คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ฉลองใหญ่ครบรอบ 10 ปี โชว์ผลงานศิลปะอิมเมอร์ซีฟของศิลปินระดับโลก

14/05/2024

ฉลองครบรอบ 10 ปีอย่างยิ่งใหญ่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี จัดงาน ‘BANGKOK 3024’ การแสดงผลงานศิลปะแบบอิมเมอร์ซีฟระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย โดย “แดเนียล อาร์แชม” ศิลปินชาวนิวยอร์กที่มีผลงานระดับไอคอนและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยในงานศิลปินคนดัง “แดเนียล อาร์แชม” ได้บินตรงจากนิวยอร์กมาร่วมงานพิเศษนี้โดยเฉพาะอีกด้วยผู้บริหารเซ็นทรัลกรุ๊ป นำโดย ยุวดี จิราธิวัฒน์, สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์, อธิศ จิราธิวัฒน์, ณัฐธีรา จิราธิวัฒน์ บุญศรี และ บรม พิจารณ์จิตร ร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี.แดเนียล อาร์แชม และบรม พิจารณ์จิตรพ่องานคนสำคัญ “บรม พิจารณ์จิตร” กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดเผยว่า เซ็นทรัล เอ็มบาสซี คือผู้นำด้านศิลปะ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์เหนือระดับใจกลางกรุงเทพมหานคร ผู้ให้การสนับสนุนวงการศิลปะอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเป็นผู้จัดนิทรรศการศิลปะและการแสดงผลงานของศิลปินไทย และศิลปินระดับโลกมากมาย โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ได้จัดนิทรรศการศิลปะระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 1 ทศวรรษด้วยการจัดงาน ‘BANGKOK 3024’ ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะแบบอิมเมอร์ซีฟจากศิลปินระดับโลกชาวนิวยอร์ก อย่างแดเนียล อาร์แชม โดยเนรมิตพื้นที่ภายในศูนย์การค้าฯ เพื่อนำเสนอผลงานโบราณคดีสมมติที่ฉีกกฎเกณฑ์เรื่องเวลาและการรับรู้ของผู้ชม โดยการแสดงผลงานศิลปะครั้งนี้ยังนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่นำผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อย่าง Excavation Walls, Zen Garden และประติมากรรมที่มีรายละเอียดที่ผุกร่อนอันเป็นเอกลักษณ์ของแดเนียล อาร์แชม อีก 5 ชิ้น มาจัดแสดงและเปิดให้ทุกคนได้เข้ามารับชมในที่เดียวรวมถึง ‘The Passage’ ซึ่งได้รังสรรค์ขึ้นสำหรับเซ็นทรัล เอ็มบาสซีโดยเฉพาะการจัดแสดงผลงานนี้ได้จัดพื้นที่จัดแสดงผลงานมีลักษณะเหมือนสวนเซน (Zen Garden) ซึ่งเต็มไปด้วยหินกรวดสีขาวที่ถูกคราดลวดลายอันสวยงาม ทางเดินสีฟ้าที่ทอดยาวตัดผ่านกำแพงคอนกรีตที่เรียงซ้อนกันเล่นระดับสวยงามแปลกตา เพื่อพาผู้ชมเดินฝ่าเข้าไปพบกับประติมากรรมทั้ง 5 ชิ้นที่ผุกร่อนตามกาลเวลา อันเป็นเอกลักษณ์ของแดเนียล อาร์แชม ทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่หลายคนจดจำได้ทันที ได้แก่ Stormtrooper : Amethyst Cry stallized Figure (2023), Bronze Eroded Dog with Hat (2021), Bronze Eroded Delorean 1:3 (2021), Amalgamized Venus Italica (2022) และ Blue Calcite Crystallized Jumping Pikachu (2021) ผลงานประติมากรรมเหล่านี้มีรายละเอียดของความผุกร่อนที่บรรจุไว้ด้วยคริสตัล ควอตซ์ อเมทิสต์ และเหล็กขัดเงาภายใน ผลงานเหล่านี้เปรียบเสมือนหลักฐานแห่งอนาคต เชิญชวนให้ผู้ชมได้ไตร่ตรองถึงความเปราะบางของชีวิต และชวนตั้งคำถามว่าเราจะทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังได้ค้นพบ นอกจากนี้ยังจะได้พบกับ ‘Artifacts’ หรือร้านป๊อปอัปสุดพิเศษที่รวบรวมสินค้าและของสะสมในรุ่นต่างๆที่ออกแบบโดยแดเนียล อาร์แชม และสินค้ารุ่นเอกซ์คลูซีฟที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะสัมผัสประสบการณ์พิเศษจากการแสดงชุด ‘BANGKOK 3024’ ได้ที่ชั้น G และชั้น 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ตั้งแต่วันนี้ถึง 14 ก.ค.67 และพบกับกิจกรรมและโปรโมชัน รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Promotion of The Decade” โปรโมชันเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับลูกค้าตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิ.ย.67.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/2785243

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

กฎหมายกับการปีนเขา การเดินป่าและทิศทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวธรรมชาติ

14/05/2024

จากความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ของประเทศไทยในด้านของการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า เดินเขา (Trekking) หรือการปีนเขา (Hiking) ได้รับความนิยมอย่างมาก และสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับการท่องเที่ยวไทยอย่างมีนัยสำคัญในปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ยังคงให้ความสนใจการท่องเที่ยวในรูปแบบดังกล่าวในพื้นที่ป่าชุมชน และพื้นที่ป่าเขตอุทยาน หรือภูเขาและแนวสันเขา ซึ่งอยู่ภายใต้ความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชิงของการบังคับใช้กฎหมายและบทบัญญัติต่างๆ อย่างต่อเนื่องเนื่องจากสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ในทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น ป่าฝนเขตร้อนหรือการเดินเขาสูงในฤดูหนาวนั่นเอง เพื่อให้สอดรับกับหลักการของแผนพัฒนาเศรษฐกิจในยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ประเทศไทยเอง สนับสนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวในรูปแบบดังกล่าวเป็นอย่างมากตัวอย่างเช่นความร่วมมือกับ Youtuber หรือ Influencer ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในรูปแบบดังกล่าว นอกจากนี้เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ในการปกป้องทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และการเรียนรู้เพื่อการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืนในเวลาเดียวกัน อาจจำเป็นต้องกำหนดแนวนโยบายและมาตรการทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เพิ่มขึ้น โดยให้ทันสมัยและครอบคลุมกิจกรรมท่องเที่ยวเดินป่าและปีนเขา ซึ่งอาจมีรูปแบบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรอบในการพัฒนาก้าวต่อไปในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นทางกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจหรือการดำเนินกิจกรรมนำเที่ยวของมัคคุเทศก์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเดินป่า เดินเขาและการปีนเขาในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบและยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่เอเชียใต้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการท่องเที่ยวเดินเขากล่าวคือ ประเทศเนปาล แม้จะมีความเหมือนกันในด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ แต่ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างในด้านของสภาพภูมิประเทศของภูเขาสูง ความยากง่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในเส้นทางต่างๆ ของแหล่งท่องเที่ยวเดินเขา โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถที่จะเลือกเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง หรือใช้บริการมัคคุเทศก์ที่มีความเชี่ยวชาญได้พื้นที่ป่าและแนวเขาในประเทศไทยนั้น จะพบบริการของมัคคุเทศก์หรือไกด์นำทาง ไม่ว่าจะเป็น ภายใต้การประกอบธุรกิจ การเป็นมัคคุเทศก์อาสา มัคคุเทศก์ท้องถิ่นในชุมชน มัคคุเทศก์เยาวชน หรือในบางกรณีเป็นการบริการประชาชนในการแนะนำเส้นทางโดยเจ้าหน้าที่อุทยานเมื่อพิจารณาระบบการทำงานของมัคคุเทศก์หรือไกด์นำทางการเดินป่า เดินเขาหรือปีนเขาในประเทศไทย ประการแรก ไม่พบว่ามีการกำหนดรูปแบบหรือบังคับไว้อย่างตายตัวด้วยแนวนโยบายหรือมาตรการทางกฎหมายตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันหากเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบดังกล่าวเป็นหมู่คณะ เป็นกลุ่มใหญ่และเดินทางท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาหลายวัน อาจนัดหมายและว่าจ้างล่วงหน้าเฉพาะกลุ่ม และยังสามารถว่าจ้างหรือติดต่อการนำเที่ยวโดยมัคคุเทศก์หรือไกด์ผู้นำทางในรูปแบบต่างๆ เมื่อเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวแล้วก็สามารถทำได้กิจกรรมนำเที่ยวของมัคคุเทศก์และไกด์นำทางในการเดินป่า เดินเขา และปีนเขา ในประเทศไทยถูกกำกับด้วย พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 และแก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นเขตอุทยาน อาจต้องมีการปรับใช้ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ร่วมด้วยทั้งนี้ไม่มีการกำหนดในข้อบังคับทางกฎหมายใดว่าต้องมีการว่าจ้างมัคคุเทศก์หรือไกด์นำทาง จึงจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวเดินป่า เดินเขาและปีนเขาได้ในแง่ของความอิสระของนักท่องเที่ยวเป็นข้อที่มีความยืดหยุ่น เพราะสามารถชำระค่าอุทยานและเข้าสู่พื้นที่เดินป่า เดินเขาและปีนเขาสูงได้ด้วยตนเองเลย แต่หากมองในด้านของความปลอดภัย และมาตรการในการสนับสนุนมัคคุเทศก์ผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญเส้นทาง ธุรกิจและรายได้ในชุมชนท้องถิ่นอาจมีข้อที่ต้องพิจารณากันต่อไปประเทศเนปาลเองนั้นในอดีตนั้น ไม่มีมาตรการบังคับทางกฎหมายสำหรับนักเดินเขาหรือนักปีนเขาที่มีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (Solo/Independent Trekker) ในการว่าจ้างมัคคุเทศก์หรือไกด์นำทางในเส้นทางการเดินเขาและปีนเขาทั้ง 12 อุทยานแห่งชาติและ 6 พื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ รวมถึงเส้นทาง Everest Base Camp Annapurna และ Manaslu circuits ที่ได้รับความนิยมอย่างมากแต่ภายหลังที่มีการตรากฎหมายในประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในช่วงเดือน เม.ย.2566 นักท่องเที่ยวจะต้องว่าจ้างมัคคุเทศก์และไกด์นำทางเท่านั้นโดยมีรายละเอียดของหลักเกณฑ์และระเบียบข้อบังคับ กล่าวคือ การให้ข้อมูลของนักท่องเที่ยวหรือระบบ Trekkers’ Information Management System (TIMS) จะต้องถูกดำเนินการโดยมัคคุเทศก์หรือไกด์นำทางเท่านั้นเช่นเดียวกับการซื้อบัตรและชำระราคาค่าเข้าอุทยาน (Permit Document) การติดต่อที่พัก (Tea House) อาหารและการกำหนดเส้นทางการเดินเขา (Trekking Route Management) เหตุผลเบื้องหลังที่รัฐบาลเนปาลกำหนดมาตรการบังคับเช่นนี้ เพื่อรับรองความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเดินเขาในด้านของสุขภาพและความคุ้นเคยในเส้นทาง รวมถึงป้องกันการหลงทาง อุบัติเหตุ และการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวเดินเขา อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นในการจำหน่ายอาหารและห้องพักอีกด้วยกฎหมาย ระเบียบ วิธีปฏิบัติและข้อบังคับในประเทศเนปาลจึงเปลี่ยนไป และอาจถือได้ว่าเป็นการจัดระเบียบธุรกิจการนำเที่ยวเดินเขาครั้งใหญ่หลังจากการท่องเที่ยวเดินเขากลับมาได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้งในประเทศเนปาลเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับการจัดการกิจกรรมนำเที่ยวเดินป่าในประเทศไทย ยังมีการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการทางกฎหมายที่มาสนับสนุนแตกต่างกันอยู่พอสมควร อาจเป็นประเด็นที่น่าสนใจนำมาพิจารณาว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นหรือความเหมาะสมที่จะต้องปรับใช้มาตรการดังกล่าวบ้างหรือไม่.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1125871

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ครองอันดับ 1 รางวัลคุณวุฒิตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ (National Agent Awards) ครั้งที่ 24 ประจำปี 2567

14/05/2024

กรุงเทพฯ 14 พฤษภาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัลอันดับ 1 คุณวุฒิตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ (National Agent Awards) หรือ NAA ครั้งที่ 24 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) ซึ่งในปีนี้มีพลังตัวแทนเอไอเอ พิชิตคุณวุฒิได้จำนวนมากถึง 204 ท่าน จากทั้งหมด 355 ท่าน ซึ่งมาจาก 15 บริษัททั่วประเทศ ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของพลังตัวแทนเอไอเอ และความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ โดยพิธีมอบรางวัลได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ได้รับรางวัล ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ ในธีมงาน “Gateway to Success”ในการนี้ ผู้ได้รับรางวัล 10 อันดับสูงสุดของตัวแทนประกันชีวิตจากทั่วประเทศ เป็นพลังตัวแทนจากเอไอเอ มากถึง 7 ท่าน ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)  เป็นประธานเปิดงานและให้เกียรติมอบถ้วยรางวัลให้แก่ 10 อันดับแรก ตลอดจนมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย คุณดำรงศักดิ์ ขุนทอง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตัวแทนภูมิภาค 2 และคุณสลักจิต นิลประเสริฐศักดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางการขาย เข้าร่วมแสดงความยินดีกับผู้พิชิตคุณวุฒิอีกด้วย โดยผู้ได้รับรางวัลตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ ที่มีรายชื่ออยู่ใน 10 อันดับแรกมีดังต่อไปนี้อันดับ 1 : คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต เบี้ยประกัน 49,951,943 บาทอันดับ 2 :  คุณวิศรุต วิโรจน์ไพศาลกุล เบี้ยประกัน 47,275,279 บาทอันดับ 4 :  คุณรสริน โมคา เบี้ยประกัน 28,634,428 บาทอันดับ 5 :  คุณรัญชิตา พลฤทธิ์ เบี้ยประกัน 27,623,067 บาทอันดับ 8 :  คุณณัฐพล รุ่งเกียรติวงศ์ เบี้ยประกัน 22,184,817 บาทอันดับ 9 : คุณตรีนพภูรี ศุภวงศ์วริศ เบี้ยประกัน 20,097,923 บาทอันดับ 10 : คุณบดินทร์ รามศรี เบี้ยประกัน 19,350,388 บาท

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดแผนสำรองเมื่อรู้ว่าเงินเกษียณไม่พอ

13/05/2024

บทความโดย "ทศพร อิศรางกูร ณ อยุธยา"  นักวางแผนการเงินCFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย เมื่อวางแผนการเงินเพื่อเกษียณเอาไว้ โดยส่วนใหญ่ก็จะประเมินได้ว่าจะมีเงินใช้หลังเกษียณเท่าไหร่หรือมีเงินใช้ไปได้อีกกี่ปี อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เงินไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ ไม่คำนวณเงินเฟ้อ ตัวอย่าง นาย ก ตั้งใจว่าเกษียณอายุ 60 ปี และจะใช้ชีวิตถึงอายุ 80 ปี โดยมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ปีละ 240,000 บาท หากคิดจากยอดที่ต้องใช้ชีวิตเกษียณแบบไม่ได้เผื่อเงินเฟ้อ จะต้องมีเงินเก็บ 240,000 x 20 ปี = 4.8 ล้านบาท ซึ่งในปีแรก ๆ ของการเกษียณข้าวของอาหารราคาจากเงินเฟ้อยังไม่ส่งผลมาก ก็ยังพอที่จะใช้ชีวิตได้ แต่เมื่อผ่านไป อาจทำให้ราคาข้าวจากจานละ 60 บาท เป็นจานละ 100 บาท ก็จะทำให้ช่วงท้ายของการเกษียณมีเงินไม่พอได้ 1. ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าเป้าหมาย ตัวอย่าง นางสาวเอ ตั้งใจมีเงินเกษียณแบบคิดเผื่อเงินเฟ้อในอนาคตที่ 8 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนเกษียณอายุ โดยเก็บเงินทุกเดือนแบบ DCA เดือนละ 8,000 บาท 30 ปี (ตั้งแต่อายุ 30 ปี ไปจนถึงอายุ 60 ปี) ซึ่งมีการจัดพอร์ตผลตอบแทนคาดหวังไว้ 6% เนื่องจากไม่มีการปรับ การดูแลพอร์ต เมื่อเกษียณอายุ ผลตอบแทนที่ทำได้จริงได้เพียง 4% จากเงินคาดการณ์ 8  ล้านบาท จะได้เพียง 5.9 ล้านบาท ขาดเงินเกษียณไป 2.1 ล้านบาท 2. มีเหตุฉุกเฉิน ตัวอย่าง นายสมชาย สะสมเงินไว้ได้จำนวน 5 ล้านบาทที่จะเอาไว้ใช้ยามเกษียณ แต่นายสมชายไม่ได้โอนความเสี่ยงภัยด้านสุขภาพ โดยการซื้อประกันสุขภาพและไม่มีสวัสดิการสุขภาพใด ๆ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยไม่สบาย จึงต้องนำเงินเกษียณ 5 ล้านบาทออก ไปใช้ 2 ล้านบาท ทำให้เงินเหลือเพียง 3 ล้านบาท เป็นต้น 3. อายุยืนกว่าที่คาดการณ์ไว้ การวางแผนเงินเกษียณ ควรเผื่ออายุสุดท้ายไว้เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ทำให้คนมีแนวโน้มอายุยืนมากขึ้น โดยยึดว่า หากเสียชีวิตแล้วเงินยังเหลืออยู่ ดีกว่าเงินหมดแล้วยังต้องใช้ชีวิตแบบลำบาก ตัวอย่าง นางสาวสมร มีเงินเกษียณเผื่อเงินเฟ้อแล้วไว้ที่ 10 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะใช้ชีวิตถึงอายุ 85 ปี แต่เมื่อตอนอายุ 82 ปี ก็พบว่าตัวเองสุขภาพยังแข็งแรงดี แต่เงินเกษียณเหลือเพียง 2 ล้านบาท หากนางสาวสมมีอายุถึง 90 ปี ต้องใช้อีก 3 ล้านบาท หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็จะทำให้นางสมรเจอปัญหาเงินเกษียณไม่พอ เป็นต้น เมื่อเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ข้างต้น หากเกษียณไปแล้วและเงินเก็บออมไม่เพียงพอ ก็ต้องหาทางออก พิจารณายืดอายุเกษียณออกไป ตัวอย่าง ตั้งใจจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี แต่เมื่อคำนวณเงินเกษียณแล้วยังไม่พอ ในยุคนี้สามาถทำงานได้ต่อเนื่อง และหลายบริษัท ก็ยินดีที่จะจ้างต่อไปจนถึงอายุ 65-70 ปี ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อไปอีก 5-10 ปี ก็จะทำให้มีกระแสเงินสดรับเพิ่มและสามารถสะสมเงินเพื่อเกษียณเพิ่มขึ้นได้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต อาจจำเป็นที่ต้องพิจารณาการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึงการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินที่พอจัดการได้ จะสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยดูจากบันทึกการใช้จ่าย งบกระแสเงินสด  แยกประเภทค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าน้ำไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต ค่าอาหาร เป็นต้น ประเภทไหนเป็นส่วนค่าใช้จ่ายผันแปร เช่น ท่องเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน ทำบุญ เป็นต้น สร้างรายได้พิเศษ การเกษียณไม่ได้หมายความว่าจะต้องหยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเอง สามารถใช้เวลาว่างในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำ เช่น ทักษะในการทำงานออนไลน์ อ่านหนังสือ เข้ากิจกรรมทางสังคม การออกกำลังกาย งานอาสา เป็นต้น เพื่อไปใช้ในการสร้างรายได้ อินเทอร์เน็ตก็เปิดโอกาสให้คุณสร้างรายได้ออนไลน์ โดยการเริ่มธุรกิจออนไลน์ขายสินค้า หรืออาจใช้บริการผ่านเว็บไซต์ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้โอกาสในการหางานรับจ้าง Upwork, Freelancer, Fiverr และ TaskRabbit ก็สามารถรับงานตามความสามารถและความถนัด  ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนบทความ, การออกแบบกราฟิก, การแปลภาษา, หรืองานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่ก็ต้องระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาจจะมาหลอกลวง ปรับการลงทุนใหม่เพิ่มผลตอบแทน หากมีเงินเกษียณที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งมีเวลาลงทุนในระยะยาว 7-10 ปี หรือมีทรัพย์สินที่สามารถนำมาลงทุนได้อาจหาโอกาสในการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงกว่าเดิม เพื่อเป็นโอกาสสะสมเงินเกษียณได้เพิ่มในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ควรเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน เพราะเมื่อต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย ขายทรัพย์สินเพื่อเป็นกระแสเงินสด หากมีทรัพย์สินอะไรที่คุณไม่ได้ใช้ ก็อาจจำเป็นต้องตัดใจนำออกมาขาย ข้อสำคัญอยู่ที่ควรสำรวจราคาที่เหมาะสม โดยทยอยขายไปเรื่อย ๆ  โดยไม่กระชั้นชิดจนขาดสภาพคล่อง เพราะผู้ซื้ออาจกดราคาทรัพย์สินของเรา จนต้องขายถูกกว่าราคาตลาด ใช้วิธี Reverse Mortgage Reverse Mortgage จะเป็นเหมือนการขายบ้านให้กับธนาคารและธนาคารผ่อนเงินให้ทุก ๆ เดือน โดยเป็นการจำนองที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ไม่อยากขาย เพราะต้องใช้อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิต และต้องการรายได้เป็นแบบรายเดือน เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยนำบ้านหรือคอนโดมิเนียม ไปจำนองกับธนาคาร แล้วให้ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นรายเดือนแทน การหาที่อยู่ใหม่ หากขายทรัพย์สินบางอย่าง เช่น บ้านออกไป อาจต้องการพิจารณาการย้ายไปอยู่ในที่อยู่ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำลง ที่อยู่ใหม่อาจเปลี่ยนเป็นเช่าแทน หรือคุณภาพและราคาที่เหมาะสมกับสภาพการเงินของคุณในปัจจุบัน ในหลาย ๆ ครั้ง ผู้สูงอายุก็อาจจะขายบ้านออกไป เพื่อไปเช่าอยู่ในบ้านพักผู้สูงอายุที่เป็นสวัสดิการรัฐ ที่มีการดูแลที่ดี ราคาไม่แพงก็ได้เช่นกัน เมื่อเงินเกษียณไม่เพียงพอก็มีทางออกหลากหลาย แต่สิ่งสำคัญ คือ การทำการวางแผนอย่างรอบด้านก่อนการเกษียณอายุ ที่ต้องคำนวณเงินค่าใช้จ่ายพื้นฐานบวกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการเผื่อเงินเฟ้อในอนาคตที่จะส่งผลกับเงินเกษียณ ในกรณีที่ไม่มั่นใจในการจัดการเงินหลังเกษียณ คุณยังสามารถปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1556166

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ภัยพิบัติพุ่ง คปภ. เตือน ปชช.-เกษตรกร ใช้ประกันบริหารความเสี่ยง

13/05/2024

ภัยพิบัติพุ่ง สำนักงาน คปภ. เตือน ประชาชน-เกษตรกร ใช้ประกันภัยบริหารความเสี่ยงวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รายงานว่า จากกรณีที่ประเทศไทยตอนบนได้เกิดพายุฤดูร้อน เนื่องจากมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นหลายพื้นที่โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง โดยสร้างความเสียหายให้กับอาคาร บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ตลอดจนผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่นั้นสำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน รวมถึงเกษตรกรที่ปลูกพืชผลทางการเกษตร จึงขอให้ประชาชนและเกษตรกรให้ความสำคัญในการทำประกันภัยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคุ้มครองความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติทั้งนี้ การทำประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับอาคารนั้น มีทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับตามกฎหมาย โดยในส่วนของอาคารอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งบังคับให้เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการ สำหรับอาคารชนิดหรือประเภทตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฯ ต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและจำนวนเงินเอาประกันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดในกฎกระทรวงโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารสำหรับอาคารของเอกชนที่จะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าว ประกอบไปด้วย อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ รวมถึงป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายที่สูงจากพื้นดินตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางเมตรขึ้นไปหรือป้ายที่ติดหรือตั้งบนหลังคาหรือดาดฟ้าของอาคารหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป จะต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงขอฝากให้เจ้าของอาคารหรือผู้ประกอบการตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยในทรัพย์สินดังกล่าวด้วย เพราะหากไม่ทำประกันภัยภาคบังคับนอกจากจะได้รับความเสียหายเมื่อเกิดอัคคีภัยแล้ว ยังอาจได้รับโทษถึงจำคุกและปรับในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองหรือความเกี่ยวเนื่องกับไฟไหม้ เช่น ประกันอัคคีภัย จะให้ความคุ้มครองตัวอาคาร เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน สต๊อกสินค้า เครื่องจักร และเครื่องตกแต่งที่ติดตั้งไว้กับตัวอาคาร โดยให้ความคุ้มครองไฟไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้ทำแสงสว่างหรือประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยส่วนการประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย จะให้ความคุ้มครอง สิ่งปลูกสร้างหรือตัวอาคารใช้เป็นที่อยู่อาศัย (ไม่รวมฐานราก) ทรัพย์สินภายในบ้าน สิ่งที่ติดกับตัวอาคาร หรือเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้าน โดยให้ความคุ้มครอง ไฟไหม้ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยจากยวดยานพาหนะ ภัยจากอากาศยาน ภัยจากน้ำที่เกิดจากการรั่วซึมภายในอาคาร (ไม่รวมน้ำท่วม)รวมถึงภัยธรรมชาติ 4 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ ภัยลูกเห็บ และภัยแผ่นดินไหว ในขณะที่ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) จะให้ความคุ้มครองกว้างกว่าอัคคีภัย เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยจากยวดยานพาหนะ ภัยน้ำท่วม ภัยแผ่นดินไหว ภัยลมพายุ ภัยลูกเห็บ การโจรกรรมและอุบัติเหตุจากสาเหตุที่ไม่ได้ระบุไว้ในข้อยกเว้น เป็นต้นสำหรับเกษตรกรที่ปลูกพืชผลทางการเกษตร สามารถจัดทำประกันภัย ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน ลำไย เป็นต้น เพื่อนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติได้อีกด้วยทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเรื่องประกันภัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือเว็บไซต์ www.oic.or.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1562727

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

15 ศิลปินอาเซียนพาสำรวจวิญญาณข้ามมหาสมุทร มหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ 2024

14/05/2024

ความเป็นจริงที่ซับซ้อน เรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันหลากหลายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกนำมาถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลกให้ตะลึง ผ่านผลงานศิลปะกว่า 40 ชิ้น จาก 15 ศิลปินทัพหน้าของอาเซียน ที่ผนึกกำลังกันไปโชว์ไกลถึงเมืองเวนิส เพื่อร่วมสร้างสีสันให้งาน “มหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60” (The 60 th Inter national Art Exhibition, La Biennale di Venezia) ณ Palazzo Smith Mangilli Valmarana ประเทศอิตาลี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 24 พฤศจิกายน 2024งานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง “มูลนิธิ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่” ภายใต้การนำของ “ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์” และ “บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)” พร้อมเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อนำเสนอผลงานของศิลปินจากเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ที่ได้สำรวจเรื่องราวการย้ายถิ่น, การพลัดถิ่น และการล่าอาณานิคมข้ามทะเล ผ่านนิทรรศการ “The Spirits of Maritime Crossing : วิญญาณข้ามมหาสมุทร” ออกสู่สายตาชาวโลก ในงาน “มหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60” (The 60th International Art Exhibition, La Biennale di Venezia)ภายในนิทรรศการ “The Spirits of Maritime Crossing” ประกอบด้วยสื่อหลากหลายประเภท ทั้งภาพวาด, ประติมากรรม, สื่อผสม และวิดีโอจัดวาง โดยศิลปิน 15 คน จากกัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, เมียนมา, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และประเทศไทย ร่วมนำเสนอความเป็นจริงที่ซับซ้อนชวนพิศวงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน ควบคู่ไปกับคำบอกเล่าของชาวตะวันตกและเมืองเวนิสที่มีอัตลักษณ์แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงในฐานะประธานอำนวยการ และผู้อำนวยการศิลป์ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ และภัณฑารักษ์นิทรรศการครั้งนี้ “ศ.ดร.อภินันท์” บอกเล่าว่า เรามีความยินดีที่ได้นำเสนอผลการสำรวจของศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แก่ผู้ชมนานาประเทศในซีกโลกเหนือ ก่อนที่งาน เบียนนาเล่ของกรุงเทพฯ จะโหมโรงขึ้นในเดือนตุลาคม 2024 และถือเป็นเกียรติที่ภาพ ยนตร์สั้นเรื่องใหม่นำแสดงโดย “มารีนา อบราโมวิช” ศิลปินชื่อก้องโลก ผู้ชนะรางวัลโกลเด้น ไลออน จากเทศกาลเวนิส เบียนนาเล่ ปี 1997 ได้ร่วมอยู่ในนิทรรศการครั้งนี้ด้วย โดยเนื้อหาภาพยนตร์และนิทรรศการเป็นเรื่องราว การเดินทางทางทะเล, การย้ายถิ่น และการพลัดถิ่น สัมพันธ์โดยตรงกับนิทรรศการหลักจนถึงศิลปินหน้าใหม่มากพรสวรรค์ นำโดย “มารีนา อบราโมวิช” (เซอร์เบีย-สหรัฐอเมริกา), “พิเชษฐ กลั่นชื่น” (ไทย), “ปรียากีธา ดีอา” (สิงคโปร์), “จิตติ เกษมกิจวัฒนา” (ไทย), “นักรบ มูลมานัส” (ไทย), “จอมเปท คุสวิดานันโต” (อินโดนีเซีย), “บุญโปน โพทิสาน” (ลาว),“อัลวิน รีอามิลโล” (ฟิลิปปินส์), “คไว สัมนาง” (กัมพูชา), “โม สัท” (เมียนมา-เนเธอร์แลนด์), “จักกาย ศิริบุตร” (ไทย), “เจือง กง ตึง” (เวียดนาม), “นที อุตฤทธิ์” (ไทย), “กวิตา วัฒนะชยังกูร” (ไทย) และ “หยี่ อิ-ลาน” (มาเลเซีย)ถือเป็นการเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเวนิส ผ่านประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและการพลัดถิ่นในมุมมองของผู้อยู่ห่างไกลทั้งกายและใจจากบ้านเกิดของตน ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือแม้ศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความคล้ายคลึงกันหลายประการ แต่ขณะเดียวกันก็มีความแตกต่างในด้านชาติพันธุ์, ศาสนา และภาษาด้วย ก่อให้เกิดมรดกทางวัฒนธรรมแบบลูกผสม ซึ่งปรากฏให้เห็นในลักษณะของผู้ลี้ภัย, ผู้อพยพ และคนไร้สัญชาติร่วมติดตามข่าวสาร และตารางกิจกรรมของเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ (Bangkok Art Biennale) ได้ทาง Facebook และ Instagram : Bkkartbiennaleแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2784613

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

หาชมยาก! ปรากฏการณ์ “แสงเหนือ” โดดเด่นกลางฟ้าซินเจียง

13/05/2024

หาชมยากปรากฏการณ์ “แสงเหนือ” สุดตื่นตาที่น่านฟ้าเมืองอาเล่อไท่ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยสาเหตุหลักมาจากอิทธิพลของพายุสนามแม่เหล็กโลกมีความรุนแรงมากเป็นพิเศษภาพจากในคลิปของสำนักข่าวซินหัวสำนักข่าวซินหัวเผยภาพและคลิปวิดีโอสุดตื่นตา ที่หาได้ชมยากมาก หลังเกิดปรากฏการณ์ ”แสงเหนือ“ ในน่านฟ้าเมืองจีน เหตุจากอิทธิพลของพายุสนามแม่เหล็ก โดยระบุรายงานว่าภาพจากในคลิปของสำนักข่าวซินหัวชวนชมความงดงามของปรากฏการณ์แสงเหนือหรือแสงออโรราสีม่วงสลับแดงและสีเหลืองสลับเขียว ท่ามกลางฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในเมืองอาเล่อไท่ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนภาพจากในคลิปของสำนักข่าวซินหัวรายงานระบุว่าปรากฏการณ์แสงเหนือครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดของวันเสาร์ (11 พ.ค.) และถือเป็นเรื่องหายากที่จะเกิดปรากฏการณ์นี้ในซินเจียง โดยสาเหตุหลักมาจากอิทธิพลของพายุสนามแม่เหล็กโลกมีความรุนแรงมากเป็นพิเศษภาพจากในคลิปของสำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000041004

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

อยากเป็น ‘หัวหน้าที่ดี’ ต้องเลิกคิดเรื่องงาน หลังเลิกงานให้ได้ก่อน

10/05/2024

ตำแหน่งที่สูงขึ้น มักมาพร้อมกับความรับผิดชอบและความกดดันที่เพิ่มขึ้น เพราะการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จาก ‘ลูกน้อง’ สู่ ‘หัวหน้า’ ไม่ใช่เรื่องง่าย ความคิดที่วนเวียนกับเรื่องงานตลอดทั้งวันจนสลัดไม่ออก เพราะความตั้งใจที่อยากทำให้งานออกมาดี กลายเป็นเรื่องปกติที่หัวหน้าหลายคนต้องเผชิญแต่รู้หรือไม่ว่า มีงานวิจัยในวารสารด้านจิตวิทยาระบุไว้ว่า การคิดเรื่องงานตลอดเวลาส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ไม่เฉพาะกับประสิทธิภาพงาน แต่ยังรวมไปถึงจิตใจของคนเป็นหัวหน้าที่อาจเข้าสู่ภาวะ ‘แบตหมด’ ได้โดยพลัน เป็นสาเหตุที่นำไปสู่หายนะของการเป็น ‘Leader’ ในระยะยาวได้[ ‘หัวหน้ามือใหม่’ ชอบคิดเรื่องงานตอนกลางคืน ถึงเวลาจริงก็หมดแรงจะสู้ ]เมื่องานของหัวหน้าไม่ได้มีแค่การปิดจ็อบให้จบในแต่ละวัน แต่ยังมีเรื่องของการบริหารจัดการทีม วิธีรับมือกับแผนกอื่นๆ ที่ต้องทำงานร่วมกัน โปรเจกต์สารพันที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ปริมาณงานที่เยอะกว่าตำแหน่งคนทำงานทั่วไป ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ต้องคิดเรื่องงานบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น การคิดทบทวนเรื่องที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้นทันที่ที่ก้าวเท้าออกจากออฟฟิศช่วงหัวค่ำ จึงกลายเป็นวิถีปกติของคนกลุ่มนี้ไปแล้วแต่การคิดถึงเรื่องงานบ่อยๆ ไม่ได้ช่วยให้หัวหน้าทำงานได้ดีขึ้น กลับให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้มีงานวิจัยชื่อว่า ‘The importance of leader recovery for leader identity and behavior’ ที่เพิ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร ‘Journal of Applied Psychology’ ชี้ให้เห็นว่า การคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลาสร้างผลกระทบเชิงลบกับประสิทธิภาพการทำงานในฐานะผู้นำองค์กรการทำงานที่ต่อเนื่องยาวนานจะยิ่งทำให้กลุ่มคนนี้สูญเสียพลังงานที่เรียกว่า ‘Mental Resources’ หรือทรัพยากรทางจิตใจ ตรงกันข้ามกับหัวหน้าที่ไม่นำเรื่องงานกลับมาคิดต่อ คนกลุ่มหลังจะมีประสิทธิภาพการทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นได้ดีกว่ามากเพื่อทำความเข้าใจงานศึกษาชิ้นนี้ให้ดียิ่งขึ้น เราลองมาดูรายละเอียดคร่าวๆ กันสักหน่อย งานชิ้นนี้ทำการศึกษาผู้นำหรือหัวหน้าจำนวน 73 คน ด้วยการให้พวกเขาจดบันทึกประจำวันของตนเองติดต่อกันเป็นเวลา 10 วันโดยให้หัวหน้าเหล่านี้ทบทวนไตร่ตรองถึงประสบการณ์ของพวกเขาในยามค่ำคืน รวมถึงความรู้สึกในห้วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่โหมดปิดสวิตช์เรื่องการทำงาน เพื่อดูว่า กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้มีความคิดเชิงลบเกี่ยวกับการทำงานมากน้อยแค่ไหน และในระหว่างวันพวกเขายังมีพลังงานเหลือล้นในการทำงานด้วยรึเปล่าผลสรุปจากงานศึกษาชิ้นนี้บอกว่า หัวหน้าหรือผู้นำที่เลิกคิดเรื่องงานในตอนเย็น รู้สึกมีชีวิตชีวา พร้อมทำงานในวันรุ่งขึ้น ส่วนกลุ่มที่เก็บเรื่องงานมาคิดต่อหลังเลิกงานไปแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าในเช้าวันรุ่งขึ้น บทบาทของหัวหน้าที่มี ‘Task’ ให้จัดการมากมาย ทำให้กลุ่มที่ชอบเก็บเรื่องงานมาคิดต่อไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กลายเป็นหัวหน้าที่เพลีย เหนื่อยล้า เข้าสู่โหมด ‘Lack of productivity’ ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือภาวะหยุดคิดเรื่องงานหลังเลิกงานไม่ได้ มักเกิดขึ้นกับ ‘หัวหน้ามือใหม่’ หรือคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในงานเชิงบริหารมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ความท้าทายที่พวกเขาต้องรับมือคงจะเป็นเรื่องใหม่และนักหนา จนยากที่จะจัดการให้จบได้ภายใน 5 โมงเย็นซึ่งเรื่องนี้นักจิตวิทยาบอกว่า อย่างไรเสีย ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้ามือฉมัง หรือหัวหน้ามือใหม่ ก็ต้องฝึกจัดการกับภาวะดังกล่าวให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสม หากทำได้จะดีกับทั้งตัวหัวหน้าและลูกน้องในทีม กลุ่มคนที่ต้องรับมือกับความเหนื่อยล้าของหัวหน้าโดยตรง[ งานคืองาน ชีวิตคือชีวิต ฝึกวางให้เป็น ]มายด์เซ็ตของหัวหน้าหลายคน มักคิดว่า ต้องทำงานหนักและเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาที่จะเข้ามาอยู่เสมอ วิธีคิดเช่นนี้ทำให้ชีวิตส่วนตัวกับการทำงานถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน แม้ในยามว่าง วันหยุด ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวก็ยังรู้สึกว่า ต้องเตรียมพร้อมเสมอ บางคนสแตนบายตอบลูกน้องที่ทักมาในวันหยุดอย่างรวดเร็วแม้ไม่ใช่เรื่องด่วน บ้างก็พกแลปท็อปติดตัว เพราะไม่ต้องการเป็นหัวหน้าที่ไร้ประสิทธิภาพทว่า วิธีคิดเช่นนี้ออกจะเกินตัวไปสักหน่อย เพราะแม้คุณจะสวมหมวก ‘หัวหน้า’ หรือ ‘ผู้นำ’ ก็ไม่ได้แปลว่า มีหมวกอยู่ใบเดียวเสียเมื่อไร เรียนรู้พาร์ทอื่นในชีวิตบ้าง การพักผ่อนไม่ได้ทำให้ขี้เกียจหรือดูเกียจคร้านลง แต่งานอดิเรกเหล่านี้ต่างหากที่จะช่วย ‘บูสต์เอเนอจี้’ ให้วันทำงานของคุณกลับมามีประสิทธิภาพได้งานวิจัยชิ้นนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า กิจกรรมนอกเวลางานมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของหัวหน้าอย่างไร พลังงานดีๆ ที่ได้รับจากกิจกรรมที่หัวหน้าได้เป็นผู้เลือกเอง เชื่อมโยงกับบทบาทการทำงานในแต่ละวัน ทำให้เป็นหัวหน้าที่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ลดความเหนื่อยล้า การแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนระหว่างงานและการพักผ่อนมีส่วนสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้หัวหน้าเป็น ‘Better Leader’ ได้ในที่สุดที่มา psycnet, hbrแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์https://workpointtoday.com/leader-need-rest-and-balance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

เจาะลึกสิทธิลดหย่อน “เบี้ยประกันสุขภาพ” !!!

10/05/2024

เมื่อพูดถึงเรื่อง “ภาษี” ใครๆ ก็อยากจะหาวิธีที่จะเสียภาษีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งถ้าไม่เสียเลย ยิ่งดี แต่ในความเป็นจริง การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีการเก็บโดยยึดตามเงินได้สุทธิ ตามมาตรา 48(1) หรือเก็บโดยยึดตามเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 48(2) ซึ่งผู้เสียภาษีต้องเสียด้วยวิธีที่มากกว่า และโดยทั่วไป วิธีคำนวณจากเงินได้สุทธิ มักจะเสียภาษีสูงกว่าวิธีคำนวณจากเงินได้พึงประเมินการคำนวณภาษีโดยยึดตามเงินได้สุทธิ ตามมาตรา 48(1) มีหลักการคือ นำเอาเงินได้พึงประเมิน ประเภทที่ 1-8 มาหักด้วยค่าใช้จ่ายซึ่งจะแบ่งตามประเภทของเงินได้แต่ละประเภท จากนั้นจึงนำมาหักด้วยค่าลดหย่อนและเงินบริจาค จะเหลือเป็น “เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา“เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี รัฐจึงจัดให้มีค่าลดหย่อนตามมาตรา 47 ออกมาหลายรายการ เพื่อให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิ หรือวางแผนการใช้ค่าลดหย่อนเพื่อลดภาษีให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนส่วนตัวผู้มีเงินได้ คู่สมรส บุตร บิดามารดา เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพ กองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย ฯลฯ”สำหรับค่าลดหย่อนในส่วน “เบี้ยประกันสุขภาพ” เนื่องจากในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้นมาก การทำประกันสุขภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ควรจะมีไว้ เพื่อเป็นการป้องกันความมั่งคั่ง และผลกระทบทางการเงิน เพราะเราไม่รู้ว่าการเจ็บป่วยแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินค่ารักษาเท่าไหร่ แต่ประกันสุขภาพจะมาช่วยจัดมีไว้ เพื่อเป็นการป้องกันความมั่งคั่ง และผลกระทบทางการเงิน เพราะเราไม่รู้ว่าการเจ็บป่วยแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินค่ารักษาเท่าไหร่ แต่ประกันสุขภาพจะมาช่วยจัดการค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึงเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ เบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายไป ยังสามารถนำมาใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้นิยามของ “ประกันสุขภาพ”“การประกันสุขภาพ” หมายถึง  •  การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชย การทุพพลภาพและการสุญเสียอวัยวะ เนื่องจากกการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ  •  การประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะและการแตกหักของกระดูก  •  การประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illnesses)  •  การประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)“จะเห็นว่า เบี้ยประกันสุขภาพที่จะนำมาใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องซื้อแนบกับกรมธรรม์ประกันชีวิตเท่านั้น แต่หากซื้อกับบริษัทประกันภัย ที่จ่ายเบี้ยแบบปีต่อปี ก็สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน”“สิทธิในการลดหย่อน” ประกันสุขภาพสิทธิลดหย่อนประกันสุขภาพของตนเองและคู่สมรสผู้เสียภาษีสามารถนำเอาเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่จ่ายจริง “ไม่เกิน 25,000 บาท” และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว “ไม่เกิน 100,000 บาท”กรณีคู่สมรสจดทะเบียน ไม่มีเงินได้ ผู้เสียภาษีไม่สามารถนำเอาเบี้ยประกันสุขภาพของคู่สมรสมาลดหย่อนได้สิทธิลดหย่อนประกันสุขภาพของบิดามารดาผู้เสียภาษีสามารถนำเอาเบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อให้บิดามารดาของตนเอง รวมถึงบิดามารดาคู่สมรส (กรณีจดทะเบียนสมรส และคู่สมรสไม่มีเงินได้) มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทโดยบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ใช้สิทธิลดหย่อนไม่เกิน 30,000 บาท (ไม่จำกัดเรื่องอายุ)การนับสิทธิของประกันสุขภาพบิดามารดาสามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพ โดยใช้วิธีพิจารณา 2 ขั้นตอนคือ1. เบี้ยประกันของกรมธรรม์แต่ละเล่ม ใช้สิทธิได้สูงสุด 15,000 บาท2. ผู้เสียภาษีแต่ละคน ใช้สิทธิได้สูงสุด 15,000 บาทตัวอย่าง พี่น้อง 2 คน รวมกันซื้อประกันสุขภาพให้คุณแม่ เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย เบี้ยประกันปีละ 35,000 บาท การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของ 2 พี่น้อง สามารถพิจารณาได้ ดังนี้1. เบี้ยประกันของกรมธรรม์เล่มนั้น จ่ายจริง 35,000 บาท แต่ใช้สิทธิได้สูงสุด 15,000 บาท2. นำเบี้ย 15,000 มาหารครึ่ง เนื่องจากว่าทั้งคู่ช่วยกันจ่ายเบี้ยประกันให้กับคุณแม่สรุป แต่ละคนจะใช้สิทธิได้คนละ 7,500 บาทนั่นเอง“การใช้สิทธิในการลดหย่อน” ประกันสุขภาพหากต้องการ “ใช้สิทธิลดหย่อน” เบี้ยประกันสุขภาพ ต้องแจ้งบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยทราบ เพื่อให้ส่งข้อมูลเข้าสู่กรมสรรพากรด้วย ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ยื่นภาษี คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลเบี้ยประกันที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ที่ MyTax Account ของกรมสรรพากรโดยตรง“การเลือกประกันสุขภาพ” ควรเลือกให้เหมาะสมกับความจำเป็นและงบประมาณที่มีอยู่ นอกจากจะได้ประโยชน์โดยตรงจากความคุ้มครองที่มีให้แล้ว ก็ยังได้ประโยชน์จากการนำเบี้ยประกันมา “ลดหย่อนภาษี” อีกด้วย เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีข้อมูลอ้างอิง :ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 : ค่าลดหย่อนประมวลรัษฎากร มาตรา 48(1),(2) : การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ฉบับที่ 162 : การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดากฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2(76) : ยกเว้นเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทกฎกระทรวง ฉบับที่ 365 : ยกเว้นเบี้ยประกันสุขภาพตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาทแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/stock/stock-of-the-day/25308

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการเชิดชูเกียรติ 90ปี“อินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร”

10/05/2024

กรมศิลปากรโดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชมนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส “From orbit to Conversation 90 ปี อินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร”นิทรรศการครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ ที่จะนำพาทั้ง 2 จักรวาล และ 2 วงโคจร ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง “บทสนทนาของวงโคจร” ผ่านผลงานของ 2 ศิลปินแห่งชาติที่มีความโดดเด่นในวงการศิลปะไทย ซึ่งผลงานของ อินสนธิ์ วงค์สาม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พ.ศ. 2542 และ ทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2548 ต่างมีอัตลักษณ์ชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สอดคล้องกันคือการนำ “รูปทรง” มาสร้างสรรค์และเล่าเรื่องในแบบของตนเอง เพื่อขับเคลื่อนวงการศิลปะไทยสมัยใหม่ รูปทรงบริสุทธิ์แห่งความนิ่งขรึม สง่างาม มีชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาอ้อยอิ่ง และมีความสมบูรณ์แบบ เป็นการถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของอินสนธิ์ ส่วนทวีมุ่งใช้รูปทรงแห่งการสำแดงพลังอารมณ์ เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง มีอารมณ์ขัน เสียดสีแดกดัน อันมีแรงส่งมาจากสภาพสังคม การบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนนี้เอง แสดงให้เห็นถึงการมีจักรวาลและวงโคจรของตนเองนิทรรศการ From orbit to Conversation 90 ปี อินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร จะเป็นการนำเอาผลงานของทั้งคู่มาเกี่ยวร้อยเชื่อมโยงกัน เปรียบเสมือนบทสนทนาระหว่างเพื่อนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้อยู่ในจักรวาล ท่ามกลางวงโคจรของกลุ่มสี แสง ธาตุ และฝุ่นผง ที่ประกอบร่างเป็นดาวดวงใหญ่เคลื่อนลอยอย่างเป็นระบบในจักรวาล ผ่านผลงานประเภทภาพพิมพ์แกะไม้ ภาพปะติดด้วยสมุดข่อย ประติมากรรมไม้ และภาพจิตรกรรมที่บรรจุสีสัน เปรียบเสมือนแสงดาวระยิบระยับท่ามกลางจักรวาลที่ทั้งสองศิลปินสร้างขึ้นนอกจากนี้ยังมีกิจกรรม "Artist Talk บทสนทนาของวงโคจร" โดยอินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิกร คงคา ภัณฑารักษ์ ดำเนินรายการโดย ศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ในวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2567 เวลา 14.00 น. สามารถลงทะเบียนทางออนไลน์เพื่อสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ทาง https://forms.gle/y9HPAJnfkAuRdBED7 และมีพิธีเปิดนิทรรศการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในเวลา 15.00 น. ณ อาคารนิทรรศการ 5 (ห้องอเนกประสงค์) สำหรับนิทรรศการจัดแสดงถึง 30 มิถุนายน 2567 เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 - 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/535139

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X