คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

เตรียมตัวอย่างไร เพื่อขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุย

29/04/2024

บทความโดย "ศุภฤกษ์ ตรงจิตสุนทร"  AFPT,IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้น จากการที่รัฐบาลประกาศให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น” ธุรกิจภายในประเทศกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ อีกทั้งการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวให้กลับเข้ามาแล้ว แต่ก็ยังเห็นว่าปัญหาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ การลงทุน และส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน โดยสถาบันการเงินก็ต้องออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การให้พักชำระเงินต้น ลดค่างวดที่ต้องชำระ เป็นต้น ปัจจุบันสถาบันการเงินจึงจำเป็นเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความเสี่ยงป้องกันการเกิดหนี้เสียขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้อาจจะสุ่มเสี่ยง ขอสินเชื่อได้ยาก เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งก็มีมาตรการรัดกุมมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถขอสินเชื่อได้ เพียงแต่ถ้าอยากกู้ให้ผ่านฉลุย ต้องมีการเตรียมความพร้อม 1. หลักฐานการแสดงรายได้ต่าง ๆ เช่น สลิปเงินเดือน ใบรับรองเงินเดือน โบนัส 50 ทวิ ในกรณีที่เป็นรายได้อื่น ๆ ทางธนาคารจะขอดูหลักฐานในการยื่นภาษี บางธนาคารมีเกณท์เรื่องรายได้ขั้นต่ำเพิ่ม เช่น ต้องมีรายรับอย่างน้อยที่ 15,000-20,000 บาท ถึงจะผ่านเกณท์ในการยื่นกู้ ในการเตรียมตัวถ้า มีบ้าน คอนโดฯ หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ปล่อยเช่าแล้วมีรายได้ ก็สามารถยื่นเป็นรายได้ในการพิจารณาขอสินเชื่อได้ แต่ต้องสอบถามทางธนาคาร ซึ่งแต่ละที่เกณท์ในการประเมินจะไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องระวังคือ ห้ามนำบ้านที่ติดจำนองแล้วปล่อยเช่ามีรายได้ไปยื่นขอสินเชื่อบ้านหลังใหม่กับธนาคารเดียวกัน เพราะอาจจะโดนดอกเบี้ยปรับจากธนาคารได้ เนื่องจากทางธนาคารจะมองว่าเป็นการกู้ยืมที่ผิดวัตถุประสงค์ ต้องเป็นการกู้ยืมเพื่อการพักอาศัยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ 2. ประเมินความสามารถในการผ่อน สามารถคำนวณได้เองเบื้องต้น โดยเกณท์ของธนาคารจะประเมินโดยเทียบกับรายได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะคำนวณความสามารถในการผ่อนที่ประมาณ 40% ของรายได้ซึ่งบางธนาคารก็จะมีเกณท์ให้ที่ 60% แต่ถ้าในกรณีที่มีสิทธิสวัสดิการของบริษัท ที่ทำร่วมกับบางธนาคารอาจจะยอมให้ถึง 80% ของรายได้ ตัวอย่าง การคำนวณเบื้องต้นในการประเมินวงเงินขอสินเชื่อหมายเหตุ : สูตรการคำนวณดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น หากต้องการทราบข้อมูลแบบละเอียดชัดเจน ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่จากธนาคารที่ขอสินเชื่อ ในส่วนของข้อ 2 อาจจะต้องพิจารณาหักลบกับหนี้สินที่มีอยู่เดิมด้วย เช่น สินเชื่ออื่น ๆ ที่ยังต้องผ่อนชำระอยู่ และรายการที่มักจะไม่ค่อยทราบกันว่าจะส่งผลต่อการประเมินขอสินเชื่อกับธนาคารด้วย คือรายการผ่อนสินค้า 0% ต่าง ๆ มีโอกาสทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านก็ได้วงเงินน้อยลง เช่น ซื้อโทรศัพท์ 40,000 บาท ผ่อน 0% 10 เดือน โดยผ่อนชำระตกเดือนละ 4,000 บาท ทางธนาคารก็จะมองเป็นภาระค่าใช้จ่ายทันที โดยสมมติว่ากู้ซื้อบ้าน 2 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี ผ่อนต่อเดือนประมาณ 14,000 บาทต่อเดือน แต่มีภาระผ่อนมือถือ 4,000 บาทต่อเดือน ทางธนาคารก็อาจจะพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อน้อยลงจากการที่ต้องนำความสามารถในการผ่อนชำระไปหักภาระที่ต้องผ่อน เท่ากับว่า 14,000-4,000 = 10,000 บาท คงเหลือความสามารถในการผ่อนชำระที่ 10,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ขอสินเชื่อบ้านได้เพียงวงเงินที่ 1.5 ล้านบาท 3. ทำบัญชีทรัพย์สิน เงินออมในรูปแบบต่าง ๆ การมีเงินออมที่ฝากไว้ในธนาคารบัญชีออมทรัพย์, บัญชีเงินฝากประจำ, สลากออมสิน หรือการออมเงินในรูปแบบการลงทุน เช่น กองทุนรวมทั่วไป กองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ซึ่งบางธนาคารก็จะพิจารณาในส่วนนี้ให้เป็นการเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อบ้านให้ผ่าน ทั้งนี้ เกณท์การพิจารณาก็จะแตกต่างไปตามแต่ละธนาคาร ดังนั้น ในการยื่นเอกสารผู้ขอสินเชื่อควรที่จะสอบถามข้อมูลเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านฉลุย 4. เช็กประวัติเครดิตบูโร การขอข้อมูลเครดิตบูโรของตัวเองมาตรวจสอบ โดยขอได้จากช่องทางของธนาคารกรุงไทย ผ่าน Application Mobile Banking โดยจะมีค่าดำเนินการอยู่ที่ 150 บาท ภายใน 24 ชม. ก็จะมีการส่งให้ตาม Email ที่ลงทะเบียนไว้ ข้อมูลที่ได้มาก็เพื่อที่จะไว้ตรวจสอบ รายการแปลกปลอมต่าง ๆ เช่น บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือสินเชื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งรายการค้างชำระ โดยปกติระยะเวลาของบัญชีต่าง ๆ ที่แสดงในเครดิตบูโรจะอยู่ที่ 3 ปี กรณีที่มีรายการที่ค้างชำระนานเกิน 3 เดือน ข้อมูลก็จะปรากฏในรายการเครดิตบูโรว่าเป็นการผิดนัดชำระ แปลว่าต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี ในการให้ข้อมูลดังกล่าวหายไปจากเครดิตบูโร 5. การเตรียมตอบคำถาม จากสถานการณ์ช่วงโควิดที่ผ่านมา ที่ทางธนาคารประกาศมาตรการเยียวยาให้ผู้ที่ขอสินเชื่อไปลงทะเบียนในการแจ้งความประสงค์ ว่าได้รับผลกระทบจากงานประจำ หรือจากธุรกิจต่าง ๆ โดยธนาคารก็จะประเมินและให้การเยียวยา เช่น ให้พักชำระทั้งเงินต้น + ดอกเบี้ย ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เป็นต้น ในส่วนนี้ธนาคารจะเช็กข้อมูลจากเครดิตบูโรว่ามีการหยุดพักชำระหรือไม่ และจะถามจากผู้ขอสินเชื่อ ว่าได้มีการใช้มาตรการเยียวยาจากธนาคารหรือไม่ เพราะเหตุใด แล้วในปัจจุบันได้กลับมาผ่อนชำระปกติแล้วหรือไม่ โดยธนาคารก็จะซักข้อมูลถึงความจำเป็นที่ต้องพักชำระในช่วงที่ผ่านมา ว่าเกิดจากเหตุใด เช่น โดนลดเงินเดือน, ตกงาน, ขายของไม่ได้ และสถานะปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายแล้วหรือไม่ เพื่อเป็นการให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่าผู้ขอสินเชื่อมีความสามารถในการผ่อนคืนชำระสินเชื่อได้ โดยกรณีที่เป็นพนักงานบริษัทแล้วมีการโดนปรับลดเงินเดือน ธนาคารอาจจะมีการขอดูเอกสารเพื่อเป็นการยืนยันว่าเงินเดือนที่โดนลดไปได้มีการกลับคืนให้แล้วหรือไม่ เพื่อประเมินผู้ขอสินเชื่อ และความมั่นคงของบริษัทที่ผู้ขอสินเชื่อทำงานอยู่ด้วย จากวิธีการเตรียมตัวดังกล่าว เป็นเพียงการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านได้ อย่างไรก็ตาม ในการขอสินเชื่อแต่ละธนาคารเองก็ยังมีวิธีในการประเมินที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ได้ เช่น การพิจารณาหาคนมากู้ร่วม ดังนั้น การพูดคุยสอบถามทางเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่เราไปขอสินเชื่อโดยตรงนั้นก็มีความสำคัญมากที่จะช่วยให้ความกระจ่าง ทั้งในเรื่องการเตรียมตัวและการพิจารณาในการเลือกใช้บริการจากธนาคารที่ต้องการยื่นสินเชื่อ อ้างอิง : การคำนวณรายได้ในการประเมินวงเงินเพื่อขอสินเชื่อโดยประมาณของธนาคาร ธอส. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1522966

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย คืออะไร คุ้มครองอะไรบ้าง?

19/03/2024

เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันนั้นมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หลายคนจึงเริ่มหันมาสนใจเลือกทำ ประกันสุขภาพ ไว้เป็นตัวช่วยในยามเจ็บป่วย ซึ่งประกันแบบเหมาจ่าย จะเป็นตัวช่วยดีๆ ที่ช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถที่จะผ่านวิกฤตค่ารักษาพยาบาลก้อนโตไปได้ และสำหรับผู้ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวช่วยการวางแผนทางการเงิน หรือประกันประเภทนี้อยู่ บทความนี้จะช่วยทำให้คุณรู้จักกับ “ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย” เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมประกันสุขภาพ เหมาจ่าย คืออะไร?ประกันสุขภาพเหมาจ่าย เป็นประกันภัยสุขภาพที่จะให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องของค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันภัย โดยจะคุ้มครองในเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการเจ็บป่วย โรคภัย รวมไปถึงการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งจะมีการกำหนดวงเงินค่ารักษาต่อปีรอบกรมธรรม์ หรือมีการกำหนดวงเงินที่มากเพียงพอในค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง โดยจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในทุกหมวดหมู่ตามที่กรมธรรม์นั้นๆ กำหนดเอาไว้ความคุ้มครองของประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่าย อาจมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยแต่ละแห่ง ซึ่งผู้เอาประกันสามารถที่จะอ่านรายละเอียดความคุ้มครองได้จากเงื่อนไขของประกันภัยที่เลือกซื้อ แต่โดยส่วนมากแล้วความคุ้มครองของประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย มักที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล รวมถึงการดูแลสุขภาพที่จำเป็น ดังต่อไปนี้1. คุ้มครองผู้ป่วยใน หรือ IPD  •  ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะมีความคุ้มครองค่าห้องพัก ในกรณีห้องผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งจะ  •      รวมไปถึงค่าอาหารของผู้ป่วยด้วย ซึ่งบางแผนอาจมีความคุ้มครองกรณีห้องผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มเติม  •  ค่าบริการทางการแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น การตรวจวินิจฉัย, การบำบัดรักษา, การบริการโลหิต, การพยาบาล, ค่าและเวชภัณฑ์ทั่วๆ ไป เป็นต้น  •  ค่าประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์)  •  ค่าหัตถการและค่าผ่าตัด2. คุ้มครองผู้ป่วยนอก หรือ OPD  •  คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ยกตัวอย่างเช่น MRI, CT Scan, การล้างไต, เคมีบำบัด และรังสีบำบัด เป็นต้น  •  คุ้มครองในส่วนของค่ากายภาพบำบัด3. คุ้มครองการรักษาพยาบาล ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  •  ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ให้ความคุ้มครองกรณีที่เกิดการบาดเจ็บทางร่างกาย จากการเกิดอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง  •  ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลนอกอาณาเขตประเทศไทยเฉพาะการบาดเจ็บ หรือการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่สามารถคาดการณ์ได้ระหว่างอยู่ในต่างประเทศจนเป็นเหตุให้ต้องได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล4. คุ้มครองค่าใช้จ่าย ในการฟื้นฟูสุขภาพและร่างกายหลังการเจ็บป่วย  •  บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์สำหรับค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟู ค่าบริการกายภาพบำบัด ค่าบริการกิจกรรมบำบัด ค่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแพทย์ เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือนักกายภาพบำบัด ค่าเครื่องมือและเวชภัณฑ์สำหรับการรักษาต่อเนื่องในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่เกิดขึ้นภายใน ตามที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย หลังออกจากการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งนั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าบริการทางการพยาบาลและจิตวิทยาคลินิกก่อนซื้อประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ต้องพิจารณาจากอะไรถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่าย เหมือนกัน แต่ใช่ว่าประกันภัยทุกกรมธรรม์จะเหมือนกันเสมอไป ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัยสุขภาพ จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขต่างๆ ของกรมธรรม์ เพื่อให้ได้ประกันที่ครอบคลุมมากที่สุด และเพื่อความคุ้มค่าในการซื้อประกัน 3 สิ่งนี้ คือสิ่งที่ควรนำเอาไปพิจารณาเพิ่มเติม  •  ค่าเบี้ยประกัน ยิ่งหากประกันที่เลือกซื้อครอบคลุมเยอะเท่าไหร่ ค่าเบี้ยของประกันจะยิ่งสูงตามขึ้นไปด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำการเลือกซื้อจะต้องคำนวณค่าเบี้ยก่อนว่ากระทบต่อค่าใช้จ่ายระยะยาวหรือไม่  •  ประเมินค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับบริการ เพื่อป้องกันปัญหาวงเงินไม่เพียงพอต่อการเข้ารับการรักษา แนะนำให้ทำการประเมินค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่คาดว่าจะเข้ารับการรักษายามเจ็บป่วย  •  นำสวัสดิการที่มีมาประเมินร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เป็นพนักงานบริษัทและอาจมีประกันแบบกลุ่มอยู่แล้ว บางครั้งการเจ็บป่วยบางโรคค่ารักษาพยาบาลของประกันกลุ่มอาจไม่เพียงพอ การมองหาประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย จึงอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสรุปบทความถึงแม้ว่าประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จะเป็นรูปแบบของการทำประกันภัยที่มีค่าเบี้ยสูงหากเปรียบเทียบกับประกันภัยประเภทอื่นๆ แต่เชื่อเถอะว่าค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพที่จ่ายในแต่ละปีนั้นถูกมาก หากเทียบกับค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยเพียงแค่ครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคร้ายยิ่งมีค่ารักษาที่สูง ประกันจึงเป็นตัวช่วยดีๆ ที่จะเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากคุณมองหาประกันที่คุ้ม และครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ TIPINSURE คือคำตอบแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/517748

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” สำรวจเงินตราภาคอีสานจากอดีตสู่ปัจจุบัน

29/04/2024

เดินเที่ยว “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ชวนไปสำรวจเงินตราของภาคอีสาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และยังมีโซนจัดแสดงเรื่องราวของเมืองขอนแก่นในยุคปี 2500 ในฐานะเมืองหลวงของภาคอีสานพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่นมาเที่ยวที่ “ขอนแก่น” หลายคนคงจะนึกถึงการมาตระเวนไหว้พระ หรือการไปสำรวจโลกยุคดึกดำบรรพ์กับเหล่าไดโนเสาร์ แต่ยังมีอีกสถานที่ท่องเที่ยว ที่มาแล้วทั้งได้ความสนุกสนานและความรู้กลับบ้านไปด้วย นั่นก็คือที่ “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น”“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของเมืองขอนแก่น เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเงินตราไทยที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่นอาคารพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เดิมเป็นอาคารสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2511 จนหมดสัญญาเช่าที่ราชพัสดุใน พ.ศ. 2560 กรมธนารักษ์จึงปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเงินตราไทย โดยเฉพาะเงินตราท้องถิ่นของภาคอีสาน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการด้านเศรษฐกิจการค้าและสังคมของจังหวัดขอนแก่นและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยตั้งแต่อดีตกับปัจจุบันมาถึงที่หน้าอาคาร ก็จะสังเกตเห็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในวงกลมขนาดใหญ่ อยู่ที่ด้านบนเหนือบันไดทางเข้าอาคาร ซึ่งนี่ก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาจากตราประทับบนเงินฮ้อย เงินตราท้องถิ่นอีสาน มีลักษณะที่ถูกตีความจากหลายความเชื่อ รวมถึง นาค ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อพื้นถิ่นดั้งเดิมของคนอีสานนิทรรศการเงินตราภาคอีสานการมาชมนิทรรศการที่นี่ จะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ และมีผู้นำชมบรรยายในส่วนต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ โดยที่นี่จะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน คือ นิทรรศการธนารักษ์พัฒนา นิทรรศการเงินตราภาคอีสาน และ นิทรรศการเล่าเรื่องเมืองขอนแก่นในส่วนแรกคือ “นิทรรศการธนารักษ์พัฒนา” บอกเล่าเกี่ยวกับภาคกิจสำคัญของกรมธนารักษ์ และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 6 แห่งต่อมาคือ “นิทรรศการเงินตราภาคอีสาน” ที่เริ่มต้นตั้งแต่การใช้โลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ พาเดินทางย้อนเวลาไปในโลกของเงินตรา ที่เชื่อมโยงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยผ่าน “นาค” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนอีสาน ผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาสมบัติมีค่าในทุกยุคทุกสมัย และ ภูมิปัญญางานโลหกรรม อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของคนอีสานที่สืบทอดกันมายาวนานห้องมรดกภูมิปัญญาไทยใต้ผืนดินอีสานเหรียญในสมัยทวารวดีเริ่มชมกันตั้งแต่ห้องแรกคือ “นาคา ผู้คน และเงินตรา จากตำนานสู่เรื่องราวบนแผ่นดินอีสาน” จากจุดกำเนิดของการค้นพบโลหะสำริดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อกว่าสองพันปีก่อน สืบต่อมายังห้อง “มรดกภูมิปัญญาไทยใต้ผืนดินอีสาน” เรียนรู้เงินตราในสมัยทวารวดี รวมถึงตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีสมัยวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรบนแผ่นดินอีสานสืบต่อมาถึงยุคของอาณาจักรล้านช้าง ที่ห้อง “อาณาจักรล้านช้าง ยุคสมัยของความรุ่งเรืองบนแผ่นดินลุ่มแม่น้ำโขง” เล่าถึงเงินตราท้องถิ่นภาคอีสาน ตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านช้าง มาจนถึงเงินตราในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยในห้องนี้ จะแสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านช้าง มีการค้าขายกับชุมชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เจ้าเมืองคือมีผู้อำนาจผลิตเงินตรา นั่นก็คือ “เงินฮ้อย” และ “เงินลาด” ซึ่งเป็นเงินตราของอาณาจักรล้านช้าง จนเมื่อเข้าสู่ยุคสยามใหม่ ข้าหลวงประจำมณฑลคือตัวแทนของการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางเพื่อให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้มีการนำเหรียญกษาปณ์ออกใช้ และเงินตราท้องถิ่นหมดสิ้นไปห้องอาณาจักรล้านช้าง ยุคสมัยของความรุ่งเรืองบนแผ่นดินลุ่มแม่น้ำโขงเงินฮ้อย เงินลาด ในยุคล้านช้างวิธีการทำเงินจากโลหะในยุคก่อนแผงค้าขายยุคล้านช้างห้องอีสานยุคใหม่ สยามใหม่ สู่ ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้าก้าวเข้ามาสู่ห้อง “อีสานยุคใหม่ สยามใหม่ สู่ ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า” เงินตรามีการพัฒนาการทั้งทางด้านวัสดุ รูปแบบ และเทคนิคการผลิต ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละยุคสมัย โดยที่ห้องนี้จะจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ของไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-๘จากนั้นก็ผ่านโบกี้รถไฟ ตัวแทนแห่งยุคสมัยใหม่ที่มีการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ผ่านเข้ามาสู่ห้อง “อีสาน จากพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองการปกครอง สู่พื้นที่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต” ในห้องนี้จะได้ชมเหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึกในสมัยรัชกาลที่ ๙-๑๐เริ่มพัฒนาการผลิตเหรียญกษาปณ์ของไทยเหรียญกษาปณ์ของไทย สมัยรัชกาลที่ ๗โบกี้รถไฟ ตัวแทนแห่งการค้าขายยุคสมัยใหม่เหรียญกษาปณ์ไทยในยุครัชกาลที่ ๙-๑๐ลองทายว่าในตู้มีเหรียญอยู่กี่เหรียญสัมผัสเงินที่นำมาใช้ทำเหรียญกษาปณ์และส่วนสุดท้าย “นิทรรศการเล่าเรื่องเมืองขอนแก่น” บอกเล่าประวัติศาสตร์ ของเมืองขอนแก่นตั้งแต่ยุค 2500 ซึ่งภาครัฐได้กำหนดให้ ขอนแก่นเป็นเมืองหลวงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ขอนแก่นมีการพัฒนาโดยภาครัฐเป็นอย่างมาก นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและเป็นรากฐานการพัฒนาของเมืองขอนแก่นมาถึงปัจจุบันแบ่งออกเป็น ห้อง “นิราศขอนแก่น” ชมคลิปย้อนอดีตความศิวิไลซ์ของเมืองขอนแก่นในยุค 2500 พร้อมกับฟังนิราศขอนแก่น แต่งโดย โสภัณ สุภธีระ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น ที่เล่าถึงสถานที่ ผู้คน และบรรยากาศในยุคสมัยนั้นนิทรรศการ “เล่าเรื่องเมืองขอนแก่น”ขอนแก่น รากฐานจากยุคเหมืองหลวงอีสาน สู่ปัจจุบันและอนาคตสมาร์ทซิตี้ห้อง “ขอนแก่น รากฐานจากยุคเหมืองหลวงอีสาน สู่ปัจจุบันและอนาคตสมาร์ทซิตี้” บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คนในขอนแก่น ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ มาดูกันว่าขอนแก่นในยุค 2500 หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วในปัจจุบันสถานที่เดิมตรงนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างสุดท้ายคือห้อง “แม่นหยังน้อ สมาร์ทซิตี้” แนวคิดการพัฒนาเมืองในแบบคนขอนแก่น ร่วมกันออกแบบทิศทางของเมืองขอนแก่นในอนาคต ให้ไปสู่สมาร์ทซิตี้ ใครที่อยากให้เมืองขอนแก่นมีอะไรเพิ่มขึ้น มีด้านไหนที่ต้องพัฒนา ก็ร่วมลงมือออกแบบกันได้เลยนอกจากจะมาเดินชมนิทรรศการเพิ่มพูนความรู้และความสนุกสนานกันแล้ว ที่อาคาร “พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ก็จะมีโซนจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนที่บริเวณชั้นล่าง มีคาเฟ่เล็กๆ และยังมีกิจกรรมหลากหลายที่หมุนเวียนมาให้ร่มสนุกกันแม่นหยังน้อ สมาร์ทซิตี้“พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น” ตั้งอยู่ที่ถนนกลางเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เปิดให้บริการ วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (ปิดบริการทุกวันจันทร์ วันหยุดเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์)อัตราค่าเข้าชม : บุคคลชาวไทยและชาวต่างชาติ คนละ 50 บาท / เด็กหรือเยาวชนไทย อายุระหว่าง 10-18 ปี คนละ 20 บาทการเข้าชม จะมีเจ้าหน้าที่นำชมเป็นรอบ รอบละ 60 นาที รอบสุดท้ายเวลา 15.00 น.ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ Facebook : พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น เว็บไซต์ www.trdmuseumkhonkaen.treasury.go.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000022680

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เขินจะตาย ทำไม "ห้องน้ำในโรงแรม" ใช้ "กระจกใส" ทั้งหมด

19/03/2024

กระจกใสในห้องน้ำของโรงแรมโดยเฉพาะกระจกใสในห้องน้ำของห้องเตียงคู่มักจะทำให้แขกหลายคนที่ไม่ใช่คู่รักรู้สึกเขินอาย แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นในการติดตั้งผนังกระจกใสในห้องน้ำของโรงแรมมีด้วย 4 เหตุผลดังนี้1. ประหยัดต้นทุนการก่อสร้าง เมื่อเปรียบเทียบกับผนังทึบ ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของผนังกระจกคือสามารถประหยัดต้นทุนได้มาก2. เพิ่มเอฟเฟกต์ภาพ พื้นที่ห้องพักทั่วไปมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ด้วยการออกแบบกระจก เอฟเฟกต์ภาพโดยรวมจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก3. ทำความสะอาดและบำรุงรักษาง่าย เมื่อเทียบกับกระเบื้องเซรามิกหรือโครงสร้างอื่นๆ กระจกจะพบคราบง่ายกว่าและยังดูแลง่ายกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังไม่สึกกร่อนง่ายดังนั้นค่าบำรุงรักษาจึงค่อนข้างต่ำ4. เพิ่มแสงสว่างในห้องน้ำ ห้องน้ำมักจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก หากอยู่ในที่ที่ปิดบังสายตาก็จะรู้สึกอึดอัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การออกแบบกระจกสามารถเพิ่มแสงสว่างในห้องน้ำได้ เพื่อให้ผู้คนไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในห้องน้ำแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446983/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เคลียร์หนี้เรื้อรัง ปูทางสู่การแก้หนี้อย่างยั่งยืน

18/03/2024

คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย “จ่ายได้แค่ดอกเบี้ย เงินต้นแทบไม่ลด” เลยต้องผ่อนน้อย และผ่อนนาน เป็นอาการที่มีการพูดถึงกันมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งเราอาจเรียกง่าย ๆ ได้ว่าเป็น “หนี้เรื้อรัง”นั่นเอง ปัญหาหนี้เรื้อรังเกิดจากการที่ลูกหนี้มีรายได้ หรือสภาพคล่องในมือน้อย เทียบกับภาระการผ่อนชำระหนี้ ส่งผลให้หนี้ลดช้า สภาพคล่องในมือของครัวเรือนที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงทุนเพื่อการประกอบอาชีพก็มีจำกัด เพราะต้องนำส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ไม่จบไม่สิ้น เกิดทั้งความเครียดและยังฉุดรั้ง การขยายตัวทางเศรษฐกิจและอาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน ซึ่งนับเป็นหนึ่งใน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” สำคัญของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไข ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้รับฟังความคิดเห็นทั้งจากหลากหลายเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อนำมาออกแบบมาตรการในการช่วยเหลือดูแลให้ตรงจุดและมีความสมดุล เพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ส่งผลต่อความมั่นคงในภาพรวมของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งภายใต้มาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม หรือ Responsible Lending ที่เคยเล่าสู่กันฟังไปแล้ว และได้ทยอยมีผลตั้งแต่ต้นปี มีมาตรการใหม่ของแบงก์ชาติที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังโดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มในเดือนเมษายน 2567 นี้ มาตรการแก้หนี้เรื้อรังนี้ เปรียบเสมือนยารักษาผู้ป่วยที่สามวันดีสี่วันไข้มานานให้หายขาด เพราะจะเป็นการให้ “ทางเลือก” กับกลุ่มเปราะบางที่ยังติดอยู่ในวงจรหนี้ไม่เห็นทางออก ให้ปิดจบภาระหนี้ได้ แล้วผู้ป่วยที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังมีอาการอย่างไร ? อาการ “เรื้อรัง” แสดงว่าลูกหนี้ยังเป็นลูกหนี้ดีที่จ่ายหนี้อย่างสม่ำเสมอ จึงมีสถานะเป็นลูกหนี้ปกติ ไม่ได้เป็นหนี้เสีย หรือ NPL แต่อย่างใด เพียงแต่จ่ายน้อย ทำให้ส่วนที่จ่ายไปเป็นการชำระค่าดอกเบี้ยเป็นส่วนใหญ่ จึงตัดต้นได้น้อย ปิดจบหนี้ได้ยาก ต้องใช้เวลา เหมือนผู้ป่วยที่กินยาบรรเทาอาการมานาน แต่ยังไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ การรักษาอาการหนี้เรื้อรังนี้ จะโฟกัสไปที่ลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ที่มีวงเงินกู้ โดยมีกำหนดชำระตามรอบบิล ชำระแล้วก็อาจกู้ใหม่ได้อีกตามวงเงินที่เหลือ ทำให้ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องจ่ายกี่งวดจึงจะจบ เช่น สินเชื่อบัตรกดเงินสด ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงจะติดกับดักหนี้เรื้อรังมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะสามารถจ่ายขั้นต่ำไปได้เรื่อย ๆ โดยมาตรการนี้จะไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลและบัตรเครดิต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสจะเป็นหนี้เรื้อรังน้อยกว่า การรักษาลูกหนี้เรื้อรัง จึงต้องให้ยาตามอาการ มีตั้งแต่ยาอ่อนไปจนถึงยาแรง ลูกหนี้ที่เพิ่งเริ่มมีสัญญาณของหนี้เรื้อรัง สะท้อนจากการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นนานกว่า 3 ปีนั้น มาตรการจะเน้น “กระตุ้นเตือน กระตุกให้ปรับพฤติกรรม” โดยเจ้าหนี้จะต้องแจ้งเตือนลูกหนี้ผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการใช้สื่อสารกับลูกหนี้ (เช่น จดหมาย อีเมล์ SMS แอปพลิเคชั่นธนาคาร และบัญชีทางการ LINE) พร้อมทั้งแนะนำให้จ่ายหนี้เพิ่มขึ้นตามกำลังและความสมัครใจ เพื่อลดภาระและเวลาในการผ่อนลง ที่สำคัญเจ้าหนี้ต้องให้ข้อมูลดอกเบี้ยที่จ่ายไปแล้ว รวมถึงเงินต้นและหนี้คงเหลือ เพื่อให้ลูกหนี้ใช้ตัดสินใจ และหากลูกหนี้อยากปิดหนี้เร็วขึ้น เจ้าหนี้ก็ต้องมีแนวทางช่วยเหลือให้ด้วย สำหรับลูกหนี้ที่มีอาการหนี้เรื้อรังขั้นรุนแรง โดยมีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าต้นมาแล้วนานกว่า 5 ปี และเป็นลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ที่มีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน และลูกหนี้น็อนแบงก์ที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เจ้าหนี้จะต้อง “เสนอทางออกผ่านการปรับโครงสร้างหนี้” ไปยังช่องทางที่ผู้ให้บริการใช้แจ้งข้อมูลกับลูกหนี้ พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่จำเป็น เช่น ผลเสียของการชำระหนี้ขั้นต่ำต่อเนื่อง คุณสมบัติของลูกหนี้ที่จะเข้าร่วม แนวทางการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ช่องทางติดต่อขอรับคำปรึกษา โดยลูกหนี้มีสิทธิเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมมาตรการหรือไม่ ตามความสมัครใจ ลูกหนี้ที่ตอบรับจะได้เข้าสู่กระบวนการเจรจา เพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระที่สอดคล้องกับความสามารถของตน พร้อมทั้งปรับเป็นสินเชื่อแบบผ่อนชำระเป็นงวดแทน เพื่อให้มีวันจบ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี (จากปกติไม่เกิน 25% ต่อปี) ทำให้เงินค่างวดที่ชำระในจำนวนเท่าเดิมสามารถลดเงินต้นได้มากขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มจนกว่าจะปิดจบหนี้แล้ว (ยกเว้นกรณีที่จำเป็น เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือตกงาน) เพื่อให้สามารถปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี นอกจากนี้ จะมีมาตรการเสริมเชิงป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เรื้อรัง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ สถาบันการเงินต้องตั้งค่าเริ่มต้นในการชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชั่นธนาคารให้เป็นการชำระเต็มจำนวนเท่านั้น อีกทั้งจะต้องมีข้อความแจ้งเตือนให้คนที่ไม่ชำระเต็มจำนวนรู้ว่าจะทำให้มีภาระดอกเบี้ยสูงขึ้นด้วย มาตรการแก้หนี้เรื้อรังให้กับกลุ่มเปราะบางนี้ เป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่เท่านั้น โดยยังมีจิ๊กซอว์สำคัญอีกหลายชิ้นที่จะทำให้ภาพของการแก้หนี้อย่างยั่งยืนมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการเป็น “ลูกหนี้ที่มีวินัย” เป็นหนี้เท่าที่จำเป็น และจ่ายไหว ขณะที่ผู้ให้บริการก็ต้องเป็น “เจ้าหนี้ที่มีความรับผิดชอบ” ให้สินเชื่อที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและความสามารถของลูกหนี้ ซึ่งในครั้งต่อ ๆ ไปจะขอนำมาตรการอื่น ๆ และแนวทางการกำกับดูแลเชิงรุกของแบงก์ชาติมาเล่าให้ฟัง แล้วพบกันใหม่ค่ะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509190

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ปิดความเสี่ยง 4 ด้าน กับการวางแผนประกัน

18/03/2024

บทความโดย "บุณยนุช ยุทธ์ประทุม" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยประโยชน์สูงสุดของการวางแผนประกันคือ การทำประกันให้ครอบคลุมเรื่องจำเป็นที่สำคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่ จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ในบทความนี้ผู้เขียนขอเชิญชวนท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับความเสี่ยง 4 ด้านหลัก เกี่ยวกับการวางแผนประกันบุคคล ซึ่งผู้วางแผนการเงินจะต้องเตรียมการให้พร้อมอย่างรอบคอบและครบทุกด้านความเสี่ยงจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ เจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เนื่องจากการจากไปก่อนวัยอันควรมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนในครอบครัวไม่ได้มีเวลาตั้งตัวมากนัก โดยเฉพาะการสูญเสียบุคคลสำคัญอันเป็นที่รักของสมาชิกในบ้าน หรือการจากไปของผู้ที่ทำงานมีรายได้หลักหาเลี้ยงครอบครัว การจากไปยิ่งเพิ่มความสูญเสียเป็นทวีคูณบวกกับความสั่นคลอนของสถานะการเงินภายในครอบครัว จากสถานะที่อยู่ดีมีสุข มีใช้ไม่ขัดสน การศึกษาของบุตรหลานอาจจะต้องหยุดชะงัก หนี้สินอาจเพิ่มขึ้น ในการวางแผนการเงินนั้น การทำประกันชีวิตที่มีทุนสูงเพื่อมาปิดความเสี่ยงทางด้านนี้ จะช่วยบรรเทามูลค่าความเสียหาย ลดภาระหนี้สิน ช่วยให้ครอบครัวมีเงินเพื่อใช้จ่ายไปอีกระยะหนึ่ง ไม่เดือดร้อนจนเกินไป และ/หรือบุตรหลานได้รับการศึกษาจนจบปริญญาตามที่ตั้งใจไว้ความเสี่ยงจากการมีรายได้ไม่เพียงพอเมื่อเกษียณอายุผู้วางแผนการเงินสามารถเริ่มวางแผนง่าย ๆ จากการสำรวจความต้องการใช้เงิน ของตนเอง ว่าต้องการจะใช้เงินเดือนละเท่าไหร่หลังเกษียณ เช่น ต้องการใช้เงินเดือนละ 50,000 บาท โดยมีเงินที่ได้รับแน่นอนเดือนละ 25,000 บาท และมีเงินปันผลจากการลงทุนหรือรายได้อื่น ๆ อีกเดือนละ 25,000 บาทจะเห็นได้ว่าการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณด้วยการประกันบำนาญ จะทำให้ผู้วางแผนการเงินมีรายรับแน่นอน ซึ่งเงินส่วนนี้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ส่วนเงินที่ได้จากการลงทุนอื่น ๆ ก็อาจนำมาใช้ในการเติมเต็ม Life Style เช่น ท่องเที่ยว ทำบุญ ฯลฯความเสี่ยงจากการมีสุขภาพไม่ดีเมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้น โอกาสที่เป็นโรคเรื้อรังก็จะเพิ่มขึ้นตามวัย สำหรับเด็กเล็กก็มักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ ในขณะเดียวกันเด็ก ๆ จะต้องมีพัฒนาการในการฝึกกล้ามเนื้อเล็ก ๆ มีการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และการชอบจับสิ่งของรอบ ๆ ตัวเข้าปากด้วยความสนุก เป็นสาเหตุให้เด็กติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย ถึงแม้ว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกเพศทุกวัยต้องกระทำ แต่ทุกคนยังคงมีโอกาสเจ็บป่วยได้อีกทั้งสาเหตุจากภายในร่างกายเอง เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้น และจากปัจจัยภายนอก เช่น มลพิษทางอากาศ อาหารที่เจือปนสารพิษ เป็นต้นดังนั้นการทำประกันสุขภาพไว้เผื่อเวลาเจ็บป่วยจะทำให้ผู้เอาประกันเข้าถึงสถานพยาบาลได้ง่ายขึ้น และเป็นการช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาลทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะการเจ็บป่วยแต่ละครั้ง เราไม่สามารถทราบค่ารักษาที่แน่นอน ซึ่งอาจเป็นหลักหมื่น หลักแสน หรือหลักล้านบาท การทำประกันที่ครอบคลุมค่ารักษาที่มากพอ จะช่วยให้ลดความกังวลใจในเรื่องค่ารักษาพยาบาลได้ความเสี่ยงกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงสาเหตุหลักของภาวะทุพพลภาพนั้นส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุ การได้รับบาดเจ็บหรือมีภาวะเจ็บป่วยอย่างหนัก และอาจสูญเสียอวัยวะหรือร่างกายไม่อยู่ในสภาวะปกติ ทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงจนไม่อาจประกอบอาชีพการทำงานได้ตามปกติเช่น การสูญเสียนัยน์ตา 2 ข้าง แขน 2 ข้าง หรือขา 2 ข้าง แม้โอกาสเกิดจะมีน้อยมาก แต่การปิดความเสี่ยงด้วยการทำประกัน หรือเตรียมเงินอีกส่วนไว้เพิ่มเติมจากค่ารักษาพยาบาล สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในช่วงพักฟื้นก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งผู้ป่วยและครอบครัว เพราะเป็นการช่วยลดความกังวล และทำให้มีกำลังใจในการฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้นโดยเร็วจากความเสี่ยงหลักทั้ง 4 ด้านดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้วางแผนการเงินควรเตรียมการไว้ล่วงหน้า แม้ในบางกรณีที่โอกาสเกิดจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้นเมื่อใดแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นมักจะมีมูลค่าสูงมาก เงินเก็บเงินออมที่เตรียมไว้อาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาล หรือมีพอ แต่ไม่อยากสูญเสียทรัพย์สินบางอย่างที่ครอบครัวได้สะสมกันมาด้วยเหตุนี้ การวางแผนประกันให้อย่างรอบคอบและครอบคลุมการปิดความเสี่ยงทุกด้าน ย่อมจะเป็นการช่วยให้ผู้วางแผนการเงินอุ่นใจและไม่กระทบสถานะทางการเงินของครอบครัวมากจนเกินไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1498677

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

GroundControl เปิด MMAD MASS Gallery ผลักดันผลงานศิลปินไทยสู่ตลาดสากล

29/04/2024

GroundControl ผู้สร้างสรรค์งานทางด้านสายอาร์ต และ แกลเลอรีเปิด MMAD MASS Gallery ผลักดันผลงานศิลปินไทยสู่ตลาดสากลเพราะศิลปะอยู่รอบตัวเรา สื่อศิลป์ 360 องศา GroundControl ผู้สร้างสรรค์งานทางด้านสายอาร์ต และ แกลเลอรี เล็งเห็นถึงช่องทางการเติบโตของตลาดศิลปะที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่เล็กๆ พร้อมเป็นสื่อกลาง ผลักดันงานศิลปะ และศิลปินไทยที่มีความสามารถสร้างสรรค์ผลงานโดดเด่นให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ วางกลยุทธ์ดำเนินงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการเฟ้นหา เป็นที่ปรึกษา รังสรรค์ผลงาน  การจัดแสดงและประชาสัมพันธ์งานศิลปะรวมถึงผลงานของศิลปินผ่านช่องทางสื่อในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางออนไลน์ และพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะอย่าง MMAD MASS Galleryคุณสิริมา ไชยปรีชาวิทย์ ตำแหน่ง Creative Director & Art Curator และ คุณศิขรินทร์ ลางคุลเสน ตำแหน่ง Communication & Social media Director ผู้ร่วมก่อตั้ง GroundControl (กราวด์คอนโทรล) มากกว่า 3 ปี กล่าวว่า ปัจจุบันงานศิลปะเป็นเสมือนสื่อกลางที่เชื่อมโยงทุกอย่างไว้ด้วยกัน และมีอิทธิพลเป็นส่วนหนึ่งของการสอดแทรกและขับเคลื่อนสังคม รวมไปถึงชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่ว่า จะเป็นด้านประวัติศาสตร์ การเมือง ตลอดจนไปถึงสื่อบันเทิง ล้วนมีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องและถูกสร้างสรรค์ ไปในทิศทางที่มีเอกลักษณ์รูปแบบที่โดดเด่นและชัดเจนคุณสิริมา ไชยปรีชาวิทย์ ตำแหน่ง Creative Director & Art Curator และ คุณศิขรินทร์ ลางคุลเสน ตำแหน่ง Communication & Social media Directorปัจจุบันกระแสและทิศทางการเติบโตทางด้านศิลปะในแง่มุมต่างๆ ทำให้แนวโน้มการตอบรับจากสังคม ที่มีต่องานศิลปะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทาง GroundControl ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงโควิดแต่กลับมีกระแสการเติบโตทางด้านรายได้ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันกว่าร้อยละ 60 รวมถึงลูกค้าและพาร์ทเนอร์ที่เติบโตต่อเนื่องกว่าร้อยละ 65 จึงทำให้เล็งเห็นช่องทางการผลักดันงานทางด้านศิลปะที่ไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทยแต่ยัง รวมไปถึงต่างประเทศ ด้วยการเชื่อมโยงหรือเป็นสื่อกลางประสานระหว่างศิลปิน องค์กร หน่วยงานต่างๆ ทั้ง ภาครัฐและเอกชน และ ผู้บริโภค นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าและคุณค่าให้กับงานศิลป์ พร้อมสร้างรายได้ โดยมุ่งเน้น ไปที่การดำเนินงานด้าน Arts  Creative Services and Publisherและในปี 2567 ทาง GroundControl ได้วางแผนงานขยายงานด้าน  Arts Creative Services โดยเฉพาะกิจกรรมทางด้านศิลปะและไลฟ์สไตล์ชื่อว่า GroundPLAY! ให้เติบโตและมีขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับจำนวนการตอบรับของผู้สนใจงานศิลปะที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีผู้ร่วมงาน 4,000 คน เป็น 10,000 คนในปีนี้ และยังขยายขอบเขตงานให้ครอบคลุมถึงด้านดนตรี ภาพยนตร์ การเพิ่มกิจกรรมเวิร์กชอปเพื่อให้ ผู้ที่สนใจได้สัมผัสและเข้าถึงงานศิลปะ รวมถึงการประชาสัมพันธ์แสดงผลงานของศิลปินที่หลากหลายแนวนอกจากนี้ GroundControl ยังปรับโครงสร้างเพื่อรองรับและขยายตัวด้วยการเป็นตัวแทนดูแลจัดการ งานด้านต่างๆ ให้กับศิลปิน เช่น การเปิดโครงการ Artist On Our Radar ซึ่งเป็นโครงการแบบครบวงจรช่วย ผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างศิลปินภาพประกอบและแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทั้งในด้านการวางแผน และส่วนของการเวิร์กชอปเพื่อให้ศิลปินมีความเข้าใจพื้นฐานในการทำงานเพื่อก่อให้เกิดรายได้ รวมถึงการทำงาน ทางด้านแกลเลอรี ผ่านวิทยากรที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับในวงการด้านศิลปะ ซึ่งปัจจุบันโครงการ Artist On Our Radar ได้ทำการคัดเลือกศิลปินจากผู้สมัครกว่า 200 คน โดยมีทีมงานพิจารณาผลงานที่ ส่งประกวดร่วมกับผลงานที่ผ่านมาของศิลปิน ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และพร้อมที่ จะพัฒนาผลงานเพื่อตอบรับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ จนได้ศิลปินจำนวน 12 คน และนำผลงานมา แสดงที่ MMAD MASS Gallery ซึ่งเป็น Illustration Gallery ที่นำเสนอและสนับสนุนผลงานของศิลปิน ภาพประกอบในไทย รวมถึงศิลปินในเอเชีย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่านการจัดนิทรรศการเดี่ยว กลุ่ม หรือการทำงานแบบ Duo Exhibition รวมถึงการเป็นพื้นที่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิด มุมมองของ ศิลปินผ่านงานศิลปะ ทั้งระหว่างตัวศิลปินด้วยกันเองและศิลปินที่ต่อเรื่องราวในสังคม ซึ่งทาง GroundControl ยังวางแผนจะขยายโครงการนี้เพื่อให้ครอบคลุมถึงศิลปินในด้านอื่นๆ อีกด้วยนอกจากนี้ทาง GroundControl ยังมีช่องทางสื่อออนไลน์ของตนเอง เพื่อนำเสนอความเคลื่อนไหวใน โลกศิลปะและวัฒนธรรมจากทั้งไทยและต่างประเทศ และยังเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ด้วย เป้าหมายที่จะนำเสนอศิลปะให้เป็นเรื่องสนุกใกล้ตัว ที่ใคร ๆ ก็สามารถทั้ง “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ได้ และยัง เป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์งานของศิลปิน และกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ศิลปินไทยได้เป็นที่รู้จัก มากยิ่งขึ้น เชื่อมหัวใจงานศิลป์ให้เป็นพลังขับเคลื่อนของทุกคน ผ่านทางWebsite: https://groundcontrolth.com/FB: https://facebook.com/GroundControlTh/IG: https://www.instagram.com/groundcontrolth/Tiktok: https://www.tiktok.com/@groundcontrolthYouTube: www.youtube.com/groundcontrolthแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447151/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อันซีนเมืองจีน “ไป๋สุ่ยไถ” ระเบียงธารน้ำขาว ความงามของธรณีวิทยาที่แชงกรีลา

29/04/2024

“ไป๋สุ่ยไถ” ระเบียงหินปูนสีขาวลดหลั่นเป็นชั้นๆ มีธารน้ำใสที่มีตะกอนแร่ธาตุสีฟ้าจางๆ เป็นอีกหนึ่งอันซีนแดนมังกร ซึ่งธรรมชาติรังสรรค์ไว้ที่มณฑลยูนนานภาพ: สำนักข่าวซินหัว“ไป๋สุ่ยไถ” (Baishuitai) หรือ “ระเบียงธารน้ำขาว” ซึ่งตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,380 เมตร และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร ในตำบลซานป้า เมืองเซียงเก๋อหลี่ลาหรือแชงกรีลา มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนภาพ: สำนักข่าวซินหัวในด้านธรณีวิทยา เรียกหินรูปแบบนี้ว่า ทราเวอร์ทีน (Travertine) คือ หินปูนรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุต่างๆและน้ำพุใต้ดิน และถูกบีบอัดด้วยน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ ปามุคคาเล (Pamukkale) หรือ ปราสาทปุยฝ้าย ในประเทศตุรกี นั่นเองส่วนระเบียงธารน้ำขาว ไป๋สุ่ยไถ ก็ไม่แตกต่างกัน โดยก่อตัวขึ้นจากการตกสะสมตัวของแคลเซียมคาร์บอเนตในน้ำที่ไหลจากน้ำพุ สร้างเป็นทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจวบจนปัจจุบัน ทั้งยังได้รับสมญานามว่า “สถานที่ที่เมฆขาวทิ้งร่องรอยบนโลกา”ภาพ: สำนักข่าวซินหัวมีตำนานเล่าเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ว่านักบุญจากลัทธิตงปา พบที่นี่ระหว่างเดินทางกลับจากศึกษาพระสูตรที่ทิเบต ดังนั้นเขาจึงปักหลักเพื่อเผยแผ่ศาสนาพุทธ และลานหินสีขาว ก็เป็นที่รู้จักในนามดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดงปา ส่วนตำนานก็เล่าว่า เป็นสถานที่เพื่อให้ชาวน่าซี (Naxi) ในท้องถิ่น เรียนรู้การเพาะปลูก เทพเจ้าได้ประทานระเบียงหินแห่งนี้ให้ จึงได้รับขนานนามว่า “ทุ่งนาที่ทิ้งไว้โดยผู้เป็นอมตะ”ภาพ: สำนักข่าวซินหัวด้วยเหตุนี้ นอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่จึงเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญในท้องถิ่น และมีศาลเจ้าหลายแห่งรอบๆ ในแต่ละปีในวันที่ 8 ของเดือนจันทรคติที่สอง ชาวน่าซีจะรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตามประเพณีภาพ: สำนักข่าวซินหัวสำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปชมความงามของระเบียงธารน้ำ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเมษายน และตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงพฤศจิกายนภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000023331

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เงินเฟ้อ-เงินฝืด คืออะไร เมื่อไหร่คือเวลาที่ต้องกังวล

14/03/2024

เงินเฟ้อ-เงินฝืด คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร เเละเมื่อไหร่คือเวลาที่ต้องกังวล หลัง เงินเฟ้อไทยเดือน ก.พ.67 ติดลบ 0.77% เงินเฟ้อ เงินฝืด เป็นหนึ่งในหัวข้อที่มีคนพูดถึงกันมากในขณะนี้ ล่าสุด ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ก.พ.2567 เท่ากับ 107.22 เทียบกับ ม.ค.2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 เทียบกับเดือน ก.พ.2566 ลดลงร้อยละ 0.77 เป็นการลดลงต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 5  สาเหตุสำคัญมาจากราคาอาหารสด เนื้อสัตว์ และผักสด ที่ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก และราคาปรับลดลง รวมทั้งน้ำมันดีเซลและค่ากระแสไฟฟ้า ราคายังต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปี 2566 จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ "เงินเฟ้อติดลบ" Disinflation แตกต่างกับ "เงินฝืด" หรือ Deflation อย่างไร เเล้ว กระทบต่อชีวิตของพวกเราหรือไม่ วันนี้มาลองไขข้อสงสัย เงินเฟ้อ คือ ช่วงที่ราคาสินค้าและบริการทั่วไปในประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ในเชิงของมูลค่าของเงินกลับต่ำลง ซึ่งก็เกิดจากความต้องการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าและบริการเหล่านั้นอาจมีไม่พอ ทำให้คนขายสินค้าปรับราคาและบริการสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น อย่างเช่น ราคาวัตถุดิบที่ใช้ผลิตปรับตัวสูงขึ้น ผู้ผลิตแบกต้นทุนไม่ไหว จึงปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น สมมุติว่า ในอดีตข้าวแกง 1 จาน ราคา 30 บาท แต่วันนี้เมนูเดิมราคาขึ้นไปเป็น 40 บาท หมายความว่า เงิน 30 บาทในวันนี้มีค่าน้อยกว่าเงิน 30 บาทในอดีต ดัชนีที่ใช้ในการชี้วัดระดับเงินเฟ้อ คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ  Consumer Price Index (CPI) เป็นตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ครัวเรือนบริโภค เป็นราคาในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน เงินเฟ้อที่ต้องกังวล เงินเฟ้อไม่ได้แย่เสมอไป เพราะในความเป็นจริงอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน ถือเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเอื้อต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เเล้วอัตราเงินเฟ้อที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องระวัง คือช่วงไหน เงินเฟ้อที่ติดลบเป็นเวลานานพอสมควร (prolonged period) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น เงินเฟ้อติดลบแบบกระจายตัวไปในหมวดสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทำให้เกิดผลกระทบในหลายหมวดหมู่ธุรกิจ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว ต่ำกว่าเป้าหมายระยะปานกลางอย่างมีนัยสำคัญ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะติดลบ รวมถึงอัตราการว่างงานของแรงงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  "เงินเฟ้อติดลบ" หากเกิดขึ้นติดต่อกันยาวนานก็อาจทำให้เกิด "ภาวะเงินฝืด" ซึ่งก็คือ ช่วงที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดต่ำลงนั่นเอง เกิดขึ้นได้ 2 สาเหตุ คือ ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้า บริการที่ลดลงและต้นทุนการผลิตสินค้าที่ลดต่ำลง หลายคนอาจมองว่าสินค้าราคาลดลงเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงเเล้ว จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง เนื่องจากราคาสินค้าที่ลดต่ำ ก็หมายถึง รายได้ของผู้ผลิตลดลงตามไปด้วย ผู้ผลิตอาจต้องลดการผลิตลงรวมทั้งลดการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของคนในประเทศ ที่มา advicecenter ธนาคารแห่งประเทศไทย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/business/economy/590131

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชมฟรี มิติใหม่ “สัตว์ในตำนาน”สุดครีเอท ที่ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค”

29/04/2024

“ทรู ดิจิทัล พาร์ค” ร่วมกับ Madskills ชวนท่องโลกสัตว์ในตำนานรูปแบบใหม่ผ่านนิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition by Cheese Arnon, Bluepalete & Kratai Dudu, curated by Madskills จาก 3 ศิลปินไทยมาแรง ตั้งแต่ 9 มี.ค. - 9 มิ.ย.67 ที่ TDPK Studio 1, ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ งานนี้เข้าชมฟรี!ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ร่วมกับ Madskills แกลเลอรีชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่สร้างศิลปินมากมายสู่ระดับโลก เนรมิตพื้นที่ TDPK Studio ให้กลายเป็นโลกมหัศจรรย์ของสัตว์ในตำนานอย่างยูนิคอร์น กริฟฟิน ฟีนิกซ์ และเพกาซัส ผ่านนิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition by Cheese Arnon, Bluepalete & Kratai Dudu, curated by Madskills จากการสร้างสรรค์ผลงานของ 3 ศิลปินไทยมาแรง Cheese Arnon, Bluepalete และ Kratai Dudu ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวความท้าทาย ชัยชนะ และจิตวิญญาณที่ไม่มีวันแตกสลายในการไล่ตามความฝันของคนยุคใหม่และเหล่าสตาร์ทอัพ งานนี้เปิดให้ชมฟรี ที่ TDPK Studio 1, ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม ถึง 9 มิถุนายน 2567ชมฟรี มิติใหม่ “สัตว์ในตำนาน” ที่ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค”นิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition by Cheese Arnon, Bluepalete & Kratai Dudu, curated by Madskills จะพาผู้ชมออกเดินทางท่องไปยังโลกของสัตว์ในตำนาน พร้อมพาดื่มด่ำไปกับผลงานอันหลากหลายทั้งภาพวาดแคนวาส ภาพพิมพ์ ฟิกเกอร์ และประติมากรรม Pop Art สุดเจ๋ง ที่จัดทำขึ้นสำหรับนิทรรศการนี้โดยเฉพาะนอกจากนี้ยังมีไฮไลต์พิเศษเพื่อฉลองเปิดโซนจัดแสดงผลงานใหม่ TDPK Studio 1 ด้วยกิจกรรมพิเศษที่ให้ผู้สนใจได้ร่วมเป็นเจ้าของสินค้าคอลเลกชันพิเศษจากศิลปินให้ได้สะสมกัน อาทิ เสื้อยืด, หมวกแก๊ป, หมวกบัคเก็ต, หมอน, สมุดโน้ตลายสุดคิ้วท์ดร. ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด (True Digital Park) หรือ TDPK กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนชุมชนสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ เหล่านักคิด และนักสร้างสรรค์ของไทย โดยการออกแบบให้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นมากกว่าแค่พื้นที่พบปะแลกเปลี่ยน แต่ยังมอบประสบการณ์อันไร้ขีดจำกัดและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ผู้คน ผ่านการจัดกิจกรรมและนิทรรศการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความชอบของคนยุคใหม่ จึงเป็นที่มาให้วันนี้เราจับมือกับแกลเลอรี Madskills เพื่อร่วมกันสร้างปรากฎการณ์ความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ในนิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition ที่บอกเล่าเรื่องราวของสัตว์ในตำนานทั้ง 4 อย่างยูนิคอร์น กริฟฟิน ฟีนิกซ์ และเพกาซัส ซึ่งมาจากชื่อของตึกในทรู ดิจิทัล พาร์ค ผสมผสานเข้ากับโลกของเหล่าสตาร์ทอัพในรูปแบบศิลปะสมัยใหม่ พร้อมด้วยเหล่าพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง SASOM (สะสม) แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้ซื้อ - ขายสินค้าและของสะสมในงาน รวมถึง ทรูคอร์ปอเรชั่น ที่ร่วมสนับสนุนการจัดนิทรรศการในครั้งนี้”พิชย วิวัฒน์รุจิราพงศ์ (ซ้าย) ดร. ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ (ขวา)นายพิชย วิวัฒน์รุจิราพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Madskills กล่าวเสริมว่า “สำหรับ คอนเซ็ปต์ในนิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition คือการนำเรื่องราวของสัตว์ในตำนานมาตีความในรูปแบบใหม่ ผ่านมุมมองและสไตล์ผลงานอันโดดเด่นของศิลปินไทยทั้ง 3 คน ได้แก่ Cheese Arnon, Bluepalete และ Kratai Dudu โดยเปรียบเปรยแง่มุมที่น่าสนใจต่าง ๆ ของสัตว์ในตำนานกับเรื่องราวการเดินทางและการเติบโตของคนรุ่นใหม่ ที่พยายามสร้างตัว ฝ่าฟัน และแสวงหาความสำเร็จ เหมือนกับการเดินทางตามความฝันของเหล่าสตาร์ทอัพที่เปี่ยมไปด้วยพลังและจิตวิญญาณที่แน่วแน่ โดยผลงานศิลปะแต่ละชิ้นจะเป็นตัวแทนของเหล่าผู้คนและสตาร์ทอัพมากมายที่ได้มาเจอกัน ณ ใจกลาง ทรู ดิจิทัล พาร์ค แห่งนี้”นายอานนท์ เนยสูงเนิน (Cheese Arnon)ด้านศิลปิน นายอานนท์ เนยสูงเนิน (Cheese Arnon) ผู้สร้างสรรค์ตัวละครจิ้งจอกน้อยอันโด่งดัง เปิดเผยว่า “เทคนิคการวาดภาพในงานนี้เป็นสไตล์การวาดในยุค Romanticism ผสมผสานกับ การตีความใหม่ในโลกแฟนตาซี ทำให้ผลงาน The Fox ในเวอร์ชันนี้มีความลึกซึ้งมากกว่าแค่ใช้องค์ประกอบของยูนิคอร์น หรือฟีนิกซ์ แต่ยังมีการเชื่อมโยงภาพกับอารมณ์ของคนรุ่นใหม่และสตาร์ทอัพ อาทิ ฟีนิกซ์ที่มีวงจรชีวิตเกิดใหม่จากกองเถ้าถ่าน เล่าคู่ขนานไปกับเส้นทางชีวิตของบริษัทสตาร์ทอัพ”นางสาวรุ่งนภา คำน้อย (Bluepalete)นางสาวรุ่งนภา คำน้อย (Bluepalete) เจ้าของผลงานเด็กหญิงในชุดขนเฟอร์ เล่าว่า “งานศิลปะที่จัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ นับเป็นข้อพิสูจน์ถึงความพร้อมในการลองทำอะไรใหม่ ๆ ทั้งเทคนิคการใช้สีและการใช้จินตนาการเกี่ยวกับตัวละครสัตว์ในตำนาน จนได้ผลงานที่ออกมาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกถึงความพร้อมและความทะเยอทะยาน ช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมเข้าถึงความหมายที่เชื่อมโยงกับอารมณ์และช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่และสตาร์ทอัพต้องเผชิญอยู่เสมอ”นางสาวสุภาพร ชาวสวน (Kratai Dudu)ปิดท้ายที่ นางสาวสุภาพร ชาวสวน (Kratai Dudu) เจ้าของผลงานลูกช่างซ่อมรถและเพื่อน ๆ ของเขา เล่าว่า “ผลงานชิ้นต่าง ๆ ได้มีการนำเอาองค์ประกอบของสัตว์ในตำนาน การจัดวาง และ การสร้างสรรค์บรรยากาศในภาพที่ชวนฝัน ร่วมกับการแฝงสัญลักษณ์ เพื่อสื่อสารว่าแม้แต่สิ่งมีชีวิตในตำนาน หรือเหนือจินตนาการก็สามารถดำรงอยู่ได้ร่วมกันอย่างกลมกลืนเฉกเช่นคนเรา และยังสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงได้ในสักวัน”ศิลปินและผู้จัดถ่ายภาพร่วมกันผู้ที่สนใจเข้าชมนิทรรศการ "Mythical Dream", Trio exhibition by Cheese Arnon, Bluepalete & Kratai Dudu, curated by Madskills สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. - 9 มิ.ย. 2567 ณ TDPK Studio 1, ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ (BTS ปุณณวิถี) เปิดให้เข้าชมนิทรรศการทุกวัน เวลา 11.00 - 19.00 น. ที่สำคัญเข้าฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงกดติดตาม Page Facebook ของ True Digital Park และสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.truedigitalpark.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000020722

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X