Everyday knowledge for you
ประกันภัย
30/04/2024
11 กันยายน 2566 : นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ เลขาธิการสมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นประธานในการประชุมชี้แจงบริษัทสมาชิกของสมาคมฯ พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ คำเกิด ประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ และนางสาวกัลยา จุกหอม ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมในการชี้แจงถึงการดำเนินการของสมาคมฯ ถึงประเด็นปัญหาและผลกบระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีที่มีกลุ่มบุคคล/บริษัทต่างชาติ ขายประกันภัยในประเทศไทย ทั้งประกันภัยสัตว์เลี้ยง และประกันภัยสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศนายประสิทธิ์ อธิบายว่า ทางสมาคมฯ ได้ไปตามสืบค้นว่าบริษัทฯ ที่รับประกันภัยนี้ทางบริษัทแจ้งว่า รับประกันสุขภาพเท่านั้น และเป็นบริษัทต่างชาติ แต่เมื่อปี 2565 บริษัทฯประเทศสิงคโปร์ มาเสนอโปรดักส์ประกันสุขภาพ จึงมีการแตกไลน์ให้คนไทยขายประกันสัตว์เลี้ยง สุนัข-แมว ซึ่งริเริ่มตั้งแต่มิถุนายน และขายจริงจังในเดือนกรกฎาคม 2565โดยในกระบวนการนี้ ขอสมมุตตัวละครมี 3 ฝ่าย ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย คือ T1, T2 และ T3 โดยคนไทย ที่มีหน้าที่ดูแลด้านสินไหมทดแทน ในเบื้องต้นมีผู้ทำประกันภัยจำนวน 4,000 ฉบับ (เป็นตัวเลขที่ไม่แน่ชัดเนื่องจากสุ่มประเมินจากผู้ที่เสียหาย) คิดเป็นเบี้ยประกันภัย 20 ล้านบาท เนื่องจากไม่ยุ่งยากต่อการทำประกัน ไม่ดูรายละเอียดของสัตว์มากมายนัก เช่น ให้ชี้แจงเพียงแค่พันธ์ุของสุนัข และอายุเท่านั้น และที่น่าสังเกตุคือ คนไทยที่ดำเนินการในประเทศไทยนั้น มีนามสกุลดัง และเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เป็นผู้การันตีและให้ความสนับสนุนบริษัทดังกล่าวโดยมีการคิดอัตราเบี้ยประกัน 3 แบบ ได้แก่ อัตรา 2,500 บาท 4,900 และสูงสุด 7,500 บาท โดยซื้อผ่านช่องทางเว็ปไซต์ ชำระผ่านบัตรเครดิต เงินก็จะโอนไปยังประเทศอังกฤษ แต่หากชำระเงินสด ทางบริษัทฯ คนไทยก็รับชำระเบี้ยประกัน ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีผู้ถือหุ้น 3 คน ชื่อเดียวกันกับที่จัดห้างหุ้นส่วนที่ประเทศอังกฤษ แต่บริษัทนี้ไม่ได้มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าในประเทศไทย ขณะนี้ปิดรับประกันภัยแล้ว ซึ่งกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายคาดว่าหมดอายุเดือนมิถุนายน 2567โดยหลังจากนั้นเรื่องมาเกิดว่าเคลมไม่ได้ประมาณเดือน พฤษภาคม 2566 ซึ่งช่วงแรกก็มีการจ่ายสินไหมทดแทนอย่างต่อเนื่อง วิธีการคือนำสัตว์เข้าไปรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หลังจากนั้นให้นำใบเสร็จมาเบิกค่ารักษาพยาบาลกับ T3 เพื่อพิจารณาจ่ายเงินต่อไป ซึ่งในช่วงแรกก็มีการจ่ายสินไหมอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีปัญหา จนกระทั่งเดือนมิถุนายน 2566 จำนวนการเคลมสูงมากจนผิดสังเกตุว่า ทำประกันสุขนัขเพียงตัวเดียวแต่เคลมบ่อยครั้ง ทาง T3 จีงตรวจสอบและขอให้เจ้าของสุนัขส่งเอกสารเพิ่มเติมนางสาวกัลยา จุกหอม ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย อธิบายว่า ทางสมาคมฯ ได้ติดตามตรวจสอบไปยังหน่วยงานกำกับทางประเทศอังกฤษ ว่าบริษัทดังกล่าวมีตัวตนหรือไม่ เนื่องจากทางบริษัทฯ แจ้งว่า ส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยต่อด้วย แต่ทางหน่วยงานกำกับของประเทศอังกฤษแจ้งกลับมาว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีใบนุญาตประกอบธุรกิจรับประกันหรือนายหน้าแต่อย่างใด แต่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วน และมีชื่อของคนไทยร่วมหุ้นด้วย 2-3 คน พำนักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ 1 คน ส่วนอีก 2 คนอยู่ประเทศไทย โดยทางประเทศไทยมีหน้าที่รับบริการด้านสินไหมทดแทน โดยทางชาวต่างชาติที่ถือหุ้นใหญ่ที่อังกฤษจะทำหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทน"ต่อมาระยะหลังมีจำนวนเคลมมากขึ้น เริ่มจ่ายเคลมล่าช้าและไม่จ่ายสินไหมทดแทน จนมีผู้เสียหายร้องเรียนจำนวนมากจนทำให้สมาคมประกันวินาศภัย จึงต้องเร่งดำเนินการติดตาม และเรื่องดังกล่าวรายละเอียดต่างๆ ได้ส่งเรื่องทั้งหมดต่อให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.ดำเนินการต่อไป เพื่อให้เกิดการป้องกัน ป้องปรามบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาหาประโยชน์จากการหลอกขายประกันภัยในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึงหลอกชาวต่างชาติให้ซื้อประกันสุขภาพ เพื่อเอื้อต่อการมีวีซ่า อยู่ในประเทศไทยได้ระยะยาวมากขึ้นด้วย "นางสาวกัลยา กล่าว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=152266
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย “กมล กระจ่างวงศ์ชัย” นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 11 กันยายน 2566 เคยได้ยินคำว่า “บ้าน คือ วิมานของเรา” เพราะองค์ประกอบสำคัญของบ้าน คือ ครอบครัว หากคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว บทบาทหนึ่งที่สำคัญ คือ การบริหารการเงินในครอบครัว (Family Finances) และต่อจากนี้ คือ คำถามที่อาจทำให้คุณและครอบครัว “มั่งคั่ง มั่นคง และมีความสุข” เหมือนอยู่ในวิมานของเรา มีเป้าหมายชีวิตของครอบครัวที่สามารถแปลงเป็นแผนการเงินเพื่อปฏิบัติให้ถึงเป้าหมาย ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณมีความรู้ มีเหตุมีผล และเชื่อว่าเป้าหมายที่ปราศจากแผน เป็นเพียงแค่ความฝัน แน่นอนว่าหลายคนอาจวางแผนการเงินเบื้องต้นด้วยการอ่านหนังสือ สื่อออนไลน์จากการเรียน การอบรม แต่บางคนอาจอาศัยผู้รู้หรือใช้บริการนักวางแผนการเงิน แปลงเป้าหมายชีวิตให้เป็นเป้าหมายและแผนการเงินที่สมบูรณ์แผนการเงินที่สมบูรณ์ของครอบครัว ประกอบด้วย แผนด้านรายได้ รายจ่าย การออม การลงทุน แผนประกันความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สิน แผนการเกษียณ แผนจัดการมรดก รวมถึงแผนเฉพาะต่าง ๆ เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงานมีบุตร แผนการศึกษา เป็นต้น ใช้ “งบประมาณ” ในการควบคุมค่าใช้จ่ายของสมาชิกในครอบครัว ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อในความพอเพียง อาจให้สมาชิกทำบันทึกการใช้จ่ายเพื่อควบคุมไม่ให้จ่ายเกินกว่างบประมาณของแต่ละคน สมาชิกจะเรียนรู้การใช้จ่ายตามความลำดับ ความจำเป็น (Needs) ความต้องการ (Wants) และใช้จ่ายไม่เกินกว่าฐานะ (living within your means) อันเป็นกฎทองของการสร้างความมั่งคั่ง เงินสำรองฉุกเฉิน มีเงินสำรองฉุกเฉิน สำหรับครอบครัวใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อในเรื่องการมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยง ถึงแม้อาจทำประกันชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับครอบครัวตามแผนเป้าหมายชีวิตของครอบครัวแล้วก็ตาม แต่กรณีที่ไม่มีประกันหรือท่านรับความเสี่ยงไว้เอง เช่น ค่าบำรุงรักษาซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงบ้านและอุปกรณ์ การขาดรายได้จากการออกจากงานหรือกรณีที่สมาชิกในครอบครัวมีจำนวนมาก (อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดมากตามจำนวนคน) และ/หรือ อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน วัยชรา (ที่ไม่มีประกัน) คุณจึงควรกำหนดจำนวนเงินสำรองให้เหมาะสมกับครอบครัว ข้อพึงระวัง ไม่ควรคิดว่าวงเงินบัตรเครดิตหรือวงเงินสินเชื่อระยะสั้นดอกเบี้ยสูงเป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน หรือคิดเสมือนว่าเป็นแหล่งรายได้พิเศษ สามารถสื่อสารเชิงบวกและสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการปฏิบัติตามแผนการเงิน ใช่ หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณได้สร้างครอบครัวคุณธรรม เนื่องจากการสื่อสารเชิงบวกหรือการสื่อสารเชิงคุณธรรมมีผลให้ครอบครัวมีความสุขสามัคคีและเข้มแข็ง สมาชิกมีความเข้าใจ มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัว มีผลโดยตรงให้สมาชิกร่วมกันปฏิบัติตามแผนการเงิน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สร้างความตระหนักรู้ให้ครอบครัวไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงทั้งทางออนไลน์และทางอื่น ๆ ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณกำลังบูรณาการความรู้ด้านการเงิน (Money Literacy) ร่วมกับความรู้ด้านสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อรู้ทันกลโกงรูปแบบเก่าและใหม่ของมิจฉาชีพ แล้วสื่อสารด้วยการพูดคุยกับครอบครัวผ่านสื่อออนไลน์ เช่น line group โดยเชื่อว่าการเตือนสติพร้อมกับให้ความรู้ก่อให้เกิดสติปัญญา และสติปัญญาก่อให้เกิดความไม่ประมาท ดังนั้น จึงถ่ายทอดทัศนคติ ความรู้และ mindset การเงินการลงทุนแก่สมาชิกในครอบครัวพร้อมกันไปด้วยเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน เป็นบุคคลต้นแบบ (Role Model) ด้านการเงินการลงทุนแก่สมาชิกในครอบครัว ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อว่า “ทำสิ่งที่ถูก ไม่ใช่เพราะพูดให้ฟัง แต่เพราะทำให้ดู” จึงเป็นบุคคลต้นแบบที่ถ่ายทอดทัศนคติและความรู้การเงินด้วยการทำให้ดูด้วย แต่ผลวิจัยโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนมกราคม 2565 เรื่อง “พฤติกรรมเชิงลึกและไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่” พบว่า บุคคลต้นแบบในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนของกลุ่มประชากร คือ พ่อแม่และบุคคลในวงการบันเทิง แต่ถ้าเป็นกลุ่มประชากรออนไลน์ผู้ใกล้ชิดบริการของตลาดหลักทรัพย์ฯ บุคคลต้นแบบกลับกลายเป็น นักธุรกิจต่างประเทศและกูรูด้านการลงทุน จึงเป็นข้อที่ท่านควรเข้าใจพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในครอบครัวด้วย อนึ่ง บางกรณี เช่น เมื่อบุตรเรียนจบ (และน่าจะทำงานแล้ว) ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาก็จะไม่มีแต่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น บุตรไม่ทำงาน ออกจากงาน ขาดรายได้ ขอเงินลงทุน ลงทุนผิดพลาดหรือก่อหนี้สิน อาจจะมาขอความช่วยเหลือด้านการเงิน จึงควรเฝ้ามองหาทางป้องกันหรือหาทางออกให้ด้วยเช่นกัน เฉลยและสรุป ถ้าคุณตอบ “ใช่” ทุกข้อ คุณและครอบครัวดำเนินชีวิตตามหลักการ 5 ข้อของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ มีความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้และคุณธรรม อย่างไรก็ตาม ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อความมั่งคั่ง ต้องติดตามสถานการณ์การเงิน ทบทวนแผนการเงิน และหาช่องทางใหม่ ๆ ในการบริหารการเงินในครอบครัว (Family Finances) เพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินและเป้าหมายชีวิต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1389887
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ 8 กันยายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิต สุขภาพ และยูนิต ลิงค์ จัดทัพนวัตกรรมโซลูชันส์ที่พร้อมดูแลคนไทยทั้งในด้านสุขภาพ โรคร้ายแรง และด้านการวางแผนการเงิน ร่วมงาน Thailand InsurTech Fair 2023 มหกรรมเทคโนโลยีประกันภัยยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ซึ่งมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายโยฮัน ดีทอย (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน นายดำรงศักดิ์ ขุนทอง (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาค 2 นางสลักจิต นิลประเสริฐศักดิ์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางการขาย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก นางสาวธีรนุช ทำนุพันธุ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และบริหารสำนักงานตัวแทนประกันชีวิต และ นพ.ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ (ซ้ายสุด) เป็นตัวแทนร่วมในพิธีเปิดบูธเอไอเอ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วยคณะ เป็นประธานในพิธีสำหรับงานครั้งนี้ เอไอเอ ได้นำนวัตกรรมโซลูชันส์ที่ครบวงจรมานำเสนอแก่ลูกค้า เพื่อส่งมอบการดูแลที่ดีที่สุดให้กับคนไทย กับแบบประกันที่ได้รับความนิยม อาทิ ‘AIA Health Saver’ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ และ‘AIA Multi-Pay CI’ ประกันโรคร้ายแรงแบบจ่ายผลประโยชน์หลายครั้ง พร้อมด้วยประกันรูปแบบใหม่ที่ให้เงินคืนจากการดูแลสุขภาพคุ้มถึง 3 ต่อ[1] อย่าง ‘AIA Vitality Unit Linked’ ซึ่งมาพร้อมความคุ้มครองครบทั้งชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง อีกทั้งยังได้รับโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้สนุกกับทุก Content ของชีวิต พิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อแบบประกันเอไอเอภายในงาน จะได้รับโปรโมชันแบ่งจ่าย 0% นาน 7 เดือน[2] เมื่อชำระเงินผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ หรือบัตรเครดิต KTC และสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) หรือสามารถเลือกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท[3] ต่อกรมธรรม์[4] เมื่อสมัครบริการหักบัญขีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) ผ่านบัตรเครดิตทุกธนาคาร หรือผ่านการหักบัญชีธนาคาร นอกจากนี้ เอไอเอ ยังขอเชิญชวนมาร่วมสนุกกับกิจกรรมมากมายภายในบูธ เช่น ถ่ายรูปสุดชิคที่ Photo Booth เพื่อรับกระเป๋า Amenity สีสันสดใส กิจกรรมตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี และปรึกษาด้านโภชนาการ เพื่อรับคะแนนเอไอเอ ไวทัลลิตี้ สูงสุด 5,000 คะแนน[5] พร้อมของที่ระลึกสุดเก๋ อีกทั้งยังจะได้พบกับโชว์พิเศษจาก ‘ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี’ AIA Health Saver Ambassador ในวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 14.15 น. เป็นต้นไปงาน Thailand InsurTech Fair 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 10 กันยายน 2566 ณ อิมแพ็คเอ๊กซิบิชัน ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถมาเลือกแบบประกันที่ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ พร้อมรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพได้ที่บูธเอไอเอ หมายเหตุ: [1] เงินคืนจากค่าการประกันภัยซื่งคิดเป็นอัตราร้อยละของค่าการประกันภัยมาตรฐานในแต่ละปีกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระแล้วโดยค่าการประกันภัยมาตรฐานหมายถึงค่าการประกันภัยมาตรฐานสำหรับระดับภัยมาตรฐานหลังหักส่วนลดค่าการประกันภัยตามบันทึกสลักหลังใด ๆ (ถ้ามี) โดยไม่รวมถึงค่าการประกันภัยเพิ่มสำหรับภัยต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากสุขภาพและหรืออาชีพ ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าการประกันภัยที่ได้รับการยกเว้นจากผลประโยชน์ตามกรมธรรม์และหรือสัญญาเพิ่มเติมและหรือบันทึกสลักหลังใด ๆ (ถ้ามี)ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ [2] เฉพาะกรมธรรม์ที่มีงวดการชำระเบี้ยประกันภัยแบบรายปี ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น ยกเว้นแบบประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยประกันภัยแบบครั้งเดียว แบบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในกลุ่มยูนิต ลิงค์ [3] สงวนสิทธิ์เฉพาะกรมธรรม์ที่ซื้อผ่านช่องทางตัวแทนที่ได้รับการอนุมัติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2561 และยังไม่เคยสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) เท่านั้น เงื่อนไขเป็นไปตามที่เอไอเอกำหนด และไม่รวมกรมธรรม์ใหม่ที่ร่วมแคมเปญผ่อนชำระ 0% นาน 7 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ [4] ไม่รวมแบบประกันยูนิต ลิงค์ แบบประกันอุบัติเหตุ แบบประกันชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว และแบบประกันที่มีงวดการชำระเบี้ยแบบรายเดือน [5] สิทธิประโยชน์ของสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของเอไอเอ ซึ่งเอไอเอขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่าง ๆ โดยท่านสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน AIA+ หรือเว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/vitality/rewards คำเตือน: ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง ของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 8 กันยายน 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายโยฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน รับรางวัล ‘บริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2565’ อันดับที่ 1 พร้อมควบอีกหนึ่งรางวัลอันทรงคุณค่า ได้แก่ ‘บริษัทประกันชีวิตที่มีความยั่งยืนดีเด่น ประจำปี 2565’ ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จาก นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี ภายในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2566 (Prime Minister’s Insurance Awards 2023) ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยทั้ง 2 รางวัลถือเป็นความภาคภูมิใจและสะท้อนถึงการบริหารงานที่โดดเด่น มีประสิทธิภาพ และดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงแสดงให้เห็นว่าเอไอเอ เป็นบริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งเป็นปรัชญาที่เอไอเอยึดถือในการดำเนินธุรกิจมาตลอด 85 ปี ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นอกจากนี้ ตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ประเทศไทย จำนวน 10 ท่าน ยังได้เข้ารับรางวัล ‘ตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2565’ ซึ่งประกอบด้วย นางรสรินทร์ ไทยประดิษฐ์ (หน่วยโกรเวอร์ เวลธ์) นายสุปวัจน์ กุฏเงิน (หน่วยฟินแมฟ) นางเกศิณี เพ็ชรแสนงาม (หน่วยทองล้านนา 19) นางสาวชุติมา คันธิก (หน่วยนำทอง 1151) นายชนพัฒน์ มะโนนึก (หน่วยชนพัฒน์) นายสุทธิรักษ์ เถาอั้น (หน่วยประทานชัย 10) นางสาววลัยกร วิชัย (หน่วยวายน์กรุ๊ป 6) นายฑิตถากร ชูเพชร (หน่วยเหรียญทอง 3 บีดี 3) นางสาวสิณีค์ แสงณรงค์ไชย (หน่วยทองล้านนา ยูนีค) และนางสาวทยิดา ฮาวกันทะ (หน่วยครีเอทเวลธ์ 12 ทีที)นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับตัวแทนทั้ง 10 ท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ และขอขอบคุณ คปภ. ที่มอบรางวัลอันทรงคุณค่าถึง 2 รางวัลให้แก่เอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งรางวัลทั้งหมดที่เราได้รับในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เอไอเอต้องรักษามาตรฐานในการดำเนินงาน พร้อมกับมุ่งพัฒนาองค์กรต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อส่งมอบความคุ้มครอง การบริการ และการดูแลที่ดีเยี่ยมให้แก่คนไทยทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากการพัฒนาภายในองค์กรแล้ว เราไม่เคยละเลยที่จะพัฒนาสังคมและชุมชนที่เราอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 85 ปีที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย โดยเรายังคงมุ่งมั่นที่จะดูแลและตอบแทนสังคมไทยต่อไป เพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้ยั่งยืน พร้อมกับส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เปิด 5 เคล็ดลับ สำรวจดูความพร้อมก่อนลงทุนควรพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง ก่อนจะลงทุนตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ต้องบอกว่าการเรียนรู้เรื่องของการออมเงินถือว่าเป็นการสร้างวินัยอย่างหนึ่งในชีวิต แต่การออมเงินให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บออม เช่นเดียวกันกับการลงทุนที่ต้องใช้เวลา ยิ่งมีเวลามาก ยิ่งสามารถเก็บออมหรือได้เงินจากการลงทุนได้มากขึ้น ดังนั้น การเริ่มลงทุนตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่สำคัญและควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อวางแผนการเงินที่ดีในระยะยาวและมีความสม่ำเสมอ ฉะนั้นยิ่งเริ่มลงทุนเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งสะสมเงินที่ได้จากการลงทุนมากขึ้น “ประชาชาติธุรกิจ” พาเช็กลิสต์ก่อนจะลงทุน ลองสำรวจดูความพร้อมก่อนลงทุนต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง เพราะเงินที่จะนำมาลงทุนนั้นควรเป็นเงินเย็นหรือเงินที่ไม่ต้องใช้ทำอะไรในระยะเวลาอันใกล้ รู้การเดินทางของเงิน เมื่อเงินเดือนออก รู้หรือไม่ว่าต้องโดนหักค่าอะไรไปบ้าง เช่น ประกันสังคม เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่ายอาจตอบไม่ได้ ดังนั้น ในเบื้องต้นควรจดบันทึกเพื่อดูพฤติกรรมตัวเองและสร้างวินัยด้านการใช้จ่าย หากมีเงินเหลือ แปลว่า ใช้น้อยกว่าที่หาได้ เมื่อเงินเหลือก็ต้องตั้งเป้าว่าสามารถนำมาเก็บออมหรือลงทุนได้เท่าไร เช่น มีเงินเหลือเดือนละ 2,000 บาท ตั้งใจแบ่งมาเก็บออมสม่ำเสมอเดือนละ 1,000 บาท ข้อแนะนำควรหักเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนเพื่อนำไปเก็บออมหรือลงทุน แต่หากพบว่าในแต่ละเดือนไม่มีเงินเหลือก็อย่าเพิ่งคิดเรื่องลงทุน ควรตรวจสอบการเดินทางของเงินก่อนว่าทำไมเงินถึงไม่เหลือ และเมื่อรู้ปัญหาก็รีบแก้ไข เช่น ซื้อของฟุ่มเฟือย ช็อปปิ้งออนไลน์ทุกสัปดาห์ ก็ต้องลด ละ เลิก เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน สิ่งสำคัญประการหนึ่งก่อนแบ่งเงินไปลงทุน คือ ควรจัดการเงินขั้นพื้นฐานให้แข็งแรง เช่น เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน ซึ่งควรมีเริ่มต้น 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยเงินส่วนนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพื่อให้เบิกใช้ได้ง่ายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ขาดรายได้ชั่วคราว ซ่อมแซมบ้านเนื่องจากน้ำท่วม โดยแนะนำว่า ก่อนนำเงินไปลงทุน เงินออมก้อนแรกที่ควรมี คือ เงินสำรองฉุกเฉิน เรียนรู้หนี้ ช่วงวัยหนุ่มสาวหรือวัยที่ก้าวเข้าสู่โลกการทำงานไม่นาน เป็นช่วงที่หลายคนอาจเริ่มก่อหนี้ ดังนั้น ควรเรียนรู้การบริหารจัดการหนี้ โดยเฉพาะการก่อหนี้บัตรเครดิต เพราะง่ายและสะดวกในการใช้จ่ายแทนเงินสด แถมมีความคุ้มค่าจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด เครดิตเงินคืน รวมถึงมีระบบผ่อนจ่ายแบบสบาย ๆ ดังนั้น หากใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี มีวินัย ก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์ในด้านการบริหารการเงินได้เป็นอย่างดี เมื่อตรวจสอบทุกอย่างและพบว่าพร้อมลงทุน ก็เข้าสู่ขั้นตอนการลงทุน ดังนี้ ㆍตั้งเป้าหมายการลงทุน ควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจนว่าจะลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อการเกษียณ เพื่อการศึกษาลูก เพื่อซื้อบ้าน เพื่อแต่งงาน เป็นต้น อีกทั้งควรระบุรายละเอียดด้วยว่าเป้าหมายดังกล่าวมีมูลค่าเท่าไร ใช้ระยะเวลากี่ปีในการเก็บเงิน เช่น มีเป้าหมายเก็บเงินเพื่อดาวน์บ้าน 300,000 บาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือเก็บเงินแต่งงานให้ได้ 200,000 บาท ภายในเวลา 8 ปีข้างหน้า เป็นต้น เมื่อมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน จากนั้นต้องมาคำนวณเม็ดเงินลงทุนที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายทางการเงิน ㆍรู้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แม้เราจะเคยได้ยินว่ายิ่งอายุน้อยยิ่งสามารถรับความเสี่ยงได้มาก แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปสำหรับทุกคน เพราะความสามารถและความเต็มใจในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นวัยรุ่นและเพิ่งเริ่มต้นทำงานก็ควรทำความเข้าใจระดับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองก่อนว่า ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ปานกลาง หรือสูง และเมื่อรู้ระดับความเสี่ยงแล้ว ก็จะได้สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทและผลตอบแทนคาดการณ์ของพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ㆍกระจายความเสี่ยง นอกจากความพยายามในการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงที่สุด ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุนด้วย ดังนั้น นักลงทุนต้องพยายามลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น หากสามารถบริหารการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ (Portfolio) ให้มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดและมีความเสี่ยงหรือความผันผวนในผลตอบแทนต่ำที่สุด เรียกได้ว่านักลงทุนสามารถบริหารหรือถือครองกลุ่มสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ㆍอย่ามองข้ามผลประโยชน์ทางภาษี แม้การประหยัดภาษีอาจเป็นประเด็นรองจากการแสวงหาผลตอบแทน แต่การเลือกเครื่องมือลงทุนที่ได้ประโยชน์ทางภาษีก็เป็นข้อได้เปรียบด้วย ทางเลือกหนึ่งของการเก็บออมที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็นหลักประกันให้กับลูกจ้างให้มีเงินใช้หลังเกษียณ ดังนั้น หากเริ่มต้นสะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่เริ่มทำงานก็จะเป็นเครื่องมือที่พาไปสู่การเกษียณสุขได้ไม่ยาก แต่หากประกอบอาชีพอิสระหรือที่ทำงานไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ㆍลงทุนอย่างสม่ำเสมอ วิธีการลงทุนแบบหนึ่งที่เหมาะกับวัยหนุ่มสาวที่ต้องการลงทุนระยะยาว คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกไม่ยุ่งยากซับซ้อนและเห็นผลได้จริง เพราะข้อดี คือ ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน อีกทั้งการลงทุนแบบ DCA ยังส่งเสริมให้พัฒนาวิธีคิดแบบนักลงทุนอีกด้วย เพราะต้องวิเคราะห์ ติดตามผลการดำเนินงาน และต้องตัดสินใจในการลงทุนอีกด้วย ㆍข้อควรรู้ ทุกวันนี้มีช่องทางการลงทุนให้เลือกมากมายและสามารถลงทุนได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในขณะเดียวกันอาจจะได้ยินกระแสข่าวการหลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการแอบอ้างผู้มีชื่อเสียงเพื่อชักชวนให้ลงทุนหรือชักนำด้วยผลตอบแทนสูง ดังนั้น นอกจากต้องศึกษาทำความเข้าใจเครื่องมือการลงทุนแต่ละประเภท หมั่นหาความรู้รอบตัวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ยังต้องเพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบแหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือก่อนลงทุนด้วย ข้อมูลบทความจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1386088
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
บทความโดย “สกา เวชมงคลกร” นักวางแผนการเงิน CFP®วันที่ 5 กันยายน 2566 ปัจจุบันการซื้อประกันควบการลงทุนเป็นที่แพร่หลายในเมืองไทยมากขึ้น เรามาสำรวจและทำความรู้จักในส่วนของแบบประกันนี้เพื่อให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนการตัดสินใจซื้อถ้าจะถามว่าใครเหมาะกับแบบประกันควบการลงทุนนี้ ต้องดูถึงเป้าหมายและสถานะว่าคน ๆ นั้น มีภาระมากเพียงใด แต่จริง ๆ แล้วความโดดเด่นของแบบประกันควบการลงทุนนี้ มันคือการเก็บออม ประกัน และ ลงทุน ในหนึ่งเดียว เปรียบเสมือนเป็นกาแฟ 3 in 1 ที่กลมกล่อม เพราะข้อดีก็มีหลายด้าน แต่ก็มีข้อพึงระวังก่อนตัดสินใจซื้อเช่นเดียวกัน10 จุดเด่นที่เป็นประโยชน์1. ได้ทุนประกันสูงตั้งแต่เริ่มออม เหมาะสำหรับหัวหน้าครอบครัว หรือคนที่มีภาระต่าง ๆ เพราะเป็นแบบเดียวที่ได้ทุนประกันสูงมากถึง 280 เท่า หรือ 300 เท่า ในบางบริษัทและบางอายุ เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ส่งเป็นรายปี2. มีความยืดหยุ่นในกรมธรรม์สูง หมายความว่า ในอนาคตหากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันในบางช่วงได้ สามารถใช้สิทธิหยุดพักชำระหรือ Premium Holiday โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบรายสามัญทั่วไป3. ออมเป็นรายเดือนได้ด้วยเบี้ยประกันที่เท่ากับรายปี มนุษย์เงินเดือนทุกคนสามารถเริ่มต้นเก็บออม ลงทุน และยังได้ทุนประกันชีวิตด้วย4. เงินก้อนสามารถแปลงร่างเป็นเงินฉุกเฉินในอนาคตได้ ในส่วนของมูลค่า Account Value ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจากทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน หากเกิดเป็นโรคร้ายแรง หรือต้องการใช้เงินก้อนฉุกเฉิน สามารถถอนในส่วน Account Value นี้ออกไปได้ และยังคงได้รับความคุ้มครองชีวิตตามเดิมหากมูลค่า Account Value ที่เหลือยังคงเพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อไป5. ยามเกษียณก็สามารถทยอยถอนเงินออกมาใช้ได้ โดยถอนออกจากมูลค่าบัญชีกรมธรรม์ที่สะสมมา ตามเป้าประสงค์ที่ต้องการในอนาคต เช่น ต้องการได้เงินก้อนบำเหน็จ หรือต้องการถอนเงินเป็นแบบรายได้ประจำทุกเดือน หรือต้องการถอนมาเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ ก็สามารถเลือกได้เอง6. สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติม สุขภาพ โรคร้ายแรง หรือทุพพลภาพ ที่เป็นการจ่ายเบี้ยคงที่ไปในแบบประกันควบการลงทุนได้ ซึ่งข้อดีคือเลือกจำนวนปีที่ต้องการจ่ายเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองได้ เช่น ออมเงิน 15 ปี แต่สามารถคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรงและทุพพลภาพไปได้จนอายุ 70 ปี เป็นต้น7. ในหลาย ๆ ที่มีโบนัสให้ หากออมอย่างต่อเนื่องทุกเดือนไม่ขาด ทำให้ได้รับโบนัสอีกก้อนจากการลงทุนในแบบประกันควบการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มวินัยการออมให้เราลงทุนแบบต่อเนื่อง8. สามารถนำเอาแบบประกันควบการลงทุนเป็นหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงตามแผนการเงินได้ ในส่วนของความคุ้มครองด้านต่าง ๆ เงินที่สะสมในส่วนของการลงทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินก้อนในรูปแบบต่าง ฟ ในเวลาที่ต้องการมากที่สุดเช่น เราอาจจะใช้สิทธิเลือกถอนเงินจาก Account Value เป็นเงินก้อน หากเราเป็นโรคร้ายแรงเพื่อนำมารักษาตัว และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รายเดือนต่อไป ซึ่งหากต่อมาเกิดเสียชีวิตก็ยังได้ทุนประกันชีวิตตามเดิมส่งต่อให้ผู้รับประโยชน์ตามเจตนาของผู้เอาประกัน9. สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ ไปลดภาษีได้ เช่น ค่า Premium Charge ค่าการประกันภัย ค่าบริหารและจัดสรรกรมธรรม์แบบรายเดือน ได้ในทุก ๆ ปี ตลอดการถือสัญญาประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งหากเราหยุดชำระเบี้ยแล้ว แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราสามารถนำเอารายจ่ายส่วนนี้ไปลดหย่อนภาษีในอนาคต โดยที่ไม่ต้องชำระเบี้ยอีกต่อไป10. สามารถเลือกจำนวนปีที่ต้องการชำระเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครอง ตามความเหมาะสมและจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิตในอนาคต หากมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายทางการเงิน สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม เช่น เลือกจำนวนปีที่ต้องการคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 60 ปี หากไม่เกิดอะไรขึ้น ก็สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนบำเหน็จในวัย 60 ปีสามารถเพิ่มหรือลดทุนประกันชีวิตได้ในอนาคต เช่น ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงาน ช่วงการเป็นหัวหน้าครอบครัว จะมีภาระเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินต่าง ๆ หนี้บ้าน หนี้รถ หรือทุนการศึกษาบุตร หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสัก 20 ปี ภาระเหล่านี้ก็ลดลง ลูกเรียนจบทำงานแล้ว หัวหน้าครอบครัวก็สามารถลดทุนประกันชีวิตตามภาระที่ลดลงได้คนที่เหมาะสมประกันควบการลงทุนคนที่เหมาะกับแบบประกันควบการลงทุน คือคนวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องการทั้งเก็บออม ประกัน ลงทุน ไปพร้อม ๆ กัน และด้วยข้อดีที่สามารถทยอยออมเป็นรายเดือนได้ โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนประกันชีวิตแบบรายสามัญธรรมดาทั่วไป การจ่ายเบี้ยรายเดือนหรืออาจจะมองในอีกมุมเป็นการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) หรือแบบกระจายเงินลงทุนแบบสม่ำเสมอ เพื่อให้กระจายความเสี่ยงไปในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ในทุกๆ เดือนสร้างวินัยในการเก็บออมได้ ซึ่งจากข้อดีที่ควรเป็นประกันชีวิตเริ่มต้นของคนวัยทำงานที่ตอบสนองได้ครบทั้ง ประกันชีวิต เก็บออม และลงทุน ในบางปีที่เกิดขัดสนเรื่องการเงิน ไม่สามารถชำระเบี้ยในช่วงนั้นได้ เราก็มีสิทธิที่จะเลือกขอใช้สิทธิการหยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday) โดยยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิมแต่ต้องศึกษาให้ดีในส่วนของเงื่อนไขในแต่ละบริษัทว่าจะกำหนดว่าขั้นต่ำของการจ่ายชำระเบี้ยในช่วงแรกนั้นกี่ปี จึงจะสามารถใช้สิทธิหยุดพักชำระเบี้ยนี้ได้ ความยืดหยุ่นของกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุนเป็นทางเลือกที่ทุกคนควรศึกษาเอาไว้อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ตนพึงมีอย่างไรก็ดี ก็มีข้อพึงทราบและข้อควรที่พึงรู้อีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เรื่องอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความไม่แน่นอน หากตลาดผันผวนและผลตอบแทนไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ ต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทันกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และหัวข้อด้านอื่น ๆ ดังนี้1. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีผลต่อแบบประกันชีวิตควบการลงทุน2. ผลตอบแทนไม่แน่นอนตามความผันผวนของตลาด3. แผนต้องมีการปรับตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป4. จำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้5. หากมีการแนบซื้อสัญญาเพิ่มเติมเข้าไป ต้องคำนวณถึงอัตราค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ว่าจะคุ้มครองอยู่ได้จนถึงกี่ปี อาจมีความเสี่ยงที่คุ้มครองไปจนชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วมูลค่าบัญชีกรมธรรม์หมดในช่วงอายุ 70 กว่า ๆ ก็จะทำให้หาซื้อประกันสุขภาพอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ลำบาก โดยเฉพาะหากเป็นโรคร้ายหรือโรคเรื้อรังใด ๆ มาก่อนหน้า6. การซื้อประกันควบการลงทุนอาจจะไม่ได้เหมาะเป็นแผนการถอนเงินเกษียณได้ทั้งหมด เพราะในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย เพราะหลังจากอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันภัยเพิ่มขึ้น (Cost of Insurance)ประกันควบการลงทุนจึงเหมาะกับแต่ละ Lifestyle ในแต่ละช่วง Life Stage ของชีวิต ที่จะสร้างความคุ้มครองได้มากกว่าแบบประกันทั่วไป หากต้องการวางแผนการถอนเงินเกษียณ อาจจะต้องมีการปรับทุนประกันชีวิตให้ลดลงต่ำสุด เมื่ออายุเรามากขึ้นแล้วสรุปควรซื้อประกันควบการลงทุนหรือไม่ หรือควรซื้อแยกเป็นประกันชีวิตกับกองทุนไปเลย จริง ๆ ก็ต้องตามถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อว่ามีเป้าหมายทางการเงินด้านไหน ห่วงหรือกังวลในด้านอะไรมากที่สุด หากเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องการทุนประกันชีวิตสูง ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสมหากเป็นนักธุรกิจ ที่มีภาระหนี้สินสูง ต้องการทำทุนประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นอีกทางเลือกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากทุนประกันชีวิตที่สูงได้ หรือเป็นคนโสดที่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พ่อแม่ก็อาจจะลำบาก ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสมในวัยเริ่มต้นทำงานก็สามารถเลือกประกันควบการลงทุนเป็นประกันชีวิตเล่มแรกที่ได้ทั้ง ประกัน เก็บออม และลงทุนดังนั้นสามารถเลือกประกันควบการลงทุนเป็นทางเลือกในเริ่มต้นซื้อประกันชีวิต เพื่อให้ได้ความคุ้มครองคือค่าความสามารถในการหารายได้ที่มากพอ (Earning Ability) ด้วยการออมรายเดือนที่ไม่มากนักดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อประกันชีวิตควบการลงทุน ควรศึกษาให้ดีอย่างถ่องแท้ถึงลักษณะ ข้อดี ข้อเสีย จุดที่ต้องพึงระวัง เพื่อทราบถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่พึงมี ไว้เป็นทางเลือกก็น่าจะทำให้ตอบโจทย์ได้หลากหลายมิติจากเงินก้อนเดียวที่ทยอยเก็บออมเป็นรายเดือน และก็ต้องซื้อกับตัวแทนประกันชีวิตที่มีใบอนุญาตในการขายถูกต้องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1384824
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
การตั้งเป้าเก็บเงินและมีเงินเก็บสำรองไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราเอาแต่เก็บเงินจนไม่ได้ใช้ชีวิต และมีความรู้สึกว่าเก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอ แบบนี้อาจเข้าข่ายภาวะ “Money Dysmorphia” (มันนี ดิสมอร์เฟีย) หรือพฤติกรรมที่เอาแต่เก็บเงินจนเครียด คนส่วนใหญ่มักตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อดูแลสุขภาพในอนาคต เพื่อเป็นเงินเก็บสำรองยามฉุกเฉิน หรือเพื่อเป็นเงินเกษียณไว้ใช้ในยามแก่ชรา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคมส่วนใหญ่มักจะเริ่มวางแผนการเงินเอาไว้ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่รู้สึกว่า “เก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอ หรือมีเงินเก็บเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่กล้าใช้ ไม่กล้าซื้อของให้ตัวเอง ไม่กล้านำเงินไปใช้จ่ายกับการท่องเที่ยวหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง” ใครที่กำลังติดอยู่ในความคิดเหล่านี้และเริ่มมีนิสัยการเก็บเงินแบบสุดโต่ง รู้ไว้ว่าคุณอาจกำลังเข้าข่ายภาวะ Money Dysmorphia การมีเงินเก็บจำนวนมากอาจเป็นเรื่องดีสำหรับใครหลายคน เพราะถือว่ามีอิสระทางการเงิน สามารถแบ่งเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นได้บ้าง แต่กับผู้ที่มีภาวะ “Money Dysmorphia” หรือ “อาการเก็บเงินจนเครียด” พวกเขาจะไม่ยอมนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลย ซึ่งในบางครั้งก็อาจไม่กล้าใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นเสียด้วยซ้ำ เช่น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี หรือซื้ออาหารที่มีคุณภาพสูงที่มีราคาสูงตามไปด้วย เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและเลือกที่จะเก็บเงินไว้ดีกว่า จนนำไปสู่ความเครียดเนื่องจากไม่กล้าใช้จ่ายอะไรเลยในที่สุด ㆍสาเหตุหลักของภาวะ Money Dysmorphia ภาวะ Money Dysmorphia มักจะเกิดกับผู้ที่มีเงินเก็บเพียงพออยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานะทางการเงินแม้ว่าจะมีเงินเก็บมากพออยู่แล้ว ซึ่งสาเหตุหลักของภาวะดังกล่าวสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1. กังวลกับสถานะทางการเงิน กลุ่มคนที่เริ่มเข้าข่ายภาวะ Money Dysmorphia นั้น ส่วนมากมักจะกังวลกับสถานะทางการเงินในอนาคตของตัวเองมากเกินไป เช่น กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าตัวเองจะมีเงินเก็บสำรองในส่วนนี้มากพอแล้วก็ตาม 2. กดดันตัวเองมากเกินไป ปัจจุบันหลายคนเริ่มหันมาเก็บเงินทีละมากๆ ในแต่ละเดือน เพื่อความสะดวกสบายในชีวิตหลังเกษียณ และในปัจจุบันหลายคนเลือกจะเกษียณตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คนที่มีภาวะ Money Dysmorphia อยู่แล้ว ก็ยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยิ่งไม่กล้าใช้เงินเพื่อความสุขของตัวเองมากขึ้น 3. มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน หากใครที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับการเงินในอดีต เช่น เคยมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะทยอยจ่ายจนหมด เคยติดหนี้บัตรเครดิต ติดเครดิตบูโร หรืออาจเคยอยู่ในครอบครัวที่ยากจนมาก่อนจนมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก เป็นต้น ㆍภาวะ “สุขภาพจิต” ที่เกี่ยวกับ “การเงิน” ยังมีอีกหลายประเด็น นอกจากภาวะ Money Dysmorphia ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในทางอ้อมเนื่องจากกดดันตัวเองจนเครียดแล้ว ยังมีภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินและอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น - โกหกหรือปกปิดเรื่องเงินกับคนในบ้าน พฤติกรรมนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาครอบครัวได้ในอนาคต เนื่องจากคู่รักหลายคู่มักปกปิดปัญหาด้านการเงินกับอีกฝ่าย และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขได้เนื่องจากปัญหามีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีปัญหาครอบครัวตามมา โดยเฉพาะการหย่าร้าง - พยายามลืมปัญหาทางการเงิน คนที่มีอาการนี้มักจะเป็นคนที่กำลังมีปัญหาด้านการเงิน แต่พยายามหลอกตัวเองว่ายังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้จะมีเงินสำรองจ่ายน้อยหรืออาจจะไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ ทำให้คนเหล่านี้มักจะชำระหนี้ช้ากว่ากำหนด หรือมีเงินไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ทำให้ตัวเองมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น - เสพติดการใช้เงิน เป็นอาการที่ตรงกันข้ามกับภาวะ “เก็บเงินจนเครียด” โดยคนที่มีอาการนี้มักจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ใช้จ่ายเงิน โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าสินค้าและบริการเหล่านั้นมีความจำเป็นหรือไม่ และที่สำคัญไม่ได้ประมาณรายจ่ายของตัวเองว่าจะมีเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินหรือไม่ ในบางคนอาจจะใช้จ่ายเพื่อแก้เครียดหรือแก้เบื่อ แต่สำหรับบางคนอาการนี้คือจุดเริ่มต้นของอาการทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือ ไบโพลาร์ แม้ว่าการมีเป้าหมายในการ “เก็บเงิน” และประมาณรายจ่ายของตัวเองจะเป็นเรื่องดีและมีความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมสังคมปัจจุบัน แต่ความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะอะไรที่ตึงเครียดจนเกินความพอดีย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวันได้ อ้างอิงข้อมูล : Timevalue Millionaire, Billionmoney และ Brandinside แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/1067995
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
คปภ.คลอดประกันรถอีวี บังคับใช้มกราคม 2567 ชี้ต้นแบบของการประกันภัยรถยนต์ในอนาคต ยึดหลักเกณฑ์ “ระบุชื่อผู้ขับขี่” พร้อมวางโครงสร้างความคุ้มครอง “แบตเตอรี่” ตามระยะเวลาใช้งาน กำหนดส่วนลดเบี้ย “คนขับ” ประวัติดีสูงสุด 40% ด้านสมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดยอดขายประกันรถอีวีปีหน้าโตก้าวกระโดด มีเบี้ยหลายพันล้านบาท ประเมินรถอีวีจดทะเบียนสะสมปีนี้ 7 หมื่นคัน “เมืองไทยประกันภัย” ตั้งเป้ารับประกันรถอีวีปีหน้า 5,000 คันผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเทรนด์การใช้รถยนต์อีวีของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย. 66) มียอดจดทะเบียนรถอีวีใหม่ 31,515 คัน คิดเป็นกว่า 9% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั่วประเทศ โดยคาดว่าทั้งปีจะมียอดจดทะเบียนใหม่ถึง 6 หมื่นคัน เรียกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยให้การตอบรับกับการใช้รถอีวีอย่างดีประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการลดภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับซื้อรถอีวี ทำให้ตลาดรถอีวีมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างอุตสาหกรรมประกันรถยนต์ก็ต้องมีการออกกรมธรรม์แบบใหม่ เพื่อให้ความคุ้มครองที่สอดรับกับผลิตภัณฑ์รถอีวี ซึ่งชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงสุดคือ “แบตเตอรี่”คลอดแบบประกันรถอีวีนายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะประธานคณะทำงานการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความคืบหน้าการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถอีวี ขณะนี้ได้ข้อสรุปแล้วประมาณ 80-90% โดยจะเป็นกรมธรรม์ต้นแบบของการประกันภัยรถยนต์ในอนาคตสาระสำคัญคือ 1. กำหนดกรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่ทั้งหมด เพื่อจะเก็บสถิติประวัติของผู้ขับขี่ และสร้างแรงจูงใจให้ผู้เอาประกันที่ขับรถดี ได้แต้มต่อในการจ่ายเบี้ยประกันที่ต่ำลง ทั้งยังจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ด้วย2. วางโครงสร้างกรมธรรม์ระบุความรับผิดต่อตัวแบตเตอรี่ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันการรับประกันของผู้ผลิต ตัวแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 8 ปี จึงพยายามยึดตัวนี้มาเป็นหลักการคิดคำนวณค่าเสื่อมของอายุแบตเตอรี่ เนื่องจากตามหลักการประกันภัยจะเป็นการชดใช้ความเสียหายตามมูลค่า ณ การเกิดเหตุ“แน่นอนว่าเวลาเกิดเหตุในปีแรกกับการเกิดเหตุในปีที่ 5 ตัวมูลค่าความรับผิด แบตเตอรี่ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่กรมธรรม์จะมีทางเลือกให้ผู้เอาประกันมีโอกาสได้รับการชดใช้เต็มราคา หรือเปลี่ยนของใหม่ทดแทนได้ โดยจะมีเอกสารแนบท้ายที่สามารถซื้อประกันเพิ่มเติมตามสมัครใจได้”3. เรื่องหลักการอื่น ๆ ยังยึดโครงจากกรมธรรม์ประกันรถยนต์เดิม แต่จะมีการปรับรายละเอียดเพื่อตีความให้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพบการซ่อมหรือดัดแปลงแบตเตอรี่ โดยช่างที่ไม่ได้รับการรับรองจากผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตรถนั้น ๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้น กรมธรรม์จะไม่คุ้มครอง รวมถึงหากมีการดัดแปลงซอฟต์แวร์ ทำให้ตัวรถทำงานผิดพลาดแล้วไปเกิดอุบัติเหตุ เบื้องต้นกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองไปก่อน แต่จะให้สิทธิบริษัทประกันเรียกคืนค่าเสียหายได้บังคับใช้ 1 ม.ค. 67นายอาภากรกล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้นำเสนอหลักการต่อ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ.ไปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสรุปออกเป็นประกาศคำสั่งนายทะเบียนได้ช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยจะให้เริ่มใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถอีวี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป“เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ จะมีความเกี่ยวพันในระบบ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ผู้ผลิต ดีลเลอร์ ช่องทางการขาย บริษัทประกันภัย และสำนักงาน คปภ. จึงต้องทำความเข้าใจกันใหม่หมด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน”สำหรับรถอีวีเก่าที่มีการต่ออายุ อยากให้บริษัทประกันอธิบายให้ผู้เอาประกันเข้าใจให้ชัดเจนด้วย เพราะเกณฑ์จะแตกต่างจากเดิม คือต้องมีการระบุชื่อผู้ขับขี่้ ส่วนกรณีรถที่ต่ออายุไปก่อนมีผลบังคับใช้ก็จะอนุโลมให้ได้“ปัจจุบันพบสถิติอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (loss ratio) จากรถอีวีอยู่ประมาณกว่า 60% ซึ่งถือว่าใกล้เต็มสตรีมแล้ว เพราะโครงสร้าง loss ratio จะมีค่าคอมมิชชั่น 18% กำไร 5% และค่าบริหารจัดการ 15%”เพิ่มส่วนลดประวัติ “คนขับ”นายวาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันภัย (MTI) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับส่วนลดเบี้ยประกันรถอีวีเบื้องต้น วางแนวทางส่วนลดประวัติดี (no claim bonus) ไว้ 2 แบบคือ1. ส่วนลดประวัติของ “ตัวรถ” ซึ่งกรมธรรม์รถยนต์สันดาปปัจจุบันมีอยู่แล้ว ตั้งต้นที่ 10-50% แต่กรมธรรม์ประกันรถอีวีอาจจะให้ส่วนลดเบี้ยแค่สูงสุดไม่เกิน 20-30% แต่จะเพิ่ม 2. ส่วนลดประวัติของตัวผู้ขับขี่ ซึ่งจะสามารถเก็บข้อมูลได้จากที่กรมธรรม์กำหนดให้ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ ซึ่งในส่วนนี้จะได้รับส่วนลดสูงสุด 10-40% ซึ่งที่กรมธรรม์รถยนต์แบบเดิมไม่มีแบ่งอัตราเบี้ย 5 กลุ่มนายวาสิตกล่าวว่า ช่วงต้นเดือน ก.ย. 2566 จะมีการประชุมหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิกัดอัตราเบี้ย (tariff rate) ว่าจะระบุยี่ห้อรถหรือรุ่นรถหรือไม่ แต่เบื้องต้นจะวางราคารถเป็นตัวตั้ง เช่น ราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท อาจจะจัดเป็นรถกลุ่ม 5 (รถเอเชียขนาดเล็ก), ราคารถ 1-2 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 4 (รถเอเชียขนาดกลาง), ราคารถ 2-3 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 3 (รถเอเชียขนาดใหญ่) และมากกว่า 3-5 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 2 (กลุ่มรถยุโรปที่เป็นที่รู้จักทั่วไป) แต่ถ้าเป็นรถสปอร์ตหรือรถนำเข้าจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น“ตอนนี้คนชอบเทียบค่าเบี้ยรถอีวีแพงกว่ารถยนต์สันดาป โดยเฉพาะรถกลุ่ม 5 แต่ตัวหนึ่งที่คนไม่ได้มองคือ วิธีการซ่อมกับมูลค่าการซ่อม ซึ่งรถสันดาปเป็นอะไหล่ประกอบและผลิตภายในประเทศ แต่อะไหล่รถอีวีส่วนใหญ่ยังเป็นรถนำเข้า ซึ่งราคาแพงกว่า ดังนั้นต้นทุนการซ่อมแพงกว่า เบี้ยไม่สามารถถูกกว่าได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อมีบริษัทผู้ผลิตรถในประเทศมากขึ้น ค่าเบี้ยประกันน่าจะลดลงได้”ลุ้นต่อมาตรการภาษีอีวีนายวาสิตกล่าวต่อว่า ในปี 2567 ประเทศไทยจะมีผู้ผลิตรถอีวีภายในประเทศอย่างน้อย 2-3 ยี่ห้อ ประกอบด้วย BYD, NETA และ AION ที่กำลังจะสร้างโรงงาน จำนวนการผลิตต่อปีรวมเป็นแสนคัน ดังนั้นยอดขายรถอีวีน่าจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ปัจจัยที่สำคัญมากซึ่งยังไม่มีข้อสรุปคือ การต่อมาตรการสนับสนุนด้านภาษีจากกรมสรรพสามิต หากผลักดันต่อได้ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในราคาที่เหมาะสมที่ประชาชนจะซื้อรถอีวีได้มากทั้งนี้คาดว่าปิดสิ้นปี 2566 จะมีรถอีวีจดทะเบียนสะสมประมาณ 7-8 หมื่นคัน เป็นรถป้ายแดงกว่า 4 หมื่นคัน และคาดการณ์ยอดขายประกันรถอีวีในปี 2567 จะมีเบี้ยหลายพันล้านบาท ประเมินจากรถอีวีจดทะเบียนสะสมปีนี้ 7 หมื่นคัน บวกกับยอดขายรถอีวีป้ายแดงปีหน้าประมาณ 5 หมื่นคัน รวมกันเป็น 1.2 แสนคัน แต่หากกรณีรัฐบาลสนับสนุนนโยบายภาษีต่อเนื่อง ยอดขายรถอีวีป้ายแดงปีหน้าอาจจะมีโอกาสขยับขึ้นมาแตะ 7 หมื่นคัน จนถึง 1 แสนคันได้สำหรับเป้าหมายของเมืองไทยประกันภัย ตั้งเป้าการรับประกันภัยรถอีวีในปีหน้าอย่างน้อยประมาณ 5,000 คันแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1384213
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS] เริ่มต้นจากตรงนี้กันก่อนว่า สินทรัพย์กับทรัพย์สินนี้ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วมันต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นมุมมองทางการเงินจากแอ็กชัวรี่ หรือจะเป็นมุมมองการใช้เงินในชีวิตประจำวันของคนเราก็ตาม ผมเชื่อว่าเหตุผลที่เราต้องทำงานนั้นมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก คือ ความกลัว กลัวไม่มีจะกิน กลัวจะไม่มีบ้าน กลัวจะไม่มีรถขับ กลัวไปต่าง ๆ นานา และ อย่างที่สอง คือ ความโลภ โลภที่อยากจะได้ โลภที่อยากจะมี และโลภไปต่าง ๆ นานา แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าความกลัวและความโลภจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราต้องควบคุมให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี และสิ่งที่จะควบคุมความกลัวกับความโลภได้นั้น คือ “ความรู้” หรือที่ในภาษาธรรมเราเรียกว่า “ปัญญา” นั่นเอง สามารถจำแนก “ทรัพย์สิน” โดยแบ่งตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ จับต้องได้ VS จับต้องไม่ได้ A. ทรัพย์สินบางอย่างนั้นสามารถจับต้องได้ทันที อาจจะเป็นชิ้น เป็นวง เป็นคัน หรือเป็นใบ B. ทรัพย์สินบางอย่าง กลับไม่สามารถจับต้องได้ เพราะไม่มีรูปร่าง และเพราะมันอยู่ในแผ่นกระดาษ เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หุ้น หรือพันธบัตร เป็นต้น เพิ่มมูลค่า VS เสื่อมมูลค่า A. ทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า คือ ทรัพย์สินที่ได้มาแล้วจะเพิ่มมูลค่า หรือความคาดหวังว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะมันได้รับการคาดหวังว่าจะมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การทำบ้านจัดสรรเพื่อปล่อยให้เช่า การลงทุนอื่น ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมไปถึงการซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ เป็นต้น B. ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ทรัพย์สินที่ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ซื้อรถยนต์มาในราคา 3,000,000 บาท ขับไป 1 ปี ขายได้เหลือ 2,000,000 บาท ซึ่งก็แปลว่ามูลค่าลดลง 1,000,000 บาทภายใน 1 ปี แถมยังต้องจ่ายค่าที่ จอดรถและค่าน้ำมันอีก หรือซื้อโทรศัพท์มาในราคา 20,000 บาท ผ่านไป 1 ปีขายคืนได้เพียง 5,000 บาท เป็นต้น B. ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ทรัพย์สินที่ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ซื้อรถยนต์มาในราคา 3,000,000 บาท ขับไป 1 ปี ขายได้เหลือ 2,000,000 บาท ซึ่งก็แปลว่ามูลค่าลดลง 1,000,000 บาทภายใน 1 ปี แถมยังต้องจ่ายค่าที่ จอดรถและค่าน้ำมันอีก หรือซื้อโทรศัพท์มาในราคา 20,000 บาท ผ่านไป 1 ปีขายคืนได้เพียง 5,000 บาท เป็นต้น B. ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ทรัพย์สินที่ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ซื้อรถยนต์มาในราคา 3,000,000 บาท ขับไป 1 ปี ขายได้เหลือ 2,000,000 บาท ซึ่งก็แปลว่ามูลค่าลดลง 1,000,000 บาทภายใน 1 ปี แถมยังต้องจ่ายค่าที่ จอดรถและค่าน้ำมันอีก หรือซื้อโทรศัพท์มาในราคา 20,000 บาท ผ่านไป 1 ปีขายคืนได้เพียง 5,000 บาท เป็นต้น B. ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ทรัพย์สินที่ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ซื้อรถยนต์มาในราคา 3,000,000 บาท ขับไป 1 ปี ขายได้เหลือ 2,000,000 บาท ซึ่งก็แปลว่ามูลค่าลดลง 1,000,000 บาทภายใน 1 ปี แถมยังต้องจ่ายค่าที่ จอดรถและค่าน้ำมันอีก หรือซื้อโทรศัพท์มาในราคา 20,000 บาท ผ่านไป 1 ปีขายคืนได้เพียง 5,000 บาท เป็นต้น ได้จากหนี้สิน VS ได้จากเงินทุน A. ทรัพย์สินที่ได้มาจากการมีหนี้สิน คือ ทรัพย์สินที่ได้มาจากการซื้อหาสิ่งของ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของ โดยการไปขอกู้ หรือขอทำสินเชื่อมา ไม่ว่าจะเป็นการกู้มาเพื่อลงทุน หรือกู้มาซื้อรถป้ายแดงคันใหม่ B. ทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินทุนของตัวเอง คือ ทรัพย์สินที่ได้มาจากการซื้อหาสิ่งของ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของโดยการใช้เงินของตัวเอง คนเราส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “สินทรัพย์” ในภาษาของนักบัญชี ซึ่งจะเข้าใจกันว่า “สินทรัพย์” คือ ผลรวมของหนี้สินและเงินทุน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งมีหนี้สินอยู่ทั้งหมด 9,000,000 บาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นที่ถือว่าเป็นเงินทุนของบริษัทอยู่ 1,000,000 บาท เราก็จะบอกได้ว่าบริษัทนี้มีสินทรัพย์อยู่ทั้งหมด 10,000,000 บาท เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ต้องขึ้นกับวิธีประเมินมูลค่าในทางบัญชีว่าเป็นแบบไหน และใช้มาตรฐานอะไรเป็นข้อกำหนดในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในแต่ละอย่าง แต่สำหรับการทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อใช้กับชีวิตประจำวันแล้ว “สินทรัพย์” คือ ทรัพย์สินที่มี บุคคลเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการเป็นหนี้สิน หรือได้มาจากเงินทุนของตัวเอง ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งนั้น และการจะวิเคราะห์ว่าใครรวยหรือไม่นั้น เราต้องมองให้ลึกถึงสินทรัพย์ของคนคนนั้นก่อนว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินประเภทไหน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1381527
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องเจอกับความเสี่ยงอยู่เสมอ ซึ่ง “ความเสี่ยง” ในที่นี้ก็คือ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นแล้ว ทำให้ผลไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ โดยความเสี่ยงที่เราพบเจอนั้นมีทั้งความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางบวกเช่น การถูกล็อตเตอรี่ หรือการได้กำไรจากการลงทุนในหุ้น และความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินเช่น อุบัติเหตุจากการขับรถโดยประมาท บ้านเกิดเพลิงไหม้หรือน้ำท่วม ทรัพย์สินโดนโจรกรรม หรือการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น ความเสี่ยงอย่างหลังนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่เราทุกคนต้องบริหารจัดการ เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต“การทำประกันภัย” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้จัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำประกันภัยเป็นการโอนความเสี่ยงของเราไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือก็คือบริษัทประกันภัยนำไปบริหารจัดการต่อ การประกันภัยเป็นการเฉลี่ยทุกข์ระหว่างผู้เอาประกันภัยทุกคน โดยผู้เอาประกันภัยจะร่วมกันจ่ายเบี้ยประกันภัยก้อนเล็ก แต่เมื่อมีภัยที่เอาประกันภัยไว้เกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยก็จะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินมูลค่าที่ตกลงกันไว้หรือก็คือ “เงินเอาประกันภัย” นั่นเอง เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถกลับคืนสู่สถานะทางการเงินเดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้น ซึ่งเป็นการบรรเทาผลกระทบเชิงลบให้ลดลง ดังนั้น การทำประกันภัยจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งบุคคลและธุรกิจเพื่อให้เราสามารถทำประกันภัยได้ตรงกับความเสี่ยง การเข้าใจถึงประเภทของประกันภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยปกติแล้ว เวลาที่เราพูด ถึงประกันภัยนั้น จะหมายรวมถึง ประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ซึ่งตาม ป.พ.พ. ได้แบ่งการประกันภัยออกเป็น 2 ประเภท คือประกันชีวิต คือ การประกันภัยที่มุ่งให้การคุ้มครองต่อการเสียชีวิต ครอบคลุมไปถึงการสูญเสียอวัยวะ การทุพพลภาพ การบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ภายในเวลาที่กำหนด หรือการมีอายุยืนยาวจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับผลประโยชน์หรือผู้เอาประกันภัยแล้วแต่กรณี ตัวอย่างของประกันชีวิตได้แก่ 1) ประกันชีวิตทั่วไป ที่มี 4 แบบคือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ตลอดชีพ สะสมทรัพย์ และ Unit linked และ 2) ประกันชีวิตแบบบำนาญประกันวินาศภัย คือ การประกันภัยทุกประเภทที่นอกเหนือจากการประกันชีวิต โดยผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยหากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้เกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากภัยต่างๆ ซึ่งความเสียหายสามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้ ตัวอย่างของประกันวินาศภัยได้แก่ ประกันอัคคีภัย ประกันการขนส่งทางทะเล ประกันรถยนต์ และประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ เป็นต้นบริษัทประกันชีวิตสามารถขายได้แต่ประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัยก็เช่นเดียวกันที่ขายได้แต่ประกันวินาศภัย สำหรับประกันอุบัติเหตุและประกันสุขภาพนั้นทั้งบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยสามารถขายได้ ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)คนไทยทำประกันภัยกันมากขึ้น แต่ยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ อ้างอิงจากสถิติที่เผยแพร่โดยสำนักงาน คปภ. ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2565) เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของธุรกิจประกันภัยเติบโตกว่า 38% หรือเฉลี่ยปีละ 3.2% โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 8.9 แสนล้านบาทในปี 2565 แบ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิต 6.1 แสนล้านบาท และเบี้ยประกันวินาศภัย 2.8 แสนล้านบาท จะเห็นว่า ในภาพรวมธุรกิจประกันภัยมีการเติบโตค่อนข้างมาก เนื่องจากคนไทยมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นและมีความตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัย รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ทำให้ภาคธุรกิจของไทยมีความแข็งแกร่งและต้องการทำประกันภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงค่าเฉลี่ยโลก ยังถือว่า ไทยมีการทำประกันภัยค่อนข้างน้อยอยู่ พิจารณาได้จาก สัดส่วนเบี้ยประกันภัยเทียบกับ GDP หรือ Insurance Penetration โดยหากสัดส่วนนี้มีอัตราที่สูงจะเป็นการสะท้อนว่า ประเทศนั้นๆ มีมูลค่าการทำประกันภัยสูงเมื่อเทียบกับ GDP เมื่อมาดูที่ไทย พบว่า Insurance Penetration ในปี 2565 อยู่ที่ 5.1% (Insurance Penetration ของประกันชีวิต 3.5% และประกันวินาศภัย 1.6%) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น มาเลเซีย 5.3% สิงคโปร์ 9.3% เกาหลีใต้ 10.9% สหราชอาณาจักร 11.1% สหรัฐอเมริกา 11.7% และค่าเฉลี่ยโลก 7.0%การที่ Insurance Penetration มีสัดส่วนที่น้อย บ่งบอกว่า คนไทยและธุรกิจของไทยยังใช้การประกันภัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศโดยเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือภัยจากมนุษย์ ก็จะทำให้คนไทยหรือธุรกิจของไทยที่ไม่มีประกันภัยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูเอง รวมถึงต้องพึ่งพิงการช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากในการฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจของไทยตัวอย่างเช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 12.8 ล้านคน ธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท และต้องใช้เงินฟื้นฟูอีกกว่า 7 แสนล้านบาท รวมถึงธุรกิจประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงถึงเกือบ 5 แสนล้านบาท ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ คนไทยและธุรกิจที่ไม่มีประกันภัยต้องรอคอยความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งต้องใช้เวลาในการประเมินความเสียหายและการเบิกจ่าย ทำให้ฟื้นตัวได้ช้ากว่าผู้ที่มีประกันภัยประกันภัยจึงเป็นสิ่งที่พวกเราคนไทยต้องให้ความตระหนัก พร้อมกันนั้น ธุรกิจประกันภัยต้องประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและความสำคัญของการทำประกันภัย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐต้องให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทำประกันภัยกันมากขึ้นโดยมาตรการส่งเสริมในปัจจุบันได้แก่ การนำค่าประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีได้ 25,000 บาท การนำค่าประกันสุขภาพที่ซื้อให้บิดามารดามาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท และการทำประกันชีวิตในส่วนประกันชีวิตทั่วไปและแบบบำนาญ สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นต้น เมื่อคนไทยทำประกันภัยกันมากขึ้น ก็จะมีตาข่ายความปลอดภัยเพื่อรองรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ให้กระทบต่อฐานะทางการเงินของตน รวมถึงลดการพึ่งพิงความช่วยเหลือจากภาครัฐ อันจะก่อให้เกิดผลดีทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม รวมถึงประเทศแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1085868
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
21/05/2024
22/10/2024
29/04/2024
30/04/2024
23/05/2024