ข่าวทั่วไป

ความเป็นอยู่ที่ดีของทีมงาน (Well-being) ในยุคที่องค์กรเผชิญความท้าทายรอบด้าน


  •  ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Well-being) ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อความสำเร็จขององค์กร ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
  •  Well-being ไม่ได้จำกัดแค่สุขภาพกายและใจ แต่ครอบคลุม 5 มิติสำคัญ ได้แก่ กายภาพ จิตใจ สังคม อาชีพ และ ความหมายของงาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและลดภาวะหมดไฟ
  •  การสร้าง Well-being ที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวัสดิการ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก แต่เกิดจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความไว้วางใจ การรับฟัง และ การสนับสนุนซึ่งกันและกัน


ในอดีตผู้บริหารองค์กรอาจเน้นการเติบโตทางธุรกิจ การขยายตลาด หรือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันความท้าทายรอบด้าน ได้เปลี่ยนสมการความสำเร็จไปอย่างสิ้นเชิง เราอยู่ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนไม่หยุดหย่อน เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน ความคาดหวังของผู้บริโภคสูงขึ้นกว่าที่เคย และการแข่งขันไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศ แต่ข้ามพรมแดนและเวลาภายใต้ระเบียบโลกที่ไม่เหมือนเดิม 


ท่ามกลางแรงกดดันเหล่านี้ สิ่งที่ผู้บริหารหลายคนอาจมองข้ามคือ “คนในองค์กร” หากบุคลากร คือ หัวใจของการขับเคลื่อน แต่หัวใจดวงนี้อ่อนล้า องค์กรย่อมไม่สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง คำถามสำคัญคือ ผู้บริหารกำลังลงทุนใน “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทีมงานมากน้อยเพียงใด


หลายคนเข้าใจ Well-being แค่เพียง “สุขภาพดี” หรือ “ไม่เครียด” แต่ในเชิงวิชาการ Well-being คือ คุณภาพชีวิตโดยรวมที่คนทำงานรับรู้และสัมผัสได้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสุขภาพกายหรือใจ หากครอบคลุมถึงการมีความหมาย ความสัมพันธ์ และความมั่นคงในชีวิต มิติที่มักใช้กันอย่างแพร่หลายมี 5 ประการ ได้แก่


1. กายภาพ (Physical Well-being) คือ การมีสุขภาพกายแข็งแรง ได้พักผ่อนเพียงพอ มีสมดุลระหว่างงานกับชีวิต


2. จิตใจ (Mental Well-being) คือ มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ถูกกดดันจนเกินไป รู้สึกปลอดภัยในการทำงาน


3. สังคม (Social Well-being) คือ มีความสัมพันธ์ที่ดีในทีม รู้สึกว่าไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง


4. อาชีพ (Career Well-being) คือ มองเห็นเส้นทางความก้าวหน้า มีความพึงพอใจในสิ่งที่ทำ


5. ความหมาย (Purpose Well-being) คือ รับรู้ว่างานที่ทำมีคุณค่าและส่งผลต่อคนอื่น ไม่ใช่เพียงการทำตามหน้าที่


หากองค์กรละเลยแม้เพียงหนึ่งมิติ ความเสี่ยงของการเกิดภาวะ “หมดไฟ” (burnout) ย่อมสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของประสิทธิภาพและการสูญเสียบุคลากรที่มีศักยภาพ จากประสบการณ์ที่ปรึกษาธุรกิจหลายองค์กรพบรูปแบบที่แตกต่างกันชัดเจน บางแห่งทุ่มงบประมาณมหาศาลสร้างสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งฟิตเนส ห้องพักผ่อน พื้นที่ทำงานสวยงาม 


แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีวัฒนธรรมการทำงานที่เต็มไปด้วยความกลัว การแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ และ การสื่อสารที่เป็นทางเดียว ผลลัพธ์ คือ ทีมงานไม่ได้รู้สึก “อยู่ดี” แต่กลับหมดแรงใจ


ในอีกมุมหนึ่งองค์กรขนาดกลางที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหรา แต่ผู้บริหารเปิดพื้นที่ให้ทีมงานแสดงความคิดเห็น รับฟังด้วยความจริงใจ และกล้าที่จะยอมรับความผิดพลาดของลูกน้องพร้อมช่วยแก้ไขร่วมกัน


ผลลัพธ์คือ ทีมงานรู้สึกได้รับการยอมรับ และพร้อมทุ่มเทให้องค์กรอย่างเต็มกำลัง นี่เป็นบทเรียนที่สะท้อนชัดว่า Well-being ไม่ใช่เรื่องของสิ่งปลูกสร้าง หรือ กิจกรรมพิเศษ แต่คือการสร้าง “วัฒนธรรมที่ดูแลผู้คน” อย่างแท้จริง


ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยัง มองว่า Well-being เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการเงินโดยตรง แต่หากพลิกมุมคิดจะเห็นว่า Well-being คือ “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” บุคลากรที่มีสุขภาวะที่ดีจะมีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าเสนอไอเดียใหม่ มีพลังในการทำงาน และรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างจริงใจ และลดอัตราการลาออก ทำให้ประหยัดต้นทุนการสรรหาและฝึกอบรม 


หลายงานวิจัยยืนยันว่า องค์กรที่ลงทุนด้าน Well-being อย่างจริงจัง มีผลประกอบการที่ดีกว่าองค์กรที่ละเลย เพราะทีมงานที่ “อยู่ดี” จะสร้างผลงานที่ “ยั่งยืน” หากองค์กรต้องการเริ่มต้นในการสร้างความ “อยู่ดี” ควรมุ่งเน้นแนวทาง ดังต่อไปนี้


1. ฟังด้วยความจริงใจ การฟังเสียงทีมงานไม่ใช่แค่แบบสอบถาม แต่คือการเปิดพื้นที่สนทนาอย่างปลอดภัย


2. สร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ ความผิดพลาดควรเป็นบทเรียน ไม่ใช่ตราบาป


3. ปรับสมดุลงาน-ชีวิต (Work-life balance) การให้ความยืดหยุ่น เช่น work from anywhere หรือ การปรับเวลาทำงาน สามารถลดความเครียดได้อย่างมาก


4. พัฒนาเส้นทางอาชีพ บุคลากรต้องเห็นอนาคต ไม่ใช่เพียงทำงานวนซ้ำ


5. เน้นความหมายของงาน เชื่อมโยงสิ่งที่ทีมงานทำกับผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและลูกค้า




ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน องค์กรไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้ทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารสามารถควบคุมและออกแบบได้คือ “คุณภาพชีวิตของผู้คนในองค์กร” เพราะสุดท้ายแล้ว องค์กรไม่ใช่เพียงโครงสร้างหรือตัวเลข แต่คือ “ผู้คน” หากผู้คนมีพลังใจ มีแรงกาย และเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ ความท้าทายใดๆ ก็สามารถผ่านพ้นได้ 


ดังนั้น คำถามสำคัญที่สุดคือ...วันนี้คุณในฐานะผู้บริหาร ได้ทำอะไรแล้วบ้างเพื่อสร้าง Well-being ให้กับทีมงานของคุณ


บทความ โดย... ผศ.ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4130


แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจ
https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/638557
X