทในการสร้างรายได้ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และภาคเอกชนต้องยกระดับบทบาทนายจ้างในการดูแลปัญหาหนี้ของลูกจ้าง ส่วนลูกหนี้ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ไม่ก่อหนี้เกินตัวและมีวินัยในการชำระหนี้ไม่เพียงหนี้ครัวเรือนที่น่าห่วงจากดอกเบี้ยเบ่งบาน ในด้านของผู้ประกอบการก็ถือว่ามาอยู่ในจุดที่สุดเสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย เมื่อบวกกับต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากค่าบาทที่อ่อนตัวลง ต้นทุนพลังงานที่ยังเป็นขาขึ้น ค่าแรงที่เพิ่งปรับ ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบการต้องหาทางลดต้นทุนเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปให้ได้ และที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ การลงทุนของภาคเอกชนจะชะลอตัวลงหรือไม่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่าดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นมีผลต่อต้นทุนการเงิน อาจทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มมากขึ้นก็เป็นไปได้ ผู้ประกอบการต้องหาทางรับมือด้วยการลดต้นทุนธุรกิจ โดยปรับสินค้าให้เข้ากับกำลังซื้อที่เริ่มหดตัวลงและทำราคาให้สามารถแข่งขันได้ ส่วนหนี้ที่มีอยู่เดิมก็ต้องเร่งเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อผ่อนปรนหนี้ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังมีผลต่อการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ยาก อย่างการที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยบ่อยครั้งจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การลงทุนใหม่ไม่มี ธุรกิจเดิมเดินต่อได้ยากทางด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นพ้องว่าผู้ประกอบการกำลังอยู่ในจุดที่ท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งต้องรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ย ค่าไฟฟ้า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และค่าเงินบาทอ่อน ผู้กำหนดนโยบายจะต้องหาจุดสมดุลสำหรับทั้งสองฝ่ายที่ได้ประโยน์และเสียประโยชน์อย่างไรก็ดี นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. ประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทยังไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในภาพรวม เนื่องจากการอ่อนค่าของบาทเป็นผลมาจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงมาก ทำให้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกือบทุกประเทศในโลกนี้มีค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ฉะนั้นการที่เงินบาทอ่อนลงไม่ใช่ปัจจัยเฉพาะเศรษฐกิจไทย หากมองการอ่อนค่าของเงินบาทแค่ในภูมิภาคเอเชีย ไทยยังอยู่ระดับกลางๆ อ่อนลงมา 12% ตั้งแต่ต้นปี อ่อนค่าลงน้อยกว่าไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเกาหลีทั้งเงินเฟ้อและค่าบาทอ่อนเป็นเรื่องที่แบงก์ชาติ เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับความผันผวน และดกำหนดมาตรการที่เหมาะสมออกมารองรับหันกลับมาดูเงินในมือของภาครัฐบ้าง ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติอนุมัติแผนก่อหนี้สาธารณะ ประจำปี 2566 โดยเป็นการก่อหนี้ใหม่เพิ่ม 1 ล้านล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า แผนก่อหนี้ฯ ดังกล่าว มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน โดยแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วยแผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1,052,785.47 ล้านบาท ได้แก่การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล วงเงิน 819,765.19 ล้านบาท เป็นการกู้เพื่อขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วงเงิน 695,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เพื่อลงทุนในโครงการของรัฐบาล ส่วนที่เหลือเป็นการให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และวงเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องเงินคงคลังในแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ (หนี้ในประเทศ) วงเงินรวม 30,500 ล้านบาทนั้น นอกจากแผนงานของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ที่กู้มาทำโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 67 (NR67) เสียมราฐ-อันลองเวง-จวม/สะงำ กัมพูชา วงเงิน 500 ล้านบาทแล้ว วงเงินกู้ก้อนใหญ่ส่วนที่เหลือเป็นของสำนักกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เมื่อมีพระราชกำหนดฯนอกจากนั้น ยังมีการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ วงเงิน 233,020.28 ล้านบาท เป็นการกู้เพื่อการลงทุนในสาขาคมนาคม (รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3) สาขาพลังงาน (ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน) สาขาสาธารณูปโภค (ปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาต่างๆ) สาขาที่อยู่อาศัย (พัฒนาที่อยู่อาศัย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง)ส่วนแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 1,735,962.93 ล้านบาท เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล วงเงิน 1,589,973.34 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 145,989.59 ล้านบาท เพื่อบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้การบริหารต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม และแผนการชำระหนี้ วงเงิน 360,179.68 ล้านบาท เป็นแผนการชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 และเงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจนายอาคม ยืนยันว่าภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 60.43 ซึ่งยังอยู่ใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ซึ่งกำหนดไว้ที่ร้อยละ 70แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/daily/detail/9650000094147

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X