Everyday knowledge for you
ธุรกิจ
23/12/2024
การทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง ไม่มีใครการันตีได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อม ปัจจัยสนับสนุนทั้งภายในและภายนอก แต่ถ้าหากผู้ประกอบการลองคิดในมุมที่เลวร้ายที่นั่นคือ “ธุรกิจใกล้เจ๊ง” จินตนาการไปก่อนก็จะช่วยในการหาแนวทาง เตรียมตัวว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้พ้นสถานการณ์ที่ไปให้ได้ธุรกิจใกล้เจ๊งต้องทำอย่างไรการพลิกเกมในธุรกิจที่ใกล้จะล่มนั้น เป็นแนวทางที่ต้องการการวางแผนและการกระทำที่มีเสริมแรงและมุ่งหวังให้ธุรกิจของคุณสามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย นี่คือขั้นตอนที่คุณอาจจะต้องการพิจารณาวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน: ทำการวิเคราะห์สภาพการณ์ทั้งภายในและภายนอกของธุรกิจของคุณอย่างละเอียด หากจะพลิกเกมได้จะต้องเข้าใจว่าปัญหาหลักคืออะไร และมีโอกาสอะไรที่สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาใหม่ได้บ้างปรับเปลี่ยนแผนการทำธุรกิจ: ต้องพิจารณาการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ การปรับรูปแบบการขาย หรือการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการดำเนินธุรกิจสร้างเป้าหมายใหม่: ควรจะกำหนดเป้าหมายใหม่ที่เป็นไปได้และตรงประเด็น ซึ่งสามารถทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในระยะยาวรีเซ็ตการตลาด: ต้องการการตลาดและการตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่มีตลาดต้องการจริง ๆ และมีกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการรับรู้และการขายเลือกเครื่องมือน่าสนใจ: การเลือกที่เป็นกำลังของธุรกิจที่จะสามารถพัฒนาได้ในอนาคต เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ การเข้าสู่ตลาดใหม่ หรือการสร้างพันธมิตรกับธุรกิจอื่นการจัดทำแผนที่ดี: การพัฒนาแผนที่เป็นมาตรฐานและที่เป็นไปได้ ที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพการดำเนินการและการติดตามผล: การดำเนินการตามแผนที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมา และการติดตามผลการทำงานเพื่อปรับปรุงและปรับเปลี่ยนต่อไปการพลิกเกมในธุรกิจที่ใกล้จะล่มมีความท้าทายมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาและการปรับตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณอยู่รอดและเจริญเติบโตต่อไปได้ในที่สุดแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ smartsmehttps://smartsme.co.th/content/%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b9%83%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%8a%e0%b8%87-%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a1%e0%b8%ad/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
23/12/2024
คปภ.ดีเดย์ปี’68 บังคับใช้เกณฑ์เคลมประกันสุขภาพลูกค้าร่วมจ่าย 30% ชี้เดินตามข้อเสนอธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่โบรกเกอร์วิเคราะห์ผลต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ชี้อาจได้รับเอฟเฟ็กต์จากคนไข้เข้าแอดมิตลดลง “บัวหลวง” ประเมินผลกระทบรายได้แต่ละแห่งราว 1-1.5% คาดการณ์ปีหน้า “BDMS-BH-BCH-CHG” กำไรรวมกัน 2.69 หมื่นล้าน ฟาก “อินโนเวสท์ เอกซ์” เชื่อกระทบหุ้นไม่มากแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาคธุรกิจประกันชีวิตได้เสนอแนวปฏิบัติต่อสำนักงาน คปภเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในการคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้การเคลมหรืออัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ของบริษัทประกันสูงขึ้น เช่น ประกันสุขภาพเด็ก และการเคลมการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) โดยกำหนด 3 หลักเกณฑ์ คือ1. จะต้องมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) สัดส่วน 30% หากผู้เอาประกันมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันในปีต่ออายุ2. ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ตามอัตราค่าธรรมเนียมไม่เกิน 100% ของค่าธรรมเนียมแพทย์ที่ 90 เปอร์เซ็นไทล์ ตามที่กำหนดไว้ในคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ ของแพทยสภาประเทศไทย และ 3.พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ Simple Diseases สำหรับเด็กอายุ 3-5 ขวบทั้งนี้ แนวปฏิบัติดังกล่าวได้มีการกำหนดไว้ในคำสั่งนายทะเบียนที่ 14/2564 เรื่องหลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ ประเภทสามัญ แบบมาตรฐาน สำหรับบริษัทประกันชีวิต (New Health Standard) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ต้นปี 2568“ที่ผ่านมา Loss Ratio ประกันสุขภาพของแต่ละบริษัทจะไม่เท่ากัน แต่เคลมประกันสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุส่วนใหญ่เกิน 100% ส่วนเคลมประกันสุขภาพทั่วไปยังปริ่ม ๆ ไม่เกิน 100% อาจจะมีบางบริษัทเกิน 100% ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทประกันก็เข้ามาขอปรับเบี้ยอยู่เป็นระยะ ๆ”นายปัญจพล แท่นศรีเจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็น Copay ประเมินอาจจะส่งผลกระทบทำให้คนไข้เข้าแอดมิตในโรงพยาบาลลดลง โดยมองหุ้นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลระดับบนที่ค่ารักษาสูงเป็นพิเศษจะได้รับผลกระทบมากสุด อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น“โรงพยาบาลเหล่านี้อาจจะเจอบริษัทประกันเข้มงวดขึ้นในการตรวจสอบสิทธิการเบิกเคลมบางรายการ ว่ามีความจำเป็นทางการแพทย์หรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการโยกย้ายของกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนลงมาสู่โรงพยาบาลระดับกลางที่เป็นระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น”ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้รับประโยชน์จาก Copay คือ โรงพยาบาลพระรามเก้า, โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลสมิติเวช ระดับกลาง ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จะเสียประโยชน์มากสุด เพราะโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลสมิติเวชอยู่ในเครือ BDMS จึงอาจเป็นแค่การชิฟต์พอร์ตโฟลิโอลูกค้าเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อาจจะได้ประโยชน์จากรายได้ Copay บ้าง แต่ก็ยังมีแรงกดดันใหญ่จากเรื่องค่ารักษาประกันสังคมอยู่“แนวทาง Copay ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะถูกกว่าแบบทั่วไปเกือบ 30-50% เช่น ปีหนึ่ง ๆ เราซื้อประกันสุขภาพ จ่ายค่าเบี้ย 30,000 บาท แต่ถ้าซื้อแบบ Copay จะจ่ายค่าเบี้ยแค่ 18,000-20,000 บาท แนวทางนี้เราเริ่มเห็นการใช้กับกลุ่มผู้ป่วยเด็กในปี 2567 เพราะป่วยบ่อยและบ่อยถี่จนบริษัทประกันเริ่มเห็นการขาดทุน”นายปัญจพลกล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าสัดส่วนรายได้ลูกค้าประกันสุขภาพเอกชนของ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) คิดเป็น 19% ของรายได้รวม, บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) คิดเป็น 15-20% ของรายได้รวม, บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) คิดเป็น 38% ของรายได้รวม และ บมจ.บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) คิดเป็น 25-30% ของรายได้รวม (ข้อมูลสิ้นไตรมาส 3/2567)ประเมินผลกระทบปี 2568 บนสมมุติฐานกลุ่มผู้ป่วยเด็กหายไปหมดจากแนวทาง Copay จะกระทบรายได้โรงพยาบาล 2% แต่ในความเป็นจริงนั้นคงไม่ได้หายไปหมด ประเมินกรณีเลวร้ายสุดอาจหายไปแค่ 50% เพราะฉะนั้นมองผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนน่าจะไม่เกิน 1% ของรายได้รวม (BH, BDMS) และกระทบไม่เกิน 1.5% ของรายได้รวมของกลุ่มโรงพยาบาลระดับกลาง (BCH, CHG)ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้รวมปี 2568 โรงพยาบาล 4 แห่ง (BH, BDMS, BCH, CHG) จะอยู่ที่ 160,000 ล้านบาท เติบโต 4% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดย BDMS มีรายได้รวม 113,000 ล้านบาท เติบโต 5% BH มีรายได้ 25,800 ล้านบาท เติบโต 2% BCH มีรายได้ 12,500 ล้านบาท เติบโต 5% และ CHG มีรายได้ 9,200 ล้านบาท เติบโต 6%และคาดการณ์โรงพยาบาล 4 แห่ง จะมีกำไรสุทธิ 26,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YOY โดย BDMS เติบโตแข็งแกร่ง 6% อยู่ที่ 11,600 ล้านบาท BH มีกำไร 7,600 ล้านบาท ทรงตัว 0% BCH มีกำไร 1,458 ล้านบาท เติบโต 7% และ CHG เติบโต 9% อยู่ที่ 1,200 ล้านบาทนางสาวระวีนุช ปิยะเกรียงไกร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า การที่ประกันสุขภาพเป็นแบบ Copay มากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบทําให้คนไข้เข้าแอดมิตลดลงโดยเฉพาะในการป่วยเล็กน้อยทั่วไป แต่การบริการส่วนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหลักของรายได้โรงพยาบาล และ Copay น่าจะไม่ได้เกิดกับทุกกรมธรรม์ประกัน สะท้อนว่าผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นไม่มากซึ่งจากข้อมูลโรงพยาบาลพบว่า สัดส่วนรายได้จากประกันสุขภาพเอกชน (คนไข้ไทย) BDMS 30% ต่อรายได้รวม, BCH 24% ต่อรายได้รวม, CHG 24% ต่อรายได้รวม และ BH 19% ต่อรายได้รวม แต่สัดส่วนการป่วยเล็กน้อยทั่วไปไม่ใช่สัดส่วนหลัก จึงประเมินที่ราว 10% ของรายได้จากประกันสุขภาพเอกชน หรือจะคิดเป็น 2-3% ของรายได้รวม“อย่างไรก็ดี เรามองว่าเบี้ยประกันที่จะลดลง หากมีการใช้ Copay น่าจะเป็นปัจจัยบวกให้มีการเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนได้มากขึ้นในระยะยาว”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1717694
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
23/12/2024
ฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่คอนเซปต์ 'ความยั่งยืน' สิ่งแวดล้อม ผ่านต้นคริสต์มาสขนาดมหึมาและกองทัพสโนว์แมน ศิลปะเชิงสัญลักษณ์จากศิลปินชาวอิตาเลียนชื่อดัง ลูคัส ซานอตโต ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดโอกาสให้ adopt หุ่นสโนว์แมนเจ้าของผลงาน ต้นคริสมาสต์ขนาดมหึมา สูงกว่า 14 เมตร รูปทรงแปลกตาไม่ซ้ำใคร เหมือนตัวการ์ตูน มีใบหน้า ดวงตาและปาก ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนเพลินจิตฝั่งเซ็นทรัล เอ็มบาสซี พร้อม กองทัพมิสเตอร์สโนว์แมน (Snow Troop) หลากหลายขนาดอีกมากมายต้นคริสต์มาสและ Snow Troop หน้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซีเหล่านี้เป็นผลงานศิลปะของ ลูคัส ซานอตโต (Lucas Zanotto) ศิลปินนักออกแบบสายดิจิทัลอาร์ตระดับโลก ซึ่งเกิดและเติบโตท่ามกลางภูมิประเทศอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ทางตอนเหนือของอิตาลี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์มร.ลูคัสให้สัมภาษณ์ที่ Open House เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ว่า ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาออกแบบงานศิลปะเพื่อเทศกาลคริสต์มาส และเป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาแสดงผลงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลูคัส ซานอตโต กับการออกแบบต้นคริสต์มาสครั้งแรก“ผมกังวลอยู่เหมือนกันในตอนแรก พยายามคิดหลีกเลี่ยงความคิดเกี่ยวกับคริสต์มาสแบบเดิม สีเดิมๆ รูปทรงเดิมๆ ซานตาคลอส ในที่สุดผมก็กลับไปที่พื้นฐานแนวคิดของผมเกี่ยวกับรูปทรงเรียบง่าย ทดลองนำรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ มาเรียงต่อกัน ทำให้เกิดเป็นตัวสโนว์แมนหลายรูปแบบที่เป็นอัตลักษณ์งานของผม”ลูคัส ซานอตโต กับ Snow Troopงานออกแบบของลูคัสโดดเด่นในการนำ ความเรียบง่าย มาแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์อันลึกซึ้ง และความสามารถของเขาในการกลั่นกรองประสบการณ์และถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนผ่าน รูปทรงเรขาคณิต ที่เรียบง่ายนั้น เชื่อมโยงผู้ชมข้ามพรมแดนด้านภาษาและวัฒนธรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด ผลงานแอนิเมชันของเขามักแฝงอารมณ์ขันเบา ๆ ทำให้โลกดิจิทัลให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ชวนให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความงามที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเรียบง่าย และทำให้เทคโนโลยีดูใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวกว่าที่เคยผลงานของ ลูคัส ซานอตโต ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ พร้อมรางวัลการันตีอย่าง Apple Design Award และ Cannes Gold Lionหัวใจสำคัญในงานศิลปะของซานอตโต คือ สัญลักษณ์ดวงตา วงกลมขาวสองวงที่มีจุดสีดำ ทำหน้าที่ถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลายของมนุษย์ ตั้งแต่ความสุข ความอยากรู้ ความคิดใคร่ครวญ ไปจนถึงความอ่อนไหว ด้วยดวงตาที่กลอกไปมา จ้องมอง ผ่านการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย แต่มีจังหวะที่แม่นยำการเปลี่ยนอาร์ตบ็อกซ์เป็นหนึ่งใน Snow Troop ท่ามกลางกองทัพสโนว์แมนงานศิลปะอินสตอลเลชั่นของเขายังกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของงานสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดง หรือนำสถาปัตยกรรมของสถานที่นั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะเห็นได้จาก Giant Snow Cube ตัวสโนว์แมนทรงลูกบาศก์ขนาดยักษ์บน Open House ชั้น 6 เซ็นทรัล เอ็มบาสซีเพียงแค่ลูคัสใส่สัญลักษณ์ดวงตาจมูกปากในสไตล์ของเขาบน 'อาร์ตบ็อกซ์' หรือปล่องสีขาวขนาดใหญ่โซนห้องสมุดของโอเพนเฮาส์ ปล่องสีขาวธรรมดาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสโนว์แมนสุดน่ารักไปอย่างง่ายดายสโนว์แมนกำลังละลายอยู่ในน้ำพุกองทัพสโนว์แมนเหล่านี้ยังสื่อความหมายให้ตระหนักถึง ปัญหาโลกร้อน โดยที่บริเวณน้ำพุด้านหน้าของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มร.ลูคัสเลือกออกแบบและติดตั้งสโนว์แมนไว้ 4 ลักษณะ เหมือนสโนว์แมนกำลังละลายอยู่ในน้ำพุ เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ หากทุกคนยังละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมกองทัพมิสเตอร์สโนว์แมน หรือ Snow Troop เหล่านี้ มร.ลูคัส ออกแบบไว้จำนวน 30 ตัว สร้างสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุบอลลูนเป่าลม มีด้วยกัน 2 ขนาด คือ 145 เซนติเมตร และขนาด 175 เซนติเมตร ตั้งกระจายอยู่ในเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ให้ได้เก็บภาพประทับใจกันอย่างใกล้ชิดเมื่อเสร็จสิ้นงานแล้ว Snow Troop เหล่านี้ไม่ได้นำไปทิ้งหรือถูกเก็บไว้เฉยๆ แต่เซ็นทรัล เอ็มบาสซีและมร.ลูคัส เปิดโอกาสให้คนที่สนใจหรือชื่นชอบผลงานของเขารับไปดูแลต่อในลักษณะ adoptionลูคัส ซานอตโต กับ Snow Troop ที่เปิดให้ adopt หลังจบงานโดย Snow Troop ขนาด 145 เซนติเมตร ราคา 12,000 บาท และขนาด 175 เซนติเมตร ราคา 15,000 บาท เชิญผู้สนใจไปสแกนคิวอาร์โค้ดสำรองการ adopt ได้ที่เคาน์เตอร์บริการบริเวณ ชั้น 6 Open House เซ็นทรัล เอ็มบาสซีรายได้จากการ adopt โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ มอบให้ World Wide Fund for Nature (WWF) นำไปดูแลเรื่องหยุดการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืนต่อไปต้นคริสต์มาสและ Snow Troop ผลงานของมร.ลูคัส เป็นส่วนหนึ่งในการจัดงาน Central Embassy Let’s Celebrate 2025: Very Warm Wishes เทศกาลฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี วันนี้- 5 มกราคม 2568Warm Wishes Tunnel อันงดงามอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ไม่ควรพลาดในงานนี้คือ Warm Wishes Tunnel บริเวณทางเชื่อมระหว่างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี กับ เซ็นทรัล ชิดลม สัมผัสความมหัศจรรย์แห่งเทศกาลทุกก้าวที่เดินผ่าน พร้อมส่งต่อความปรารถนาให้เติมเต็มบรรยากาศแห่งความสุขที่อบอุ่นใจนอกจากนี้ที่บริเวณ Open House ยังมีตลาด Green Land X'Mas Market จำหน่ายสินค้า eco-friendly จากแบรนด์ Qualy และกิจกรรมเวิร์คช็อปสร้างสรรค์อีกมากมายบรรยากาศเปิดงาน Central Embassy Let’s Celebrate 2025: Very Warm Wishesเมธาวิน โอภาสเอี่ยมขจร,ชีวิน ปราชญานุพร, ระวดี คุณทรัพย์,บรม พิจารณ์จิตร, ลูคัส ซานอตโต,อรณิศ บุณยประสิทธิ์,วิโอเลต วอเทียร์, เมธัส โอภาสเอี่ยมขจรงานนี้ได้รับเกียรติจาก บรม พิจารณ์จิตร กรรมการผู้จัดการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และ มร.ลูคัส ซานอตโต ศิลปินระดับโลกที่บินตรงมาสร้างสีสัน ร่วมด้วยผู้บริหารพันธมิตรชั้นนำ อาทิ จิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ชีวิน ปราชญานุพร กรรมการผู้จัดการบริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด เหล่าแขกผู้มีเกียรติ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ร่วมสัมผัสงานศิลปะระดับโลกและความอลังการเมธาวิน - เมธัส โอภาสเอี่ยมขจรมินิคอนเสิร์ต วิโอเลต วอเทียร์บรรยากาศงานเปิดตัวเทศกาล Central Embassy Let’s Celebrate 2025: Very Warm Wishes ทวีคูณความสุขความสนุกเมื่อสองพี่น้องสุดเท่ วิน เมธวิน และ มิค เมธัส ปรากฏตัวเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ อย่างล้นหลามพร้อมด้วยสาวเสียงดี วี วิโอเลต มาร่วมเติมความอบอุ่นด้วยเสียงเพลง All I Want for Christmas Is You ก่อนปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตสุดประทับใจให้ยิ่งฟินขึ้นอีกขั้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1158837
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
23/12/2024
ในยุคที่สมาร์ตโฟนกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ใคร ๆ ก็ต้องใช้งาน Power Bank หรือ “แบตเตอรี่สำรอง” ก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งในแกดเจ็ตที่นักเดินทางมักจะมีติดตัวไว้ใช้ชาร์จสมาร์ตโฟนในยามฉุกเฉิน โดยเฉพาะการเดินทางไกล ๆ ที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีเต้าปลั๊กไฟเสียบชาร์จนาน ๆ การพก Power Bank ไว้ก็ช่วยให้อุ่นได้ไม่น้อย หากเกิดฉุกเฉินขึ้นมา โทรศัพท์ของเราก็ยังคงใช้งานได้นานขึ้นทว่าการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นมีกฎระเบียบที่เกี่ยวกับ Power Bank อยู่ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์สำรองไฟที่บรรจุพลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก หากเกิดความร้อนสูงหรือมีการลัดวงจร อาจทำให้เกิดระเบิดหรือไฟไหม้ได้ สายการบินจึงต้องเข้มงวดกับการพกพา Power Bank ขึ้นเครื่องบินของผู้โดยสารมากขึ้นเพื่อความปลอดภัยส่วนร่วม ในขณะเดียวกัน นักเดินทางอย่างเราก็จำเป็นต้องรู้ว่า Power Bank แบบไหนนำขึ้นเครื่องได้ และแบบไหนนำขึ้นเครื่องไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจถูกยึดที่ด่านตรวจ และต้องทิ้งไว้ที่สนามบิน ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้Power Bank ยังนำขึ้นเครื่องบินได้ปกติ แต่…!เรายังสามารถถือ Power Bank ขึ้นเครื่องบินกันได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะมีกฎข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้นตามมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยการนำ Power Bank ขึ้นเครื่องบิน จะมีเงื่อนไขดังนี้1. จำกัดขนาดความจุไฟฟ้าทุกสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นสายการบินในประเทศหรือระหว่างประเทศ ระบุความจุไฟฟ้าของ Power Bank ที่นำขึ้นเครื่องบินได้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งตามระเบียบสากลที่อิงจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association หรือ IATA) กำหนดไว้ดังนี้ • แบตเตอรี่สำรองที่มีความจุของกระแสไฟฟ้าน้อยกว่า 20,000 mAh (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 Wh) สามารถนำขึ้นเครื่องได้โดยไม่จำกัดจำนวน (กี่ก้อนก็ได้) • แบตเตอรี่สำรองที่มีความจุของกระแสไฟฟ้า 20,000-32,000 mAh (มากกว่า 100 Wh ถึง 160 Wh) สามารถนำขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 2 ก้อน (ได้แค่ 2 ก้อนเท่านั้น) • แบตเตอรี่สำรองที่มีความจุของกระแสไฟฟ้ามากกว่า 32,000 mAh (มากกว่า 160 Wh) ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ในทุกกรณี (ห้ามนำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด)2. นำขึ้นเครื่องด้วยการถือขึ้นพร้อมผู้โดยสารเท่านั้นแบตเตอรี่สำรองที่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง ไม่ว่าจะความจุเท่าไรก็ตาม จะต้องถือขึ้นเครื่องด้วยตนเองเท่านั้น “ห้าม” นำใส่ในกระเป๋าใบใหญ่ที่โหลดใต้เครื่องบินโดยเด็ดขาด เนื่องจากแบตเตอรี่เกิดความร้อนได้ง่ายมาก อาจทำให้เกิดการระเบิดและไฟไหม้ได้ทุกเมื่อ ถ้านำไปโหลดเป็นสัมภาระใต้เครื่องที่ไม่มีคนเฝ้า จะไม่มีใครรู้หากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่เมื่อนำขึ้นมาที่ห้องโดยสาร จะสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย หากมีควันหรือประกายไฟ จะได้แก้ปัญหากันได้ทันท่วงที3. เป็นแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน มีฉลากระบุรายละเอียดชัดเจนPower Bank ที่สายการบินอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน กรณีที่เป็นแบตเตอรี่สำรองแฟชั่นหรือของเลียนแบบ (ของปลอม) ที่ไม่ได้มาตรฐาน จะไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้โดยเด็ดขาด นอกจากนี้ ให้พิจารณา • ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ • โรงงานผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เช่น CE, FCC เเละ RoHS • ผ่านการรับรองมาตรฐาน มอก. ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในประเทศหรือแบตสำรองนำเข้า • มีฉลากระบุความจุกระแสไฟฟ้า วัตต์-ชั่วโมง (Watt-Hour) หรือขนาดบรรจุลิเธียม (Lithium Content) ชัดเจน • ความเหมาะสมในการใช้งาน หากความจุมากน้ำหนักแบตสำรองก็มากตาม • ตรวจสอบอยู่เสมอว่าการทำงานผิดปกติหรือไม่ เช่น ความร้อนสูงผิดปกติ หรือมีรูปร่างผิดปกติไปจากเดิม เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ผู้โดยสารท่านอื่น และการเดินทางโดยเครื่องบินแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1450127/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
อสังหาริมทรัพย์
14/01/2025
เปรียบเทียบระหว่าง ซื้อ VS เช่าคอนโด แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เพื่อให้คุณ เตรียมพร้อมด้านการเงินสำหรับการเลือกที่อยู่ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด หากใครที่กำลังมองหาการใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง หรืออยู่บริเวณชานเมืองแต่สะดวกต่อการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ คอนโด น่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด แต่จะเลือกเช่าคอนโดอยู่ไปก่อน หรือจะซื้อคอนโดไปเลย ก็มีปัจจัยหลากหลายซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะ และเงื่อนไขการใช้ชีวิตของแต่ละคนด้วยทั้งนี้ลองมาดูการเปรียบเทียบระหว่างการเช่า และซื้อคอนโดในด้านต่างๆ พร้อมการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เพื่อให้คุณ เตรียมพร้อมด้านการเงินสำหรับการเลือกที่อยู่ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุดซื้อVSเช่าคอนโดเปรียบเทียบการ เช่า vs ซื้อ คอนโด แบบไหนคุ้มกว่าทั้งการเช่าและการซื้อคอนโด ต่างก็มี ข้อดี- ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบในด้านความคุ้มค่าแล้ว จะได้เป็นดังนี้1. ในด้านค่าใช้จ่ายเช่าคอนโด สำหรับการเช่าคอนโด จะมีค่าใช้จ่ายส่วนแรกตอนทำสัญญาเช่า เช่น ค่าประกันห้อง ค่าเช่าล่วงหน้า เป็นต้น ซึ่งจะเก็บครั้งเดียวและเมื่อย้ายออกจะได้ค่าประกันห้องคืนกลับมา หากคืนห้องในสภาพเดิม และในแต่ละเดือนก็จะมีค่าเช่ารายเดือนตามสัญญาเช่า ที่ต้องจ่ายในขณะที่เข้าอยู่ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเช่าคอนโดจะค่อนข้างคงที่ และเมื่อรวมกับค่าสาธารณูปโภคต่างๆ แล้ว ก็จะค่อนข้างใกล้เคียงกันในทุกเดือน ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างคล่องตัวซื้อคอนโด ในการซื้อคอนโดจะมีค่าใช้จ่ายส่วนแรกก่อนซื้อทั้งการจอง การดาวน์ ค่าธรรมเนียมการโอน ฯลฯ ซึ่งจะเป็น 10-15% ของราคาคอนโด ที่ต้องเตรียมเป็นเงินสดเอาไว้ ส่วนหลังจากที่ซื้อแล้ว ถ้าหากซื้อเป็นแบบกู้ธนาคาร ในแต่ละเดือนก็จะมีค่าผ่อนคอนโดในอัตราที่กำหนด รวมถึงในแต่ละปีก็จะมีค่าส่วนกลางตามขนาดห้องที่เป็นเจ้าของด้วย ซึ่งถ้าหากผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญากู้ซื้อคอนโดแล้ว คุณก็จะได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้น2. การตกแต่งภายในที่ตอบความต้องการเช่าคอนโด จะไม่สามารถตกแต่งอะไรเพิ่มเติมไปจากสัญญาเช่าได้ โดยปกติแล้ว การทำสัญญามักจะมีการถ่ายภาพจุดต่างๆ เอาไว้เพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังเช่า ในการป้องกันความเสียหาย หรือการดัดแปลงสภาพห้องไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทาสีใหม่ เปลี่ยนวอเปเปอร์ เปลี่ยนพื้น เจาะผนังแต่ก็จะมีบางจุดที่สามารถตกแต่งเพิ่มเข้าไปได้ โดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวห้อง เช่น การซื้อเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่มเติม การเปลี่ยนภาพตกแต่งผนังห้อง เป็นต้นซื้อคอนโด เมื่อสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอยู่กับคุณแล้ว ภายในห้องชุดก็สามารถปรับเปลี่ยน ตกแต่งได้ตามสไตล์ที่คุณชอบได้อย่างเต็มที่ เช่น การทาสีใหม่ เปลี่ยนวอลเปเปอร์ ปูพื้น เปลี่ยนไฟ ทำบิวท์อินใหม่ เป็นต้น แต่ก็ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคาร 3. การต่อยอดลงทุนในอนาคตเช่าคอนโด สำหรับการเช่าคอนโด เงินที่จ่ายให้กับทางเจ้าของห้องทุกเดือนคือเงินค่าเช่า ซึ่งผู้เช่าจะไม่มีกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของห้องได้ รวมถึงผู้เช่าก็ยังไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในการบริหารจัดการต่างๆ ร่วมกับนิติคอนโดด้วยซื้อคอนโด ในการซื้อคอนโด ห้องชุดนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ ซึ่งหากในอนาคตมีแผนจะย้ายออกไปที่อื่น ก็สามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ และถ้าหากคอนโดตั้งอยู่ในทำเลที่ในอนาคตมีความเจริญเพิ่มมากขึ้น ก็อาจทำให้คอนโดมีมูลค่าสูงขึ้น สามารถขายต่อและทำกำไรได้อีกด้วย4. ความสะดวกต่อการโยกย้ายทำเลที่อยู่เช่าคอนโด ในการเช่าคอนโดจะสามารถโยกย้ายที่อยู่ได้ง่าย ซึ่งถ้าหากว่าเช่าอยู่ครบตามสัญญาแล้ว อยากเปลี่ยนทำเลที่อยู่ หรือมีการย้ายที่ทำงานไกลออกไปจากที่พักเดิม ก็สามารถย้ายไปเช่าคอนโดใหม่ที่มีความสะดวกกับการใช้ชีวิตมากขึ้นได้ซื้อคอนโด สำหรับการเป็นเจ้าของคอนโดแล้ว ถ้าหากต้องมีการย้ายที่อยู่ ก็อาจจะมีขั้นตอนมากกว่าการเช่า เพราะเมื่อย้ายออกไปแล้ว ก็ต้องคิดต่อว่า ห้องที่เราเป็นเจ้าของจะปล่อยเช่า หรือจะขายไปเลย ซึ่งก็จะต้องใช้เวลาในการหาผู้เช่าหรือผู้ซื้อต่อด้วยวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการเช่า vs ซื้อคอนโดมาดูกันว่าทั้งการเช่าคอนโด และการซื้อคอนโด คุณจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? เพื่อให้คุณได้เลือกรูปแบบการเข้าอยู่คอนโด ให้ตอบโจทย์ทางการเงินมากที่สุดค่าใช้จ่ายในการเช่าคอนโดสำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าคอนโด มักจะค่อนข้างคงที่เนื่องจากค่าเช่าจะถูกกำหนดมาแล้ว แต่ก็จะมีค่ามัดจำ และค่าประกันห้องในตอนเริ่มเข้าอยู่ ซึ่งจะมีการกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับผู้ปล่อยเช่าโดยค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการเช่าคอนโดแต่ละเดือน ได้แก่ • ค่าเช่าห้อง ที่กำหนดเอาไว้ตามสัญญาเช่า • ค่าสาธารณูปโภค ได้แก่ ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เน็ต เป็นต้น • ค่าเดินทางไปกลับในแต่ละวันเช่น เช่าคอนโดในราคาเดือนละ 8,000 บาท มีค่าสาธารณูปโภคเดือนละ 1,000 บาท และมีค่าเดินทางไปกลับที่ทำงานด้วยรถไฟฟ้าประมาณ 3,000 บาทก็จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าคอนโดรวมค่าเดินทางทั้งหมด 12,000 บาทต่อเดือนค่าใช้จ่ายในการซื้อคอนโดสำหรับการซื้อคอนโด นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่ต้องเตรียมเอาไว้ด้วย โดยแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายก่อนซื้อเป็นเงินส่วนแรกที่ต้องทำการจ่ายก่อนเข้าอยู่คอนโด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะจ่ายเพียงครั้งเดียวก่อนเข้าอยู่ • เงินจอง ที่ต้องจ่ายให้กับทางโครงการ เพื่อเป็นการจองยูนิตคอนโดที่ต้องการ โดยมีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น • ค่าทำสัญญา เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายกับทางโครงการ • เงินดาวน์ 10-15% ของราคาคอนโดที่จะซื้อ เช่น คอนโดราคา 2,000,000 บาท ดาวน์ 10% จะอยู่ที่ 200,000 บาท เป็นต้น • ค่าใช้จ่ายวันโอน ได้แก่ ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง เป็นต้น รวมแล้วประมาณ 60,000-80,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจมีการลดลงจากโปรโมชั่นที่แต่ละโครงการเสนอให้ • ค่าตกแต่งภายใน ค่าเฟอร์นิเจอร์ และค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณค่าใช้จ่ายหลังซื้อโดยเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนหลังจากที่กู้ซื้อคอนโดกับธนาคารผ่านแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างคงที่ไปจนกว่าจะผ่อนชำระเสร็จสิ้น • ค่าผ่อนธนาคารรายเดือน • ค่าส่วนกลาง โดยจะคำนวณราคาตามพื้นที่ของห้องชุด และชำระเป็นรายปี เช่น ห้องขนาด 35 ตร.ม. ค่าส่วนกลาง 30 บาท จะได้ 35 x 30 x 12 (เดือน) = 12,600 บาทต่อปี • ค่าสาธารณูปโภค ได้แก่ ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เน็ต เป็นต้น • ค่าเดินทางไปกลับในแต่ละวันเช่น ซื้อคอนโดราคา 2,000,000 บาท มีค่าใช่จ่ายก่อนซื้อรวมแล้วประมาณ 350,000 บาท โดยกู้ซื้อกับทางธนาคาร ผ่อนเดือนละ 14,000 บาท มีค่าสาธารณูปโภคเดือนละ 1,000 บาท และมีค่าเดินทางไปกลับที่ทำงานด้วยรถไฟฟ้าประมาณ 3,000 บาทก็จะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ก่อนซื้อ ที่เป็นเงินสดประมาณ 350,000 บาท และหลังจากกู้ซื้อและเข้าอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 18,000 บาท ไปจนกว่าจะผ่อนชำระครบ รวมถึงจะมีค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายเป็นรายปีให้กับโครงการด้วยจะเลือกแบบไหนดีกว่ากัน?สำหรับการตัดสินใจว่าจะเช่า หรือจะซื้อคอนโด ปัจจัยสำคัญให้ดูที่ ความพร้อมทางการเงินของคุณ ถ้าหากว่ามีเงินก้อนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนแรก และสามารถผ่อนจ่ายรายเดือนได้ ไม่มีปัญหากระทบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน การซื้อคอนโดก็เป็นทางเลือกที่คุณจะได้เป็นเจ้าของห้องชุดได้ตามความต้องการแต่ถ้าหากว่าคำนวณดูแล้ว พบว่าการซื้อคอนโดจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป หรือยังไม่มีความพร้อมทางการเงินที่มั่นคง การเลือกเช่าคอนโดไปก่อน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้คงที่ไปในแต่ละเดือนได้ดี ซึ่งจะมีโอกาสให้คุณได้เก็บเงินและสร้างเครดิตทางการเงินให้ดีสำหรับการกู้ซื้อคอนโดในอนาคตได้ที่มา: ธนาคารอาคารสงเคราะห์แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/real-estate/613934
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
18/12/2024
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินธุรกิจประกันชีวิตปี 2567 โตต่ำ-อำนาจซื้ออ่อนแรง ปิดปีมองโต 2.6% ส่วนปี 2568 คาดเบี้ยโตในกรอบ 2.8-3.6% ถูกกดดัน “ดอกเบี้ยลง-กำลังซื้ออ่อนแรง” 1 ม.ค.68 เริ่มบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS17นางสาวจารุวรรณ เศรษฐวงศ์ เจ้าหน้าที่วิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K Research) เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยปี 2567 เติบโตในระดับต่ำ ท่ามกลางอำนาจซื้อที่อ่อนแรง โดยภาพรวมเบี้ยประกันชีวิต 9 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 2.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ด้วยอานิสงส์ของเบี้ยปีต่อไปที่ขยายตัวสูง ขณะที่เบี้ยใหม่โตชะลอลงจากปัจจัยทั้งอุปสงค์และอุปทาน ตามการปรับการขายผลิตภัณฑ์ที่เน้นความคุ้มครองมากขึ้น และคุมสัดส่วนการขายเบี้ยประเภทจ่ายครั้งเดียวสำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นฤดูกาลขายและเป็นช่วงสุดท้ายของการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปีนั้น คาดว่าภาพรวมเบี้ยจะขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้นแต่ด้วยปัจจัยด้านฐานสูงในปีก่อน ทำให้เบี้ยรวมทั้งปี 2567 คงขยายตัวชะลอลงมาที่ประมาณ 2.6% (กรอบ 2.3-2.9%) เทียบกับที่ขยายตัว 3.6% ในปี 2566ส่วนแนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 ปัจจัยท้าทายเพิ่ม ขณะที่ปัจจัยเดิมยังรุมเร้า โดยประเมินภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตในปี 2568 น่าจะยังเติบโตได้ในกรอบประมาณ 2.8-3.6% ใกล้เคียงกับปี 2566-2567 โดยคาดว่าเบี้ยรับปีต่อไปจะยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ ร่วมกับการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเบี้ยรับรายใหม่โดยปี 2568 ธุรกิจประกันชีวิตต้องรับมือปัจจัยท้าทายเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีผลให้รายได้จากการลงทุนลดลงและสร้างความท้าทายให้กับการนำเสนอผลตอบแทนของกรมธรรม์ที่จูงใจเพียงพอสำหรับลูกค้าใหม่ขณะที่ปัญหาอำนาจซื้อจะยังกดดันความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันต่อเนื่อง ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะเติบโตชะลอลงเล็กน้อยมาที่ 2.4% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.6%นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทประกันชีวิตเริ่มจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี TFRS17 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้งบการเงินของบริษัทประกันสะท้อนภาพรายได้และค่าใช้จ่ายที่สอดดล้องกับสภาพการดำเนินงานมากขึ้น อาทิ 1.การไม่นับเบี้ยประกันทั้งจำนวนเป็นรายได้ของบริษัท แต่จะนับเฉพาะรายได้ส่วนที่เป็นรายรับจากการบริการลูกด้า (คล้ายกับค่าธรรมเนียมหรือ Service Fees ที่ต้องทยอยรับรู้ตามสัญญาประกันภัย) 2.การที่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการรับประกันภัยทันทีทั้งจำนวน จากเดิมที่ทยอยรับรู้ระหว่างช่วงสัญญาในรูปเงินสำรองประกันชีวิตทั้งนี้รูปแบบงบการเงินที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีผลกระทบเชิงบัญชีค่อนข้างมากต่อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสะสมทรัพย์โดยเฉพาะประเภทจ่ายครั้งเดียว แต่มีความคุ้มครองระยะยาว ซึ่งภายใต้ TFRS17 บริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการลูกค้าหรือรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันภัยต่ำ (อาจเหลือเพียง 10% ของเบี้ยรับ เทียบกับเดิมที่บันทึกเบี้ยรับทั้งจำนวนเป็นรายได้) ขณะเดียวกันยังต้องบันทึกผลขาดทุนที่เกิดจากการรับรองผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาทันทีในปีแรกมาตรฐานบัญชีใหม่นี้คงมีผลเพิ่มความซับซ้อนให้กับการวางแผนการขายผลิตภัณฑ์และรับรู้รายได้-ผลขาดทุนต่าง ๆ ของบริษัทประกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ย้ำภาพการปรับโครงสร้างพอร์ตการรับประกันของแต่ละบริษัทในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มสัดส่วนพอร์ตการรับประกันภัย และปรับลดสัดส่วนพอร์ตที่เน้นการออมเงินลงขณะที่ด้านการจัดการและกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์ในอนาดต บริษัทประกันคงจะยังเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดดล้องกับผู้บริโภคมากขึ้น (Customer Centric) อาทิ การนำเสนอทุนประกันชีวิตขนาดเล็ก (Small Lot Main Policies) เพื่อลดภาระของผู้เอาประกันที่ต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติมอื่นเป็นหลัก เช่น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้นปัจจัยท้าทายและการปรับตัวในปี 2568 1.เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร กระทบกำลังซื้อของลูกค้าวัยแรงงาน (25-70 ปี) โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท และต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งตามฐานข้อมูลประชากรประจำปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่กว่า 9 ล้านคน และ 2.6 ล้านคน ตามลำดับโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 1.1.นำเสนอแบบประกันที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยนานขึ้น เช่น แบบตลอดชีพ แบบมรดก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับวงเงินคุ้มครองสูง ขณะที่บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก1.2.นำเสนอแบบประกันที่มีทุนประกันเล็กลง เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อประกันมาก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในตัวผลิตภัณฑ์ประกัน และลดความเสี่ยงจากการเวนคืนหรือยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนดอันอาจทำให้ลูกค้าได้รับเงินคืนน้อยกว่าที่ชำระและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำประกัน2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยผ่านจุดสูงสุดและมีโอกาสขยับลง สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศ กระทบต่อรายได้จากการลงทุนซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ย และอาจส่งผลต่อกำไรสะสมและอัตราการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (RBC) ให้ปรับลดลงโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 2.1.ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์กลุ่ม High Value ที่มีลักษณะให้ความคุ้มครองภัยสูงร่วมกับการปรับลดพอร์ตผลิตภัณฑ์กลุ่มสะสมทรัพย์ (Endowment) ที่มีลักษณะรับรองผลตอบแทนคล้ายดอกเบี้ย2.2.ปรับลดผลตอบแทนสำหรับแบบประกันที่รับรองการจ่าย (Guaranteed Benefit) เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่กำหนดอัตราผลตอบแทนตลอดสัญญาไว้2.3.ขยายผลิตภัณฑ์ประเภทมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) ผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์ (Unit Linked) และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เพื่อให้บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น โดยสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการ3.โครงสร้างประชากรสูงวัยมีสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ทำให้ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายช่วงอายุของการรับประกันสุขภาพจากเดิมไม่เกิน 60 ปี เป็น 80 ปีโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 3.1.ควบคุมต้นทุนและควบคุมอัตราเบี้ยประกันไม่ให้แพงขึ้นสอดคล้องกับกำลังซื้อและรายได้ของผู้บริโภค 3.2.แนวทางการเคลมสินไหมในระยะต่อไป อาจมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยควบคุมต้นทุน แต่อาจกระทบต่อผู้บริโภค ทำให้แรงจูงใจในการซื้อประกันสุขภาพลดลง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเคลมการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด และข้อกำหนดการรับประกันแบบมีเงื่อนไขให้ผู้บริโภคต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษา (Co-Payment) เป็นต้กล่าวโดยสรุป โครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านฐานลูกค้ารายหลัก ซึ่งไม่อาจผูกติดกับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกินไป ดังเช่นในอดีตที่อาจผลักดันการเติบโตได้ด้วยการระดมยอดขายประเภทจ่ายครั้งเดียวในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงแต่จำเป็นต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีรายได้รองลงมาท่ามกลางข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กดดันอำนาจซื้ออย่างไรก็ดีธุรกิจประกันยังสามารถต่อยอดการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองและประกันสุขภาพโดยที่ยังต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนปรับผลิตภัณฑ์ให้เบี้ยเข้าถึงได้มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงลูกค้าและสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ด้วยขั้นตอนที่ลดลงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1715034
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
18/12/2024
ต้อนรับลมหนาว ปลุกความคึกคักให้กับย่านสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) รวมทั้ง “คลองผดุงกรุงเกษม” ให้เต็มไปด้วยสีสันส่งท้ายปี สำหรับเทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” ที่จัดภายใต้ธีม “หมูเด้งบุกกรุง!” มาพร้อมคาแรคเตอร์ “หมูเด้ง” ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งมาเทคโอเวอร์กรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองของ “น้องเด้ง”การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” ประดับตกแต่งด้วยสีของแสงไฟ เสียง ศิลปะ เทคนิค Light up และ Projection Mapping ที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความคิดสร้างสรรค์และผสมผสานกับนวัตกรรมที่ทันสมัยใน 9 แลนด์มาร์กทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ (17 ธ.ค. 67) ไปจนถึง 5 มกราคม ปีหน้าสำหรับ เทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ขับเคลื่อนจากการทำงานของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ร่วมกันเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยสู่การเป็น World Class Event Hub โดยช่วงปลายปีนับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความสุขหนึ่งในจุดไฮไลต์ คือ อาคารหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) รวมทั้งพื้นที่สองฟากฝั่งคลองผดุงกรุงเกษม ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ เต็มไปด้วยแสงสีจากการจัดไฟประดับอย่างสวยงาม ต้อนรับ “หมูเด้ง” บุกกรุงเทพ โดยมีหมูเด้งสีชมพูสดใสขนาดยักษ์ โผล่อยู่ด้านบน เป็นการจับหมูเด้งมาแปลงร่างเป็น “เด้งซิลล่า” (คล้ายก๊อดซิลล่า) อวดความน่ารักพร้อมแสงสีเสียงจัดเต็มจากนั้นเดินข้ามถนนไปอีกไม่กี่สิบเมตร สองฟากฝั่งของคลองผดุงกรุงเกษม ก็ระยิบระยับไปด้วยดวงไฟประดับประดาอย่างสวยงาม มีงานอาร์ตเป็น “ไข่ใบยักษ์” เรียงรายอยู่ริมคลอง พร้อมสีสันของไฟที่พร่างพราว สะท้อนไปกับผิวน้ำทั้งนี้ นอกจากบริเวณหน้าอาคารสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) กับ ริมคลองผดุงกรุงเกษม แล้ว Bangkok Illumination Festival ยังถ่ายทอดผ่านคาแรกเตอร์ ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปแคระขวัญใจคนทั่วโลกใน 9 แลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ได้แก่1. อาคารกีฬานิมิบุตรพบกับหมูเด้งที่มาบุกอาคารกีฬานิมิบุตร พร้อมแปลงโฉมเป็น “DJ เด้ง” ระเบิดบีตมันส์กระจาย พร้อมแสง สี เสียงแบบจัดหนักจัดเต็มความสนุก2. ลานใบบัว แยกปทุมวันหมูเด้ง ขอแปลงโฉมเป็น “มาดามเด้ง” สายช็อป สายเปย์ บุกลานใบบัว ปทุมวัน เตรียมตัวช็อปมันส์กระจายแบบสายเปย์ตัวแม่ พร้อมชวนทุกคนมาช็อปเพลิน เด้งสนุก3. ถนนจากสยามเซ็นเตอร์ - เซ็นทรัลเวิร์ลเดินไปไม่ต้องกลัวหลง เพราะน้องเด้งจะนำทางเองกับการตกแต่งริมทางด้วยไฟหลากสีสันบนเส้นทางแห่งความสุขจากสยามเซ็นเตอร์ สู่ เซ็นทรัลเวิร์ล4. สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง)จับหมูเด้งมาแปลงร่างเป็นไคจูกับ “เด้งซิลล่า” ตัวยักษ์สุดปัง บุกหัวลำโพง ขนคลังความสนุกไซส์ 3XXL มาถล่มแบบจัดเต็ม ออกมาเด้งกันให้มันส์สนั่นทั่วทั้งเมือง5. คลองผดุงกรุงเกษมตื่นตา ตื่นใจไปกับแสงสีสุดอลังการจากไข่ยักษ์ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ที่จะเนรมิตริมคลองทั้งสายให้มีชีวิตชีวา6. ถนนมิตรภาพไทย-จีน เยาวราชสนุกไปกับแสง สี สุดสดใส และรอยเท้าน่ารักของเจ้าหมูเด้ง ที่จะนำทางทุกคนสู่ความสนุกแบบเด้งๆ ตลอดเส้นทางถนนมิตรภาพไทย-จีน7. วงเวียนโอเดียน เยาวราชพบกับ ”หมวยเด้ง” หมูเด้งเชื้อสายจีนสุดน่ารักที่วงเวียนโอเดียน มาพร้อมคอสตูมสไตล์จีนสุดปัง อลังการทุกดีเทล ชวนทุกคนเด้งไปด้วยกันกับกลิ่นอายแบบจีนออริจินัล8. BTS สกายวอล์ก แยกอโศกแยกอโศกจะลุกเป็นไฟ เตรียมพบการตกแต่งสุดล้ำพร้อมแสง สี สุดอลัง ที่จะเปลี่ยนใจกลางกรุงเทพให้เด้ง กันให้สุดพลังกลางกรุงเทพฯ9. อุทยานเบญจสิริปิดจบความน่ารักที่ สวนเบญจสิริ กับธีม “หมูเด้ง อิน เดอะพาร์ค” ที่ชวนทุกคนมาปิกนิกชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศสุดสดใสไปพร้อมกับน้องเด้งผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 1672 Travel Buddy หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : 1672 Travel Buddyแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000121104
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
18/12/2024
งดงามราวกับภาพวาด “น้ำตกแม่เตี๊ยะ” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง หลังจากเปิดให้จองพื้นที่กางเต็นท์พักแรม ทำเอาเพจทางการของอุทยานฯ บอกว่า “แชทแตก!”ภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงหลังจากแฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง เผยภาพความงดงามของ “น้ำตกแม่เตี๊ยะ” น้ำตกขนาดใหญ่ในป่าลึก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง พร้อมระบุว่า “เปิดให้กางเต็นท์แล้ว”ภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงภาพความสวยงามของทัศนียภาพน้ำตกกับลานกางเต็นท์ ก็เอาเอากล่องแชทแตก มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยแฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง ระบุข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตกไว้ว่า น้ำตกแม่เตี๊ยะ ตั้งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ ที่ อล.7 (น้ำตกแม่เตี๊ยะ) ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ น้ำตกมีขนาดใหญ่ พื้นที่รอบข้างโอบล้อมไปด้วยป่าสีเขียวและธรรมชาติที่สบายตา เหมาะแก่การมาพักผ่อนภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงสิ่งที่ควรรู้- จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว 20 เต็นท์/คืน- นักท่องเที่ยวต้องนำเต็นท์มาเอง- ไม่รับ Walk in เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิ่งอำนวยความสะดวก- จองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน- ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และไฟฟ้าสามารถจองพื้นที่กางเต็นท์ “น้ำตกแม่เตี๊ยะ" ผ่าน inbox เพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง https://www.facebook.com/opluangnationalpark ในเวลาทำการเท่านั้นภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงข้อห้าม- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์- โฟม พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastics)- สัตว์เลี้ยง- ก่อไฟ**ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุทยานฯภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000117719
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
18/12/2024
การวางแผนเกษียณเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปี หรือเข้าสู่วัยเลขห้ามาได้หลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีเงินเก็บเพื่อใช้ยามเกษียณ ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นวางแผนเกษียณ เพราะคนส่วนใหญ่จะทำงานจนถึงอายุไม่เกิน 60 ปี จึงมีระยะเวลาเหลือสำหรับเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณไม่เกิน 10 ปี แต่ใครที่ยังมีร่างกายแข็งแรง และยังสามารถทำงานได้หลังอายุ 60 ปีไปแล้ว จะมีระยะเวลาทำงานเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณได้ยาวนานขึ้นเหตุผลที่การวางแผนเกษียณเป็นเรื่องสำคัญก็เพราะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีอายุยืนยาวมากขึ้น จากการดูแลสุขภาพของตัวเอง และนวัตกรรมทางด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยทำให้คนอายุขัยเฉลี่ยของคนส่วนใหญ่มีอายุยาวนานขึ้น ดังนั้นหากเกษียณไปแล้วและไม่มีเงินเก็บหรือรายได้เข้ามา คงต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างยากลำบากแน่นอนการเริ่มต้นวางแผนเกษียณด้วยการเริ่มต้นเก็บเงินตอน 50 ปี ถือว่ายังไม่สายเกินไปและยังสามารถทำได้ หากมีการวางแผนที่ดี ส่วนจะมีวิธีเก็บเงินอย่างไรนั้น วันนี้เรามีคำแนะนำให้ลองไปทำตามกันดู6 วิธีวางแผนเกษียณ เก็บเงินตอนอายุ 50 ปี1. วางแผนเกษียณ สำรวจค่าใช้จ่ายสิ่งแรกที่ควรทำสำหรับการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี คือ การสำรวจค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนว่ามีจำนวนเท่าไร ทั้งค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน และค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในอนาคตยามที่ต้องมีชีวิตภายหลังเกษียณการทำงานแล้ว และประเมินว่าแต่ละเดือนต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร รวมถึงระยะเวลาที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกนานเท่าไรการสำรวจค่าใช้จ่ายต่างๆ จะทำให้มองเห็นภาพกว้างๆ ว่า เราจำเป็นต้องมีเงินออมเท่าไร เพื่อใช้ในช่วงวัยเกษียณ การสำรวจค่าใช้จ่าย ยังช่วยทำให้เห็นภาพด้วยว่า อะไรคือสิ่งไม่จำเป็น อะไรเป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ซึ่งเราควรประหยัดหรือใช้จ่ายลดลง เพื่อมีเงินออมใช้ตอนเกษียณเพิ่มมากขึ้น2. วางแผนเกษียณ สำรวจหนี้สินการสำรวจหนี้สิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างแรกๆ ในการวางแผนเกษียณ เพราะหากเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี ถ้ามีหนี้สินจำนวนมากการจะมีเงินเก็บก้อนโตคงทำได้ยาก เพราะรายได้ที่หามาต้องเอาไปใช้หนี้สินหมด การสำรวจหนี้สิน จะทำให้รู้ว่าเราจะเหลือเงินเพื่อเป็นเงินออมเท่าไรก่อนเริ่มวางแผนเกษียณ ควรจัดการหนี้สินให้หมดเสียก่อน เพื่อให้ใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างมีความสุข ภาพจาก iStockนอกจากรู้ว่ามีหนี้สินเท่าไรแล้ว ก็ต้องวางแผนการชำระหนี้สินให้หมดโดยเร็ว เพื่อจะได้มีระยะเวลาเก็บเงินมากขึ้น แต่หนี้สินหรือค่าใช้จ่ายบางอย่าง ก็ใช่ว่าจะเป็นภาระเสียอย่างเดียว อีกมุมหนึ่งก็เป็นการออมได้ด้วย เช่น หนี้จากการผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือการซื้อประกันชีวิตในรูปแบบเงินออม ที่มีเงินคืนเมื่อครบอายุกรรมธรรม์ เป็นต้น ในอนาคตหนี้สินรูปแบบนี้จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนให้เราได้ เช่น นำบ้านหรือคอนโด ปล่อยเช่า เป็นต้น3. วางแผนเกษียณ เช็กทรัพย์สิน-ของมีค่าส่วนใครตอนทำงานอยู่ เอาแต่ช็อปปิ้งซื้อของใช้ ไม่ได้วางแผนเกษียณเก็บเงินออมไว้ใช้ในบั้นปลาย จนปัจจุบันอายุเข้าสู่วัยเลขห้าแล้ว คงต้องรีบกลับมาตั้งสติ และเริ่มวางแผนการเงิน เก็บออมเงิน ลดการใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณได้อยู่อย่างสุขสบายนอกจากการลดใช้จ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือยแล้ว คงต้องหันมาดูว่าปัจจุบันเรามีทรัพย์สินหรือสิ่งของอะไรบ้างที่มีค่า สามารถนำมาแปลงเป็นเงินได้บ้าง โดยทรัพย์สินหรือของมีค่านั้นควรจะปลอดหนี้ที่ต้องชำระ เมื่อสำรวจดูแล้ว หากเป็นของใช้ที่ไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการเก็บไว้แล้ว ก็สามารถนำออกมาขายเพื่อแปลงเป็นเงินสดเก็บไว้ หรือนำเอาเงินสดไปลงทุนในรูปแบบอื่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วย หรือแม้แต่ของใช้ภายในบ้านที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้แล้ว สามารถนำออกมาขายแปลงเป็นเงินได้ด้วย4. วางแผนเกษียณ หาทางเพิ่มรายได้การวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี หากพึ่งพาเฉพาะรายได้ที่ได้จากการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอแล้ว เพราะอย่าลืมว่าเรามีหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ต้องชำระด้วย และที่สำคัญคนที่ก้าวสู่วัยเลขห้า มีระยะเวลาเหลือในการเก็บเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณอีกไม่มากนัก การเพิ่มรายได้จากงานประจำที่ทำจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากรายได้หลัก ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพที่ 2 ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้อย่างมากมาย และไม่รบกวนงานประจำด้วย แต่จะเป็นงานอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละบุคคลว่ามีทักษะ หรือความสามารถด้านใดการมีอาชีพเสริม ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้เพิ่ม เพื่อใช้ในการวางแผนเกษียณได้โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้ทางเดียว ภาพจาก iStockนอกจากนี้ การหารายได้เพิ่ม ยังสามารถทำได้ด้วยการลงทุนรูปแบบต่างๆ ที่สร้างผลตอบแทน หรือสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ด้วย เช่น การปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วรูปแบบการหารายได้เพิ่มปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การทำงานเสริม หรือการทำอาชีพที่ 2 เท่านั้น5. วางแผนเกษียณ เริ่มต้นเก็บเงินหลังจากเราได้ทำตามข้อ 1-4 แล้ว คงต้องเริ่มต้นการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงิน โดยทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และตั้งเป้าหมายว่าชีวิตหลังจากเกษียณต้องใช้เงินเท่าไร หรือต้องมีเงินออมจำนวนเท่าไร เพื่อจะได้วางแผนเก็บเงินได้ตามที่ต้องการ ซึ่งรูปแบบการวางแผนเก็บเงินนั้น อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบเงินสดอย่างเดียว อาจจะเป็นการซื้อประกันชีวิตที่ได้เงินคืนเมื่อถึงอายุกรมธรรม์ การเก็บเงินในหุ้นกู้ ตราสาร หรือพันธบัตร เป็นต้น ก็สามารถทำได้ทั้งหมด6. วางแผนเกษียณ ดูแลสุขภาพกาย-สุขภาพใจนอกเหนือจากการวางแผนเกษียณด้านการเงินเพื่อใช้ตอนบั้นปลายแล้ว การดูแลสุขภาพร่างกาย และสุขภาพใจ เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะจะพบว่าค่าใช้จ่ายของคนในช่วงวัยผู้สูงอายุนั้น คือ ค่ารักษาพยาบาลจากโรคภัยไข้เจ็บสารพัดโรค การทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง มีโรคภัยที่น้อยที่สุด เป็นหนทางช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยามเกษียณได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าเราอาจจะมีเงินเก็บไม่มากนักก็ตามทั้งหมดนี้ ก็เป็น 6 วิธี วางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี เพื่อใช้บั้นปลายที่ทำได้ไม่ยากและทำได้ทุกคน แต่ทางที่ดีควรเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน จะทำให้มีเงินเก็บจำนวนมาก และไม่ต้องรีบร้อนเก็บในช่วงระยะเวลาที่เหลือไม่มากก่อนที่จะเกษียณอายุการทำงานด้วยข้อมูลอ้างอิง : กองทุนการออมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทยภาพ : iStockแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/lifestyle45plus/2756840
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
17/12/2024
กรุงเทพฯ 17 ธันวาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ (Chief Healthcare Officer, CHO) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทั้งนี้ คุณเอกรัตน์ จะยังคงดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทย ต่อไปการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลและส่งเสริมธุรกิจประกันสุขภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและพันธกิจของเอไอเอในการมุ่งพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ คุณเอกรัตน์จะรับผิดชอบในการบริหารงานที่เกี่ยวเนื่องกับประกันสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจและการตลาด ไปจนถึงการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตร การจัดตั้งเครือข่ายโรงพยาบาล การบริหารประสบการณ์ลูกค้า และการพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้คนไทยเข้าถึงประกันสุขภาพได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน คุณเอกรัตน์ เป็นผู้นำที่มากด้วยประสบการณ์และมีผลงานที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับในด้านการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของเอไอเอมาตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้การบริหารของคุณเอกรัตน์ ฝ่ายการตลาดได้ประสบความสำเร็จในด้านสำคัญต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตของเอไอเอ ประเทศไทยคุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จาก the Wharton School, University of Pennsylvaniaนอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณชลิดา นครชัย ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด แทนที่คุณเอกรัตน์ ที่ได้รับตำแหน่งใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งคุณชลิดาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทยด้วยเช่นกันคุณชลิดา เริ่มงานที่เอไอเอในปี 2559 โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย digital x รับผิดชอบในส่วนงานด้านการตลาดดิจิทัล การตลาดลูกค้า โครงการเอไอเอเพรสทีจสำหรับลูกค้าสินทรัพย์สูง การหาพันธมิตรด้านดิจิทัลแพลทฟอร์ม และเทคโนโลยีการตลาด (MarTech) ภายใต้บทบาทการทำงานในปัจจุบัน คุณชลิดาได้ยกระดับศักยภาพด้านการตลาดดิจิทัลให้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และแคมเปญต่าง ๆ ในรูปแบบใหม่ สร้างฐานลูกค้าผ่านช่องทางการตลาดต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ รวมทั้งพัฒนาการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าแบบรายบุคคล คุณชลิดา นครชัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเคมี จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ จาก Kellogg School of Management, Northwestern University
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
27/06/2024
30/04/2024
06/11/2024
30/04/2024
29/04/2024