Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
28/03/2024
บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth วันที่ 28 มีนาคม 2567 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยผ่านบทความว่า เราคงคุ้นกับวลี ‘ออมก่อน รวยกว่า’ ที่เป็นแคมเปญกระตุ้นการออม การลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงินให้กับคนไทยมาอย่างยาวนนาน ในช่วงหลัง ๆ ดูเหมือนจะมีวลีใหม่ ๆ เข้ามาหักล้างความเชื่อนี้ ตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ และไลฟ์ไสตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น เงินเก็บ.. เก็บไว้ในใจ, คนที่เก็บเงินได้เยอะ.. เค้าเก็บกันแถวไหน หรือ เงินเดือนน้อยนิด.. ชีวิตร้อยล้าน สำหรับคนในวางการลงทุนอย่างผม เชื่ออย่างสนิทใจเลยครับว่า ‘ออมก่อน รวยกว่า’ เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน Loud Budgeting เทรนด์ใหม่ปี 2024 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นมีประเด็น Viral เกิดขึ้น เมื่อ TikToker อย่าง Lukas Battle ได้ออกมาแชร์เทรนด์ ‘Loud Budgeting’ ซึ่งเป็นกระแสใหม่มาแรง อธิบายแบบง่าย ๆ คือ ‘การอวดประหยัดแทนการอวยรวย’ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือเครื่องประดับหรูหราราคาแพง ถือเป็นการ ‘เปลี่ยนทิศ’ วงการแฟชั่นจากเดิมที่เน้นสร้างภาพลักษณ์เพื่อความดูดี ดูแพง โดยเฉพาะบนสังคมออนไลน์ และในอีกมุมหนึ่ง Loud Budgeting ยังเหมือนการแข่งกันเก็บเงิน รู้จักคุณค่าของเงิน หรือการใช้เงินอย่างคุ้มค่าที่สุด พลิกจากช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า ที่เทรนด์ Quiet Luxury เป็นกระแสมาแรงในวงการแฟชั่น ซึ่งแสดงถึงความหรูหราแบบไม่กระโตกกระตาก แต่ภาคใต้ความเงียบนั้นคือแบรนด์เนมทั้งตัว ที่ราคาสูงลิบลิ่ว Loud Budgeting เป็นการประกาศความประหยัดด้วยความภาคภูมิใจ แสดงความมัธยัสถ์อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งหลายคนมองว่ากระแส Loud Budgeting มีที่มาจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง คนจึงหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เงินอย่างคุ้มค่า ด้วยการเลือกใช้สินค้าที่เรียบง่าย คงทน โดยไม่ต้องเน้นยี่ห้อดัง และถึงแม้ว่า Loud Budgeting ไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นมาในทันที แต่คนที่ใช้เงินอย่างคุ้มค่ามีโอกาสสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้มากกว่าในระยะยาว กระแส Loud Budgeting ไม่เพียงกลายเป็น Viral ในวงการแฟชั่นเท่านั้น แต่ถูกเชื่อมโยงมาถึงวงการเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนอีกด้วย โดยมีกระแสคอมเมนท์ในสังคมออนไลน์ในวงกว้างว่า คนในยุค Gen Z และ Millennials ที่มีวิถีอยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ต้องการสร้างภาพลักษ์ที่ดูดี เน้นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองในวันนี้ มากกว่าการเก็บออมและลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานในช่วงโควิดหรือหลังโควิด ก็อาจได้รับแรงกดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น จากค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย ๆ ต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น ‘การเปย์’ เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิตในตอนนี้เลย จึงให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนในระยะยาวน้อยลง ยิ่งการออมเพื่อเกษียณยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวเหมือนอยู่ดาวอังคาร หลายประเทศจึงประสบกับปัญหาการออม รวมทั้งประเทศไทยเราเองที่อัตราการออมถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วงทีเดียวครับ แก่ก่อนรวย เพราะอคติการออม จริง ๆ แล้ว คนไทยส่วนใหญ่มีรายได้และสามารถออมได้ แต่ไม่ออม จนเกิดคำถามว่า เป็นเพราะอะไร ? ซึ่งทางสถบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้ทำวิจัยเรื่องนี้และพบว่า ‘อคติเชิงพฤติกรรม’ 7 ข้อ เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยบางส่วนไม่ออมเงิน และไม่มีเงินเก็บ บางพฤติกรรมอาจตรงกับใครหลาย ๆ คนก็ได้นะครับ มาดูกันว่าทั้ง 7 อคติ มีอะไรกันบ้าง 1. อคติชอบปัจจุบัน (Present bias) คือ การที่ผู้คนให้น้ำหนักความสำคัญกับความสุขและผลตอบแทนที่ได้รับในปัจจุบันมากกว่าในอนาคต เช่น คนที่มีอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อไม่ออม หรือผลัดวันที่จะตั้งใจเก็บเงินไปเรื่อย ๆ โดยนำเงินใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขในวันนี้ ณ ตอนนี้แทน และคนประเภทนี้ก็จะมีปัญหาในการควบคุมตนเอง (Self-control problem) แม้จะรู้ว่าดีกว่าการออมจะเป็นหลักประกันชั้นดีให้กับชีวิตหลังเกษียณก็ตาม 2. อคติยึดติดสภาวะเดิม (Status quo bias) คือ การที่ผู้คนพึงพอใจกับสภาวะปัจจุบันมากกว่าจะเปลี่ยนไปลองทำสิ่งใหม่ที่จะแม้จะให้ผลประโยชน์มากกว่า เช่น เลือกที่จะออมในรูปแบบที่คุ้นเคยอย่างฝากธนาคาร มากกว่าที่จะลองออมในหุ้นหรือพันธบัตรที่มีคุณภาพดี ความเสี่ยงไม่สูง แต่ให้ผลตอบแทนกว่าเงินฝากธนาคารมาก 3. อคติโลกแคบ (Narrow framing) คือ การมองทางเลือกที่ต้องพิจารณาในชีวิตเป็นกลุ่มย่อย ๆ แยกออกจากกัน หรือเพียงเฉพาะในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ผู้คนตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ด้อยกว่าเมื่อพิจารณาทุกทางเลือกหรือช่วงเวลาพร้อมกัน เช่น มองว่าการออมในปัจจุบันเป็นไปเพื่อบริหารรายรับ-รายจ่ายระยะสั้น หรือเก็บเงินซื้อของราคาแพง โดยมองการออมเพื่อการเกษียณเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังไม่ต้องรีบคิดพร้อมกันตอนนี้ 4. อคติกลัวสูญเสียเกินเหตุ (Loss aversion) คือ ความสูญเสียจากสถานะปัจจุบันมีผลกระทบต่อจิตใจทางลบมากกว่าที่จะมีความสุขจากการได้รับผลตอบแทนที่มีขนาดเท่ากัน เช่น การมองว่าการออมเป็นการสูญเสียรายได้ที่จะนำมาบริโภค จึงเลือกที่จะออมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 5. อคติละเลยอัตราทบต้น (Exponential growth bias) คือ การไม่เข้าใจพลังของดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งแปลงเงินออมให้มีมูลค่ามากขึ้นทวีคูณได้ หากมีการออมอย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่ถอนเงินต้นออก เช่น คนที่ไม่รีบออมเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะประเมินผลตอบแทนจากการออมต่ำเกินไป โดยมองว่าผลตอบแทนเป็นเส้นตรงไม่ใช่ทวีคูณ จึงไม่เข้าใจว่าออมเร็วขึ้นและต่อเนื่องเพียงไม่กี่ปีก็ทำให้มีเงินให้ถอนใช้ยามเกษียณเพิ่มขึ้นมาก โดยพลังของดอกเบี้ยทบต้นอาจมาในรูปอื่นที่ไม่ใช่เงินฝากเท่านั้น เช่น การลงลงทุนในหุ้น หรือในอสังหาริมทรัพย์ 6. แรงกดดันจากผู้คนในกลุ่ม (Peer pressure) คือ อิทธิพลทางสังคมจากคนในกลุ่มเดียวกันทั้งเชิงบวกและลบ ทำให้มีพฤติกรรมคล้อยตาม เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามเพื่อน หรือตามสังคมโซเชียล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ และนี่คือศัตรูตัวร้ายที่ทำให้ความสามารถในการออมลดลง 7. การมองโลกในแง่ดีเกินไป (Overoptimism) คือ มีความมั่นใจจนล้น (Overconfidence) ทำให้เกิดความชะล่าใจในการออมเงิน เช่น คิดว่าเมื่อตนเองเกษียณไป อาจไม่โชคร้ายและเผชิญเหตุไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วยหนักหรือป่วยเรื้อรัง และต้องเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก ทำให้ไม่เห็นความสำคัญกับการเตรียมพร้อมทางการเงินเพื่อการเกษียณ และมีการออมน้อยกว่าที่ควร จากการสำรวจของ TDRI ยังพบอีกว่า คนมากกว่า 70% จะมีรายได้มากกว่ารายจ่าย ขณะที่มากกว่า 37% มีการออมไม่ถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน นอกจากนี้ส่วนมากเป็นการออมโดยการฝากธนาคาร และเก็บเป็นเงินสดไว้กับตัว โดยคิดถึงการออมผ่านการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในลำดับรอง เงินไม่พอใช้จนต้องยืดเวลาเกษียณ เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ออมก่อน รวยกว่า’ สำหรับประเทศไทยคำที่มักจะถูกพูดตามมาเสมอนั่นก็คือ ‘แก่ก่อนรวย’ เพราะประเทศไทยได้ย่างก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างแท้จริง แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ คนไทยจำนวนมากยังไม่มีเงินออมสำหรับวัยเกษียณ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวัยทำงาน มีเงินเข้าทุกเดือน หลายคนก็ยังไม่มีเงินเก็บ ไม่มีการลงทุน ไม่มีการวางแผนทางการเงิน หรืออาจซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือไม่มีวินัยทางการเงิน จนรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คงเป็นที่ทราบกันดีนะครับว่า ผู้สูงอายุในบ้านเราจำนวนมากมีปัญหาเงินออมไม่เพียงพอ ทำให้หลายคนที่ถึงวัยเกษียณแล้วยังต้องทำงานต่อ เพราะจำเป็นต้องหาเงินเพื่อดูแลตัวเองต่อไป หรือบางคนยังมีภาระที่ต้องดูแลครอบครัวอีกด้วย ขณะที่หลายครอบครัวซึ่งมีสมาชิกในวัยทำงานอยู่แล้ว ก็มีแนวโน้มที่เงินออมไม่พอสำหรับเกษียณเช่นกัน เรียกได้ว่าส่งต่อความ ‘แก่ก่อนรวย’ กันรุ่นต่อรุ่นไปเลยครับ จากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย 2564 พบว่า มีผู้สูงอายุเพียง 4.9% ที่ประเมินว่าตนเองมีรายได้เหลือเก็บ และยังมีผู้สูงอายุถึง 34.7% ที่ยังคงทำงานอยู่ โดยเป็นผู้สูงอายุที่ทำงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองหรือครอบครัวสูงถึง 44.6% อีกทั้งสัดส่วนของผู้สูงอายุจากประชากรทั้งหมดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย นอกจากนี้ การประเมินสถานการณ์การออมของครัวเรือนไทยตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มรายได้ต่ำสุด มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายตลอดการทำงาน และกลุ่มรายได้ต่ำรองลงมาไม่มีเงินออมสำหรับการเกษียณ เพราะมีรายได้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายตลอดในช่วงที่ยังทำงานอยู่ ส่วนกลุ่มรายได้ที่เหลือมีเงินออมหลังการเกษียณ แต่ไม่เพียงพอที่จะบริโภคจนสิ้นอายุขัย จึงเป็นภาพสะท้อนว่า สถานการณ์การออมเพื่อการเกษียณของคนไทยค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากการศึกษาของ Yusof และ Sabri พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการออมเพื่อการเกษียณมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย การถือครองสินทรัพย์ หรือปัจจัยเชิงสังคม เช่น ระดับการศึกษา เพศ อายุ หรือแม้แต่เชื้อชาติ รวมไปถึงปัจจัยเชิงจิตวิทยา โดยเฉพาะจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม (Behavioral psychology) ซึ่งกล่าวถึงการมีอคติเชิงพฤติกรรม (Behavioral bias) ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ ของคนได้นั่นเอง วันนี้คือฤกษ์ที่ดีในการ (เริ่ม) ออม หากเริ่มวางแผนทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ หรือง่ายที่สุดคือตั้งแต่เริ่มวัยทำงานเมื่อหารายได้ให้กับตัวเองได้แล้ว ก็ควรเริ่มวางแผนและปฏิบัติตามแผนการเงินทันที เพราะในช่วงวัยที่ยังไม่มีภาระหรือความรับผิดชอบมากนัก จะช่วยให้เราบริหารการเงินของตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อมีรายได้เข้ามาแล้ว ต้องจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และเหลือเป็นเงินออม เงินลงทุนเท่าไหร่ เพราะนี่คือการสร้างวินัยเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่ง และอิสรภาพทางการเงินได้เร็วชึ้น สำหรับคนรุ่นใหม่การใช้ก่อนออม น่าจะเป็นพฤติกรรมทางการเงินปกติที่กลายเป็นวิถีไปแล้ว แต่พฤติกรรมเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนกันได้นะครับ ซึ่งผมมีตัวอย่างการออมเพื่อปูทางสู่ความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเริ่มเก็บเงินด้วยการออมก่อนใช้ 10% ของรายรับ เช่น ถ้ามีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน หักเป็นออมเงิน 10% ก็คือ เดือนละ 3,000 บาทนั่นเองครับ ส่วนที่เหลือค่อยจัดสรรสำหรับการใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรมีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นนิสัย ซึ่งเป็นการเช็กพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และสำหรับมือใหม่หัดออม ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายทางการเงินในระยะสั้นลง หรือเป็นเป้าหมายที่เล็กลง เพื่อไม่ให้เป้าหมายนั้นยากลำบากจนเกินไป เป็นการสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในการเดินสู่เป้าหมายด้วยความสบาย ๆ มากขึ้น เช่น จากตั้งเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีเงิน 1 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ลองปรับมาเป็นเก็บเงินให้ได้ 15,000 บาทใน 1 เดือน เมื่อสามารถบรรลุในเป้าหมายเล็ก ๆ ในระยะสั้น ๆ ได้ ก็จะเป็นการสร้างพื้นฐานสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ การเริ่มต้นออมและลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ๆ คุณยังจะได้พบกับพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้นอีกด้วย เพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไปผลตอบแทนจากการออมหรือการลงทุนของคุณจะงอกงามจนน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว นอกจากนี้การออมด้วยวิธี DCA จะเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยให้คุณออมได้ต่อเนื่อง และสร้างวินัยในการออมและการลงทุนให้คุณได้อีกด้วย นวัตกรรมการเงินช่วยการออม แม้ Jitta จะเริ่มต้นธุรกิจในฐานะ Startup เล็ก ๆ ที่นำเทคโนโลยีการเงินหรือ Fintech มาขับเคลื่อน แต่ตลอดการดำเนินธุรกิจในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ภายใต้ Mission ‘ช่วยนักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ด้วยวิธีการที่ง่ายกว่า’ จึงพัฒนาเทคโนโลยี AI มาช่วยให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ลงทุนระดับโลกได้ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น รวมทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มพูนทักษะและความรู้ทางการเงินให้กับคนไทย ให้มีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงขึ้น เราได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นทั่วโลก รวมถึงพอร์ตการลงทุนที่เราได้บริหารจัดการมากว่า 6 ปี เราพบข้อจำกัดในการออมและการลงทุนของคนไทยที่ผมคิดว่าสามารถนำเทคโนโลยีพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ให้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยแก้วิกฤตด้านการเงินส่วนบุคคลของคนไทย และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้ ด้วยการพัฒนา Jitta Card ขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินก่อนออมและไม่สามารถเริ่มต้นมีเงินเก็บเงินออมเพื่อลงทุนได้ โดย Jitta Card จะช่วยให้จัดสรรเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายไปสู่การออมเงิน หรือลงทุนได้แบบง่าย ๆ จนแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังบริหารเงินให้กับตัวเองอยู่ ภายใต้การพัฒนา Ecosystem ทางการเงิน Jitta Card จะช่วยส่งเสริมวินัยทางการเงินแบบครบวงจร ทั้งจ่าย-ออม-ลงทุน ด้วยการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ ผ่านกระบวนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่จะทำให้คนไทยมีเงินเก็บได้จริง ซึ่งการมีเงินออมจะเป็นพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรงและนำไปสู่จุดเริ่มต้นการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความรู้การเงินและหลักการลงทุนระยะยาวที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการพอร์ตลงทุนได้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง เพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน ทุกการใช้จ่ายระบบจะเก็บเงินทอน (Round up) ไว้ในกระเป๋าเงินออมให้โดยอัตโนมัติ รวมถึงมีโบนัสเงินออมหรือ Cashback จากการช็อปออนไลน์กับร้านค้าที่เป็นพันธมิตรมากมาย ซึ่งเงินออมทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ผู้ใช้ได้เลือกนโยบายการลงทุนไว้ เป็นการจัดการเงินในชีวิตประจำวันที่ไม่ต้องฝืน ทำได้ทันที สร้างวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ มีพอร์ตการลงทุนที่เติบโตในระยะยาวตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเป้าหมายสูงสุดให้คนไทยมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคต โดย Jitta Card (Beta) เปิดให้ทดสอบใช้งานแล้ว หากคุณสนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิสมัครใช้งานเป็นกลุ่มแรก ๆ ได้ที่ jittacard.com ในยุคสมัยนี้ คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องการออมตั้งแต่อายุยังน้อย ต่างจากการช็อปออนไลน์ที่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วบนมือถือ จนบางครั้งบางคนจะรู่สึกว่าการเริ่มต้นออมเงินมีความยุ่งยาก ไม่คุ้นชิน และต้องใช้ความอดทนและมีวินัยอย่างยิ่ง แต่ไม่แน่นะครับ เมื่อคุณได้ลองใช้ Jitta Card และได้เห็นพลังแห่งการออมและการลงทุน คุณจะหลงเข้าไปสู่กระแส Loud Budgeting ได้อย่างง่ายดาย เพราะทุกครั้งที่คุณใช้จ่าย คุณยังได้ ‘อวดประหยัด’ จากเงินออมหลังการใช้จ่ายเสียอีก แต่ไม่ว่าคุณจะต้องการเกาะกระแสนี้หรือไม่ แค่เพียงได้ใช้จ่ายและมีเงินออม ผมเชื่อว่าเท่านี้ก็จะช่วยลดความรู้สึกฝืนใจที่จะเริ่มต้นเก็บออมไปได้ เมื่อการออมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากไม่ต้องใช้ความอดทน และมีวินัยของตัวเองเพราะมีเทคโนโลยีมาช่วยให้คุณลงทุนได้ตั้งแต่วันนี้แล้ว เด็ก ๆ ในยุคดิจิทัล เรียกได้ว่ามีทักษะด้านเทคโนโลยีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงใช้ทักษะของตัวเองมองหาเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยลดความยุ่งยากของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายและมีให้เลือกมากมาย ส่วนผมก็สัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ ออกมาเพื่อเป็นตัวช่วย และสนับสนุนให้การออมและลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้จริงครับ หากคุณมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องออมตั้งแต่วันนี้ และยินดีก้าวข้ามอคติทางการเงินต่าง ๆ ไปเพื่อไปสู่ฝัน ปั้นพอร์ตร้อยล้านได้ การมีเป้าหมายชัด และเลือกเส้นทางที่เป็นไปได้จริง เดินหน้าอย่างมุ่งมั่น ผมก็เชื่อว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแน่นอนครับ ขอให้มีความสุขในทุกจังหวะการลงทุนที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้เลยครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1531231
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
พิพิธภัณฑ์น้องใหม่ของกรมธนารักษ์ อดีต "โรงกลึงเก่า" ย่านตลาดน้อย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถูกแปลงโฉมใหม่ให้เป็น "พิพิธตลาดน้อย" พิพิธภัณฑ์ชุมชน และแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชนตลาดน้อย ตลอดจนเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของคนทุกเพศทุกวัยแวะมาเช็กอิน ชมนิทรรศการ และช้อปผลิตภัณฑ์เหรียญกันได้ที่พิพิธตลาดน้อย ท่าเรือภาณุรังษี แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครภาพ : เพจพิพิธตลาดน้อยโดยที่ราชพัสดุแปลงนี้ ในอดีตเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ทำชิ้นส่วนประกอบเรือ เครื่องจักรและโรงสีข้าว ภายหลังเลิกกิจการ พื้นที่ถูกทิ้งร้างและไม่ได้ใช้ประโยชน์ กรมธนารักษ์ได้ปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการท่องเที่ยวของชุมชนตลาดน้อย สำหรับจัดแสดงนิทรรศการความรู้ด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนย่านตลาดน้อย ตลอดจนภารกิจของกรมธนารักษ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มีการรับฟังความเห็นของชาวชุมชนตลาดน้อย เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน รวมทั้งแนวคิดการออกแบบพื้นที่และอาคารที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและกลมกลืนกับธรรมชาติ ตลอดจนการนำวัสดุไม้ของโรงกลึงเดิมนำกลับมาใช้ใหม่ และใน พ.ศ. 2562 สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้มอบรางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ที่สมควรเผยแพร่ ประเภทอาคารสาธารณะให้แก่อาคารพิพิธตลาดน้อยแห่งนี้ภาพ : เพจพิพิธตลาดน้อยภาพ : เพจพิพิธตลาดน้อยพิเศษสุด! ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม - 30 กันยายน 2567 นี้ เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2233-7390ภาพ : เพจพิพิธตลาดน้อยแหล่งที่มาข่าว ผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000022031
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
28/03/2024
เวลาจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ มีที่นั่งที่ควรเลือกในชั้นประหยัดไหม? ฉันมักจะได้ที่นั่งที่ไม่สามารถผ่อนคลายได้ มีที่นั่งไหนดีกว่าที่อื่น ๆ ที่ฉันควรทราบไหม? หรือมีที่นั่งที่ฉันควรหลีกเลี่ยง? ในยุคนี้ถ้าอยากได้ที่นั่งดีๆ บนเครื่องบินชั้นประหยัด คงต้องยอมจ่ายเพิ่มกันหน่อย ไม่งั้นอาจโดนสุ่มที่นั่งกลางลำ หรือติดห้องน้ำก็ได้ และต่อไปนี้คือวิธีเลือกที่นั่งบนเครื่องบินชั้นประหยัดวิธีเลือกที่นั่งบนเครื่องบินชั้นประหยัด1. เลือกตามรุ่นเครื่องบินส่วนใหญ่แล้ว การจองตั๋วเครื่องบินบนเครื่องบิน Airbus มักได้ที่นั่งที่กว้างกว่า Boeing เนื่องจากลำตัวกว้างกว่า Boeing การออกแบบภายในมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามรุ่นเครื่องบินก็มีผลต่อขนาดที่นั่ง สายการบินบางแห่งอาจปรับแต่งที่นั่งให้แคบลง ดังนั้นก่อนจองตรวจสอบรุ่นเครื่องบิน เปรียบเทียบขนาดที่นั่งจากเว็บไซต์ต่างๆ2. เลือกริมทางเดินตรงกลางสำหรับเที่ยวบินระยะไกลสำหรับเที่ยวบินระยะไกลบนเครื่องบินลำตัวกว้าง แนะนำให้เลือกที่นั่งริมทางเดินตรงกลาง เหตุผลหลักๆ คือ • มีโอกาสได้ที่นั่งว่างข้างๆ มากกว่า: ที่นั่งตรงกลางมักถูกเลือกเป็นอันดับสุดท้าย • มีคนปีนข้ามน้อยกว่า: ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง • ลุกเข้าออกห้องน้ำสะดวก: ไม่ต้องรบกวนคนข้างๆอย่างไรก็ตาม • ที่นั่งตรงกลางอาจแคบกว่าริมหน้าต่าง • อาจถูกรบกวนจากผู้โดยสารแถวเดียวกัน3. ที่นั่งแถวทางออกฉุกเฉินที่นั่งแถวแรก (Bulkhead) และแถวทางออกฉุกเฉิน มักมีพื้นที่วางขาที่กว้างกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ ดังนี้ข้อดี: • พื้นที่วางขากว้างขวาง: เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างสูง • ลงเครื่องได้เร็ว: อยู่ใกล้ประตูทางออกข้อเสีย: • เอนเบาะไม่ได้: บางที่นั่งไม่สามารถปรับเอนเบาะได้ • ปรับระยะห่างเบาะไม่ได้: ระยะห่างเบาะอาจไม่สะดวก • ที่นั่งแคบ: บางที่นั่งมีขนาดแคบกว่าปกติ • โต๊ะอาหารแบบพับข้าง: อาจใช้งานไม่สะดวกสำหรับที่นั่งแถวแรก • พื้นที่วางขาอาจน้อยกว่าที่นั่งปกติ • บางครั้งมีกล่องเก็บของใต้ที่นั่ง • เด็กเล็กมักนั่งที่นั่งเหล่านี้4. ระวัง! ที่นั่งบางแถวไม่มีหน้าต่างบางแถวบนเครื่องบินไม่มีหน้าต่าง เพื่อติดตั้งสายเคเบิลหรือท่อลม ตัวอย่างที่โด่งดังคือที่นั่ง 11A บนเครื่องบิน Boeing 737-800 ของสายการบิน Ryanair ที่นั่งที่ไม่มีหน้าต่าง มักอยู่บริเวณด้านหน้าหรือด้านหลังปีกเครื่องบิน หรือด้านหลังของเครื่องบินก่อนจองตั๋ว • ตรวจสอบแผนที่ที่นั่งอย่างละเอียด • ค้นหาข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับชื่อสายการบิน ที่นั่งไม่มีหน้าต่างข้อควรระวัง • ที่นั่งไม่มีหน้าต่าง อาจรู้สึกอึดอัด • แสงสว่างภายในเครื่องบินอาจไม่เพียงพอ • วิวทิวทัศน์ด้านนอกเครื่องบิน มองไม่เห็นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447007/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
เฟซบุ๊คของคุณประภาพร ลิขสิทธิ์ นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน 2566-2568 ได้โพสต์ข้อความถึง "เพื่อนตัวแทนและที่ปรึกษาการเงิน" ทุกคนให้อ่านข้อความที่เจ้าตัวแจ้งต่อสาธารณะ และขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์และรณรงค์ สำหรับการดูแลลูกค้าและแนะนำในการใช้สิทธิค่ารักษาพยาบาล ด้วยใจความว่า สืบเนื่องจาก ปัจจุบันมีการประชาสัมพันธ์จากหลายโรงพยาบาลให้รางวัลทั้งเป็นสิ่งของและเงิน กับตัวแทนผู้ส่งผู้ป่วยมาใช้สิทธิในการรักษาเพื่อเบิกจากกรมธรรม์ประกันสุขภาพหรืออุบัติเหตุที่มีอยู่ เดิมนั้น ลูกค้าของเราได้สิทธิ ส่วนลดใดๆ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเรายินดีที่ลูกค้าของเราได้สิทธินั้น แต่ปัจจุบันมีการให้แรงจูงใจตัวแทนตามข้างต้น นั่นอาจจะเป็นแรงจูงใจให้พวกเราหลงทางได้ สมาคมฯ ขอให้พวกเราที่ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของ"ตัวแทน" ช่วยกันเผยแพร่ รณรงค์ ให้ตัวแทนในจังหวัดของท่าน ในเครือ ในบริษัทของท่าน ให้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของ"ตัวแทน" ช่วยกันเผยแพร่ รณรงค์ ให้ตัวแทนในจังหวัดของท่าน ในเครือ ในบริษัทของท่าน ให้ปฏิบัติหน้าที่การตัวแทนด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่ควรเห็นแก่สินจ้างรางวัลหลายปีมานี้ ค่ารักษาพยาบาลขยับสูงขึ้น..ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราการเคลมสูง เมื่ออัตราการเคลมสูง การขยับขึ้นของเบี้ยประกันย่อมเป็นไปตามเหตุและผล ขอให้พวกเรารักษาเหตุให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ถูกต้องที่สุด เราถือใบอนุญาตตัวแทนได้ด้วยการสอบ และการสอบส่วนที่สำคัญ ก่อนที่จะไปตรวจส่วนอื่นๆ นั่นคือ จรรยาบรรณ "จรรยาบรรณ" อยู่เหนือกฎกติกา คือจิตใจที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อตรง ฝากพวกเราในเรื่องนี้อย่างเค่งครัดและบอกต่อไปตามหน่วยงาน ทีมงาน สังกัดที่เราอยู่ และเพื่อนร่วมอาชีพที่เรารู้จักและทุกทางที่เป็นไปได้ "ตลาดเกือบ 30 ปีที่ ดิฉันมีอาชีพเป็นตัวแทนประกันชีวิต ได้บอกน้องๆ เสมอว่า อาชีพตัวแทนไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร..ถ้าเราปฏิบัติทุกอย่างถูกต้อง และไม่ไปคุกเข่าให้คนอื่นเขาดูถูกเอง"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับอินวายhttps://www.innwhy.com/tf27367/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
26/03/2024
การลงทุนในหุ้น ถ้าใช้ความกล้า...สิ้นเปลืองเกินไป เงินสดจะทยอยร่อยหรอ ความกังวลจะก่อตัว แปรเปลี่ยนเป็นความกลัว เหมือนนักเตะที่เคยเจ็บ แหยง ไม่กล้าเข้าบอล เมื่อโอกาสมาจริงๆ จะไม่กล้าคว้าไว้ ถ้าใช้ความกลัว..เป็นตัวนำทาง จะแทบไม่กล้าทำอะไรเลย ราคาลงมาจริงๆ ก็ไปยกBid หนี แม้โอกาสจะมาจริงๆ ก็ยังไม่กล้าซื้อ หรือซื้อน้อยไป แล้วก็ปล่อยให้อีกโอกาสใหญ่ ผ่านไปเฉยๆ กล้าเกินไป กลัวเกินไป ไม่ดีทั้งนั้นนะ เดินทางสายกลาง นักรบต้องมีบาดแผล มองให้เป็นเรื่องธรรมดาครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5930
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
29/04/2024
คปภ.ถก 2 นายกสมาคมประกัน แก้ปมค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้นทุกปี หวั่นส่งผลกระทบทำเบี้ยประกันสุขภาพพุ่งกระทบประชาชนจ่ายไม่ไหว เล็งคลอดเกณฑ์คุมเบิกเคลมถี่ “เจ็บป่วยเล็กน้อย” ฉ้อฉลขอนอนโรงพยาบาลหวังค่าชดเชยรายวัน “สมพร” ชงผู้เอาประกัน “ร่วมจ่าย-ออกโปรดักต์รักษาเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ-ระบุชื่อโรงพยาบาล” ช่วยต้นทุนรักษาต่ำลง ฟาก “สาระ” รับแนวโน้มค่าสินไหมประกันสุขภาพเริ่มน่ากังวล ชี้ต้องยึดหลักความจำเป็นทางการแพทย์มากขึ้นนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า การประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านประกันภัย (OIC MEETS CEO 2024) เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ การหารือกันถึงแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการประกันสุขภาพ ตามที่สมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย นำเสนอ ซึ่งสืบเนื่องมาจากค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะจากอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล (Medical Inflation) ที่โตเร็วมากปีละ 8-14% อาจจะเป็นอุปสรรคในวันข้างหน้า และจะกระทบย้อนกลับทำให้ค่าเบี้ยประกันสุขภาพแพงขึ้น“ถ้าไม่รีบจัดการ จะกระทบถึงความสามารถของประชาชนที่จะจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพไม่ไหว เพราะถ้าเราปล่อยให้เบี้ยโตตามค่ารักษา ก็แปลว่าเราจะเริ่มทิ้งผู้ทำประกันบางราย ซึ่งเขาจ่ายไม่ไหว ดังนั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องรีบแก้ปัญหา และเป็นประเด็นที่บอร์ด คปภ.ตระหนักมาก คือ การประกันสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคน ทั้งผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้สูง จะต้องการเข้าถึงได้”ชูฉัตร ประมูลผลทั้งนี้ คปภ.ต้องการรักษาการเติบโตของเบี้ยประกันสุขภาพ แต่ไม่ต้องการเพิ่มเบี้ยรายบุคคล ซึ่งเบื้องต้นมีการพูดคุยทางออกในหลายมิติ คือ 1. การออกหลักเกณฑ์มากำกับดูแลเรื่องการเจ็บป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ, ไข้หวัด, ท้องเสีย, เวียนศีรษะ เป็นต้น เพื่อทำให้การใช้ประกันสุขภาพมีความเหมาะสม2. การออกมาตรการควบคุมการฉ้อฉลประกันสุขภาพ เพื่อลดการรั่วไหลของเงิน เช่น กรณีผู้ทำประกันที่เรียกร้องเบิกเคลมประกันมากเกินไป (Overuse) ในโรคเดียวกัน โดยเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลหลายๆ แห่ง หรือขอนอนโรงพยาบาลเพื่อต้องการเบิกค่าชดเชยรายวัน เป็นต้นและ 3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพใหม่ ๆ ที่จะคุ้มค่า โดยในปัจจุบันผู้ทำประกันสุขภาพจะเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนเป็นหลัก ดังนั้นต่อไปอาจจะต้องหารือกับโรงพยาบาลรัฐที่จะออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเป็นการเฉพาะขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งมีต้นทุนการรักษาที่ต่ำกว่านายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า สมาคมพยายามหากลไกการบริหารจัดการเข้ามาร่วมด้วย เช่น ได้เสนอแนวทางร่วมจ่าย (Copay Insurance) เนื่องจากทุกวันนี้ประกันสุขภาพที่ออกมาแล้ว ตั้งแต่บาทแรกถ้ากรมธรรม์ทริกเกอร์ บริษัทประกันภัยไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัย จะต้องจ่ายเคลมให้กับสถานพยาบาลตามข้อกำหนด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดช่องโหว่การเรียกร้องเบิกเคลมประกันมากเกินไป (Overuse) ได้“ถ้ามีส่วนร่วมจ่าย สิ่งที่ประชาชนจะได้ ก็คือจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันการใช้สิทธิรักษาพยาบาลก็จะมีความระมัดระวังขึ้น”นอกจากนี้ ยังมีแนวความคิดที่จะออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพ แยกเฉพาะสำหรับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งมีต้นทุนการรักษาที่ต่ำกว่า เพราะฉะนั้นเบี้ยประกันสุขภาพโดยรวม ก็อาจจะถูกกว่า หรือต้องมีการจัดเกรดโรงพยาบาลเป็นกลุ่ม A B C ตามอัตราค่ารักษาพยาบาลที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงการออกกรมธรรม์ที่ระบุรายชื่อโรงพยาบาลเจาะจงลงไป“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลไกที่ถูกโยนเข้าไป เพื่อหาแนวทางแก้ไข และต่อไปจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย และ/หรือสมาคมโรงพยาบาลเอกชนด้วย ผลสุดท้ายคือจะทำอย่างไรที่จะยืดระยะเวลาในการไม่ขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพ เพื่อไม่กลายเป็นภาระของประชาชน ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่ภาคธุรกิจประกันภัยเจออย่างเดียว เพราะหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับกองทุนสุขภาพ ก็ล้วนแต่เจอปัญหาเดียวกันทั้งสิ้น”นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า เรื่องแนวโน้มค่าสินไหมทดแทนของประกันสุขภาพ เริ่มน่ากังวลมากขึ้น เป็นหนึ่งในปัจจัยท้าทายของบริษัทประกันชีวิตอยู่พอสมควร เห็นจากอัตราส่วนการเคลมค่อนข้างสูงพอสมควร ซึ่งจริง ๆ เป็นสิทธิของลูกค้าผู้เอาประกัน เพียงแต่ต้องมีหลักตามมาตรฐาน หรือความจำเป็นทางการแพทย์ที่มากขึ้น“อีกด้านหนึ่งที่มีการคุยกัน คือ จะทำอย่างไรที่จะให้ความรู้กับผู้เอาประกัน หรือคนที่ยังเข้าไม่ถึงเรื่องประกัน ได้เห็นถึงความสำคัญของการมีหลักประกันสุขภาพหรือความคุ้มครองสุขภาพ และความจำเป็นทางการแพทย์ที่ควรจะเป็น สิ่งเหล่านี้อาจจะต้องทำควบคู่กับพาร์ตเนอร์สถานพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาสถานพยาบาลต่าง ๆ ถือเป็น Good Partner ที่ดีกันมาโดยตลอด”ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิต มีเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยสุขภาพ 15,669 ล้านบาท ลดลง 0.9%แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1527602
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ขี่จักรยานออกไปนั่งวาดรูปก้อนหินในจินตนาการ ริมถนนราชดำเนิน อีกเรื่องราวของ 'แดนสรวง สังวรเวชภัณฑ์' ศิลปินไทยและช่างภาพในช่วงวันอาทิตย์ของเดือนมีนาคม 2567 แดนสรวง สังวรเวชภัณฑ์ ศิลปินและช่างภาพ ขี่จักรยานคู่ใจออกจากบ้านมาจอดริมฟุตบาท แถวราชดำเนิน นั่งวาดภาพก้อนหินในจินตนาการ และซึมซับความรู้สึกบางอย่างจากผู้คนริมถนนก่อนหน้านี้ เขาใช้ศิลปะและการถ่ายภาพ สื่อสารและตั้งคำถามกับความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะปัญหาคนไร้บ้าน สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ สร้างสรรค์ศิลปะ ภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหว หลากหลายรูปแบบ อาทิ ผลงาน มหานครผลัดใบ 2566 ร่วมแสดงในนิทรรศการ สูงวัย...ขยาย(ความ),ผลงานราษฎร์ดำเนิน 2565 ส่วนหนึ่งในนิทรรศการทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรมศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ 21 ปี2566และลมหายใจ -breath ผลงานภาพถ่าย ชุดที่ 4 ปี 2558-2563 โดยจัดฉากให้เห็นสภาวะขาดลมหายใจ เมื่อสภาวะธรรมชาติขาดสมดุล ระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป งานชิ้นหลังจัดแสดงจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 ฯลฯจักรยานคู่ใจของแดนสรวง สังวรเวชภัณฑ์'ส่วนการเพ้นท์ภาพเล็กๆ ก้อนหินจากฟากฟ้าริมถนนที่กล่าวถึง เป็นส่วนประกอบในงานวาดภาพชิ่้นใหญ่ที่บ้าน และทำงานอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ได้จัดแสดงผลงานศิลปะ การวาดภาพริมถนน แดนสรวง บอกว่า เป็นการออกจากคอมฟอร์ทโซนที่คุ้นเคย เนื่องจากสภาวะที่สะดวกสบาย ไม่สามารถสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้เขาได้“ในวันอาทิตย์ ผมจะขี่จักรยานออกมาแถวราชดำเนินนั่งเขียนภาพก้อนหินจากจินตนาการ ”แดนสรวง เล่าถึงงานศิลปะที่ไม่จำเป็นต้องตีกรอบไว้แค่ในหอศิลป์ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ คนที่เห็นจะตีความหรือไม่ตีความก็ได้ไม่ได้ขายภาพวาด แต่เป็นดิสเพลย์บนจักรยานของแดนสรวง ศิลปินไทยแดนสรวง สังวรเวชภัณฑ์' ศิลปินและช่างภาพ"ผมไปนั่งวาดและทำดิสเพลย์บนจักรยาน เป็นการให้ความหมายอ้อมๆ สำหรับผู้คน เรียนรู้ไปด้วยกัน ระหว่างนั้นผมก็ได้รับรู้สิ่งภายนอกที่มากระทบ ผมเชื่อว่าการออกจากคอมฟอร์ทโซน ทำให้ผมได้เรียนรู้และมีประโยชน์ในการทำงานและไม่ใช่ว่า เพิ่งใช้จักรยานคู่ใจปั่นออกมานั่งวาดภาพในวันอาทิตย์ ก่อนหน้านี้เขาใช้จักรยานซอกแซกไปถ่ายภาพ พูดคุยและเป็นเพื่อนกับคนไร้บ้านที่พบเจอ จนเป็นที่มาของงานภาพถ่ายอีกชุด • วาดภาพบำบัดใจดิสเพลย์บนจักรยานคู่ใจทำเสมือนการขายภาพ แต่แดนสรวงไม่ได้ต้องการเช่นนั้น เขาเชื่อว่า งานศิลปะอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง จึงเลือกที่ขีดเขียนลายเส้นให้กลายเป็นก้อนหินในจินตนาการ“ผมชอบขี่จักรยานเข้าไปในเมือง ย่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเส้นทางที่คุ้นเคยช่วงที่ทำงานกับคนไร้บ้าน ผมไม่ได้มาขายภาพ ผมไปแต่ละจุดเพราะอยากไปนั่งเป็นเพื่อนกับคนที่อยู่ข้างถนน ป้าจากราชบุรีมานั่งขายข้าวตัง ผมก็ขอนั่งทำงานด้วย อย่างน้อยๆ น่าจะวาดภาพได้สักภาพในวันอาทิตย์ถ้าเป็นวันธรรมดาผมนั่งเขียนภาพชิ้นใหญ่ที่บ้าน หากทำเสร็จคงมีหลายส่วนมาประกอบกันทั้งภาพใหญ่ และภาพเล็ก”ไม่ใช่แค่แม่ค้าขายข้าวตังที่แดนสรวงพบเจอ ยังมีชาวต่างชาติที่สงสัยใคร่รู้ว่า ภาพที่เขาวาดคืออะไร จึงเกิดการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน“ผมก็ได้ประสบการณ์ในพื้นที่ใหม่ เรานั่งตรงนั้นกับคนที่อยู่ข้างถนนอย่างเท่าเทียม ผมไปเจอน้องที่กวาดถนน เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวชอบศิลปะและวาดรูปบำบัดตัวเองเธอเอาภาพที่วาดให้ผมดู ผมชื่นชมนะ ผมมองว่า ศิลปะเป็นเรื่องสามัญ และการทำงานศิลปะทำได้ทุกพื้นที่ ถ้าเราไม่ได้หวังผล” • ถ่ายภาพสะท้อนชีวิตย้อนไปช่วงปี 2022 แดนสรวง เคยออกสำรวจพื้นที่ราชดำเนิน เพราะในช่วงโควิดมีคนยากจนกลายเป็นคนไร้บ้านในเมืองใหญ่มากขึ้น เขาก็เข้าไปคลุกคลีถ่ายภกาพ“แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมถ่ายภาพเกี่ยวกับคนไร้บ้านในย่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมมองปัญหาเชิงโครงสร้าง การติดกับดักมายาคติหลายเรื่อง ความแตกต่างของมนุษย์ ผมลงพื้นที่บันทึกเรื่องราว โดยไม่กระทบคนที่ผมพบเจอ ในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวจากนั้นผมเกิดไอเดียขี่จักรยานลงพื้นที่สำรวจ เพราะปกติก็ใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ผมทำอยู่ 6-7 เดือน จนกระทั่งพื้นที่เปลี่ยนแปลงมีการกั้นรั้ว งานภาพถ่ายและวิดีโอคนไร้บ้าน เป็นส่วนหนึ่งนิทรรศการสูงวัย ขยาย(ความ)(ลมหายใจ -breath ผลงานภาพถ่าย ชุดที่ 4 ปี 2558-2563 จัดแสดงจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 คนสนใจติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก Dansoung Fotodokkma)สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ คนยากจนในเมืองเปลี่ยนสภาวะเป็นคนไร้บ้าน เพราะไม่มีทางออก ชีวิตโดดเดี่ยว มีทั้งปัญหาสังคม ครอบครัว ถูกผลักออกมาอยู่ข้างถนน เท่าที่ผมประเมินด้วยสายตาประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์คนไร้บ้านเป็นผู้สูงวัย และบางส่วนความทรงจำไม่ค่อยดีหลังจากทำงานชุดนั้นผมก็อยากพัก เพราะเรื่องราวที่รับรู้มีผลกระทบจิตใจ แต่วันเสาร์อาทิตย์ผมก็ยังชอบปั่นจักรยาน ผมถ่ายภาพบันทึกเรื่องราวไว้ เพราะบางคนที่ผมเคยเจอ ได้สูญหายไปแล้ว" • ย้อนชีวิตการเป็นช่างภาพหลายสิบปีที่แล้ว แดนสรวงเคยเป็นช่างภาพให้นิตยสารเฟอร์นิเจอร์ และนิตยสารแฟชั่นอีกหลายเล่ม รวมถึงมีสตูดิโอของตัวเอง กระทั่งเกิดยุคฟองสบู่ปีพ.ศ. 2540 เขาหันมาทำโฮมสคูลให้ลูกๆ โดยครอบครัวเขาเน้นสอนเรื่องศิลปะและธรรมชาติ“ผมเคยป่วยเป็นภูมิแพ้อย่างหนัก จึงหันมารักษาด้วยธรรมชาติบำบัด ก็หายป่วย และไม่อยากใช้ชีวิตแบบเดิม ผมจึงสนใจวิธีการเรียนรู้แบบธรรมชาติ ตอนนั้นเราทำโฮมสคูลร่วมกับ 5-6 ครอบครัว เชื่อมโยงกับสมาคมบ้านเรียนไทยช่วยกันออกแบบวิธีการการเรียน"ตอนนั้นเขาได้เรียนรู้กับเด็กๆ ได้ลงมือทำงานศิลปะร่วมกับลูกๆ ผมมองว่าวิธีการเรียนรู้มีหลายแบบ เรียนรู้แบบไม่เรียนรู้ก็ได้ หรือไม่ก็เรียนรู้จากการลงมือทำและความล้มเหลว เพราะการเรียนรู้ในระบบเป็นเสมือนกำแพงใหญ่อีกหนึ่งผลงานภาพถ่ายสะท้อนสังคมของแดนสรวง ศิลปินไทย"พื้นฐานผมไม่ชอบการเรียนรู้ในโรงเรียน การทำโฮมสคูลมีทางเลือกการเรียนรู้เยอะ แต่ละครอบครัวออกแบบการเรียนรู้ในมุมที่พวกเขาถนัด ครอบครัวเราทำเรื่องธรรมชาติและศิลปะ เราไม่ต้องการหล่อหลอมให้เด็กเป็นศิลปิน จึงเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ หลังจากลูกจบมัธยมต้น ก็ไปเรียนในระบบตอนนั้นครอบครัวของเราแสดงผลงานศิลปะร่วมกันสามครั้งที่หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีหลายครอบครัวที่สนใจเรื่องนี้ หันมาทำโฮมสคูลก็มีเหมือนกัน มีเด็กที่เรียนในระบบมาร่วมทำงานศิลปะและเรียนรู้ธรรมชาติกับพวกเรา"นี่คือเรื่องราวฉบับย่นย่อของศิลปินที่เลือกขี่จักรยานออกไปวาดก้อนหินตามจินตนาการของเขา ...........ภาพ : เฟซบุ๊ก Dansoung Fotodokkmaแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1119398
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
สัญญาณของฤดูใบไม้ผลิในเมืองหลวงสหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) คือ บรรดาดอกซากุระที่บานสะพรั่ง ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.Photo: National Mall NPSโดยปกติแล้ว ซากุระจะบานประมาณเดือนสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน แต่ในปี 2024 มีสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้บานเร็วกว่าที่คาดการณ์ 1 สัปดาห์ โดยรอบๆอ่างเก็บน้ำ Tidal Basin และThomas Jefferson Memorial มีซากุระบานสะพรั่ง ต้อนรับฤดูกาลใหม่ และเป็นเทศกาลชมดอกซากุระบาน (Cherry Blossom Festival) ที่จัดเป็นทางการทุกปีPhoto: National Mall NPSสำหรับซากุระของเมืองหลวงสหรัฐอเมริกา มีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ.1912 เมื่อนายกเทศมนตรีกรุงโตเกียว นาย Yukio Ozaki ได้มอบต้นซากุระสายพันธุ์โยชิโนะ ให้เป็นของขวัญแด่ชาวอเมริกัน ก่อนที่ต่อมาจะเติบโตบานสะพรั่งจนกลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาPhoto: National Mall NPSPhoto: National Mall NPSPhoto: National Mall NPSแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000024883
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
29/04/2024
ออมทอง VS ผ่อนทอง ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนถึงจะตอบโจทย์เราที่สุด มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ ยิ่งราคาทองคำทำสถิติสูงสุดรายวัน (ALL Time High ) ทำให้หลายคนอยากจะซื้อทองสะสม แต่ราคาทองแพงขนาดนี้ ทองแท่ง 36,850 บาทต่อบาททองคำ (ข้อมูล วันที่ 20 มี.ค. 67 ) จะซื้อทีเดียวก็คงไม่ไหว สำหรับคนที่ไม่มีเงินก้อนแต่อยากสะสมทองคำ มีอีก 2 วิธีที่นิยมไม่แพ้กันคือการออมทองและผ่อนทอง มาดูรายละเอียดและความแตกต่างของแต่ละวิธีกันออมทอง คืออะไร การออมทอง คือการซื้อทองโดยทยอยเก็บสะสมน้ำหนักทองทีละเล็กละน้อย สามารถเริ่มต้นซื้อได้ด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำตามกำหนด ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ จนครบตามเงื่อนไขที่ตกลง จึงจะแลกทองจริงออกมาได้ ส่วนใหญ่สามารถรับทองได้เมื่อสะสมครบ 1 กรัมเป็นต้นไป ตามเงื่อนไขของแต่ละร้าน ข้อดีของการออมทอง ปัจจุบันสามารถเลือกได้เลยว่าต้องการออมทองแบบรายเดือนหรือรายวัน เลือกจำนวนเงินและวันที่ที่ต้องการออมทองได้ตามต้องการ หากช่วงไหนไม่สะดวกออมทองก็หยุดพักได้เลย ไม่จำเป็นต้องออมทองอย่างสม่ำเสมอ แต่หากช่วงไหนอยากออมทองเพิ่มขึ้น ก็ปรับเปลี่ยนยอดการออมได้เลยเช่นกัน ไม่มีกำหนดจำนวนว่าต้องออมกี่เดือนกี่วัน แค่เก็บสะสมไปเรื่อย ๆ จนครบตามจำนวนที่กำหนด ผ่อนทอง คืออะไร การผ่อนทอง คือการซื้อทองโดยแบ่งจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกงวด เช่น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ฯลฯ จนครบเงื่อนไขตามที่กำหนด คล้าย ๆ กับการผ่อนสิ่งของทั่วไป มีการคิดดอกเบี้ย ซึ่งการผ่อนทองจะมีการล็อกราคาเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าในระหว่างการผ่อนทองราคาจะลดลงหรือสูงขึ้น ก็จะยึดราคาทองจากวันที่ตกลงซื้อขาย ข้อดีของการผ่อนทอง คือราคาทองจะไม่ผันผวน เพราะมีการล็อกราคาทองโดยยึดจากวันที่ตกลงซื้อขายไว้แล้ว มีกำหนดระยะเวลาที่จะได้รับทองอย่างชัดเจน เลือกได้ว่าต้องการผ่อนทองรายเดือน หรือผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเท่าไรตามข้อตกลง ซึ่งช่วยให้สามารถคำนวณการผ่อนชำระได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยให้มีวินัยในการเก็บออมมากยิ่งขึ้นผ่อนทองแบบไหนตอบโจทย์มากกว่า การผ่อนทองสามารถทำได้ 2 วิธี คือผ่อนทองกับร้านทองโดยตรง และผ่อนทองกับบัตรเครดิต มาดูความแตกต่างกันเลย ผ่อนทองกับร้านทอง - ไม่ได้รับทองทันที ต้องผ่อนครบตามกำหนดก่อน - มีดอกเบี้ย ตามที่แต่ละร้านกำหนด - ต้องเช็กด้วยตัวเอง ว่าแต่ละร้านมีโปรโมชันอะไรบ้าง ผ่อนทองกับบัตรเครดิต - ไม่ได้รับทองทันที ต้องผ่อนครบตามกำหนดก่อน - มีดอกเบี้ย ตามที่แต่ละร้านกำหนด - ต้องเช็กด้วยตัวเอง ว่าแต่ละร้านมีโปรโมชันอะไรบ้าง - ได้รับทองทันที แล้วค่อยผ่อน ชำระทีหลัง - ผ่อนทองสะดวก เหมือนผ่อนชำระสินค้าทั่วไป - ผ่อนทองได้ตามวงเงินในบัตรเครดิต - เลือกบัตรเครดิตที่ร่วมรายการผ่อนทองได้หลากหลาย - มีโปรโมชันผ่อนทอง 0% หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษ - มีโปรโมชันและสิทธิพิเศษมากมาย เช่น รับของสมนาคุณ รับเครดิตเงินคืน ฯลฯ - เช็กโปรโมชันผ่อนทองกับบัตรเครดิตที่ร้านทองที่เข้าร่วมรายการได้ง่าย - รับโปรโมชันผ่อนทองที่ร้านทองที่เข้าร่วมรายการได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยากสะสมทองไว้ลงทุนหรือเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต การสะสมทองนั้นมีข้อดีและความน่าสนใจอย่างมาก สามารถเริ่มต้นสะสมทองได้หลายวิธี ลองพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับตัวเองดู ที่มา : krungsricard แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/219809
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
25/03/2024
ธุรกิจประกันในตลาดหุ้น 9 บริษัท เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินผลปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้น/งดจ่าย เช็กวันขึ้นเครื่องหมาย XDวันที่ 23 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแจ้งงบการเงินงวด ปี 2566 กันแล้ว ธุรกิจประกันภัยก็เริ่มประกาศจ่ายเงินปันผลกันออกมา มาดูกันว่า แต่ละบริษัทจ่ายเท่าไหร่กันบ้าง1. BKI ทั้งปีจ่าย 16.75 บาท/หุ้นคณะกรรมการบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI อนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 19 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 16.75 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิของบริษัท ทั้งนี้ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 3 ครั้ง รวมเป็นเงินหุ้นละ 11.25 บาท คงเหลือจ่ายในงวดที่ 4 ของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 5.50 บาทโดยกำหนดจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ในวันที่ 3 พ.ค.2567 ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 8 มี.ค.2567 ทั้งนี้ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 มี.ค.25672. TQM จ่ายปันผลหุ้นละ 0.50 บาทคณะกรรมการบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในวันที่ 24 เม.ย.2567 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2566 จากกำไรสุทธิและกำไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จำนวน 600 ล้านหุ้นโดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 มี.ค.2567 (ขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับงินปันผลในวันที่ 12 มี.ค.2567) และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 10 พ.ค. 2567 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน3. BLA จ่ายงวดสุดท้าย 0.20 บาทคณะกรรมการบริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เห็นสมควรเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในวันที่ 24 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 818.31 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 32 ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่านโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท โดยให้จ่ายจากกำไรสะสมซึ่งเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.28 บาท เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท หรือคิดเป็นเงินจำนวน 341.51 ล้านบาท โดยกำหนดรายซื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 8 พ.ค. 2567 ทั้งนี้ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 มี.ค.25674. INSURE งดจ่ายเงินปันผลคณะกรรมการบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ INSURE มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 25 เม.ย.2567 พิจารณางดจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องรักษาเงินกองทุนของบริษัท ให้มีความเพียงพอ และสามารถรองรับระดับความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงอัตราส่วนสินทรัพย์หนุนหลังอัตราส่วนสภาพคล่องให้มีความเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด5. THRE งดจ่ายเงินปันผลคณะกรรมการบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE มีมติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 26 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติงดการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงาน ประจำปี 25666. TIPH จ่าย 0.50 บาท/หุ้น รอบระหว่างกาลคณะกรรมการบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH มีมติเห็นชอบให้นำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น วันที่ 23 เม.ย.2567 เพื่อรับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2566 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 297,146,168 บาท โดยได้จ่ายไปแล้ว เมื่อวันที่ 28 ก.ย.25667. TLI จ่ายปันผลปกติ+พิเศษคณะกรรมการบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 26 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลปกติ จากผลการดำเนินงานปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.34 บาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษจากผลการดำเนินงานปี 2566 อีกหุ้นละ 0.16 บาท รวมเป็นจ่ายเงินปันผล 0.50 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 5,725 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.1 ของกำไรสุทธิปี 2566โดยบริษัทได้กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 9 พ.ค.2567 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 พ.ค.25678. MTI จ่ายเงินปันผล 5 บาท/หุ้นคณะกรรมการบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เม.ย.2567 พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 5 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 295 ล้านบาท โดยจะแต่งตั้งให้บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการจ่ายปันผลดังกล่าวแบ่งเป็น 1. เงินปันผลจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.0042 บาท รวมเป็นเงิน 0.25 ล้านบาท จ่ายจากกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน B0I ซึ่งผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลธรรมดาไม่ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากรมาตรา 47 ทวิ2. เงินปันผลจ่ายในอัตราหุ้นละ 4.9958 บาท รวมเป็นเงิน 294.75 ล้านบาท จ่ายจากกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน B0I ซึ่งผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลธรรมดาได้รับเครดิตในการคำนวณภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากรมาตรา 47 ทวิทั้งนี้ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น Record date ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 12 มี.ค. 2567 (ขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 11 มี.ค.2567) และ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 พ.ค. 25679. AYUD จ่ายอีกหุ้นละ 1.67 บาทคณะกรรมการบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AYUD อนุมัติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 29 เม.ย.2567 พิจารณาและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 จากกำไรสุทธิของบริษัทในอัตรา หุ้นละ 1.67 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 650,075,774.77 บาทซึ่งบริษัทจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของบริษัททั้งปี 2566 วันที่ 1 ม.ค.2566 ถึง 31 ธ.ค. 2566 รวมทั้งหมดในอัตราหุ้นละ 2.57 บาท รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น 1,000,416.012.67 บาท และเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทโดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสุทธิของบริษัทตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 ถึง 30 มิ.ย. 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.90 บาท รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น 350 340,237.90 บาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2566 ดังนั้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลือโดยให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567 พิจารณาอนุมัติในอัตราหุ้นละ 1.67 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 650,075,774.7 บาททั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาอนุมัติให้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล เป็นวันที่ 9 พ.ค.2567 (Record Date) และวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 พ.ค.2567 อย่างไรก็ตาม สิทธิการได้รับงินปันผลจะขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 29 พ.ค. 2567แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1528001
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
04/02/2025
29/05/2025