Everyday knowledge for you
ประกันภัย
30/04/2024
“สินมั่นคงฯ” อลหม่าน คปภ.ยื่นคำร้องคัดค้านนับคะแนนโหวตแผนฟื้นฟูกิจการใหม่ เผยศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวน 25 ต.ค.นี้ ชี้หากศาลไม่ยอมรับแผนฟื้นฟู คปภ. ต้องเข้าแทรกแซง สั่งหาเงินเพิ่มทุน ไปจนถึงให้ หยุดรับประกันภัยชั่วคราว ฟากผู้สนใจร่วมทุน 2 ราย ลั่นแผนฟื้นฟูต้องผ่านเท่านั้นจึงจะใส่เงินผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมเจ้าหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 มีมติไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ ด้วยสัดส่วน 52.72% และต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ผู้ทำแผน ซึ่งคือบริษัทสินมั่นคงประกันภัย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการนับคะแนนการลงมติของเจ้าหนี้ต่อศาลล้มละลายกลางต่อมาในวันที่ 29 กันยายน 2566 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้ลูกหนี้ผู้ทำแผน และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร่วมกันตรวจสอบกระบวนการ ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องในการลงมติล่วงหน้าของเจ้าหนี้ การบันทึกผลคะแนน ระบบการประมวลผล และกระบวนการที่เกี่ยวข้องโดยในการตรวจสอบดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน คปภ. เจ้าหนี้ทั้งที่ลงมติเห็นชอบและไม่เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ได้ทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานหรือสังเกตการณ์ได้ และในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ศาลล้มละลายกลางจะมีการพิจารณาตัดสินว่า จะยอมรับแผนหรือไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการล่าสุด แหล่งข่าวสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำนักงาน คปภ.มีความจำเป็นต้องยื่นคำร้องคัดค้านการนับคะแนนใหม่ต่อศาลล้มละลายกลาง ซึ่งได้ยื่นไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เหตุผลเพราะว่ากระบวนการโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ ได้นับคะแนนจริงไปแล้ว 1 รอบ ซึ่งการนับคะแนนใหม่ โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงคงไม่มากแต่เนื่องจากศาลล้มละลายกลางได้รับคำร้องของบริษัทสินมั่นคงประกันภัยในการขอนับคะแนนใหม่ไปแล้ว ดังนั้นทางศาลล้มละลายกลางจึงได้มีการนัดสำนักงาน คปภ. และบริษัทสินมั่นคงประกันภัย ในวันที่ 25 ตุลาคม 2566 เพื่อไต่สวนคำร้องเรื่องสมควรจะให้กระบวนการรันใหม่หรือไม่ แต่ระหว่างทางตอนนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็เริ่มมีการนับคะแนนใหม่ไปแล้ว“ประเมินว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 มีความเป็นไปได้ว่าศาลล้มละลายกลางจะมีการเลื่อนพิจารณาตัดสินออกไป เพราะอาจจะต้องพิจารณาผลคะแนน และกระบวนการที่เกี่ยวข้องก่อน โดยถ้าผลคะแนนออกมายอมรับแผน ทางบริษัทสินมั่นคงประกันภัยจะมีกระบวนการที่จะต้องดำเนินการกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อนศาลจะตัดสิน แต่ถ้าผลออกมาไม่ยอมรับแผนคาดว่าศาลอาจจะมีคำสั่งตามขั้นตอนกระบวนการ แม้ว่ากฎหมายจะระบุว่า เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการไม่ผ่าน จะมีเวลา 6 เดือน ในการยื่นแผนใหม่ได้ แต่ว่า 6 เดือนนั้น จะไม่ได้อยู่ในภาวะพักการชำระหนี้ (automatic stay) แล้ว ฉะนั้นสภาวะนั้น สำนักงาน คปภ.คงจะต้องเข้าแทรกแซง” แหล่งข่าวกล่าวสุดท้ายแล้วถ้าแผนไม่ได้รับการอนุมัติ จะเป็นกระบวนการตามกฎหมายของสำนักงาน คปภ. ที่จะให้เวลาบริษัทสินมั่นคงประกันภัยในการหาเงินเพิ่มทุน และหากไม่สามารถดำเนินการได้ จะบังคับให้หยุดรับประกันภัยชั่วคราว ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย และระหว่างนี้จะมีเวลาให้หาเงินเพิ่มทุนอีกรอบ ถ้าทำไม่ได้จะใช้มาตรการลงโทษสูงสุดตามมาตรา 59 สั่งเพิกถอนใบอนุญาต“ส่วนกรณีแผนฟื้นฟูผ่าน สำนักงาน คปภ.ก็จะต้องนำแผนมาเสนอคณะกรรมการ คปภ.พิจารณา และประเมินว่าส่วนไหนที่สำนักงาน คปภ.จะบริหารจัดการให้แผนรันต่อไปได้ และอาจจะมีการเพิ่มหรือผ่อนเกณฑ์การกำกับบางอย่าง ภายใต้ภาวการณ์นั้น เพื่อให้เกิดความสมดุลที่ธุรกิจจะพอไปได้ ซึ่งตอนนั้นจะต้องหารือบอร์ดอีกรอบ เพราะเป็นอำนาจของบอร์ดในการตัดสิน”ทั้งนี้ ความคืบหน้าการหาผู้ร่วมทุน ทางบริษัทสินมั่นคงประกันภัย กล่าวไว้ก่อนการโหวตแผนฟื้นฟูว่า ยังมีความมั่นใจเพราะดีลผู้เพิ่มทุนไว้แล้ว 2 ราย คือ 1. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)และ 2. บริษัท พรีฟอร์มม่า จำกัด ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีเงื่อนไข คือ แผนฟื้นฟูกิจการต้องผ่านก่อน“ทางกรุงเทพประกันภัยกำหนดเงื่อนไขไว้ 3 อย่าง คือ 1. ผ่านแผนฟื้นฟู 2. ถ้าผ่านแล้วมูลค่ากิจการของสินมั่นคงประกันภัยเหลืออยู่เท่าไร 3.ต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ส่วนพรีฟอร์มม่ากำหนดเงื่อนไข คือ 1. ใส่เงินลงทุน 5,000-10,000 ล้านบาท 2. แผนฟื้นฟูต้องผ่านก่อน” แหล่งข่าวกล่าวดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า บริษัทยังสนใจเพิ่มทุนสินมั่นคงฯอยู่เหมือนเดิม หากแผนฟื้นฟูผ่าน แต่จะใส่เงินเท่าใดก็คงต้องดูพอร์ตงานก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้างแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1419886
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
วันที่ 21 ตุลาคม 2566 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด ผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เปิดเผยว่า ไม่น่าเชื่อว่าในช่วง 2 ปีมานี้ เราเจอกับเหตุการณ์สงครามติดต่อกันปีต่อปีเลยทีเดียว เมื่อต้นปีก่อนสงครามรัสเซียยูเครน สร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนทั่วโลก มาช่วงปลายปีนี้สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส ก็ทำให้นักลงทุนปั่นป่วนกันอีกรอบ แม้ตอนนี้สถานการณ์สงครามยังไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ เพราะความไม่แน่นอนหมุนอยู่รอบตัวเราเสมอ ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนจึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ปรับพอร์ตลงทุนให้เท่าทันกับสถานการณ์อยู่เสมอ ที่สำคัญ ‘Stay Invest’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังต้องลงทุนต่อไป เช็คราคาสินทรัพย์หลังสงคราม เห็นข่าวในเช้าวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ เมื่อกลุ่มติดอาวุธฮามาส (Hamas) ชาวปาเลสไตน์ ยิงจรวดจากฉนวนกาซาเข้าโจมตีหลายพื้นที่ของอิสราเอล และอิสราเอลก็ตอบโต้กลับทันที โดยการโจมตีทางอากาศไปยังพื้นที่ฉนวนกาซา เปิดฉากสงครามรอบใหม่จากปัญหาความขัดแย้งเดิม ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องมายาวนานนับร้อยปี เรามาดูกันครับว่า สงครามที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อะไรบ้าง ที่ถูกกระทบหนักสุดคงหนีไม่พ้นราคาน้ำมัน หลังข่าวการโจมตีของทั้ง 2 ฝ่ายเผยแพร่ออกมา ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปทันทีที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะตลาดกังวลว่าภาวะสงครามอาจทำให้น้ำมันขาดตลาดได้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% มาอยู่ที่ 86 ดอลลาร์ และ 89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เพราะความต้องการที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัวทั่วโลก อีกหนึ่งสินทรัพย์หลักที่ได้รับผลกระทบ นั่นก็คือทองคำ โดยเช้าวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ราคา Gold Spot พุ่งขึ้น 0.9% มาอยู่ที่ 1,843.83 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะนักลงทุนพากันหลบภัยสงครามสู่ Safe Haven ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์กลุ่มปลอดภัยสูงนั่นเอง ส่วนผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนยังมีไม่มากนัก โดยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลหลักอื่นๆ อย่างยูโรและปอนด์ เงินเยนยังคงเป็นแหล่งพักเงินและช่องทางเก็งกำไรสำหรับนักลงทุน และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทางด้านหุ้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ สูง แน่นอนครับ ปรับลดลงกันแทบทุกตลาดทั่วโลก โดยเมื่อวันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ดัชนี Down Jones -0.12% ทางด้านยุโรป STOXX600 -0.98% Nikkei225 -0.55% และตลาดหุ้นจีน CSI300 -1.05% อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามยังคงดำเนินต่อไปและเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการปะทะระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ปัจจัยเสี่ยงนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของคู่พิพาทชัดเจนขึ้น โดยตลาดหุ้น Tel Aviv (TA) ของอิสราเอล ดัขนี TA-125 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิง และ TA-35 ซึ่งเป็นกระดานหุ้นบลูชิป ลดลงทั้งคู่ประมาณ 3.6% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยซึ่งปิดทำการในวันหยุดสำคัญ ศุกร์ที่ 13 ตุลาคม และเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 16 ตุลาคม SET Index ของเราก็ร่วงลงทันทีตาม Sentiment ตลาด โดยระหว่างวันตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 30 จุด เพราะตลาดตกใจทั้งเรื่องสงคราม และกลัวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อ หลังจากราคาน้ำมันทะยานขึ้นจากสถานการณ์สงคราม ตามรอย ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ลงทุนช่วงสงคราม เมื่อพูดถึง ‘สงคราม’ เราคงนึกถึงความโหดร้ายและสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งกรณีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ Trade War และ Tech War ของ 2 ขั้วมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกระหว่างจีน-สหรัฐ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มาถึงสงครามล่าสุดระหว่างมหากาพย์คู่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายคนอาจถอดใจกับการลงทุน เน้นถือครองเงินสดเพื่อเพลย์เซฟที่สุด โดยเฉพาะในสถานการณ์สงครามแบบนี้ แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้เสมอ ๆ นะครับว่า การไม่ลงทุนก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะจะทำให้เราพลาดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับการกอดเงินสดไว้เฉยๆ โดยเฉพาะในภาวะเงินเฟ้อสูงแบบนี้ และผมก็ขอยกตัวอย่างการลงทุนของบรมครูปู่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ในภาวะสงครามกันอีกครั้ง เผื่อเป็นความหวังให้ทุกท่านในภาวะหดหู่ของสงคราม ให้มีกำลังใจเดินหน้าลงทุนกันต่อไป หลายคนอาจจะทราบกันแล้วนะครับว่า คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิตตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แถมยังเคยแนะนำให้ลงทุนในช่วงสงคราม ซึ่งปู่เองยังเคยซื้อหุ้นตอนที่รัสเซียกำลังเข้ายึดไครเมียในปี 2557 มาแล้ว แถมบอกว่ารู้สึกดีที่หุ้นที่เล็งไว้ราคาตก แต่ถ้าใครยังไม่รู้ ผมจะขอแชร์ประสบการณ์การลงทุนในภาวะสงครามของคุณปู่ให้ทราบกันอีกครั้ง ย้อนอดีตกลับไปเมื่อต้นปี 2557 ช่วงที่รัสเซียกำลังเข้ายึดคาบสมุทรไครเมียจากยูเครน เหตุการ์เหมือน ‘แดจาวู’ ใช่มั้ยล่ะครับ สงครามครั้งนั้นทำให้ตลาดหุ้นถูกครอบงำไปด้วยความกลัว นักลงทุนพากันเทขายจนหุ้นตกเป็นใบไม่ร่วงในช่วง Fall season แต่ปู่กลับให้สัมภาษณ์แบบสวนกระแสว่า “ผมอยากบอกนักลงทุนที่กำลังตกใจว่า ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วเห็นหุ้นที่ผมกำลังไล่ซื้อราคาตกลงมา ผมกลับรู้สึกดีนะ” หลายคนคงตั้งคำถามว่า ตลาดหุ้นปั่นป่วนขนาดนี้ และไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์จะจบแบบไหน เมื่อไหร่ แล้วทำไมปู่บัฟเฟตต์ถึงแนะนำแบบนี้ ซึ่งปู่บอกว่า “ถ้ามัน (วิกฤตไครเมีย) กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามเย็นรอบใหม่ ผมก็ยังจะซื้อหุ้นอยู่ดี เพราะในช่วงสงคราม เงินเฟ้อจะสูง ทำให้กำลังซื้อลดลง (จากการถือเงินสด)” และย้ำว่า “สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำตอนเกิดสงครามคือการถือเงินสด” สิ่งที่ปู่ต้องการจะบอกก็คือ เมื่อสงครามมาถึง ค่าของเงินก็จะลดลงอยู่ดี หมายความว่า เมื่อก่อนมีเงิน 10 บาทคุณอาจจะซื้อน้ำได้ 1 ขวด แต่ 10 บาท ในภาวะสงครามคุณอาจจะซื้อไม่ได้สักขวดด้วยซ้ำ การลงทุนนี่ล่ะ ที่จะช่วยให้ค่าของเงินที่คุณมี ไม่ลดน้อยหายไปตามภาวะสงคราม แต่ปู่ก็ไม่ได้บอกให้ซื้อหุ้นแค่อย่างเดียวนะครับ เราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยบอกว่า “คุณจะลงทุนอย่างอื่นก็ได้ เช่น ฟาร์ม อะพาร์ตเมนต์ ขอแค่เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ย่อมดีกว่าการกอดเงินสดเอาไว้แน่ ๆ” “ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนระยะยาวด้วยแล้ว การมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ (ปู่ใช้คำว่า Productive asset) ไปอีก 50 ปี ย่อมดีกว่าการถือแผ่นกระดาษ (เงินสด) หรือบิตคอยน์เอาไว้แน่นอน” คำพูดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในยามสงครามคุณปู่ก็ยังยึดมั่นในหลักการที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเสมอ เพราะในตอนเกิดวิกฤตไครเมีย ราคาหุ้นก็ตกลงมาพอสมควร ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน เงินเฟ้อกับสงคราม ความสัมพันธ์ที่แนบแน่น ถ้าเราย้อนไปดูตัวเลขเงินเฟ้อช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง เราจะเข้าใจสิ่งที่ปู่พูดมากขึ้น เพราะตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปู่ยังไม่เกิด) เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.7% ต่อปี โดยมีช่วงที่เงินเฟ้อสูงเป็นเลขสองหลักติดต่อกันยาวนานถึง 26 เดือน ส่วนตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.3% ต่อปี โดยมีถึง 9 เดือนที่เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เป็นเลขสองหลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ ที่เงินเฟ้อสูงในช่วงสงครามโลก เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างเอกชนให้ผลิตเสบียงที่ต้องใช้ในสงคราม เช่น เสื้อผ้า อาหาร ยา อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละที่ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัยเด็กทุบกระปุก เอาเงินเก็บมาซื้อหุ้นตัวแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี แถมเป็นการซื้อก่อนเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor ไม่นานด้วย และถ้าได้ศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI ของปู่จะทราบดีว่า เขาพยายามซื้อหุ้นของบริษัทที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้อยู่เสมอ จากสงครามครั้งนั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังให้ข้อคิดกับนักลงทุนว่า “ผมอยากบอกว่ามัน (วิกฤตไครเมีย) จะไม่ทำให้ผมต้องขายหุ้นหรือต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ ทำไมคุณถึงจะขายมันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในยูเครน? หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มที่ให้ผลผลิตตลอด เป็นเจ้าของอะพาร์ตเมนท์ที่มีคนเช่าเต็ม มีเหตุผลอะไรที่คุณจะขายมันเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน?” ‘ความไม่แน่นอน เป็นอนิจจา’ ที่เกิดขึ้นได้เสมอนะครับ และเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ ‘สติ’ ของตัวเอง อย่าปล่อยให้หวั่นไหวไปกับอารมณ์ของตลาด อย่างที่ปู่เคยพูดไว้ “ถ้าเราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เราก็ควบคุมเงินของเราได้” ถ้านักลงทุนสาย VI อย่างเรา ๆ ยึดหลักการลงทุนแบบปู่ ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยครับว่า เราจะสามารถเอาชนะในทุกสงครามการลงทุนได้ ปรับพอร์ตอย่างไรในภาวะสงคราม ผมเขียนบทความเรื่องนี้ช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของสมครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งสินทรัพย์อย่างหุ้น เริ่มปรับตัวลงมากขึ้นแต่ยังไม่ถือว่ารุนแรงนัก ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากสงครามลุกลามไปถึงตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง หรือความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรประเทศในตะวันออกกลางที่ให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสในการทำสงครามครั้งนี้ โดยเฉพาะอิหร่านที่ฮามาสยืนยันว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หากสงครามลุกลาม ยืดเยื้อ หรือบานปลาย เป็นปัจจัยลบที่จะกดดันราคาน้ำมันให้เพิ่มสูงขึ้น และแน่นอนครับผลกระทบที่ตามมาคือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และที่จะกระทบต่อไปเป็นโดมิโนก็คือ โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ และจะกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ปรับตัวลดลงอีกครั้ง เหมือนปีที่แล้ว เมื่อเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแบบหนักหน่วง สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นก็ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์สงคราม ณ ตอนนี้ ผมยังมองว่า การปรับลดลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงไม่น่าจะรุนแรงเท่าปีที่แล้ว นอกจากสงครามจะรุนแรงขึ้นและประเทศที่เข้าร่วมสงครามเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้น ในการกระจายสินทรัพย์ลงทุน ผมจึงแนะนำว่าให้ Safe Haven เป็นหลุมหลบภัยจากสงครามในตอนนี้ ซึ่งภายหลังการเปิดฉากโจมตีของทั้ง 2 ฝ่าย จะเห็นได้ว่าเงินลงทุนพากันไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตร พันธบัตรตัวเลือกที่ใช่มากกว่าทองคำ แม้ทองคำและพันธบัตรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งคู่ แต่ในมุมมองของผมเห็นว่า การลงทุนในพันธบัตรจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าทองคำ แม้ราคาพันธบัตรได้ปรับลดลงมาบ้างแล้ว แต่ด้วยผลตอบที่ยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 4-5% จึงยังเป็นจัวหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้ ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมแนะนำว่า นักลงทุนควรขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมาชั่วคราวก่อน และนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรแทนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้พอร์ตลงทุนมากขึ้น หากสงครามไม่ทวีความรุนแรงค่อยปรับพอร์ตอีกครั้ง ด้วยการกลับไปลงทุนในหุ้น แนวทางนี้น่าจะช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณรับมือกับสงครามได้ สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น หากพิจารณาในแง่ภูมิภาคและศักยภาพการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ผมยังยกให้ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามเป็นดาวเด่น ในสวนของเวียดนามนั้น เชื่อว่าปัจจัยสงครามไม่น่าจะกระทบมาถึงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ที่สำคัญตั้งแต่ต้นปีมานี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทางด้านตลาดหุ้นจีน พี่ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย แม้นักลงทุนหลายท่านอาจยังกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน และภาระหนี้ของอุตสาหกรรมนี้ แต่ตลาดหุ้นจีนได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี 2564 มาประมาณ 40% แล้ว จึงเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนได้ ขณะที่เงินเฟ้อจีนไม่ได้สูงมากเหมือนเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังมีเงินอัดฉีดเศรษฐกิจได้อีกมาก หรือหากใครยังกล้า ๆ กลัว ๆ หวั่นวิตกกับการลงทุนในภาวะสงคราม โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่อยู่ไกลหูไกลตา ไม่ได้ใกล้ชิดข้อมูลเหมือนการลงทุนในบ้านเรา การให้มืออาชีพช่วยดูแลความเสี่ยงในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และ Global ETF ของ Jitta Wealth เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยคุณบริหารพอร์ตลงทุนและดูแลความเสี่ยง เพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ โดยการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชน ภายใต้แผนการลงทุนแบบยืดหยุ่นที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ เมื่อโลกยังคงหมุนไป ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนก็หมุนตาม และบางครั้งก็ไปซุ่มรอเราอยู่ข้างหน้าแบบไม่รู้ตัว เมื่อ Risk is all around สิ่งที่เราทำได้ในฐานะนักลงทุนสาย VI ก็คือ การบริหารจัดการกับความเสี่ยงนั้น และอีกหลักการลงทุนที่สำคัญคือ การหาข้อมูล ความรู้อยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมเดินหน้าลงทุนและรักษาพอร์ตให้ปลอดภัยที่สุดไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านจะเป็นอย่างไร เพราะในโลกของการลงทุน ไม่ได้มีแค่ความเสี่ยง แต่ยังมีโอกาสอยู่รอบตัวเราเช่นกัน.. ตั้งสติ แล้ว Stay Invest กันต่อไปนะครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1420332
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ชีวิตทุกวันนี้ มีความเสี่ยงรอบด้านไปหมด จะเกิดอุบัติเหตุอะไรที่ไม่คาดคิดกับเราวันไหนก็ไม่รู้เลย เราจึงจำเป็นต้องมีประกันอุบัติเหตุไว้เพื่อดูแลเราในวันนั้น แต่เนื่องด้วยประกันอุบิติเหตุเป็นผลิตภันฑ์ยังไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ หากเปรียบเทียบกับประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ ทำให้หลายๆ คนยังก็อาจยังไม่คุ้นเคย และไม่ค่อยรู้ว่ากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุมีแบบไหน อะไร ยังไงบ้างและแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา วันนี้ noon จะสรุปมาให้เข้าใจง่ายๆ แล้วมาดูไปพร้อมๆ กันเลย1. ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ Personal Accident (PA)คือ ประกันภัยอุบัติเหตุที่ออกแบบมาสำหรับคุ้มครองรายบุคคลเท่านั้นเหมาะกับบุคคลทั่วไปที่อยากทำประกันอุบัติเหตุเพื่อดูแลตัวเอง หรือทำให้คนในครอบครัวก็ได้2. ประกันภัยอุบัติเหตุแบบกลุ่มกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุแบบกลุ่มจะออกแบบมาสำหรับกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่รวมตัวเป็นกลุ่มกันอยู่แล้วส่วนใหญ่ที่เห็นได้มาก ก็จะเป็น กลุ่มของพนักงานในบริษัท หรือ กลุ่มข้าราชการไม่ใช่การนัดมารวมกลุ่มกัน เพื่อทำการประกันภัยอุบัติเหตุ หรือ กลุ่มพนักงานบริษัทเดียวกัน เป็นต้น กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุแบบกลุ่ม จะเหมาะสำหรับองค์กรต่างๆในการให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานในองค์กร3. ประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับนักเรียน นิสิต และนักศึกษากรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับนักเรียน นิสิต และนักศึกษา ลักษณะของประกันนี้ จะเหมือนเป็นการทำประกันภัยกลุ่ม แต่ทำโดยสถาบันการศึกษา โรงเรียน มหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการทำให้แก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษาของสถาบัน เพื่อเป็นการดูแลและถ่ายโอนความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผระกันประเภทนี้เหมาะกับสถาบันการศึกษาต่างๆ นั่นเองขอบคุณที่มา : http://bit.ly/2XAOrGlแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/what-type-of-pa-insurance-and-which-one-is-best-for-you/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ถ้าถามว่าประเทศไหนบ้างที่มีระบบเงินบำนาญดีติดอันดับต้น ๆ ของโลก คำตอบของหลาย ๆ คนคงจะเป็นประเทศในยุโรป …แล้วการเปรียบเทียบจัดอันดับโดยมีการจัดทำดัชนีชี้วัดอย่างเป็นทางการได้คำตอบออกมาเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า ขอชวนมาดูกัน เมอร์เซอร์ (Mercer) บริษัทให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลและการเงินรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และ ซีเอฟเอ อินสทิทิวท์ (CFA Institute) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินการลงทุนระดับโลกได้เผยแพร่ “Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI)” หรือดัชนีระบบเงินบำนาญทั่วโลกประจำปี 2023 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ดัชนีเงินบำนาญทั่วโลกของเมอร์เซอร์และซีเอฟเอ (MCGPI) ซึ่งจัดทำมาเป็นปีที่ 15 คำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของดัชนี 3 ด้าน ประกอบด้วย ความเพียงพอ (adequacy) ความยั่งยืน (sustainability) และความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ (integrity) ซึ่งมีตัวชี้วัดย่อย ๆ รวมมากกว่า 50 ตัวชี้วัด สำหรับดัชนีเงินบำนาญทั่วโลก (MCGPI) ในปีนี้เปรียบเทียบระบบรายได้หลังเกษียณ 47 ระบบของ 47 ประเทศ/เขตการปกครอง ซึ่งครอบคลุม 64 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก ระบบเงินบำเหน็จบำนาญของประเทศไทยก็เป็น 1 ใน 47 ระบบที่ถูกประเมินด้วยเช่นกัน 20 อันดับประเทศที่มีระบบเงินบำนาญที่ดีที่สุดในปีนี้ ได้แก่ 1. เนเธอร์แลนด์ ค่าดัชนีรวม 85.0 2. ไอซ์แลนด์ ค่าดัชนีรวม 83.5 3. เดนมาร์ก ค่าดัชนีรวม 81.3 4. อิสราเอล ค่าดัชนีรวม 80.8 5. ออสเตรเลีย ค่าดัชนีรวม 77.3 6. ฟินแลนด์ ค่าดัชนีรวม 76.6 7. สิงคโปร์ ค่าดัชนีรวม 76.3 8.นอร์เวย์ ค่าดัชนีรวม 74.4 9.สวีเดน ค่าดัชนีรวม 74.0 10.สหราชอาณาจักร ค่าดัชนีรวม 73.0 11.สวิตเซอร์แลนด์ ค่าดัชนีรวม 72.0 12.แคนาดา ค่าดัชนีรวม 70.2 12.ไอร์แลนด์ ค่าดัชนีรวม 70.2 14.ชิลี ค่าดัชนีรวม 69.9 15.อุรุกวัย ค่าดัชนีรวม 68.9 16.เบลเยียม ค่าดัชนีรวม 68.6 17.นิวซีแลนด์ ค่าดัชนีรวม 68.3 18.โปรตุเกส ค่าดัชนีรวม 67.4 19.เยอรมนี ค่าดัชนีรวม 66.8 20.คาซัคสถาน ค่าดัชนีรวม 64.9 สำหรับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเงินบำนาญดีที่สุดในโลกในปี 2023 นี้ ด้วยค่าดัชนีรวม 85.0 ได้รับการกล่าวถึงในข้อมูลเผยแพร่ของเมอร์เซอร์ว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันเนเธอร์แลนด์กำลังดำเนินการปฏิรูประบบเงินบำนาญ แต่ระบบเดิมที่ยังปฏิรูปไม่แล้วเสร็จก็อยู่ในสถานะที่ดีพอที่จะให้ผลประโยชน์ที่ดีเยี่ยม เมื่อดูดัชนีย่อย 3 ด้าน ในด้านความเพียงพอนั้นระบบเงินบำนาญที่มีความเพียงพอมากที่สุด คือ ระบบของโปรตุเกส ค่าดัชนีอยู่ที่ 86.7 ด้านความยั่งยืน ระบบไอซ์แลนด์ครองอันดับ 1 ด้วยค่าดัชนี 83.8 ส่วนด้านความซื่อตรง โปร่งใส น่าเชื่อถือ แชมป์ตกเป็นของฟินแลนด์ มีค่าดัชนีอยู่ที่ 90.9 ส่วนโซนท้ายตาราง ระบบเงินบำนาญที่มีความเพียงพอน้อยที่สุด คือ ระบบของเกาหลีใต้ ค่าดัชนีอยู่ที่ 39.0 ด้านความยั่งยืน ระบบที่มีความยั่งยืนน้อยที่สุดคือระบบของออสเตรีย ค่าดัชนี 22.6 ส่วนด้านความซื่อตรง โปร่งใส เชื่อถือได้น้อยที่สุด คือ ฟิลิปปินส์ ค่าดัชนีอยู่ที่ 25.7 แถมปิดท้าย ประเทศไทยของเราอยู่อันดับที่ 43 หรืออันดับ 5 จากท้ายตาราง ด้วยค่าดัชนีรวม 46.4 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1418673#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
สมาคมประกันชีวิตไทย เผยตัวเลขเบี้ยประกันชีวิตปีนี้โตสดใส “เอไอเอ” ครองมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 ทิ้งห่างคู่แข่ง ล่าสุดงวด 8 เดือนแรกปี 2566 เบี้ยรวมแตะ 4.01 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.36% เบี้ย “ปีแรก-ซิงเกิลพรีเมี่ยม-ปีต่ออายุ” โตยกแผง ขณะที่ “สุขภาพ-บำนาญ” ตัวชูโรง คาดสิ้นปีเบี้ยรวมเข้าเป้า 6.12-6.23 แสนล้านบาท โต 2% ชี้มีบางบริษัทยอดขายดรอป เหตุปรับพอร์ตรับแผนมาตรฐานบัญชี IFRS17นายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-ส.ค.) ทั้งอุตสาหกรรมมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 401,025 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.36%เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มาจากเบี้ยใหม่ 116,771 ล้านบาท แยกเป็นเบี้ยรับปีแรก 72,765 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.45% และเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม 44,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.66% ขณะที่เบี้ยต่ออายุ เพิ่มขึ้น 2.94% อยู่ที่ 284,253 ล้านบาท“ถือว่าเป็นปีที่ยอดขายประกันชีวิตสามารถเติบโตได้ดี และมีการขยายตัวมาได้ตั้งแต่ต้นปี ต่างจากปีที่แล้วที่ซิงเกิลพรีเมี่ยมติดลบไปกว่า 15% จึงมั่นใจว่าเบี้ยรับรวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าที่ระดับ 2% อยู่ที่ระดับ 612,500-623,500 ล้านบาททั้งนี้อาจจะมีบางบริษัทที่ยอดขายปรับตัวลดลง เป็นเพราะนโยบายภายในที่จะมีการบังคับใช้มาตรฐานบัญชี IFRS17 ทำให้ต้องมีการปรับพอร์ต ขณะที่หลายบริษัทก็ได้ปรับพอร์ตล่วงหน้าไปแล้ว 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการดำเนินงานเริ่มเติบโตได้” นายพิชากล่าวโดยคาดว่าสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญจะเป็นสินค้าตัวชูโรง หลังจากช่วง 8 เดือน สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง (รายบุคคล+ประกันกลุ่ม) มีเบี้ยรับรวม 71,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และเบี้ยประกันบำนาญ 6,715 ล้านบาท เติบโต 13%“สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีการตระหนักถึงเรื่องการดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จึงหาสินค้าประกันสุขภาพมาเป็นตัวช่วยบรรเทาภาระ รวมไปถึงมีการตระหนักถึงเรื่องการออมหลังเกษียณมากขึ้นด้วย” นายพิชากล่าวพิชา สิริโยธินผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้นำตลาดประกันชีวิต 10 อันดับแรก ประเมินจากเบี้ยรับรวมในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ คือ 1. บริษัท เอไอเอ ประเทศไทย จำกัด 95,646 ล้านบาท เติบโต 2% 2. บมจ. เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด 61,831 ล้านบาท เติบโต 9%3. บมจ. ไทยประกันชีวิต 55,474 ล้านบาท เติบโต 6% 4. บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต 46,781 ล้านบาท เติบโต 2% 5. บมจ. กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต 27,962 ล้านบาท ลดลง 4%6. บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต 22,662 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% 7. บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต 22,451 ล้านบาท ลดลง 1% 8. บมจ. พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) 21,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% 9. บมจ. ไทยสมทุรประกันชีวิต 9,648 ล้านบาท ลดลง 2% และ 10. บมจ. โตเกียวมารีนประกันชีวิต 7,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%ทั้งนี้ หากจะวัดผลการดำเนินงานเฉพาะปีนี้ พิจารณาจากเบี้ยปีแรก มี 7 บริษัทที่อาจจะมียอดขายชะลอลง YOY คือ 1. เมืองไทยประกันชีวิต ติดลบ 15% มีเบี้ยรับ 8,700 ล้านบาท 2. ไทยประกันชีวิต ติดลบ 15% มีเบี้ยรับ 6,540 ล้านบาท 3. พรูเด็นเชียลประกันชีวิต ติดลบ 1% มีเบี้ยรับ 4,541 ล้านบาท4. เจนเนอราลี่ประกันชีวิต ติดลบ 10% มีเบี้ยรับ 1,272 ล้านบาท 5. โตเกียวมารีนประกันชีวิต ติดลบ 12% มีเบี้ยรับ 1,068 ล้านบาท 6. บมจ. ฟิลลิปประกันชีวิต ติดลบ 7% มีเบี้ยรับ 153 ล้านบาท และ 7. บมจ. สหประกันชีวิต ติดลบ 76% มีเบี้ยรับ 4.8 ล้านบาทแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1415347
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หมายเหตุประกอบงบการเงิน จุดบอกเหตุที่นักลงทุนต้องอ่านบทความโดย “สิริพร สงบธรรม จังตระกุล” เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย วันที่ 14 ตุลาคม 2566 หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของนักลงทุนที่ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน คือ รายงานทางการเงิน-Financial Report เป็นเสมือนการตรวจสุขภาพทางการเงิน หรือเทียบเคียงกับการตรวจร่างกายของเรา ว่า สุขภาพยังแข็งแรงไหม มีความผิดปกติ ส่งสัญญาณให้เราต้องระมัดระวังในเรื่องใดบ้าง รายงานทางการเงินก็เช่นกัน “ข่าวดัง-หุ้นดัง” ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาทบทวน ยกระดับความรู้ตัวเองขึ้นอีกระดับ จากเดิมที่มักจะมองเพียงว่า บริษัทจดทะเบียนนั้น ๆ กำไรดี จ่ายปันผลได้ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องอ่าน ทำความเข้าใจอย่างตั้งใจ คือ “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” ที่มีคำอธิบาย ขยายความจากตัวเลขทางการเงิน เสมือนคำวินิจฉัยของ “คุณหมอ” ว่าแต่ละรายการ มีรายละเอียดประกอบอย่างไร หมายเหตุประกอบงบการเงิน ระบุชัดเจนว่า เป็นส่วนหนึ่งของงบการเงิน และได้รับอนุมัติให้ออกงบการเงินจากคณะกรรมการตรวจสอบ ตามการมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท มีหลายหัวข้อที่น่าตามไปอ่าน อาทิ การซื้อธุรกิจ บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วม สัญญาเช่า ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น ค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น ฯลฯ เป็นการอธิบายข้อมูลที่อ่านทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก สำหรับคนที่อาจไม่ใช่ “นักบัญชี” ก็ไม่น่าหนักใจ อ่านเพลิน อ่านสนุก เป็นวรรค เป็นตอน เป็นฉาก ๆ ฉายภาพให้ตัวเลข เป็นเรื่องที่ถูกบันทึก อย่างเป็นเหตุ เป็นผล ตัวอย่างงบการเงิน ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือ หมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) มีหมายเหตุประกอบงบการเงิน จำนวน 31 ข้อ พบข้อมูลน่าสนใจที่อาจยังไม่ปรากฏในงบการเงิน เช่น เรื่องการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทในประเทศเมียนมา, เหตุการณ์ภายหลังรอบระยะเวลารายงาน เป็นต้น นอกจากนี้ การดำรงอยู่ของกิจการ คือ การต้องมีสภาพคล่อง ลื่นไหล อีกจุดที่มีความสำคัญ คือ งบกระแสเงินสด หรือ Cashflow ที่จะไม่ทำให้การทำธุรกิจสะดุดตัว และการสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับคู่ค้า ลูกค้า งบแสดงฐานะการเงิน จึงเป็นดัชนีจับชีพจร “สุขภาพของกิจการ” ที่สะท้อนด้วยตัวเลข และมีคำอธิบายในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เป็นการเปิดเผยตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้สอบบัญชี โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท หากนักลงทุน พบข้อมูลที่อาจสะดุดใจ ก็สามารถนำไปตั้งคำถามในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เชื่อว่า ผู้บริหาร หรือประธานกรรมการตรวจสอบ หรือผู้สอบบัญชีจะช่วยมีคำอธิบายได้ ความสบายใจที่นักลงทุนต้องการเห็น และปรากฏแก่สายตาต่อความเห็นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่ทำหน้าที่ตรวจสุขภาพทางการเงินของกิจการ คือ ถ้อยคำว่า “เป็นการแสดงความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1415586
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก-ปิยะเวท นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ และนายแพทย์อำนาจ พิศาลจำเริญ (ที่ 3 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลในเครือบางปะกอก เตรียมจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพฟรี ภายใต้โครงการ ‘เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ ครั้งที่ 10’ (AIA Sharing A Life 10) ในวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 8.00 – 11.00 น. ณ สวนลุมพินี โดยจะเปิดให้บริการตรวจสุขภาพฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ บริการตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย BMI วัดความดันโลหิต และวัดระดับน้ำตาลปลายนิ้วสำหรับโครงการ เอไอเอ แชร์ริ่ง อะไลฟ์ ครั้งที่ 10 (AIA Sharing A Life 10) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Better Environment, Better Health - เพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ดีขึ้น’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 85 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมกัน 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อมุ่งส่งเสริมทั้งในด้านสุขภาพของคนไทย ควบคู่กับการดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยกิจกรรมที่สวนลุมพินี นอกจากบริการตรวจสุขภาพฟรีโดยเครือโรงพยาบาลบางปะกอกแล้ว ยังมีกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์อื่น ๆ อีก อาทิ กิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศล บริการตัดผมฟรี บริการนวดโดยผู้พิการทางสายตา กิจกรรมปลูกต้นไม้ และทาสีเก้าอี้สาธารณะ โดยกิจกรรมทั้งหมดจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม นี้ เพื่อรวมพลังครอบครัวเอไอเอ ทำความดีสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมน่าอยู่และยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
คปภ.ปรับเกณฑ์ลงทุนใหม่ ครอบคลุมกิจการทุกประเภท “ที่พักสูงวัย-โรงพยาบาล” ยกเว้น “คลินิกเสริมความงาม” ขณะที่ “เมืองไทยประกันชีวิต” รับสนใจลงทุน “คลินิกเฉพาะทาง-ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ” ชี้รีเทิร์นน่าสนใจ 8-10% ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านบริการ ตอบโจทย์สังคมสูงวัยนายสมประโชค ปิยะตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับ ธุรกิจและการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการที่ธุรกิจด้านสุขภาพของประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ รวมถึงปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ เช่น การขยายตัวของจำนวนผู้สูงอายุภายในประเทศ ที่ส่งผลต่อความต้องการในการใช้บริการทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและเทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มขึ้นประกอบกับการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนรายได้ปานกลางที่มีอำนาจซื้อสูงขึ้น สำหรับความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนเมืองจากผลนโยบายรัฐในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งล้วนเป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้ประกอบการจะขยายการประกอบธุรกิจในการให้บริการทางการแพทย์ไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อรองรับผู้ป่วย ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยดังนั้น สำนักงาน คปภ.ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขประกาศใหม่เกี่ยวกับการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย 2 เรื่องคือ 1. การถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการสถานพยาบาลในประเทศไทยและ 2. การถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในประเทศไทย สาระสำคัญของประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ เพื่อให้แนวปฏิบัติมีความชัดเจนขึ้น โดยเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าไปถือหุ้นกิจการที่จัดตั้งอยู่แล้ว หรือลงทุนโดยการขอใบอนุญาตจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ก็ได้ดร.สุธี โมกขะเวสนอกจากนี้ ได้ขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างขึ้น ให้ครอบคลุมกิจการสถานพยาบาลทุกประเภทและคลินิก เพิ่มเติมนอกเหนือจากการถือหุ้นโรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ตามที่กำหนดไว้เดิม แต่จะยกเว้นสถานพยาบาลและคลินิกที่ให้บริการเสริมความงาม เนื่องจากมองว่าไม่สนับสนุนต่อธุรกิจประกันภัยโดยตรง“ปัจจุบันเงื่อนไขการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย จะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 20% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของกิจการ ซึ่งขณะนี้ประกาศทั้ง 2 ฉบับผ่านการรับฟังความคิดเห็นและเลขาธิการ คปภ.เซ็นลงนามไปแล้ว” นายสมประโชคกล่าวดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เกณฑ์ใหม่ที่ คปภ.เปิดให้ลงทุนกิจการสถานพยาบาลได้ทุกประเภทและคลินิก ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเกณฑ์เดิมให้ลงทุนเฉพาะโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ทำได้ค่อนข้างยาก จึงไม่ค่อยเวิร์ก“เมืองไทยประกันชีวิตสนใจลงทุน คลินิกเฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โดยกำลังพิจารณารีเทิร์นจาก 2 มุม คือ 1.ผลตอบแทนในทรัพย์สินของโครงการเดียว (stand-alone return) และ 2.ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริการลูกค้าให้กับบริษัทได้แค่ไหนทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า คลินิกมีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในตลาดค่อนข้างดี อยู่ที่ระดับ 8-10% ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะน่าสนใจมากในอนาคต เพราะไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ฉะนั้นตลาดสุขภาพมาแน่”ดร.สุธีกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 6.3 แสนล้านบาท พอร์ตลงทุนสัดส่วนกว่า 80% อยู่ในตราสารหนี้ ที่เหลือ 20% อยู่ในตราสารทุนและอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันยังไม่ได้มีการปรับพอร์ตลงทุน แม้ภาวะตลาดทุนช่วงนี้มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) พุ่งขึ้นกระทบส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น (equity risk premium)“ตอนนี้เรารีวิวหุ้นกู้ในพอร์ตอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เชื่อว่าค่อนข้างปลอดภัยตามความเสี่ยง” ดร.สุธีกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1407374
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
สื่อนอกเผยตัวเลขการว่างงานด้านไอทีในสหรัฐ พุ่งสูง 4.3% แซงหน้าการว่างงานโดยรวม เหตุเพราะหลายบริษัทใช้ AI เข้ามาทดแทนแรงงานคนมากขึ้น วันที่ 9 ตุลาคม 2566 เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล (The Wall Street Journal) รายงานว่า การว่างงานด้านไอทีในสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกันยายน 2566 สูงถึง 4.3% แซงหน้าอัตราการว่างงานโดยรวมในประเทศที่ 3.8% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการจ้างงานด้านไอทีอาจชะลอตัว เนื่องจากหลายบริษัทเริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาแทนที่ ทั้งนี้ ในเดือนที่ผ่านมามีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีว่างงาน 117,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ที่ 106,000 คน โดยรายงานจาก Janco Associates บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การลดตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมไอที ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ โทรคมนาคม บริการข้อมูล และการประมวลผลข้อมูล มีจำนวนทั้งสิ้น 14,300 อัตรา อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ในเดือนกันยายน 2566 นายจ้างในสหรัฐเพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวน 336,000 ตำแหน่ง ถือเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งนับจากเดือนมกราคม 2566 แม้ว่าการจ้างงานในอุตสาหกรรมไอทีจะซบเซา แต่อัตราการว่างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายงานข่าวยังระบุว่า ในปีที่ผ่านมา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศและผู้นำด้านเทคโนโลยีขององค์กรอื่น ๆ ถูกบีบให้ลดการจัดทำโครงการด้านไอทีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะเดียวกันก็ลดการใช้จ่ายบนคลาวด์และซอฟต์แวร์ รวมถึงได้รับแรงกดดันจาก CEO ให้ขยายการใช้ generative AI ในองค์กรด้วย จากข้อมูลของ Janulaitis ระบุว่า AI สามารถลดการเติบโตของตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรมไอที เช่น การบริการลูกค้าและโทรคมนาคม ในขณะที่พนักงานอีกหลายคนกลัวตกงานเพราะ AI แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีการ reskill มาสู่บทบาทใหม่ที่เข้ากับความต้องการในอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น prompt engineer หรือวิศวกรที่ควบคุมการพัฒนา AI เป็นต้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/ict/news-1411343
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
คุณณฤทธิ์ บุนนาค ผู้จัดการฝ่ายงานดูแลคู่ค้าธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (ซ้ายสุด), คุณสปัญญ์ ปาลีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย), คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส (ที่ 2 จากขวา), คุณวีรชัย ชูสกุลพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนการพัฒนาธุรกิจ เอไอเอ เวลเนส (ขวาสุด)กรุงเทพฯ 9 ตุลาคม 2566 บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) ผู้นำด้านการบริหารจัดการงานบริหารนิติบุคคลโครงการเพื่อการอยู่อาศัย อันดับ 1 ของเมืองไทย จับมือกับ “ALive Powered by AIA” แอปพลิเคชันครบวงจรด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองลูกบ้านสมาร์ทกับประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “SMART WORLD” โมไบล์ แอปพลิเคชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในทุกมิติการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านสมาร์ทแบบครบ จบ ในแอปเดียว คุณสปัญญ์ ปาลีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) กล่าวว่า “SMART มีความตั้งใจที่จะส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกบ้านคนสำคัญ เป็นเบื้องหลังรอยยิ้มของลูกบ้านทุกท่านในทุกมิติของการอยู่อาศัย โดยจัดเตรียมสิทธิประโยชน์มากมายไว้ให้กับลูกบ้านในแอปพลิเคชัน SMART WORLD พร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการดูแลลูกบ้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ให้แอปฯ SMART WORLD ให้เป็นมากกว่าแค่แอปฯ ธรรมดา แต่ยังซัพพอร์ตการเป็นอยู่ในทุกมิติของลูกบ้าน กับหลากหลายฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนรับพัสดุ จ่ายบิล ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ รวบรวมพาร์ตเนอร์ต่างๆเพื่อให้บริการเรื่องบ้าน” “ล่าสุด SMART ร่วมมือกับแอปฯ ALive Powered by AIA มอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองลูกบ้านสมาร์ทจากอุบัติเหตุผ่านแอปฯ “SMART WORLD” กับประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครองนาน 1 ปี นอกจากนี้เรายังมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมไว้ให้สำหรับลูกบ้านที่ซื้อประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง AIA CI Plus อีกด้วย” คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส กล่าวว่า “ALive เป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกครอบครัว ด้วยจุดมุ่งหมายของเราในการส่งมอบประสบการณ์ทางด้านสุขภาพ ทาง ALive เอง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทางแอปฯ SMART WORLD ในการช่วยดูแลลูกบ้านสมาร์ทผ่านการส่งมอบความคุ้มครองอุบัติเหตุ พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับผ่าน ALive ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’ สำหรับการรับสิทธิประโยชน์นี้ มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงเป็นลูกบ้านสมาร์ทและเข้าแอปฯ SMART WORLD คลิกที่แบนเนอร์กิจกรรม พร้อมทำตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อรับสิทธิประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครองนาน 1 ปี*แอปพลิเคชัน SMARTWORLD พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
22/10/2024
25/10/2024
11/11/2024
17/10/2024
21/08/2024