คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่โรงภาพยนตร์ เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีน สำหรับสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 28 มิถุนายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด จับมือ นายไบรอัน ฮอลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เซกคิวทีฟ ซีนีม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดตัวแคมเปญมอบเอกสิทธิ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับด้านความบันเทิงให้แก่สมาชิกเอไอเอ       เพรสทีจ คลับ (AIA Prestige Club) กับประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบพรีเมียมระดับโลกฟรี สำหรับสมาชิก เอไอเอ เพรสทีจ คลับ ระดับแพลทินัม และส่วนลดสูงสุด 50% ให้แก่สมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ระดับโกลด์ ณ โรงภาพยนตร์ เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์สุดหรู เพรียบพร้อมด้วยบริการระดับ 6 ดาว จับมือกับบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ อย่างเอไอเอ ประเทศไทย เพื่อร่วมเปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ เท่านั้น ตอกย้ำถึงความตั้งใจที่เอไอเอต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและเอกสิทธิ์เหนือระดับให้แก่สมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ โดยสามารถรับสิทธิพิเศษนี้ได้ผ่านแอปพลิเคชัน AIA iService ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2566 เป็นต้นไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์บริการลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ 02-353-8900 ทุกวัน เวลา 08:00 – 22:00 น. *เงื่อนไขเป็นไปที่ตามบริษัทเอไอเอ จำกัด กำหนด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิด 6 เหตุผล ที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ

30/04/2024

บทความโดย "วริศรา แสงอุไรพร"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 27 มิถุนายน 2566 ถ้าพรุ่งนี้คุณจะต้องเกษียณแล้ว คุณอยากเห็นภาพชีวิตในวัยเกษียณของคุณเป็นอย่างไร ? คุณกำลังใช้ชีวิตอย่างไร ? อยู่ที่ไหน ? ภาพชีวิตในวัยเกษียณของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอาจมีความสุขกับการไปท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ บางคนอาจมีความสุขกับการอยู่บ้าน ใช้เวลากับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ในขณะที่บางคนก็ยังคงสนุกกับการทำงาน ซึ่งคำตอบที่แตกต่างกันจะส่งผลถึงจำนวนเงินเกษียณที่ต้องเตรียมต่างกัน แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร คนส่วนใหญ่ก็อยากมีชีวิตวัยเกษียณที่ดี มีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการกับคนที่รัก โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่ทำไมถึงมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำแบบนั้นได้ มาร่วมอ่านไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีเป้าหมาย ข้อแรกที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ คือ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเกษียณเท่าไหร่ หรือไม่เคยคิดเรื่องเก็บเงินเกษียณมาก่อน และเมื่อไม่เคยคิดถึงจึงไม่ได้เริ่มเก็บเงิน และเมื่อไม่เก็บจึงมีไม่มากพอ หรืออาจคิดว่าในยามเกษียณสามารถพึ่งพาลูกหลาน หรือรัฐบาลได้ หรือคิดจะทำงานต่อไปจนตลอดชั่วชีวิต ทำให้ไม่สนใจที่จะเริ่มเก็บเงิน แต่ถ้าถามว่าการจะพึ่งพาคนอื่นหรือทำงานไปจนชั่วชีวิตได้ไหม ? ก็อาจจะได้ แต่ไม่ง่าย และถ้าไม่เป็นอย่างที่คิด จะมาเริ่มเก็บตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีแผนในการเก็บเงิน ข้อต่อมาที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ คือ ไม่มีแผนในการเก็บเงินที่ชัดเจน บางคนเลือกใช้จ่ายก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ ใช้ไปจนหมดจึงไม่เหลือให้เก็บ หรือเลือกที่จะใช้จ่ายไปกับความสุขในปัจจุบัน และไม่ได้เหลือเงินสำหรับอนาคต เช่น ซื้อของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ทั้งรถ เสื้อผ้า สินค้าเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ท้ายที่สุดแล้วก็แทบไม่เหลือมูลค่า ซื้อบ้านที่ราคาแพงเกินไปทำให้เสียเงินเป็นค่าดอกเบี้ยมหาศาล ทุ่มเงินกับการศึกษาที่ดีที่สุดของลูกจนลืมเก็บเงินเผื่อไว้ให้ตัวเอง ฯลฯ ไม่ได้กระจายการลงทุน หรือไม่ได้มีแผนการเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอทำให้สุดท้ายมีเงินเกษียณไม่เพียงพอ เริ่มเก็บเงินช้าเกินไป ในช่วงที่อายุยังน้อย คนส่วนใหญ่ยังไม่คิดถึงการเตรียมเงินเกษียณ เพราะรู้สึกว่ายังมีเวลาอีกนาน จนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึงวัย 40 หรือ 50 แล้วค่อยเริ่มเก็บเงินอย่างจริงจัง ทำให้เวลาในการออมเงินเกษียณอาจเหลือน้อยเกินไป เก็บไม่มากพอ หรือลืมคำนึงถึงค่าใช้จ่ายบางตัว เงินที่ใช้ในยามเกษียณเป็นเงินก้อนใหญ่ที่อาจต้องใช้อย่างยาวนาน บางคนอาจจากไปก่อนเกษียณ ขณะที่บางคนอาจอายุยืนถึง 100 ปี ซึ่งจำนวนปีที่เกษียณขึ้นกับว่าคนคนนั้นเกษียณเร็วหรือช้า และอายุยืนมากหรือน้อย ซึ่งแน่นอนว่าการเตรียมเผื่อเหลือย่อมดีกว่าเผื่อขาด เพราะถ้าเตรียมไว้น้อยไปจะมาเริ่มทำงานเก็บเงินใหม่ในวัยเกษียณก็อาจไม่ทัน แต่ถ้าเงินเหลือยังส่งมอบให้ลูกหลานต่อได้ ทำให้เมื่อเกษียณต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าเก็บเงินน้อย แน่นอนว่ามันย่อมไม่เพียงพอ หรือบางครั้งอาจเกิดจากการประมาณค่าใช้จ่ายน้อยเกินจริง อาจลืมคำนึงถึงเงินเฟ้อ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ค่ารักษาพยาบาลทั้งของตัวเองและคนที่ต้องดูแล ค่าซ่อมแซมบ้าน ค่ารถคันใหม่ ค่าภาษี หรือค่าใช้จ่ายในการดูแลพ่อแม่ที่อายุยืน ฯลฯ ทำให้เตรียมเงินไว้น้อยเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุน บางคนเลือกเก็บเงินเกษียณเกือบทั้งหมดไว้ในธนาคาร ที่ปัจจุบันได้ดอกเบี้ยเพียง 0.25% ซึ่งได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามูลค่าเงินเฟ้อ ทำให้เงินที่เก็บไว้ไม่เพียงพอ ในขณะที่ถ้านำเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ถ้ามีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานพอ ความเสี่ยงจากการลงทุนจะลดลง หรือบางคนก็ถูกหลอกให้ลงทุนทำให้สูญเงินไปจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังอย่างหนึ่งคือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีเกินจริงมักไม่มีอยู่จริง หรือไม่ได้กระจายการลงทุน เพราะสิ่งสำคัญในพอร์ตการเกษียณไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุด แต่เป็นผลตอบแทนที่เพียงพอให้บรรลุเป้าหมายโดยอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้ ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี คนส่วนใหญ่มีเงินผ่านมือตลอดชีวิตมากมาย แต่หากปราศจากที่ปรึกษาที่ดีน้อยคนที่จะมีเงินเก็บมากพอที่จะใช้ยามเกษียณ ที่ปรึกษาที่ดีไม่ใช่คนที่เก่งกว่า แต่คือผู้ที่จะทำให้ท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจน ร่วมสร้างแผนเกษียณ คอยกระตุ้นและให้กำลังใจท่านในการการลงมือทำ ติดตามแผน และปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้คนบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเพื่อความสำเร็จในการวางแผนเกษียณ ท่านต้องมีเป้าหมายการเกษียณที่ชัดเจน โดยคำนวณให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น เขียนแผนการเก็บเงินที่เรียบง่ายที่สามารถทำได้จริงอย่างสม่ำเสมอและทำเป็นระบบที่จะตัดเงินไปออมหรือลงทุนอย่างอัตโนมัติ เริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วงเวลาเก็บเงินเกษียณที่ดีที่สุดคือตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่ถ้าจะคิดเริ่มตอนนี้ก็ไม่ถือว่าช้าเกินไป มีวินัยในการออมอย่างต่อเนื่อง ออมให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้ กระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลาย อาจเลือกออมและลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. RMF SSF หุ้น กองทุนรวม ประกันบำนาญ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยเก็บไว้ทั้งในรูปแบบเงินที่จะได้คืนแน่นอนให้เพียงพอสำหรับรองรับค่าใช้จ่ายประจำ และลงทุนเพื่อให้เงินเติบโตเพียงพอสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เพียงเท่านี้ชีวิตวัยเกษียณที่ดีของคุณก็จะไม่เป็นเพียงฝัน แต่สามารถเกิดขึ้นจริง แล้วพบกันที่ชีวิตเกษียณสุขของทุกท่าน เป็นกำลังใจให้เสมอ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1331219

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สร้างวินัยการออมกับ “ประกันสะสมทรัพย์”

30/04/2024

หลายคนที่เริ่มมองหาช่องทางการออมเงินในช่วงจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น อีกหนึ่งรูปแบบการออมที่ไม่ควรมองข้ามทั้งมือใหม่และมือเก๋า คือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่มาในรูปแบบของการเก็บออมเงิน และมีความคุ้มครองด้วย โดยกรมธรรม์จะดำเนินไปตามสัญญา หากชำระเบี้ยประกันครบตามสัญญา ก็จะได้รับทุนประกันคืนพร้อมดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตามที่บริษัทประกันชีวิตกำหนดไว้ในสัญญากรมธรรม์ โดยผู้ทำประกันสามารถเลือกรับเงินก้อนเดียวเมื่อครบสัญญา หรือเลือกรับเป็นเงินคืนระหว่างปีกรมธรรม์ก็ได้ทั้งนี้ หากเสียชีวิตในระหว่างปีกรมธรรม์ ผู้รับผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์จะได้รับผลประโยชน์ตามที่กรมธรรม์ได้ระบุไว้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตได้มีการพัฒนารูปแบบกรมธรรม์ที่หลากหลาย ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันสะสมทรัพย์จึงต้องทำความเข้าใจและศึกษารายละเอียดของผลประโยชน์ของกรมธรรม์ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจซื้อ“ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แตกต่างจากการออมเงินในธนาคารที่จะไม่สามารถถอนออกมาใช้ได้ก่อนครบกำหนดตามสัญญา ซึ่งผลประโยชน์จะคุ้มค่าต่อเมื่ออยู่ครบตามสัญญาเท่านั้น ช่วยสร้างวินัยในการเก็บออม และการวางแผนการเงินในอนาคต และสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้”ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ดียังไง?1. สร้างวินัยการออม เพราะสามารถเลือกชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปี เป็นระยะเวลาติดต่อกันตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย2. สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ สำหรับแบบะประกันชีวิตสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด3. ผู้เอาประกันจะได้รับเงินคืนระหว่างปี โดยจะได้เป็นรายปีไปจนกระทั่งครบกำหนดสัญญา อย่างไรก็ตาม เงินคืนระหว่างสัญญาจะได้จำนวนเท่าไรขึ้นอยู่กับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ขณะเดียวกันยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แบบที่ไม่มีเงินคืนระหว่างสัญญาด้วย ซึ่งสามารถตรวจสอบเงื่อนไขจากตัวแทนประกันชีวิตของแต่ละบริษัทได้3 ข้อมือใหม่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำประกันจากข้อดีที่หลากหลายของประกันสะสมทรัพย์ สำหรับมือใหม่ที่สนใจจะเลือกออมเงินกับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ควรต้องรู้ก่อนตัดสินใจ กับ 3 ข้อควรรู้ง่ายๆ คือข้อที่ 1 ควรต้องรู้ก่อนว่ารายละเอียดของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นั้นเป็นอย่างไร เพราะแบบประกันสะสมทรัพย์จะแตกต่างระหว่างการออมเงินในธนาคาร ถ้าอยู่จนครบสัญญาจะได้รับผลกำไรที่ดีกว่าการหยุดไประหว่างทาง ที่สำคัญผู้เอาประกันจะไม่สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไปแล้วนั้นออกมาใช้ได้เหมือนกับการออมเงินแบบปกติ จึงทำให้เราสามารถออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการออมเงินผ่านธนาคารซึ่งมีสภาพคล่องมากกว่าข้อที่ 2 การเลือกประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระยะสั้นไม่ได้ดีไปกว่าการฝากเงินระยะยาว เพราะไม่ว่าจะเลือกออมระยะสั้นหรือออมระยะยาวจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนเป็นหลัก เพราะในบางครั้งการออมระยะสั้นอาจจะไม่ได้รับเงินที่คุ้มค่ากว่าระยะยาวเสมอไป ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเงื่อนไขให้ดี เช่นเดียวกันกรมธรรม์ที่มีเงินปันผล กับแบบที่ไม่มีเงินปันผล ซึ่งไม่ว่าแบบไหนจะเหมาะกว่ากันนั้นต่างก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการออมของแต่ละคนทั้งสิ้นข้อ 3 ประเมินความสามารถในการชำระเบี้ยประกันให้ดี เพื่อไม่ให้เงินที่ชำระค่าเบี้ยประกันไปแล้วเสียเปล่าหากจ่ายไม่ไหวและต้องหยุดส่งกลางทางได้ ซึ่งอาจจะทำให้เสียประโยชน์มากกว่าการชำระเบี้ยไปจนครบอายุสัญญา ดังนั้นในการเลือกกรมธรรม์จึงไม่ควรที่จะเลือกแบบประกันที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงเกินกว่ากำลังซื้อที่จะสามารถจ่ายได้ไปตลอดอายุสัญญากรมธรรม์“จะเห็นได้ว่า การทำประกันสะสมทรัพย์เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเงินออม ที่สามารถสร้างวินัยในการออมเงินได้เป็นอย่างดี เพราะจะต้องส่งค่าเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอตามสัญญา อีกทั้งรับความคุ้มครองชีวิตและสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้กับคนข้างหลังได้เป็นอย่างดี”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2023/43266/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แบงก์ชาติ เปิดวิธีรับมือหนี้บ้านในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

30/04/2024

ธปท.เปิดเคล็ดลับจัดการ “หนี้บ้านช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น” แนะ 2 วิธีรับมือ “ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้-ขอธนาคารลดดอกเบี้ย-รีไฟแนนซ์” เผย ลูกค้าจ่ายดอกเบี้ยคงที่มีเวลาปรับตัว ส่วนดอกเบี้ยลอยตัวเงินตัดต้นน้อยลง วันที่ 25 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุผ่าน Line Official ว่า ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลเศรษฐกิจจากการที่เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดแล้วย่อมส่งผลมาถึงภาระการผ่อนบ้าน กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านก็จะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วลูกหนี้สินเชื่อบ้านกลุ่มใดจะได้รับผลกระทบบ้าง และเราจะมีวิธีไหนมาช่วยลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยให้ปลดหนี้บ้านได้เร็วขึ้นด้วย Financial Wisdom มีคำตอบและคำแนะนำมาฝาก ทั้งนี้ ในวงการสินเชื่อบ้านจะมีกลุ่มคนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ 2 กลุ่ม ที่จะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน คือ 1. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate) ลูกหนี้กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังคงถูกคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปตามสัญญา โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็น fixed rate ในช่วงแรก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก แล้วค่อยปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว ทำให้ยังพอมีเวลาปรับตัวและสามารถหาเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีก่อนที่ดอกเบี้ยตามสัญญาจะเปลี่ยนไปเป็นช่วงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว 2. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate) กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเมื่ออัตราดอกเบี้ยในสัญญาถึงกำหนดปรับเป็น Floating Rate เนื่องจากค่างวดที่ชำระในแต่ละเดือนจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น หากจ่ายค่างวดบ้านเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นก็จะเหลือเงินมาตัดชำระเงินต้นได้น้อยลงสำหรับใครที่อยากลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้หรือหมดหนี้บ้านไวขึ้น อยากชวนมาลองทำตามวิธี ดังนี้ 1. จัดการรายรับ-รายจ่าย ได้แก่ ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ ทั้งการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จะช่วยให้เรามีเงินคงเหลือในแต่ละเดือนเพิ่มมากขึ้น (เงินคงเหลือ = รายรับ-รายจ่าย-ภาระผ่อนหนี้) พอมีเงินเหลือมากขึ้น เราก็สามารถนำเงินที่มีไปโปะหนี้เพิ่มเพื่อปลดหนี้ให้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายอีกด้วย เราอาจเริ่มจากการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นต่างๆ  อย่างค่าลอตเตอรี่หรือค่ากาแฟ ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เพราะหากสามารถลดได้ เช่น จากซื้อทุกวันเหลือสัปดาห์ละครั้ง หรือลดจำนวนเงินที่จ่ายต่อครั้งลง นอกจากจะดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดยิ่งขึ้นแล้ว ยังอาจมีเงินเหลือเป็นก้อนใหญ่จนเราตกใจก็เป็นได้ (ลองคำนวณจำนวนเงินคร่าว ๆ ได้ที่ โปรแกรม “เงินหายไปไหน”) นอกจากนี้ อาจจะมองหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราถนัดหรือสนใจด้วย เช่น ขายของออนไลน์ ขายเสื้อผ้า 2. เจรจาเจ้าหนี้หรือหาเงื่อนไขใหม่ที่ดีกว่า ได้แก่ เจรจาขอลดดอกเบี้ยและ Refinance การเจรจาต่อรองขอลดดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้และควรทำ เพราะหนี้บ้านส่วนใหญ่จะมีอัตราดอกเบี้ย 2 ช่วง คือ ดอกเบี้ยต่ำในช่วงแรกเพื่อจูงใจลูกค้า และมักจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก และช่วงที่สองเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวซึ่งมักจะแพงกว่าช่วงปีแรกๆ เช่น MRR จนสิ้นสุดอายุสัญญา เมื่อเราผ่อนไประยะหนึ่งจนใกล้ถึงช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามสัญญาจะคิดแบบลอยตัว เราก็สามารถเข้าไปยื่นเรื่องเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่น ปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาระดอกเบี้ยไม่สูงขึ้นไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งยังช่วยปลดหนี้ได้เร็วขึ้นกว่าการจ่ายตามสัญญาไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปขอลด ดังนั้น ใครมีสินเชื่อบ้านอย่ารอช้า รีบดูสัญญาว่าใกล้ช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังจะหมดโปรโมชั่นหรือถูกปรับขึ้นหรือยัง ถ้าใกล้แล้ว อย่าลืมไปยื่นเรื่องเจรจาขอลดดอกเบี้ยกัน โดยขอแนะนำว่า ควรเตรียมตัวอย่างน้อย 1 เดือนก่อนที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในสัญญาจะปรับเป็นแบบลอยตัว ซึ่งเราสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินที่ใช้บริการว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพื่อประกอบการยื่นเรื่องให้สถาบันการเงินพิจารณา ถัดมาก็คือ refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่นที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินที่เราใช้บริการอยู่ อย่างไรก็ดี ก่อนจะ refinance อย่าลืมคำนึงถึงต้นทุนแฝงต่าง ๆ ด้วยว่าคุ้มกับการ refinance หรือไม่ เช่น ค่าเบี้ยปรับชำระก่อนครบกำหนด (prepayment fee) ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากใครที่ต้องการ refinance และกำลังมองหาเงื่อนไขที่ดีกว่าสถาบันการเงินที่ใช้อยู่เดิม การเจรจาขอลดดอกเบี้ยและการ refinance จะช่วยให้เราประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และชำระเป็นเงินต้นในแต่ละเดือนได้มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เราปลดหนี้ได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง จะเห็นได้ว่า แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อภาระหนี้บ้านของเรา แต่หากมีการจัดการที่ดี หนี้บ้านก็จะไม่ใช่ปัญหาหนัก กลายเป็นทรัพย์สินและสถานที่ที่อบอุ่นสำหรับทุกคนในครอบครัวไปตราบนานเท่านาน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1332308

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ครองอันดับ 1 รางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 (TNQA 40th) ติดต่อกันเป็นปีที่ 16

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพพลังตัวแทนประกันชีวิต ร่วมพิธีมอบรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 (Thailand National Quality Awards: TNQA 40th) โดยได้รับเกียรติจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วยผู้บริหารฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายดำรงศักดิ์ ขุนทอง ผู้อำนวยการตัวแทนประกันชีวิตภาค 2 นายกฤช ธีรสุข ผู้อำนวยการตัวแทนประกันชีวิตภาค 4 และนางสลักจิต นิลประเสริฐศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางการขาย ร่วมถ่ายภาพเพื่อแสดงความยินดีแก่ตัวแทนที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ซึ่งในปีนี้ มีตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ จำนวนทั้งสิ้น 1,260 ท่าน และมีตัวแทนที่ได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ 20 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 1 ท่าน ได้แก่ นางสาวนีดา  ทรัพย์ประดิษฐ์ รางวัลโล่เกียรติคุณ 15 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 2 ท่าน ได้แก่ นางกชพร  เพียรชนะ และนายสมสุข  พิชญ์ชัยประเสริฐ โดยงานจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 ณ รอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานีนอกจากนี้ ยังมีตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ที่คว้ารางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ซึ่งได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ 10 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 16 ท่าน ได้แก่ นายวรพล  ช่วยบุญ นางสาวสกลวรรณ อยู่สุวรรณ นายรัฐวัชร์ รวีหิรัญวัชรากุล นางสาวนีรรัตน์ เหลืองสิวากุล นางสาวกิตติยา อัครนุพงศ์ ดร.ภาคภูมิ ศิริโรจน์วงศ์ นางสาวสุปรียา หัสชู นางเพชรดา กาละ นางสาวชลาลัย คงแก้ว นางพิมลวรรณ พรหมจรรย์ นายณัฐกฤต วิบูลชัยชีพ นางณฐมน ทิพย์วงศ์ นายรัตนพงษ์ ชังชั่ว นางปัจฌาญาพรหม์ อวัศยาศิริ นายสุรชัย บุญรัตน์ และนางสาวราตรี อินตะปา  รางวัลโล่เกียรติคุณ พร้อมเกียรติบัตร อีกจำนวน 5 ท่าน ตลอดจนยังมีตัวแทนอีก 1,236 ท่าน ที่ได้รับเกียรติบัตร พร้อมกันนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้จัดพิธีมอบเสื้อสูท TNQA ให้แก่พลังตัวแทนที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแก่ตัวแทน ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของเอไอเอ ประเทศไทย และนับเป็นภาพที่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการให้บริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนความสามารถที่โดดเด่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งทุกท่านต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการดูแลลูกค้าให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ลวงรักคริปโต สาวใหญ่สูญร่วม 3 ล้านบาทหลอกลงทุนผ่านแอปหาคู่ พบแหล่งใหญ่อยู่ในกัมพูชา

30/04/2024

คุณแม่ลูกสามที่เพิ่งหย่าร้างได้เปิดเผยว่าเธอสูญเสียเงินกว่า 100,000 ดอลลาร์ให้กับนักต้มตุ๋นที่เธอพบใน Tinder หลังจากที่เขาโน้มน้าวให้เธอลงทุนในโปรแกรมคริปโตเคอเรนซีปลอม รีเบคก้า ฮอลโลเวย์ สาวใหญ่วัย 42 ปี ที่เพิ่งหย่าร้างหลุดพ้นจากชีวิตแต่งงานครั้งที่ 2 กลับพบกับชะตากรรมที่แสนเศร้าอีกครั้ง เมื่อเธอถูกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นิ โดยหลอกเธอว่าเป็นผู้ประกอบการชาวฝรั่งเศสชื่อ “เฟรด” โดยชักชวนเธอให้ร่วมลงทุนเก็งกำไรเหรียญคริปโต ซึ่งโน้มน้าวใจด้วยผลตอบแทนสูง ทำให้เธอหลงเชื่อจนสูญเสียเงินให้กับมิจฉาชีพรายดังกล่าวมากกว่า 100,000 ดอลลาร์ ทั้งนี้ รีเบคก้า ถือว่าเธอเป็นเหยื่อรายที่ 3 แล้วที่ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการหลอกลวงอันชั่วร้ายที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งมีความถี่เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมิจฉาชีพจะเน้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อที่มีรูปร่าง "อ้วน" ด้วยการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกปลอมๆ ก่อนที่จะถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านคริปโต หรือ สแกมที่สร้างมาเพื่อใช้ลวงการลงทุน ขณะที่เชรียา เดตต้า ผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี วัย 37 ปี และ Kate แม่เลี้ยงเดี่ยว วัย 41 ปีซึ่งทั้งคู่เคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าว ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 450,000 ดอลลาร์และ 80,000 ดอลลาร์ตามลำดับ ด้วยความหลงเชื่อในคำลวงที่แสนโรแมนติกของมิจฉาชีพเหล่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้ว สาวใหญ่ทั้ง 3 รายเสียเงินกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ หรือกว่า 15 ล้านบาทให้กับนักต้มตุ๋น เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การหลอกลวงกำลังกลายเป้นปัญหาที่ระบาดหนักในสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับยอมรับว่าพวกเขาเห็นคดีเหล่านี้ “เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก” โดยหน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบในการ "ปกป้อง" ระบบการเงินและการชำระเงินของอเมริกา และตรวจสอบกรณีการฉ้อโกงที่มีมูลค่าสูงอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ทาง ฮอลโลเวย์กล่าวกับ Dailymail.com โดยเฉพาะว่า “ผู้หญิงโสดในวัยกลางคน มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพกลุ่มนี้" ขณะที่ รีเบคก้า ฮอลโลเวย์ รูปภาพได้เปิดเผยว่าเธอสูญเสีย 401(K) ทั้งหมดให้กับนักต้มตุ๋นที่เธอพบใน Tinder ได้อย่างไร หลังจากที่เขาโน้มน้าวให้เธอลงทุนในแผนการปลอมแปลงสกุลเงินดิจิทัล 'เรามีเงิน แต่บางทีเราอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่ และทันใดนั้นหนุ่มหล่อคนนี้ก็เริ่มคุยกับคุณและคุณก็ตื่นเต้นด้วยคำหวานมากมายที่เขามอบให้มา' 'เมื่อมองย้อนกลับไป สัญญาณชัดเจนมาก แต่ในขณะนั้นคุณอยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง' ฮอลโลเวย์ กล่าวว่า ฉัน รู้สึกสนใจ “เฟรด” ทันทีจากที่เขาบอกว่าเป็นผู้บริหารการตลาดอิสระที่เคยทำงานในวอลล์สตรีท โดยหลังจากได้พูดคุยกับเขา ทำให้ฉันวางใจ เนื่องจากรู้สึกว่าสิ่งที่เขาตอบคำถาม มีความสอดคล้องและแตกต่างจากผู้ชายที่เธอมักจะจับคู่ด้วย เขาอ้างว่าเป็นผู้ประกอบการชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย เขายังบอกด้วยว่าเขามีลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ผูกพันกัน เนื่องจากฮอลโลเวย์มีลูกวัยรุ่นสามคน พวกเขาจับคู่กับ Tinder ในเดือนมีนาคมปีนี้และย้ายไปที่การส่งข้อความอย่างรวดเร็ว โดยที่ 'เฟรด' ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของเขา ซึ่งกระตุ้นความสนใจของ Holloway ในทันที สิ่งที่เขาพูดส่วนใหญ่เป็นความจริง เขาบอกเธอว่าหลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank มีเงินจำนวนมากที่จะเคลื่อนย้ายออกไปอยู่บนแพลตฟอร์มทางเลือก ในเวลานั้น สื่อต่างๆ ได้เผยแพร่รายงานที่มีหัวข้อข่าวเช่น “Bitcoin Soars ระหว่างการล่มสลายของธนาคารใน Silicon Valley” ด้วยความทึ่ง เธอคิดว่าเขามีความจริงใจและการชักชวนลงทุนนั้น "ไม่มีอันตราย" ซึ่งจากการรับฟัง Fred และภายใต้คำแนะนำของเขา เธอได้โอนเงิน 1,000 ดอลลาร์ ไปยังสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัลที่แท้จริง แพลตฟอร์มที่เขาเสนอให้เธอนั้นจำลองมาจากเว็บไซต์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่มี URL ที่แตกต่างกันเล็กน้อย เธอเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในทันที โดยได้รับ $168 จากการเทรดสี่ครั้ง การหลอกลวงแบบ "เชือดหมู" จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับเหยื่อ โดยนักต้มตุ๋นพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายเดือนเพื่อสร้างความไว้วางใจ โดยกระบวนการวางแผนการทำงานของมิจฉาชีพหรือ พวกสแกมเมอร์ มักจะปล่อยให้เหยื่อถอนเงินจากแอปการลงทุนอย่างง่ายดายในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาลงทุนด้วยวงเงินที่เพิ่มมากขึ้น และอย่างหนัก พวกเขาก็จะสูญเสียเงินลงทุนส่วนใหญ่ทั้งหมดไป ซึ่งจากที่ฮอลโลเวย์ถูกหลอกด้วยผลตอบแทนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงแรก $168 ซึ่งเธอสามารถถอนเงินดังกล่าวออกได้และโอนกลับไปยังบัญชีธนาคารของเธอ เพื่อสร้างความเชื่อใจว่าเธอจะได้เงินจำนวนมากขึ้น หากลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นเธอก็แลกเงินออมอีก 6,000 ดอลลาร์เพื่อลงทุน และเฝ้าดูเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเธอกับ 'เฟรด' ก็เบ่งบาน แม้ว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการเจอหน้ากัน แต่เขาจะวิดีโอคอลหาเธอขณะที่เขากำลังรับประทานอาหาร แม้ว่าเธอจะบอกว่าเขาอยู่นอกกล้องเป็นส่วนใหญ่ และเธอก็พยายามที่จะมองหน้าเขาเพื่อจดจำหน้าเขา หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอได้จ่ายเงินทั้งหมดกว่า 401,000 ดอลลาร์ (ซึ่งเป็นเงินที่อยู่ในแผนการเกษียณอายุในที่ทำงาน) ซึ่งมีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ หลังจากหักภาษีรัฐบาลที่เธอต้องเสียในระหว่างการทำธุรกรรมแล้ว เธอเหลือเงิน 70,000 ดอลลาร์เพื่อลงทุนใหม่ ในขณะที่เธอไปทานอาหารเย็นกับเพื่อน และเล่ารายละเอียดความสัมพันธ์ของเธอกับ 'Fred' ผ่านทางแอปทินเดอร์ให้กับเพื่อนฟัง “เพื่อนของฉันเล่าเรื่องกลโกงการเชือดหมูให้ฉันฟัง แล้วฉันก็รู้ว่าตอนนี้ความเสี่ยงและอันตรายเกิดขึ้นกับฉันแล้ว และอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น” เธอกล่างงงง 'มันให้ความรู้สึกเหมือนที่เคยดูในหนัง ที่จู่ๆ ทุกสิ่งรอบตัวฉันก็จางหายไป และผิดเพี้ยนไป ฉันไม่ได้พยายามถอนเงินด้วยซ้ำ ฉันคิดว่ามันหายไปในตอนนั้น' เธอเคยสงสัยหลายครั้งว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับ 'เฟรด' บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังคุยกับคนอื่น อารมณ์แปรปรวนบ่อย นอกจากนี้เธอยังสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีสำเนียงภาษาฝรั่งเศสในวิดีโอที่เขาส่งมา ขณะที่ข้อมูลจากศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตของเอฟบีไอ (IC3) แสดงให้เห็นว่าการหลอกลวงสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบการฉ้อโกงการลงทุนที่เติบโตเร็วที่สุดิ โดยในทุกกรณี เหยื่อรายงานความสูญเสีย 2.57 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นมากกว่า 183 เปอร์เซ็นต์จากปี 2564 ในเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับที่สำนักงานภาคสนามในซานฟรานซิสโกได้จัดงาน “ถามอะไรฉันก็ได้บน Reddit” ซึ่งพวกเขากล่าวว่าตอนนี้การเชือดหมูเป็นหนึ่งในกลโกงที่พบบ่อยที่สุดที่พวกเขาพบเจอ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซานฟรานซิสโก เรามักจะมุ่งเน้นไปที่กรณีของเหยื่อ เช่น กรณีที่บุคคลหรือบริษัทได้รับผลกระทบ” ร่างกฎหมายระบุในแถลงการณ์ 'ทุกวันนี้ เราเห็นการหลอกลวงการลงทุนแบบโรงฆ่าหมูจำนวนมาก และเราได้ทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้น' และในเดือนกันยายน แอนดรูว์ เฟรย์ นักวิเคราะห์การเงินด้านนิติเวชของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐที่สำนักงานภาคสนามในซานฟรานซิสโก บอกกับฟอร์บส์ว่าการเชือดหมูในขณะนี้เป็น “กลโกงขั้นสุดยอด” “พวกเขายกระดับขึ้นมาในแง่ของความซับซ้อนในการสร้างแอพเหล่านี้ด้วยการรับรู้ว่าผู้คนกำลังทำเงิน” เขากล่าว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ากลุ่มมิจฉาชีพที่ถูกเรียกว่า "ขบวนการโรงเชือดหมู" หลายแห่งดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรซึ่งใช้พื้นที่ในประเทศกัมพูชาเป็นที่ดำเนินการ และมีพนักงานหลายพันคนโดยขบวนการดังกล่าวเชื่อมโยงกับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ และการพนันออนไลน์ ซึ่งอาศัยช่องโหว่ด้านธุรกรรมระหว่างประเทศในการดำเนินการ ขณะที่จากรายงานของ Vice News และ South China Morning Post เมื่อปีที่ระบุว่า กลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อการค้าแรงงานกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกกดขี่และถูกปฏิบัติอย่างทารุณ เพราะพวกเขาถูกล่อลวงไปที่นั่นด้วยสัญญาจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และถูกนายจ้างตามกฏหมายนั้น ขายต่อให้กับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าว โดยกระบวนการหลอกลวงจะมีการนำเสนอสคริปต์ที่ปรับให้เหมาะกับเหยื่อแต่ละรายเพื่อล่อลวงเหยื่อกลุ่มเป้าหมายบทสนทนาส่วนหนึ่งของมิจฉาชีพในการชักชวนเหยื่อลงทุนคริปโตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000055756

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

‘หุ้นสุดยอด…หายนะ’ แต่งบัญชี สร้างรายได้กำไรเทียม ไซฟอนเงิน โกงเงินจากตลาดหุ้น

30/04/2024

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า ตีแผ่ภาพบริษัทใหญ่ ปั้นหุ้นเติบโตเร็วแบบติดจรวดเทียม ลวงด้วยซูเปอร์สต๊อกเทียม แต่งบัญชีหลอก ไซฟอนเงิน โกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้นสุดท้ายนักลงทุนที่หลงเข้าไปดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ ‘หุ้นสุดยอด…หายนะ’ โดยระบุว่า ช่วงเร็วๆ นี้เราได้พบเห็นหุ้นที่เคยดีมาก คือราคาเคยขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงมาก หลายตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ 1-2 ปี แต่แล้วหลังจากนั้นมันก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว หลายตัวลดลงมา 30-40% ขึ้นไป บางตัวลดลงมาถึง 90% และราคาเหลือแค่เศษสตางค์หรือหมดค่าไปเลยภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปีคนที่ซื้อหุ้นก่อนที่ราคาจะขึ้นและขายก่อนที่มันจะตกลงมาแรง ทำกำไรได้มโหฬาร พวกเขาคงเรียกมันว่าหุ้นสุดยอด คนที่สังเกตการณ์หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเรียกพวกเขาว่าเซียน ส่วนคนที่เข้าไปซื้อตอนที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและขายตอนที่หุ้นตกลงมาต่ำสุดนั้นคงเรียกว่ามันเป็นหุ้นสุดยอดหายนะ เพราะขาดทุนหุ้นหนักอย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนั้นก็ไม่ทำให้พวกเขาล้มละลายหรือต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลย พวกเขาก็มักจะ Move on หรือไปหาหุ้นตัวใหม่ที่คิดว่าจะทำกำไรได้รวดเร็วและขายออกไปทัน นักสังเกตการณ์บางคนเรียกพวกเขาว่าเม่า ที่เป็นนักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากที่ชอบเล่นหุ้นที่ขึ้น-ลงรวดเร็วที่พวกเขาจะสามารถทำกำไรได้ในช่วงเวลาสั้นๆจากการสังเกตการณ์ของผมเองนั้นพบว่า หุ้นที่มีลักษณะหรืออาการดังกล่าวนั้นมักจะมาจากหุ้นอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ผมเรียกว่า Pseudo Growth หรือหุ้นกลุ่มเติบโตเทียม, กลุ่ม Pseudo Super Stock หรือหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียม และกลุ่ม Fraud หรือกลุ่มหุ้นโกง โดยที่หุ้นบางตัวนั้นก็อาจมีลักษณะคาบเกี่ยวกับทั้ง 3 กลุ่มได้ เช่น สร้างภาพว่าเป็นหุ้นโตเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีการโกงโดยการแต่งบัญชีอย่างผิดกฎหมายหรือผิดหลักการทางบัญชีด้วย เป็นต้นวิธีจับผิดหุ้นเติบโตเทียมวิธีสังเกตว่าหุ้นตัวไหนอาจเข้าข่ายเป็นหุ้นเติบโตเทียมก็คือ ผู้บริหารมักจะมีโปรเจกต์ใหม่มากมายเป็นสไตล์เจ้าโปรเจกต์ และสิ่งที่ทำมากที่สุดเพราะจะทำให้เห็นผลรวดเร็วก็คือการทำ M&A หรือซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำกำไรอยู่แล้ว ซึ่งก็จะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบริษัทโตเร็วหรือหุ้นเติบโต ยิ่งบริษัทที่ซื้อเข้ามาอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภาพของบริษัทก็ยิ่งดูเติบโตเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ดูไฮเทคหรือเป็นดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ก็หาซื้อได้ยากและจะต้องจ่ายราคาหุ้นที่แพงมากจนอาจไม่คุ้มดังนั้นธุรกิจหรือหุ้นที่ซื้อมาจึงมักจะไม่ดี และ/หรือแพงเกินไป โดยมักจะเป็นธุรกิจที่มีกำไรดีในตอนที่ซื้อ แต่อนาคตก็มักจะแย่ลงเพราะกำไรนั้นไม่โตหรือไม่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น บริษัทลีสซิ่งหรือปล่อยกู้ส่วนบุคคลรายย่อย หรือไม่ก็เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก เป็นต้น ในส่วนของธุรกิจใหม่แห่งอนาคตก็อาจกลายเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีหรือการทำเหมืองขุด Bitcoin ในช่วงที่คริปโตกำลังให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เป็นต้นหนี้สินที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกอาการหนึ่งของกลุ่มหุ้นเติบโตเทียม เพราะบริษัทต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อกิจการที่บางทีก็ใหญ่กว่าตัวเอง และนี่ก็เป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้บริษัทมีปัญหา เพราะบริษัทและกิจการที่ซื้อมาอาจประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง และกิจการขายสินค้าที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่ยอดขายและกำไรผันผวนสูงมาก ทำให้ฐานะทางการเงินรองรับไม่ได้และกลายเป็นบริษัทที่มีปัญหาในที่สุดหายนะหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมกลุ่มหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมนั้นแตกต่างจากหุ้นเติบโตเทียมในแง่ที่ว่าตัวบริษัทเองมีคุณสมบัติที่อาจเป็นซูเปอร์สต๊อกหลายอย่าง เช่น บริษัทมีแบรนด์หรือมียี่ห้อที่โดดเด่นในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงระดับแบบซูเปอร์สต๊อกบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ เช่น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการรับทำโปรแกรมเขียนระบบงานต่างๆ หรือให้บริการเช่นความปลอดภัยหรือการเก็บรักษาข้อมูลดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถในการขยายตัวหรือผูกขาดธุรกิจอะไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรม และ/หรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม แต่ก็มีปัญหาแบบเดียวกันที่จะต้องแข่งขันและมีข้อจำกัดในการเติบโต ซึ่งรวมถึงการที่ต้องมีบุคลากรและสถานที่ที่ไม่ได้ขยายตัวได้ง่าย หรือพูดง่ายๆ Scalable ยากสรุปก็คือ สิ่งที่ซูเปอร์สต๊อกเทียมขาดนั้นมักจะอยู่ที่ว่าการเติบโตในระยะยาวมีข้อจำกัดมาก เช่นเดียวกับความสามารถในการแข่งขันที่มักจะไม่แข็งแรงพอ แต่การที่ในช่วงแรกเห็นการเติบโตค่อนข้างโดดเด่นนั้น อาจมาจากสถานการณ์พิเศษที่ค่อนข้างเอื้ออำนวย หรือการที่ผลประกอบการโดดเด่นหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ทำให้คนเชื่อได้ง่ายว่าบริษัทเป็นสุดยอดกิจการ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากและค่า P/E มักจะสูงลิ่ว ก็ทำให้หุ้นไม่สามารถเป็นซูเปอร์สต๊อก แต่กลายเป็นหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมที่ทำให้หุ้นตกลงมาเป็นหายนะได้เปิดสารพัดกลโกงหุ้นโกงคือหุ้นที่เจ้าของ และ/หรือผู้บริหารตั้งใจโกงบริษัทและนักลงทุนที่เข้ามาเล่นหุ้น หุ้นบางตัวนั้นเจ้าของและอาจรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่หรือเซียนวางแผนตั้งแต่แรกที่จะเข้ามาหาเงินในบริษัทและตลาดหุ้น อาจโดยการเทกโอเวอร์บริษัทเป้าหมายด้วยวิธีการซื้อหุ้นทั้งหมด หรือแลกหุ้นซึ่งไม่ต้องใช้เงินสด จากนั้นก็สร้างสตอรี ปั้นบริษัทให้เป็นหุ้นแบบเติบโตเทียม สร้างกำไรโดยการแต่งบัญชี ไซฟอนเงินจากกิจการโดยตรง ซึ่งก็มักจะทำในบริษัทลูก โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในต่างประเทศ เป็นการโกงเงินจากบริษัท นอกจากนั้นก็ยังโกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยการสร้างราคาหุ้นและชวนนักลงทุนทั้งสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคลเข้าซื้อหุ้นที่ราคาแพงเพราะคิดว่าเป็นหุ้นเติบโตการโกงนั้นถ้าจะพูดแบบกว้างก็คือ มักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของหุ้นที่ดีสุดยอดก่อนจะถึงหายนะเกือบทุกกลุ่ม แต่ในกรณีแบบนี้จะเป็นการโกงแบบที่จับไม่ได้ และอาจเป็นการโกงที่ไม่รุนแรงแบบกลุ่มหุ้นโกงที่สุดท้ายจะถูกเปิดโปงและคนที่ทำอาจต้องโดนคดีอาญาแผ่นดิน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารหรือเจ้าของโกงโดยการแต่งบัญชีที่ไม่ผิดกฎหมาย เช่น เปลี่ยนรายจ่ายบางอย่างให้เป็นรายการลงทุน หรือเลื่อนสถานะลูกหนี้ที่ควรจะเป็นหนี้เสียและต้องตั้งสำรองออกไป หรือบางทีก็ซื้อของจากบริษัทโดยตัวเองเพื่อสร้างรายได้และกำไรเทียม เป็นต้นแต่จะไม่เหมือนกับการโกงดื้อๆ เพราะบริษัทก็จะพยายามเคลียร์ส่วนที่โกงไว้ในอนาคต โดยอาจค่อยๆ เกลี่ยเงินรายได้และกำไรในอนาคตกลับคืนมาหลังจากที่หุ้นหมดสภาพเป็นหุ้นสุดยอดและกลายเป็นหุ้นหายนะไปแล้ว ด้วยวิธีการนี้คนที่ทำก็ลอยนวลและรวยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ สิ่งที่เสียก็เป็นเพียงชื่อเสียงที่ครั้งหนึ่งนักลงทุนคิดว่าเป็นผู้บริหารที่สุดยอดในการสร้างผลงานของบริษัทและนั่นก็นำมาสู่สัญญาณของหุ้นสุดยอด…หายนะ สุดท้ายที่จะพูดถึงนั่นก็คือ ผู้บริหารมักจะเป็นคนดังที่ให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวและผลงานถี่ยิบ ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ พวกเขาชอบที่จะคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใสและการเติบโตสุดยอดที่จะตามมาในไม่ช้า พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะโตขึ้นเป็นหลายๆ เท่าในเวลาอาจแค่ 3-4 ปี ที่บริษัทจะมี Market Cap เป็นหมื่นล้านบาทถ้าบริษัทยังเล็กมาก แต่บ่อยครั้งสำหรับบริษัทระดับกลางที่จะมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท หลายคนแสดงความมั่นใจโดยการซื้อหุ้นของบริษัทต่อเนื่องแม้ว่าราคาจะขึ้นสูงมากแล้วแต่ในขณะเดียวกันก็ขายหุ้นล็อตใหญ่ให้กับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันลงทุนที่กำลังอินมากกับสตอรีของบริษัท และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องและมีขนาดที่ใหญ่และสภาพคล่องในการซื้อขายที่เพียงพอสำหรับการลงทุน แต่นั่นก็มักจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นจะไม่ขึ้นไปเร็วอีกต่อไป และอาจกำลังตกลงมา บางทีเป็นหายนะแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000056115

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เสี่ยยักษ์-เซียนหุ้นชื่อดัง เกือบพลาดท่า ซื้อหุ้นโกง แจกคาถาเอาตัวรอด

30/04/2024

เสี่ยยักษ์-วชิรพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย โพสต์บทความในแฟนเพจพ่อสอนลูกลงทุน แจ้งเกือบพลาดท่า ซื้อหุ้นโกง หลังเคยถูกชักชวนให้ซื้อหุ้นแถวราคา 3 บาท ชี้เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น “ปล้นกลางแดด” คนใส่สูทโกงคนทั้งตลาด “รายใหญ่-สถาบัน-ธนาคาร-รายย่อย” เจ๊งกันระเนระนาด สงสารคนซื้อหุ้นกู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไร วอนตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต. ต้องรีบทำอะไรบ้าง พร้อมแจกคาถาเอาตัวรอด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก “พ่อสอนลูกลุงทุน” ของเสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์ เซียหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย ได้โพสต์บทความระบุว่า แล้วเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ??? – ธุรกิจนี้อยู่ในเมกะเทรนด์ – มีแบรนด์ติดตลาด – ฐานลูกค้ามากมายทั่วโลก – กำไรสุทธิ 10% – Market Cap ขนาดใหญ่ – ชื่อกองทุน สถาบัน รายใหญ่ เข้ามาลงทุน – ผู้สอบบัญชีโดย Big 4 – อื่น ๆ อีก จากเหตุการณ์ “ปล้นกลางแดด” ในช่วง 2 วีกที่ผ่านมา คนใส่สูทโกงคนทั้งตลาด รายใหญ่ สถาบัน ธนาคาร รายย่อย เจ๊งกันระเนระนาด แล้วเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ตามที่ป๊าเคยเล่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขาก็เคยมาชวนป๊าซื้อหุ้นของเขาเหมือนกัน ช่วงนั้นราคาตลาดอยู่แถว ๆ 3 บาท แต่เขาจะลดราคาให้ป๊า 13% คือลดให้ 40 สตางค์ แล้วให้ป๊าช่วยถือหน่อย อย่ารีบขาย ทำไมเขาจิตใจดีขนาดนั้นได้ น่าจะรักป๊ามากขนาดนั้นเลย อยู่ ๆ ก็จะเอาเงินมาให้ ทุนเขาเเค่ 60 สตางค์ และคนที่มาชวนก็จะหา connection กับคนที่รู้จักป๊า บอกขอเข้ามาคุย ไอ้เราก็อยากรู้อยากเห็น เห็นรูเล็ก ๆ คิดว่าตัวเองจะรอดไปได้ แต่ที่ป๊าตัดสินใจปฏิเสธไป เพราะว่าเขาทุนต่ำมาก เขากำไรอยู่แล้ว 300% เขาต้องกำลังออกของ และทีมงานที่มาชวน มีตัวหัวหน้าหน้าตาโหงวเฮ้งโคตรโกง โม้เก่ง บอกเขาเคยปรับโครงสร้างหนี้ โรงพยาบาลพญาไทมาเเล้ว สำเร็จโน่น สำเร็จนี่นั่น ป๊ารอดมาได้เพราะเราใช้จิตวิทยาในการลงทุน รู้จักว่า “ตรงไหนราคาสูง ตรงไหนราคาต่ำ” ถ้าการณ์ใดเราเป็นรองเขาเยอะ เช่น ทุนเขา 60 สตางค์ ราคาตอนนี้ 3 บาท เราจะเหลือกำไรอีกสักเท่าไหร่ ไม่เสี่ยง ไม่โลภดีกว่า หรือถ้าคันอยากตามไป ก็ลงทุนนิดหน่อยพอ แต่เหตุการณ์นี้ มันตั้งใจโกง วางแผนมานาน ตั้งแต่ปี’64 มันลากราคาไปถึง 5 บาท แต่งบัญชีรู้เรื่องกฎระเบียบ รู้วิธีสร้างตัวเลขหลอกผู้ตรวจสอบบัญชี ปลอมแปลงเอกสาร จนผู้สอบบัญชียอมเซ็นงบฯ บริษัทจัดเรตติ้งให้เรต BBB มันเลวมากจริง ๆ กิน “คนเล่นหุ้น” เราไม่ว่ากัน เพราะตอนแรก เขาแจกเงินเราก่อน จนเราไปติดใจเอง แต่มากินคนซื้อหุ้นกู้ ที่เขาหวังกินแค่ดอกเบี้ย แค่ 3.5% และเอาเงินเก็บมาทั้งชีวิตมาลงทุน มันแย่มากจริง ๆ คาถาเอาตัวรอด – รู้จักตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ – Cut loss ให้เป็น ยอมตัดนิ้วให้ได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น – ยังไม่เห็นภาพ เอาอีกตัวอย่างหนึ่ง เรากำลังอยู่บนตึกสูงสัก 3 ชั้น ไฟกำลังไหม้ เรากล้ากระโดดไหม ถ้าไฟกำลังมา (อย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก ๆ) – ท่องไว้ “ลูกยังเล็ก” เราจะเสี่ยงไม่ได้ – อย่าตามหลังมวลชน คือแห่ตามเขา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไอ้คนนำหน้า มันเห็นทหารถือปืนเตรียมยิงอยู่ เขาก้มลงหลบแล้ว ไอ้เราอยู่ข้างหลังมัวเเต่เดินร้องเพลงปลุกใจ – ลุกทีหลัง จ่ายรอบวง – ขบวนการ ต้มกบ – เราจะลงทุนเป็นรอบ ๆ รอจังหวะ ถ้าทางต่ำ (แบบมีความรู้ มีประสบการณ์) เราจะเข้าลงทุน เอาเงินแต่น้อย ๆ ก่อน แต่ป๊ากว่าจะรู้จุดนี้ ป๊าก็เจ็บปานตายไปแล้วเหมือนกัน เหตุการณ์นี้มันเศร้ามาก มันรวมหัวกันโกงคนซื้อหุ้นกู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไร แค้นมาก ตลาด ก.ล.ต. ต้องทำอะไรบ้างนะครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1325295

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ธุรกิจประกันเร่งถกสรรพากร เคลียร์ปม “จ่ายภาษี” ตามมาตรฐานใหม่

30/04/2024

สมาคมประกันชีวิตไทย ห่วงเกิดผลกระทบ 4 ข้อ กรณีบังคับใช้งบการเงินตาม TFRS17 ดีเดย์ 1 ม.ค. 68 เร่งถกสรรพากรเคลียร์ปมจ่ายภาษี-เอฟเฟ็กต์รับรู้กำไร หวั่นช่วงเปลี่ยนผ่านกระทบส่วนของผู้ถือหุ้นนางสาวจารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการระบบบัญชีและภาษี สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า การบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่องสัญญาประกันภัย (TFRS17) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 จะมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญกับธุรกิจประกันชีวิต 4 ประเด็นหลักคือ1. ไม่มีเบี้ยประกันภัยรับและสำรองประกันชีวิตในงบการเงิน แต่มีค่าใช้จ่ายทางการเงินจากการรับประกันภัยแทน ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีในปัจจุบัน ฉะนั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการหาข้อสรุปเรื่องการปฏิบัติทางภาษีกับกรมสรรพากรโดยปัจจุบันกรมสรรพากรได้ตั้งคณะทำงานอย่างเป็นทางการแล้วมีทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)สภาวิชาชีพบัญชี สมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อประชุม พูดคุย หารือเรื่องนี้กันทุกเดือนตอนนี้อยู่ระหว่างลงรายละเอียดว่ามีวิธีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไร หรือมีแนวทางไหนได้บ้าง หากมีผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก TFRS4 มาเป็น TFRS17 แล้วกระทบกับจำนวนเงินภาษีที่เคยชำระไปแล้วในอดีต“เดิมตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ตีกรอบไว้ว่า การจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งกำไรของบริษัทประกันชีวิตตาม TFRS4 คือมีเบี้ยประกันและเงินสำรอง แต่ว่าสำรองที่ถือเป็นรายจ่ายได้ตามเกณฑ์กรมสรรพากรต้องไม่เกิน 65% ของเบี้ยประกันแต่เมื่อเป็น TFRS17 ไม่มีเบี้ยประกันภัยรับและสำรองประกันชีวิตในงบการเงิน จึงไม่แน่ใจว่าจะหยิบเกณฑ์ไหนมาใช้ในการจ่ายภาษี คือถ้าจะใช้เกณฑ์เดิมก็คงกระทบ เพราะเหมือนต้องรื้องบการเงินใหม่หมด”จารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโน2. รูปแบบการรับรู้กำไรที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อกำไรที่รับรู้ในแต่ละปี ยกตัวอย่างงบกำไรขาดทุน กรณีจ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองยาว 20 ปี ถ้าตาม TFRS4 เมื่อรับเบี้ยปีแรก สมมติ 5,000 บาท จะบันทึกเป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนปีนั้นทั้งหมดก้อนเดียว แต่ตาม TFRS17 จะให้ทยอยรับรู้รายได้ตลอดระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปีโดยแต่ละปีให้รับรู้ตามสัดส่วนความคุ้มครอง และบันทึกอยู่ในรายได้การประกันภัย แต่กำหนดให้แยกค่าใช้จ่ายทางการเงินจากสัญญาประกันภัยสุทธิออกมาให้เห็น หรือเข้าใจง่าย ๆ คือต้องแยกต้นทุนดอกเบี้ยแฝงมาแสดงด้วยส่วนสำรองประกันชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปเรียกเป็นหนี้สินตามสัญญาประกันภัยแทน ซึ่งทำหน้าที่คล้าย ๆ รายได้รับล่วงหน้า หมายความว่าเมื่อรับเบี้ยมาแล้วจะบันทึกเป็นหนี้สินไว้ก่อน และหนี้สินตรงนี้จะลดลงเมื่อถูกทยอยรับรู้เป็นรายได้การประกันภัยในแต่ละปี หรือเมื่อมีการจ่ายเคลมจริงไปแล้ว โดยหนี้สินจะหมดต่อเมื่อภาระผูกพันในการให้บริการหรือความคุ้มครองแก่ลูกค้าหมดไปนอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจมากขึ้น ว่าแหล่งที่มาของกำไรของธุรกิจประกันชีวิตแต่ละบริษัทมาจากไหน TFRS17 จึงให้แสดงกำไรจากการรับประกันภัยกับกำไรทางการเงิน (รายได้จากลงทุนลบต้นทุนดอกเบี้ย) ออกจากกันด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบการรับรู้กำไรในแต่ละปีจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายแล้วกำไรตลอดอายุสัญญายังเท่าเดิม3. เดิมส่วนใหญ่ภาคธุรกิจใช้วิธีการคำนวณเงินสำรองประกันชีวิตแบบเบี้ยประกันภัยสุทธิชำระคงที่ (NPV) ซึ่งใช้สมมติฐานตั้งแต่วันที่ออกกรมธรรม์ในการคำนวณเงินสำรองฯ ต่างจาก TFRS17 ซึ่งปรับสมมติฐานที่ใช้ให้เป็นปัจจุบัน ด้วยวิธีการใหม่นี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนของเงินสำรองมากขึ้น 
ดังนั้น การพิจารณาวัดมูลค่าสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับหนี้สิน จึงเป็นเรื่องที่บริษัทประกันชีวิตแต่ละแห่งต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน4. ส่วนของผู้ถือหุ้น อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากการปฏิบัติมาตรฐานการบัญชีเป็นครั้งแรก เนื่องจากการปรับปรุงกำไรสะสมที่เกิดจากความแตกต่างในการรับรู้กำไรในอดีตตาม TFRS4 กับ TFRS17นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อว่า ตอนนี้ภาคธุรกิจเหลือเวลาเตรียมความพร้อมประมาณ 1 ปี 5 เดือน โดยปัจจุบันสภาวิชาชีพบัญชีได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว เพื่อให้ TFRS17 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 2568 และสำนักงาน คปภ.ได้ประกาศแบบงบการเงินใหม่ตามข้อกำหนดของ TFRS17 และ TFRS9 เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจเดียวในโลกที่ได้รับการยกเว้นการบังคับใช้ TFRS9 จนกว่า TFRS17 จะมีผลบังคับใช้“ภาคธุรกิจต้องมีการซ้อมจัดทำงบการเงินรายไตรมาสในปี 2567 เพราะต้องเอามาเปรียบเทียบกำไรขาดทุนของปี 2568 เพื่อส่งให้สำนักงาน คปภ. รวมถึงการจัดอบรมความรู้ให้กับบุคลากรในภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”สำหรับงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทประกันชีวิตในฝั่งสินทรัพย์ (หนี้สิน+ทุน) ซึ่งกว่า 90% เป็นสินทรัพย์ลงทุน เช่น พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, หุ้น, กองทุนรวม, เงินให้กู้ยืม และแทบจะทุกบริษัทพอร์ตหลักคือตราสารหนี้เพราะมีความเสี่ยงต่ำ ส่วนหนี้สินสัดส่วนกว่า 90% เป็นหนี้สินตามสัญญาประกันภัย ที่เหลืออีก 10% เป็นหนี้สินอื่น ๆ เช่น ค่าไฟและค่าน้ำค้างจ่าย เป็นต้นทั้งนี้ ฝั่งสินทรัพย์ตาม TFRS4 ธุรกิจประกันชีวิตจะใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่องเครื่องมือทางการเงินและการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันชีวิต (FI-Guidance) แต่เมื่อบังคับใช้ TFRS17 จะถูกบังคับใช้มาตรฐาน TFRS9 และฉบับที่ 7 เรื่องการเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน (TFRS7)ซึ่งเป็นหลักที่บังคับใช้ทั่วโลก แต่ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจเดียว ที่ยังได้รับการยกเว้นการบังคับใช้ TFRS9 จนกว่า TRFS17 จะมีผลบังคับใช้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1327112

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ทะลุ 18,000 ต่อเดือน!! ไม่ใช่ค่าแรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายขั้นต่ำของไทย?

30/04/2024

สถิติบอกชัด รายจ่ายต่อเดือนของ “คนไทย” พุ่งสูงถึง 18,000 บาทต่อเดือน สวนทาง ”รายได้” ที่น่าตกใจคือ “ชนชั้นกลาง” เสี่ยงต่อการกลายมาเป็น “คนจน” ด้วยเหตุผลเบื้องหลังที่ชวนคิดวิเคราะห์ รายจ่ายสูง รายได้ไม่โต เงินเดือนเท่าไรถึงจะอยู่ได้ เมื่อ “สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)” ออกมาบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่ทำให้ “ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยเฉลี่ยของคนไทย” มีถึง 18,023 บาท/เดือน ณ ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำโดยเฉลี่ยของบ้านเราอยู่ที่ 337 บาท/วัน ถ้าสมมติทำงานเต็มเดือน 30 วัน จะได้เดือนละ 10,110 บาท ส่วนเด็กจบใหม่ปริญญาตรี เริ่มต้นที่ประมาณ 12,000-15,000 บาท/เดือน จากข้อมูลของ สนค.บอกว่า ใน 18,023 บาท นี้ ค่าใช้จ่าย “อันดับ1” คือ ค่าโดยสารสารสาธารณะ ค่าซื้อรถส่วนตัว ค่าน้ำมัน และค่าบริการโทรศัพท์เฉลี่ยอยู่ที่ 4,170 บาท คิดเป็น 23.14% ตามมาด้วย “อันดับ2” ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม อยู่ที่ 3,922 บาทคิดเป็น 21.76% ส่วน “อันดับ3” คือ ค่าเนื้อสด ที่ใช้ในการทำอาหาร อยู่ที่ 1,704 บาท เป็น 9.46% จากทั้งหมด ส่วนเหล้ากับบุหรี่ มาเป็น อันดับสุดท้าย หรือ “อันดับ4” เลย คือ 241 บาท เป็นเพียง 1.34% ของรายจ่ายต่อเดือนจั๊ก-รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการและความเป็นธรรมศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ ช่วยวิเคราะห์ตามคำขอของทีมข่าว ถึงปัญหาตอนนี้ที่ค่าแรงโตไม่ทันรายจ่าย “ผมคิดว่าประเด็นแรกที่ต้องย้ำนะครับ คือว่าค่าจ้างของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างขึ้นต่ำ หรือว่าค่าจ้างโดยเฉลี่ย มันเติบโตไม่สอดคล้องกัน ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็จะรวมถึงดัชนีผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ” ตอนนี้ productivity (ประสิทธิภาพของการผลิต การทำงาน) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจาก ทักษะแรงงาน หรือเทคโนโลยี แต่ค่าจ้างโดยเฉลี่ยกลับไม่ได้เพิ่มตาม โดยรายได้ 80% ของคนส่วนใหญ่ ไม่สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ “ค่าครองชีพพื้นฐาน” หรือให้เรียกว่า “ค่าจ้างที่เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ไม่ใช่แค่การมีเงินเพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ แต่หมายถึงโอกาสที่จะสามารถหาความบันเทิงให้กับชีวิตได้ด้วย“ค่าเดินทาง” แพงแซงทุกอย่าง น่าสนใจที่จากข้อมูล สนค.บอกว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ไปกองอยู่ “ขนส่งสาธารณะ ค่าซื้อรถ ค่าน้ำมัน” เมื่อถามจั๊กว่าขนส่งเราแพงเกินไปหรือไม่ ดีหรือเปล่า? จนคนหันไปซื้อรถใช้เอง และยอมแบกภาระนี้ “ใช่ คำว่าไม่ค่อยดีมันก็หลายอย่างนะครับ อย่างคุณภาพในเชิงกายภาพ ที่เราเห็นอันนั้นก็ส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมันเข้าไปไม่ถึง เส้นเลือดฝอยในชีวิตของคนเมือง“ อาจารย์ยังบอกอีกว่า ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดเอง ขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ตอบโจทย์คนทำงาน “อาจจะใช้ได้ในผู้สูงอายุ ไปจ่ายตลาดหรือไปหาหมอในบางครั้ง”[รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี]“สมมติเราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์มาปากซอยหน้าบ้าน แล้วเราต้องต่อรถเมล์ เพื่อที่จะไปรถไฟฟ้าอีก มันก็กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ มันก็สูงมาก คนที่พอมีกำลังส่วนใหญ่ ต้องซื้อรถมอเตอร์ไซค์ หรือไม่ก็รถยนต์ส่วนตัว” ถ้าลองคำนวณการผ่อนรถแบบถูกสุด ตกเดือนละ 5,000 บาท ค่าน้ำมันอีก 1,000-2,000 รวมแล้วคนที่มีรถส่วนตัวต้องจ่าย 6,000-7,000 บาท/เดือน ส่วนคนที่ใช้ขนส่งสาธารณะ เดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท นั้น ก็เป็น 20-30% ของรายได้ต่อเดือนแล้ว “ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แล้วนึกถึงขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั้งหมดเลย มันก็อาจจะประมาณ 4-5% ของค่าจ้างที่เขาได้รับต่อเดือนเท่านั้นเองนะครับ”รายได้ต่ำ แต่ “ค่ากิน” พุ่งจนน่าห่วง!! จากข้อมูลของ สนค.บอกว่ารายจ่ายทั้งหมดนี้ เป็น “ค่าอาหาร” ถึง 41.97% ทีมข่าวจึงชวนจั๊กคุยว่า ข้อมูลที่เห็นมันสะท้อนถึงอะไร? “คือจริงๆ ค่าอุปโภคบริโภค มันเกี่ยวกับฐานะของคนนะครับ คือถ้าเราเทียบกัน กลุ่มคนที่รวยที่สุดกับกลุ่มคนที่จนที่สุด ค่าใช้จ่ายเรื่องอุปโภคบริโภคก็จะมีสัดส่วนที่ต่างกัน” กลุ่มคนที่มีสตางค์ 5% บนสุด อาจจะหมดเงินไปกับ การลงทุน ค่าเดินไปเที่ยวหรือทำธุรกิจ แต่ในกลุ่มคนที่รายได้ต่ำ มักจะหมดไปกับ ค่าอาหารการกิน ถึง 70% ของรายได้เลยด้วยซ้ำ “สิ่งหนึ่งที่เราเห็นภาพตรงนี้เนี่ย การที่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคพื้นฐานของค มันสูงมากขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนไทยชนชั้นกลางกำลังจะหายไป แล้วก็จะมาป่องอยู่ข้างล่าง” ยกตัวอย่างเด็กๆ จบใหม่ ทำงานอย่างหนัก แต่คุณภาพชีวิตไม่ได้แตกต่างกับผู้ใช้แรงงานในโรงงานเมื่อ 30 ปีก่อนเลย ที่ต้องทำหลายงาน ทำงานล่วงเวลา เพื่อคุณภาพชีวิตที่แค่ส่งบ้านส่งรถ เลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้เป็นคุณภาพชีวิตชนชั้นกลางแต่อย่างใด “อันนี้เป็นสัญญานที่น่ากลัวเหมือนกันว่า ชนชั้นกลางของเรากำลังจะหายไป ที่ไปป่องข้างล่างมากขึ้น เพราะทุกคนกำลังกลายเป็นคนจน ต้องเป็นคนปากกัดตีนถีบกันหมด”หรือเพราะทุนที่ผูกขาด? อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เคยออกมาเขียนบทความ “เกาให้ถูกที่คัน ค่าแรงขั้นต่ำ คือ คำตอบของการแก้ปัญหาค่าครองชีพของแรงงาน จริงหรือ” ว่าด้วยค่าครองชีพที่สูงเหตุมาจาก 1) กลไกผูกขาด ภาครัฐถูกครอบงำโดยทุนใหญ่ 2) การทุจริตคอร์รัปชัน ต้องแก้ปัญหา 2 อย่างนี้และผลักดัน นโยบายสวัสดิการ ถึงจะแก้ได้ สอดคล้องกับความเห็นของ ผอ.ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการฯ ที่มองว่า กลุ่มทุนที่ผูกขาด เกี่ยวข้องกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และปัญหาค่าแรงที่ต่ำของบ้านเรา “พอกลุ่มทุนผูกขาดที่ เขาได้รับสัมปทานหรือได้รับสิทธิอะไรบางอย่างจากรัฐ มันทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่อง ชีวิตพื้นฐานของประชาชน” ดร.ได้อธิบายต่อว่า ในธุรกิจบางอย่างไม่จำเป็นต้องหากำไรขนาดนั้น แต่กลับมีกลุ่มทุนหลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น พลังงาน อาหาร การคมนาคม หรือการรักษาพยาบาล และการศึกษา ที่ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามามากขึ้น ในด้านหนึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้อาจมีความสามารถและเทคโนโลยี จนให้เติบโต แต่ไม่ได้จากการแข็งขันกันอย่างเสรี ส่วนหนึ่งมาจากการเอื้อประโยชน์จากรัฐ ได้สัมปทานหรือการอนุมัติอะไรบางอย่าง “แต่ว่าเขากลับมีส่วนที่ทำให้ สองอย่างนี้คือ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราสูงมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ พวกเขากมีส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าแรงไม่ได้มีการปรับขึ้นเท่าที่ควร เพราะว่ากลุ่มทุนผูกขาดมีอำนาจมาก”เมื่อถาม ดร.จั๊กว่า ปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการ “เพิ่มค่าแรง” จริงหรือเปล่า? หรือต้องทำควบคู่กับไปด้วย? อาจารย์ตอบว่า ยังไงก็ต้องปรับขึ้น เพราะตอนนี้คนอยู่กันไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ปัญหาอื่นๆ ตามมา “การปรับค่าแรงขั้นต่ำมันไม่ได้ทำให้ข้าวของแพงขึ้น อันนี้มันเป็นผีที่ถูกข่มขู่มาทุกยุคทุกสมัย จริงๆต้นทุนค้าแรงมันเป็นเพียง 10% เท่าเองของต้นทุนโดยเฉลี่ยเท่านั้น” การขึ้นค่าแรงจะช่วยลดความเลื่อมล้ำได้ แต่จะได้ไม่เต็มที่ ถ้าไม่มีการปรับเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อให้ค่าแรงที่ได้มาเอาไป ต่อยอดในชีวิตได้จริง ไม่ได้หมายความแค่การลุงทุน แต่รวมถึง การพักผ่อน วางแผนใช้จ่ายและการออมได้ดีขึ้น เพราะค่าแรงสูงขึ้น แต่คุณจะสิ่งเหล่าได้ไม่เต็มที่ ยังต้องห่วงเรื่อง การเลี้ยงลูก ดูแลคนแก่ รักษาพยาบาลหรือเรื่องค่าขนส่งสาธารณ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการปรับ อีกอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น การท่องเที่ยว กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ฝึกทักษะแรงงานรุ่นใหม่ “3 ตัวนี้ต้องทำ เรื่องสวัสดิการและเศรษฐกิจระยะสั้นต้องทำคู่กัน เพื่อให้มันประสิทธิภาพดีที่สุดครับ” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/live/detail/9660000054093

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X