คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันภัย

แฉเทคนิค “โกงเคลมค่ารักษา” ต้นเหตุประกัน พ.ร.บ.มอ’ไซค์สินไหมพุ่ง

30/04/2024

“บริษัท กลางฯ” เปิดข้อมูลประกัน “พ.ร.บ.” รถจักรยานยนต์ 9 เดือนแรกปี’67 ยอดเบี้ยเริ่มฟื้นหลังผ่านสถานการณ์โควิด ขณะที่เคลมค่ารักษาพยาบาลพุ่ง 4.5 พันล้าน เผยตรวจพบ “ฉ้อฉล” โกงเอาเงินประกัน ทั้ง “สวมทะเบียน-อ้างประสบภัยจากรถ-ปลอมใบเสร็จ” พร้อมยืนยันลดเงินสมทบเข้ากองทุน3 ปี ไม่กระทบสิทธิการดูแลผู้เอาประกัน เหตุยังมีเงินหน้าตักกว่า 10,000 ล้านนายประสิทธิ์ คำเกิด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) มีรถจักรยานยนต์ที่ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 11.8 ล้านกรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)คิดเป็นเบี้ยรวมประมาณ 3,540 ล้านบาท คาดว่าจนถึงสิ้นปี 2566 จะมียอดกรมธรรม์แตะ 15.5 ล้านกรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 2.65% เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2565 ที่มียอดกรมธรรม์ 15.1 ล้านกรมธรรม์ หรือมีเบี้ยรวมแตะ 4,650 ล้านบาท“เป็นไปตามภาวะ ซึ่งหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ประชาชนมีการนำรถออกมาใช้มากขึ้น ทำให้มีการทำประกันภัยเพิ่มมากขึ้นด้วย และมีอัตราการต่ออายุระดับ 90%”ขณะที่อัตราความเสียหายหรือเคลมสินไหม (loss ratio) จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2566 มีลอสเรโชสูงกว่า 128% คิดเป็นเงินที่จ่ายเคลม 4,530 ล้านบาท ส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นเงินที่จ่ายค่ารักษาพยาบาล ผ่านระบบสินไหมอัตโนมัติ (e-Claim) ให้กับโรงพยาบาลที่มีอยู่กว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ เฉลี่ย 35,000 เคลมต่อเดือน หรือเกือบ 400,000 เคลมต่อปี“ความถี่ในการเกิดเคลมของรถมอเตอร์ไซค์ พบว่าทุก ๆ 100 กรมธรรม์ จะเกิดเคลมประมาณ 2.5 กรมธรรม์”สำหรับปัญหาที่บริษัทคุมไม่ได้ คืออัตราค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากกฎหมายระบุว่า หากประกาศออกมาแล้วให้ใช้สิทธิตามนั้นได้เลย อย่างไรก็ดี ตามหลักการพิจารณาของบริษัท คือต้องเป็นค่ารักษาพยาบาลจริง ซึ่งปัจจุบันมีทีมแพทย์ที่ปรึกษาคอยดูแลเรื่องอัตราค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บ ว่ามีความเหมาะสมกับอาการที่รักษาหรือไม่ประสิทธิ์ คำเกิดรวมถึงมีพนักงานในแต่ละพื้นที่คอยช่วยตรวจสอบ ประกอบกับในแต่ละปีทางบริษัทได้พิจารณาคำนวณเปอร์เซ็นต์ของอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลราว 0.3% เข้าไปในการจัดทำแผนการดำเนินงานร่วมด้วยนายประสิทธิ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เคลมสินไหมที่เกิดขึ้นนั้น ตรวจพบว่ามาจากการฉ้อฉลรวมอยู่ด้วย เฉลี่ยต่อปีประมาณ 4,000 เคลม หรือคิดเป็นประมาณ 0.1% ของเคลมต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะสวมทะเบียนเปลี่ยนรถคันที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่มีประกัน พ.ร.บ. รองลงมาคือเปลี่ยนคดีสมอ้างว่าประสบภัยจากรถ และถัดมาคือปลอมใบเสร็จ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวคือตรวจพบและไม่ได้จ่ายเงิน แต่เชื่อว่ายังมีหลายเคสที่หลุดไป“ช่วงที่ผ่านมา แนวทางป้องกันฉ้อฉลจะมีการกำหนดข้อบ่งชี้เป็นเงื่อนไข ตรวจจับโดยระบบ รวมทั้งตัวบุคคลในการตรวจสอบร่วมด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงหลัง ๆ ก็ตรวจพบมากขึ้น”นายประสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศเรื่อง การลดเงินสมทบบริษัทกลางฯ เป็นเวลา 3 ปี จากระดับ 12.25% เหลือแค่ 6% ของเบี้ย พ.ร.บ.ที่ได้รับแต่ละไตรมาส ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566-ก.ย. 2569 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของธุรกิจประกันวินาศภัยนั้น จะทำให้เงินส่วนนี้หายไปราว 600-700 ล้านบาท จากที่เข้ามาปีละ 1,700 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่กระทบสิทธิการดูแลผู้เอาประกัน“ไม่กระทบ เพราะบริษัทมีเงินกองทุนจากค่าเบี้ยสะสมของผู้ถือหุ้น และเงินฝากธนาคารของบริษัทที่มีอยู่กว่า 10,000 ล้านบาท เพียงพอในช่วง 3 ปี โดยบริษัทได้ปรับแผนเรื่องงบประมาณ มีการจำกัดเรื่องการรณรงค์ลงบ้าง เพื่อให้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น”อนึ่ง กฎหมายระบุว่าผู้ครอบครองรถไว้ใช้ต้องมีการจัดทำประกัน พ.ร.บ. ซึ่งในแต่ละปีมีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนประมาณ 23 ล้านคัน มีการทำประกัน พ.ร.บ. 15 ล้านคัน ดังนั้น จะมีอยู่อีกกว่า 8 ล้านคันที่ไม่ทำประกัน ซึ่งระบบของกรมการขนส่งฯ กำหนดไว้ หากไม่ชำระภาษีเกิน 3 ปี จะถูกตัดออกจากสารบบกลายเป็นรถเถื่อนสำหรับ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบริษัทประกันวินาศภัยในประเทศไทยทั้งหมด ให้บริหารจัดการสินไหมที่เกิดจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ที่มี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถล่าสุดบริษัทกลางฯ จับมือบริษัท มิตรไมตรีการแพทย์ จำกัด (MMT) ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ ให้บริการผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถ “โดยไม่ต้องสำรองจ่าย” เมื่อเข้ารักษาพยาบาลที่มิตรไมตรีคลินิก นำร่อง 25 สาขา ให้บริการในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเพื่อเป็นช่องทางการเข้ารับการรักษาพยาบาลของผู้ประสบภัยจากรถที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไปสู่การรักษาผู้ป่วยนอก (OPD) ที่คลินิก และภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะขยายให้ครอบคลุม 70 สาขา ที่ให้บริการครอบคลุมการรักษาอีก 7 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี กรุงเทพฯ ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ สมุทรสาคร“ตอนนี้ที่นนทบุรีมีผู้ประสบภัยจากรถเข้าไปรักษาพยาบาลในคลินิกมิตรไมตรีเป็น 100 เคลมต่อเดือน ส่วนมากไปใช้บริการล้างแผล ค่าใช้จ่าย 700-800 บาท รวมค่ายา ค่าเย็บแผล และล้างแผล ส่วนในภาพรวมพบว่าอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจะมีสัดส่วน 60-70% �ของเคลมทั้งหมดของบริษัทกลางฯ” นายประสิทธิ์กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1422031

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

รวมยอดการรับชม FA Staion

30/04/2024

รวม 5 อันดับ คอร์สเรียน และ 5 อันดับ ผู้รับชมสูงสุด ในเว็บไซค์ FA Station5 อันดับคร์สเรียน FA station ที่น่าสนใจ และยอดชมสูงสุด 1. คุณวรยุทธ พิกุลสวัสดิ     หัวข้อ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน      ยอดรับชม  1,561 คน2. คุณหฤทัย ไกรวพันธุ์     หัวข้อ การวางแผนทางการเงินภาคปฏิบัติ       ยอดรับชม  1,338 คน3. คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์     หัวข้อ การวางแผนทางการเงินภาคปฏิบัติ       ยอดรับชม 1,303 คน4.คุณพิชญา ซุ่นทรัพย์  หัวข้อรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการวางวางแผนเกษียณ ยอดรับชม 1,168 คน5. คุณรชฎ ภวจันทร์รัศมี     หัวข้อประกันคืออะไร เจาะลึกแบบประกัน มีกี่แบบ แบบไหนบ้าง     1,078 คน5 อันดับ ยอดรับชมรวม สูงสุด เว็บไซค์ FA Station1. คุณนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์      ยอดรวม 2,895 คน     1.1 หัวข้อ แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุน และ การวางแผนการลงทุน     1.2 หัวข้อ ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจลงทุน     1.3 หัวข้อ ตลาดการเงินและหลักทรัพย์ลงทุน     1.4 หัวข้อ ขายทะลุเป้าเมื่อขายแบบที่ปรึกษาทางการเงิน2. คุณวรยุทธ พิกุลสวัสดิ      ยอดรวม 2,505 คน     2.1 หัวข้อ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน     2.2 หัวข้อ มูลค่าเงินตามเวลา     2.3 หัวข้อ การออมและการลงทุนเบื้องต้นสำหรับมือใหม่หัดลงทุน3. คุณปิยมล วงค์เทียนชัย      ยอดรวม 2,1535 คน     3.1 หัวข้อ การวางแผน Long Term Health ด้วย Unit Linked     3.2 หัวข้อ การวางแผน Retirement ด้วย Unit linked     3.1 หัวข้อ การวางแผน Protection ด้วย Unit Linked 4. คุณรชฎ ภวจันทร์รัศมี      ยอดรวม 1,727 คน     4.1 หัวข้อ ประกันคืออะไร เจาะลึกแบบประกัน  มีกี่แบบ แบบไหนบ้าง     4.2 หัวข้อ เจาะลึกแบบประกันสะสมทรัพย์      4.3 หัวข้อ  เจาะลึกแบบประกันตลอดชีพ 5.ดร.ธามม วงศ์สรรคกร ดร.สุรวฒิ พัฒนบัณฑิต      ยอดรวม 1,639 คน     5.1 หัวข้อ แนวทางการนำเสนอลูกค้ารายใหญ่     5.2 หัวข้อ การยกระดับตนเองไปสู่การเป็นที่ปรึกษาทาง การเงินที่สมบูรณ์แบบยอดสมาชิกเว็บไซค์ FA Station 949 MEMBERSยอดคนโหลดใบใบประกาศนียบัตร 42 CERTIFICATEจำนวนคอร์เรียนทั้งหมด 49 TOTAL COURSE

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

“เหตุผล” ที่ต้องจัดการ ความเสี่ยงด้านการลงทุน

30/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : Actuarial Business Solutions (ABS) ทฤษฎีของการลงทุนนั้น สามารถตีความหมายออกเป็นคำพูดง่าย ๆ ว่าความเสี่ยงในการลงทุนก็คือ การที่ “อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนนั้นจะได้รับจริง (actual return)” ได้คลาดเคลื่อน, เบี่ยงเบน หรือแตกต่างไปจาก อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนนั้นคาดหวังว่าจะได้รับ (expected return) ฉะนั้น ไม่ว่าผู้ลงทุนจะขาดทุน หรือได้กำไร ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะความคลาดเคลื่อนนี้จะทำให้ผู้ลงทุนนั้นวางแผนการลงทุนในอนาคตได้ยาก เช่น อาจจัดสรร หรือแบ่งเงินลงทุนมากเกินไป ในหลักทรัพย์ที่มี expected return สูง แต่กลับมี actual return ต่ำ ในขณะเดียวกัน กลับจัดสรรเงินไปลงทุน “น้อยไป” ในหลักทรัพย์ที่มี expected return ต่ำ แต่กลับมี actual return สูง และอาจส่งผลให้ผลตอบแทนรวม (total return) ที่ผู้ลงทุนควรจะได้รับน้อยกว่าที่ควร ผู้ลงทุนที่ชาญฉลาดจึงควรจะได้รู้จักกับ “ความเสี่ยง” ในการลงทุน เพื่อที่จะได้วางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ความเสี่ยงน้อย หมายความว่า การคาดการณ์ expected return จากการลงทุนน่าจะมีความผิดพลาดน้อย” “ความเสี่ยงมาก หมายความว่า การคาดการณ์ expected return จากการลงทุนอาจจะผิดพลาดได้มาก” ความสัมพันธ์ของความเสี่ยง และผลตอบแทนจากการลงทุน ระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินใด ๆ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับระดับความเสี่ยง กล่าวคือ หากระดับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น ระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนพึงแบกรับจากการลงทุนนั้นจะสูงขึ้นด้วยเสมอ หลายคนคงเคยได้ยินอยู่แล้วว่า “high risk high return” ทำให้บางคนไปตีความหมายผิด ๆ ว่าถ้ายิ่งลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงก็จะยิ่งได้อัตราผลตอบแทนสูง โดยเราจะย้ำอยู่เสมอว่า – การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูง มักจะมีระดับความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน – แต่การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก็ไม่จำเป็นว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงเสมอไป ถ้าหากผู้ลงทุนนั้นไม่มีความรู้ ความสามารถในการลงทุน หรือไม่มีดุลพินิจที่ดีพอ และไม่มีความรอบคอบเพียงพอในการเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุนที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของตน นอกจากความสัมพันธ์ของความเสี่ยง และผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว สิ่งที่น่ารู้ต่อไปคือ ความเสี่ยงในการลงทุนมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประเภทคือ 1. ความเสี่ยงที่เกิดจาก “ปัจจัยมหภาค (macrofactors)” ได้แก่ systematic risk เป็นความเสี่ยงที่เป็นระบบ มีอิทธิพลต่ออัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในตลาดทุนโดยรวม จึงเป็นความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนไม่อาจขจัดให้หมดไปจากการลงทุนนั้นได้ คือถ้าตลาดโดยรวมมีสภาพที่ย่ำแย่ หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้น ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 2. ความเสี่ยงที่เกิดจาก “ปัจจัยจุลภาค (microfactors)” ได้แก่ unsystematic risk หรือความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ หรือความเสี่ยงเฉพาะตัว ที่เมี่อเกิดขึ้นแล้วจะกระทบหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถขจัด หรือลดความเสี่ยงประเภทนี้ได้ โดยการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์หลายตัวที่พิจารณาคัดเลือกอย่างถ้วนถี่แล้ว หากผู้ลงทุนได้กระจายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างหลักทรัพย์ในจำนวนที่มากขึ้น ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (unsystematic risk) จะลดต่ำลงตามลำดับ เพราะความเสี่ยงของแต่ละหลักทรัพย์ที่ต่างกันจะชดเชยกันเอง ทำให้ระดับความเสี่ยงรวม (total risk) ของกลุ่มหลักทรัพย์ (portfolio) ที่ลงทุนลดต่ำลงตามลำดับเช่นกัน ในที่สุดแล้วความเสี่ยงที่กระทบกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุน ก็จะคงเหลือแต่ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (systematic risk) เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เราจึงได้ยินคนพูดกันบ่อย ๆ ว่าการกระจายความเสี่ยง (diversification) นั้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าทำได้ถูกต้องก็เหมือนสิ่งที่ช่วยลดต้นทุนในการจัดการความเสี่ยงได้ จนมีคนว่ากันว่า การกระจายความเสี่ยงนั้นก็เหมือนของฟรี (หรือ free lunch) ที่นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน หรือรายบุคคลนั้น ต่างต้องทำ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1415358

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ทำไงดี ป่วยหนัก แฟกซ์เคลมไม่ผ่าน ถูกสืบประวัติ แล้วยังไม่มีเงินก้อนจ่าย

30/04/2024

“บรรยง วิทยวีรศักดิ์” กูรูวงการการเงินและประกันภัย วิเคราะห์เหตุการณ์ ป่วยหนัก แฟกซ์เคลมไม่ผ่าน ถูกสืบประวัติ แล้วยังไม่มีเงินก้อนจ่าย ทำอย่างไรดี ?วันที่ 23 ตุลาคม 2566 นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการการเงินและประกันภัย และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (APFinSA) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า ข่าวอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังถูกปฏิเสธแฟกซ์เคลม ได้รับการชี้แจงแล้วว่ามีที่ไปที่มาเป็นอย่างไร แต่เริ่มมีกระแสสังคมส่วนหนึ่ง สอบถามถึงกรณีที่ลูกค้าซื้อประกันสุขภาพเอาไว้แล้วป่วยเป็นโรคร้ายแรง แต่แฟกซ์เคลมไม่ผ่าน เพราะบริษัทประกันชีวิตขอตรวจสอบประวัติสุขภาพก่อน แล้วลูกค้าจะทำอย่างไรดีเราคงไม่เถียงว่ามีโฆษณาจากบริษัทประกันชีวิตแทบทุกแห่ง ออกไปทำนองที่ว่าทำประกันสุขภาพกับเรา หากเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องควักเงินสดจ่าย ใช้บริการแฟกซ์เคลมได้ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมโดยตรงไปที่โรงพยาบาล แต่ในความเป็นจริงมันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ผมทราบจากผู้จัดการฝ่ายสินไหมของบริษัทแห่งหนึ่งว่า ลูกค้าที่มีประกันสุขภาพ และยื่นแฟกซ์เคลมที่โรงพยาบาล โดยเฉลี่ยลูกค้าทุก 100 ราย จะมี 5-6 ราย ที่ถูกปฏิเสธการให้บริการแฟกซ์เคลม เพราะป่วยด้วยโรค หรืออาการที่บริษัทสงสัยว่าเป็นมาก่อนการทำประกันนั่นหมายความว่า ในทุกวันต้องมีลูกค้า 5-6% ที่ใช้แฟกซ์เคลมไม่ผ่าน มีทั้งประวัติการรักษาคลุมเครือ แพทย์เขียนใบเคลมไม่ครบถ้วน หรือไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ถึงแม้คนส่วนใหญ่ถึง 95% จะใช้แฟกซ์เคลมได้ แต่สำหรับคนที่โดนปฏิเสธ การที่ต้องวิ่งหาเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนมาจ่ายค่ารักษานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนก่อนอื่นเรามาดูกันว่ามีโรคอะไรบ้าง ที่หากป่วยใน 2 ปีแรกแล้ว บริษัทมักจะสืบก่อนเสมอ เพราะมีเหตุอันควรสงสัยว่าอาจจะเป็นมาก่อน เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคความดันโลหิตสูง วัณโรค โรคเข่าเสื่อม หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือโรคต้อชนิดต่าง ๆ เป็นต้นเหตุผลคือ โรคเหล่านี้มักมีระยะเวลาก่อเกิด จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่าลูกค้าอาจจะเป็นมาก่อน แล้วมาสมัครทำประกันชีวิต เพราะทำไม่นานก็ป่วยเป็นโรคเหล่านี้ บริษัทจึงต้องขอตรวจสอบประวัติการรักษาก่อน แต่ถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีการไปพบแพทย์ในเรื่องเหล่านี้ บริษัทก็ต้องรับผิดชอบจ่ายสินไหมไปตามปกติระยะเวลาที่เป็นตัววัดสำคัญ (benchmark) โดยทั่วไปคือ 2 ปี เพราะบริษัทเชื่อว่าการป่วยหนักแบบนี้ ลูกค้าคงไม่ปกปิดแล้วรอถึง 2 ปีค่อยมารักษา อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจว่าสัญญาเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพที่แนบกับสัญญาประกันชีวิตนั้น หากมีการปกปิดข้อเท็จจริง บริษัทสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลาถึงแม้กรมธรรม์ประกันสุขภาพของเราจะมีอายุ 2 ปีขึ้นไปแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทมักจะไม่เข้มงวดในการขอตรวจสอบประวัติการรักษาแล้ว แต่ถ้าในใบเรียกร้องสินไหมที่แพทย์เขียนมา มีระบุไว้ชัดเจนว่า เราเคยรักษาโรคนี้มาก่อนการทำประกัน ก็เป็นเหตุให้บริษัทขอตรวจสอบประวัติการรักษาได้เช่นกันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่เพียงแต่บริษัทจะปฏิเสธไม่ให้เราใช้บริการแฟกซ์เคลม เพราะต้องขอตรวจสอบประวัติการรักษาก่อน ยังอาจเป็นเหตุให้บริษัทบอกล้างสัญญา เฉพาะในส่วนค่ารักษาพยาบาลได้ ถ้าพบว่าเราปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ แต่สัญญาหลักคือประกันชีวิต หลัง 2 ปีไปแล้ว บริษัทไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ต่อให้บริษัทพบว่าลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริง ก็หมดสิทธิในการบอกล้างสัญญาประเด็นที่ผู้คนสงสัยกันคือ ถ้าผู้สมัครเอาประกันชีวิตมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้ปกปิดข้อเท็จจริง แต่ถูกบริษัทตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นมาก่อน เลยขอเวลาในการตรวจสอบประวัติการรักษา ผู้เอาประกันภัยก็ไม่ควรถูกลงโทษด้วยการต้องออกค่ารักษาพยาบาลไปก่อนอย่างที่เคยเขียนไว้ว่า บริการแฟกซ์เคลม หรือการไม่ต้องควักเงินสดจ่ายโรงพยาบาลก่อนนั้น เป็นบริการเสริม หากบริษัทประกันชีวิตสงสัยว่าเราอาจจะเคยไปตรวจเจอมาก่อน เขามีสิทธิที่จะไม่ให้บริการเสริมนี้ได้ ไม่ได้เป็นการลงโทษ แต่ไม่ให้สิทธิพิเศษ ลูกค้าจ่ายเงินไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกกับบริษัทภายหลังแล้วลูกค้าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ถ้ามันเป็นเงินหลายแสนบาทผมได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการวางแผนค่ารักษาพยาบาล เธอได้เสนอแนวทางเลือกไว้หลายช่องทาง ดังนี้1. หากเพิ่งทำประกันสุขภาพไปไม่นาน แล้วตรวจพบว่ามีความผิดปกติและต้องใช้วิธีการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ให้ทำเรื่อง Pre-authorization หรือ Pre approve ขออนุมัติวงเงินค่ารักษาพยาบาลก่อน โดยแพทย์ผู้รักษาจะแจ้งว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดหรือรักษาเท่าไหร่ เราก็แจ้งวงเงินนั้นกับบริษัทประกันชีวิต เพื่อขอให้อนุมัติวงเงินการรักษาก่อน โดยทั่วไปขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 2-3 วัน2. ในกรณีที่อาการป่วยนั้นเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และไม่สามารถรออนุมัติจากบริษัทประกันชีวิตได้ทัน ลูกค้าต้องตัดสินใจว่าจะเข้ารักษาที่ไหน เพราะถ้าโรคที่เราป่วยมีเหตุอันควรสงสัยว่าน่าจะเป็นมาก่อน บริษัทประกันชีวิตต้องขอสืบประวัติแน่นอน การรักษาในโรงพยาบาลที่ราคาย่อมเยาลงมา ให้สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเรา ก็เป็นทางออกได้ทางหนึ่ง3. ถึงแม้โรคที่เราจะเข้ารักษานั้น มีโอกาสที่จะถูกตรวจสอบประวัติได้มาก แต่ถ้าในระหว่างที่รักษา แล้วเราให้ตัวแทนหรือญาติพี่น้องรีบขอประวัติการรักษาที่มีทั้งหมด ส่งให้บริษัทประกันชีวิต เพื่อยืนยันว่าเราไม่เคยมีอาการหรือการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน ก็ทำให้บริษัทสามารถอนุมัติสินไหมได้เร็วขึ้นได้4. หากบริษัทประกันชีวิตยังอนุมัติให้ไม่ทัน ให้ดูว่าวงเงินบัตรเครดิตหรือเงินสดที่เรามีเพียงพอที่จะจ่ายหรือเปล่า ถ้าเพียงพอก็ต้องใช้บัตรเครดิตรูดจ่ายไปก่อน แล้วนำใบเสร็จและใบเรียกร้องสินไหมมาเรียกร้องกับบริษัท (ผ่านตัวแทนประกันชีวิต) ตามขั้นตอนปกติ โดยทั่วไป จะใช้เวลาในการพิจารณา 2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่ต้องมีการขอประวัติ อาจจะใช้เวลายาวนานกว่านั้น แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าไม่เกิน 90 วัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ถึง 90 วัน5. ถ้าวงเงินบัตรเครดิตหรือเงินสดที่เรามีอยู่นั้นไม่พอ ก็ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ขอเซ็นสัญญารับสภาพหนี้จากโรงพยาบาล แล้วรอบริษัทประกันอนุมัติไม่เกิน 90 วัน พอเงินเข้ามา เราค่อยโอนจ่ายโรงพยาบาลอีกที หรือจะขอผ่อนชำระไปก่อน ในระหว่างที่รอผลการเรียกร้องสินไหม โรงพยาบาลส่วนใหญ่มีช่องทางนี้ครับ เพื่อรับมือกับลูกค้าที่ไม่สามารถจ่ายได้จริง ๆผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า โรงพยาบาลหลายแห่งก็เป็นนกรู้ ถ้าเขาสังเกตว่าโรคที่เรารักษาอาจมีเหตุสงสัยว่าน่าจะมีระยะก่อเกิด และเราเพิ่งซื้อประกันสุขภาพมา เขามักจะขอให้เราวางเงินมัดจำก่อนการรักษาเสมอ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะใช้แฟกซ์เคลมได้หรือไม่และจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ ท่านบอกว่า ส่วนใหญ่ที่แฟกซ์เคลมไม่ผ่าน ก็เกิดจากผู้เอาประกันไปบอกหมอเองว่าเคยไปรักษาที่ไหนมาก่อน หรือเคยป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ คุณหมอก็เลยบันทึกลงไปตามที่คนไข้บอก เลยเป็นประเด็นให้บริษัทประกันชีวิตสงสัยว่าลูกค้าเป็นโรคนี้ก่อนการทำประกันสุขภาพเธอยังบอกว่า ถ้ามองในแง่ดี การที่บริษัทประกันชีวิตเข้มงวด ตรวจสอบการเรียกร้องสินไหม ความจริงเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในระยะยาว เพราะหากบริษัทประกันภัยจ่ายสินไหมค่ารักษาพยาบาลง่ายเกินไป ทั้งที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ ก็อาจเป็นเหตุให้บริษัทมีต้นทุนสูง และจะกลายเป็นฐานในการคิดเบี้ยประกันสุขภาพรุ่นใหม่ ๆ ในอนาคตท่านทั้งหลายครับ เมื่อประมวลประเด็นปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว จะสังเกตว่ามันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ถ้าเราจะป้องกันปัญหาล่วงหน้า ด้วยการให้ลูกค้าตรวจสุขภาพโดยละเอียดทั้งหมด มันคงใช้เงินเป็นแสนบาทต่อคน ตั้งแต่การเอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ ส่องกล้อง MRI มีสารพัดเทคนิคใหม่ ๆ ในการตรวจอวัยวะแต่ละอย่าง ซึ่งยุ่งยากและไม่คุ้มค่าในการดำเนินการและถ้าจะให้ไปเช็กประวัติจากโรงพยาบาลทั่วประเทศล่วงหน้า ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าผู้สมัครเอาประกันภัยเคยไปรักษาที่ไหนบ้าง จึงเป็นที่มาว่า ต้องใช้ความซื่อสัตย์ต่อกันตั้งแต่แรก และนี่ก็เป็นหลักการที่ใช้กันทั่วโลก เท่าที่ทราบ อัตราส่วนการปฏิเสธไม่ให้ใช้แฟกซ์เคลมของไทยเรา ก็ไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ สิ่งที่ต้องทำคือ ลดความคาดหวังของผู้ซื้อประกันชีวิต ตัวแทนประกันชีวิต หรือผู้ขายต้องไม่พูดเกินเลยความเป็นจริงเวลาพูดถึงบริการแฟกซ์เคลม ต้องมีหมายเหตุไว้เสมอว่า ใน 2 ปีแรก หากป่วยด้วยโรคที่มีระยะก่อเกิด อาจจะต้องออกเงินค่ารักษาพยาบาลไปก่อน แล้วมาเรียกร้องสินไหมภายหลัง ถ้าเราไม่ได้ปกปิดข้อเท็จจริง ขอให้มั่นใจว่าเบิกค่าสินไหมได้แน่นอนประกันสุขภาพอาจจะไม่ใช่มนต์วิเศษที่แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเราไปได้มาก เหมือนกับคำพูดที่ว่า มือไม่อาจปิดฟ้าได้ แต่ปิดดวงตาได้ ประกันสุขภาพก็เช่นกัน มันไม่สามารถชดเชยความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ แต่มันช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยเยียวยาให้เราลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ขอเพียงเราซื่อสัตย์ต่อกัน ไว้ใจกัน และปล่อยให้ระบบนี้ทำหน้าที่ของมัน ดั่งที่นานาประเทศได้รับประโยชน์จากระบบการประกันสุขภาพนี้ครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1421386

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

สถาบันในอียูเสนอเก็บภาษีอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก เพิ่มรายได้หลักแสนล้านดอลล์

30/04/2024

รายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำโดยสถาบันคลังสมองของสหภาพยุโรป (อียู) เสนอแหล่งรายได้ใหม่สำหรับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ นั่นก็คือ การเก็บภาษีบรรดามหาเศรษฐีระดับพันล้านที่มีอยู่ทั่วโลก จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงานของ สถาบัน EU Tax Observatory ที่มีชื่อหัวข้อว่า 2024 Global Tax Evasion Report ชี้ว่า รัฐบาลทั่วโลกควรร่วมมือกันป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี และจัดทำอัตราภาษีขั้นต่ำสากลสำหรับมหาเศรษฐีพันล้าน(ดอลลาร์)ขึ้นไป ซึ่งคาดว่าด้วยวิธีการนี้จะช่วยสร้างเงินรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นถึง 250,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลกในแต่ละปี อัตราภาษีใหม่นี้คำนวณจากสัดส่วนราว 2% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดเกือบ 13 ล้านล้านดอลลาร์ของมหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกจำนวนประมาณ 2,700 คน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากแก่รัฐบาลต่าง ๆ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงรายงานชิ้นนี้ว่า ที่ผ่านมามหาเศรษฐีพันล้านมักเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าประชาชนทั่วไป เนื่องจากคนรวยเหล่านั้นมีช่องทางเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถนำเงินไปเก็บไว้กับบริษัทตัวแทน หรือในบัญชีในต่างประเทศ เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีในประเทศของตัวเอง ทั้งนี้ สถาบัน EU Tax Observatory ระบุว่า ปัจจุบันอัตราภาษีที่บรรดามหาเศรษฐีต้องจ่ายนั้นอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5% ในสหรัฐอเมริกา และเกือบ 0% ในฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลหลายประเทศพยายามหาวิธีเก็บภาษีคนร่ำรวยเพิ่มขึ้น เช่นกรณีของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสนอเก็บภาษีขั้นต่ำ 25% สำหรับคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด 0.01% แรก แต่คาดว่าข้อเสนอดังกล่าวจะไม่ผ่านความเห็นชอบของจากสภาคองเกรส สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า สองปีที่ผ่านมา (2021) นายรอน ไวเดน ประธานกรรมาธิการด้านการเงินวุฒิสภาสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต ได้นำเสนอแผนนโยบายจัดเก็บภาษีจากผู้มีฐานะร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีในสหรัฐ เพื่อหวังนำรายได้มาช่วยสนับสนุนร่างกฎหมายพัฒนาสังคมและแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงของประธานาธิบดี โจ ไบเดน โดยแผนดังกล่าวซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี” เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านนิติบัญญัติแบบคู่ขนาน ที่รวมถึง ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำที่อัตรา 15% สำหรับบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำกำไรได้เป็นอันดับต้นๆ ข้อเสนอกฎหมายภาษีทั้งสองนี้ มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีของภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวยทั้งหลาย ทั้งยังจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐ สามารถจัดเก็บรายได้เป็นมูลค่านับแสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสามารถนำมาใช้สนับสนุนกฎหมาย “Build Back Better” ของ ปธน.ไบเดน ที่เคยมีการประเมินว่าจะต้องใช้เงินราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ว่า ทำเนียบขาวจะแสดงจุดยืนสนับสนุนการตั้งอัตราขั้นต่ำภาษีนิติบุคคล ที่จะนำมาใช้งานประกบแผนจัดเก็บภาษีนิติบุคคลทั่วโลก ที่รัฐบาลจาก 136 ประเทศเพิ่งตกลงรับมาดำเนินการเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งตั้งเป้าไปที่บรรดาธุรกิจข้ามชาติต่างๆ ที่ไม่ได้จ่ายภาษี หรือจ่ายภาษีเพียงน้อยนิดด้วยการอาศัยช่องโหว่ของระบบภาษีสากล แต่กระนั้นก็ตาม “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี” ยังคงได้รับการคัดค้านจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครต ที่ต้องการเห็นการปรับขึ้นภาษีแบบตรงไปตรงมา สำหรับทั้งภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวย เพื่อนำรายได้มาสนับสนุนวาระนโยบายของปธน.ไบเดน มากกว่า ทั้งนี้ ในระดับทั่วโลก เมื่อปี 2021 ผู้แทนจาก 140 ประเทศบรรลุข้อตกลงกำหนดภาษีขั้นต่ำ 15% สำหรับบริษัทต่าง ๆ เพื่อจำกัดความสามารถของบรรดาบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ใช้วิธีโยกย้ายผลประกอบการไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง นายเกเบรียล ซัคแมน นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้อำนวยการของสถาบัน EU Tax Observatory กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "สิ่งที่คนจำนวนมากมองว่าเป็นไปไม่ได้ อาจสามารถกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้" โดยขั้นต่อไป คือการนำแนวคิดนี้ไปใช้กับมหาเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ ไม่ใช่แค่กับบริษัทข้ามชาติเท่านั้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/world/579408

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุน สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ดพร้อมร่วมงานเปิดฤดูกาลใหม่ 2023-2024

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรม ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผู้สนับสนุนสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ประจำฤดูกาล 2023/2024 อย่างเป็นทางการ โดยมีนายศุภสิน ลีลาฤทธิ์ รองประธานสโมสรฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ขึ้นกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุน รวมถึงพันธมิตรของสโมสรฯ พร้อมมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้บริหาร และตัวแทนผู้สนับสนุนสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมสร้างความสำเร็จและส่งเสริมด้านกีฬาฟุตบอลของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไปด้วยกัน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานจัดขึ้น ณ สนามบีจี สเตเดี้ยม เมื่อเร็ว ๆ นี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

"แก่ดีมีออม" เก็บเงินแบบไหนให้มีใช้จนวันตาย คนรุ่นใหม่ ระวังใช้จ่ายเกินตัว

30/04/2024

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และปี 2566 มีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีลูกน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุในอนาคตมีแนวโน้มอยู่ตามลำพัง จะต้องพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ใครเคยคิดหรือไม่ เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณเป็นผู้สูงอายุจะมีชีวิตการเป็นอยู่อย่างไร หากไม่มีเงินออมเพียงพอยังชีพ ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย เพราะเงินช่วยเหลือจากสวัสดิการของรัฐไม่น่าเพียงพอ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หรือบางคนคิดว่าในช่วงอายุ 60-80 ปี ต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 2 ล้านบาท ก็น่าจะดูแลตัวเองได้ อาจจะไม่ใช่ในยุคนี้ ปรากฏการณ์ “แก่ไร้เงินออม” ในสังคมไทย และต้องพึ่งเบี้ยผู้สูงอายุจากรัฐบาลที่เป็นมาตรการเชิงรับใช้งบประมาณมหาศาลในการดูแล อาจไม่ใช่ทางออกในอนาคตอีกต่อไป และหนึ่งในทางออกจะต้องส่งเสริมให้คนไทยด้วยมาตรการเชิงรุก “แก่ดีมีออม” ดูแลตนเองได้ยามเกษียณ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะอายุยืนมากขึ้น จะได้ไม่ประสบปัญหา “แก่ไปไร้เงินออม” แบบเดียวกับคนแก่ในปัจจุบันอคติพฤติกรรมคน อุปสรรคออมเงิน ไม่พอใช้ตอนแก่ จากข้อเสนอของ “วราวิชญ์ โปตระนันทน์” นักวิจัยนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพราะประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม เป็นความเปราะบางมากๆ ในสังคมไทย จึงต้องหามาตรการเชิงรุกในการออมเงินในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต และที่น่าตกใจจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างคนรุ่นใหม่อายุ 20-40 ปี ในปี 2563 จำนวน 1,043 คน พบว่า 30% ไม่คิดวางแผนหรือไม่ลงมือทำในการออมเงิน เมื่อรวมคนที่ไม่ทำเลยพบว่า 84% ไม่มีเงินเพียงพอตอนเกษียณ จึงหามาตรการควรทำอย่างไรจากการศึกษามานาน ทั้งเรื่องรายได้ การเข้าถึงช่องทางการออม หรือความรู้ทางการเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐาน พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีระดับรายได้และความรู้เพียงพอสูงกว่าคนรุ่นเก่า แต่กลับมีอคติเชิงพฤติกรรมด้านจิตวิทยาก่อให้เกิดความเปราะบางทางการเงิน จนส่งผลต่อการออมเงิน อคติเชิงพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่มีอย่างน้อย 4 ประเภท ทำให้ไม่พร้อมทางการเงินยามเกษียณ 1. อคติโลกแคบ มองแบบสั้นๆ แคบๆ มองไม่ถึงว่าภาพอนาคตจะเป็นอย่างไร 2. อคติชอบปัจจุบัน อาจรู้อยู่แล้วต้องใช้เงินในยามเกษียณ แต่มีสิ่งล่อตาล่อใจใช้จ่ายเกินตัว เพื่อความสุขในวันนี้ 3. อคติละเลยอัตราทบต้น ออมน้อย กู้เยอะละเลยดอกเบี้ยทบต้นที่สามารถทำให้ผลประโยชน์ในตอนท้ายสูง หากออมต่อเนื่องนานๆ และ 4. อคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงยึดติดกับเงินออมในธนาคาร ไม่ลงทุนในสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยแม้จะได้ผลตอบแทนมากกว่ามาตรการกระตุ้นการออม ให้ถูกจุดกับพฤติกรรมคน จากการทบทวนงานวิจัยในอดีตหลายชิ้นในช่วง 2 ปีพบว่ามีมาตรการคาดว่าจะส่งเสริมการออมโดยใช้ประโยชน์จากอคติเชิงพฤติกรรม 1. สะกิดด้วยข้อมูล ให้เห็นความสำคัญของการออมอย่างต่อเนื่องยาวนานทำให้เงินเติบโตขึ้นมหาศาลจากอัตราดอกเบี้ยทบต้น 2. การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น เสนอว่าควรจะออมกี่เปอร์เซ็นต์ต่อรายได้ต่อเดือน ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามเกษียณ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ 3. การออมแบบกึ่งบังคับ ให้ออมเงินในอัตราที่กำหนดต่อเดือน หรือ 20% แต่สามารถเลือกได้อาจไม่ออมในอัตรานั้นก็ได้ เป็นการแก้ไขอคติโลกแคบสำหรับคนที่คิดมาก เพื่อให้เกิดการออมโดยไม่รู้ตัว และ 4. การออมผ่านการใช้จ่ายหรือการหักเงินมาออมทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย เพราะคนเข้าใจว่ามีรายได้ก็ต้องใช้จ่ายในการซื้อของ เช่น ถ้าซื้อสินค้าราคา 95 บาท แต่หักเงินเป็น 100 บาท โดยเศษเงินส่วนเกิน 5 บาทจะโอนเข้าบัญชีออม โดยธนาคารบางแห่งในไทยเริ่มใช้มาตรการลักษณะนี้แล้วและพบว่าได้ผลพอควรโดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุไม่มาก เมื่อใช้จ่ายทุกวันก็มีเงินออมทุกคนอย่างสุภาษิตที่ว่า “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท”ที่ผ่านมามีการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างในวัยทำงานด้วยการเล่นเกมจัดสรรเงินบนคอมพิวเตอร์ ว่ามีรายได้ต่อเดือนจะจัดสรรการใช้จ่ายกี่บาท ภายใต้มาตรการเหล่านี้ และเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช้มาตรการ ซึ่งผลปรากฏว่ามี 2 มาตรการในการตั้งอัตราการออมเริ่มต้น และการออมกึ่งบังคับ ได้ผลดีโดยเฉพาะกับกลุ่มที่ขาดวินัยทางการเงินมากๆ หากไม่กระตุ้นไม่บังคับจะปล่อยผ่าน จนสุดท้ายทำให้รู้ว่าทำไมเก็บออมได้ ซึ่งในไทยมีอยู่บ้างในบริษัทเอกชน แต่กลุ่มแรงงานนอกระบบ 20 ล้านคน มีเพียง 50% เข้าถึงประกันสังคมมาตรา 39 และมาตรา 40 จากอคติเชิงพฤติกรรม หากนำมาตรการเหล่านี้มาใช้น่าจะทำให้แรงงานนอกระบบสามารถออมเงินได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพอิสระมีรายได้ไม่แน่นอน ในการใช้มาตรการออมกึ่งบังคับ ขณะที่การสะกิดด้วยข้อมูล ได้ผลสำหรับผู้อยู่ในระบบประกันสังคม มีรายได้ประจำและมีความพร้อมในการออม อาจต้องใช้ข้อความสะกิดที่หลากหลาย อธิบายประโยชน์ของการออมเรื่องการได้รับดอกเบี้ย ส่วนการออมผ่านการใช้จ่าย ได้ผลดีกับผู้มีรายได้น้อย ออมน้อย และคนรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายเป็นประจำ เนื่องจากการออมผ่านการปัดเศษในขณะใช้จ่าย เจ้าตัวไม่ต้องชั่งใจมากนักว่าจะออมหรือไม่ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็น “ดาบสองคม” ไปเพิ่มความชะล่าใจในการใช้จ่ายอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกว่ามีการออมทุกการใช้จ่ายอยู่แล้ว และการออมลักษณะนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการเกษียณ แต่ช่วยเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นการออมเท่านั้น“แก่ดีมีออม” ให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งพารัฐ มาตรการส่งเสริมการออมจะต้องมีการออกแบบระบบบัญชี เพื่อการเกษียณส่วนบุคคล ให้รู้ว่าออมเงินแล้วไปไหนสำหรับแรงงานในระบบ และควรมีลักษณะพิเศษไม่สามารถถอนได้ง่ายเท่ากับบัญชีปกติ อาจรวมถึงข้อมูลสินทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน หลักทรัพย์ น่าจะได้ผลในการยกระดับสำนึกต่อการออม และน่าจะกระตุ้นให้ผู้ออมอยากเพิ่มการออมของตนเองให้เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ ข้อเสนอเหล่านี้คาดหวังจะได้รับการพิจารณาจากภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม และภาคเอกชนต้องปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อกระตุ้นจูงใจในการออม เป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมการไปสู่ “แก่ดีมีออม” ของประชากรไทย เพื่อยกระดับชีวิตท่ามกลางสังคมอายุยืนให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งพารัฐ เพราะทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ต้องมองให้ยาวถึงวันตาย และทุกหน่วยงานจะต้องทำอย่างไรให้คนหลุดพ้นจากการก่อหนี้และมีรายได้เสริม เพื่อจะได้มีเงินออม “ในวัยเกษียณต้องมีเงินอย่างน้อย 7.5 ล้านบาท แต่บางคนมองว่ามี 1-2 ล้านบาทก็พอ เพราะมีทรัพย์สิน บ้านที่ดินแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ หรือคนออมทองไม่ใช่ไม่ดี ควรไปลงทุนอย่างอื่นด้วย อย่ากลัวจากอคติ และแรงงานนอกระบบหากพัฒนาด้านทักษะ ก็สามารถเป็นแรงงานในระบบได้ อย่าหวังจากการซื้อหวย ก็เป็นการใช้จ่ายอยู่ดี เปอร์เซ็นต์ถูกรางวัลก็น้อยมาก เป็นอีกสาเหตุทำให้ไม่ออมเงิน อย่ารอให้เกิดปัญหา จะต้องแก้สมการให้ได้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ปรับทัศนคติในการออมเงิน จะได้ไม่ลำบากในวัยเกษียณ”.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2732701

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ใคร บริษัทประกันชีวิต หรือลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์

30/04/2024

วันที่  24  ต.ค.66-นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการประกันและอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค​"บรรยง​ วิทยวีรศักดิ์"ความว่า  กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ใครบริษัทประกันชีวิต หรือลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ตอนที่มีข่าวอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ถูกสืบประวัติสุขภาพย้อนหลัง หลังแฟกซ์เคลมไม่ผ่าน ผมได้ชี้แจงว่า บริษัทใช้สิทธิตรวจสอบ หากมีการปกปิดข้อมูลที่สำคัญ บริษัทประกันชีวิตมีสิทธิ์บอกล้างสัญญาประกันชีวิตได้ผู้อ่านบางคนถึงกับพูดว่า ไม่ยุติธรรม กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้บริษัทประกันชีวิต วันนี้ ผมจึงขอมาเปรียบเทียบว่า กฎหมายกำหนดให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไรบ้างข้อเสียเปรียบของลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์1. ถ้าลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริง และเสียชีวิตใน 2 ปีแรก บริษัทประกันชีวิตมีสิทธิ์บอกล้างสัญญาให้เป็นโมฆียะกรรม คือไม่มีผลแต่ต้น บริษัทไม่ต้องจ่ายสินไหมข้อสังเกต : ถึงแม้บริษัทจะไม่จ่ายสินไหม แต่ต้องคืนเบี้ยประกันให้ลูกค้า  และถ้าลูกค้าบริสุทธิ์ใจ แจ้งข้อมูลตามความเป็นจริง ก็ไม่ต้องกังวลข้อนี้เลย2. ลูกค้าป่วยหนัก บริษัทมีสิทธิตรวจสอบว่า มีประวัติการรักษามาก่อนหรือไม่ จึงไม่ได้สิทธิ์แฟกซ์เคลมข้อสังเกต : บริษัทไม่ได้ปฏิเสธสิทธิ์ในการเรียกร้องสินไหม ลูกค้ายังสามารถยื่นเรียกร้องสินไหมได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องจ่ายค่ารักษาไปก่อน เพื่อให้เวลาบริษัทหาข้อเท็จจริงครับ3. ลูกค้าแถลงปัญหาสุขภาพตามจริง แต่ตัวแทนไม่กรอกข้อมูลนั้นลงในใบสมัคร ทำให้กรมธรรม์ถูกบอกล้างข้อสังเกต : กรมธรรม์เป็นเสมือนสัญญาระหว่างลูกค้ากับบริษัท ก่อนลงนามหรือเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ต้องตรวจสอบสัญญาอีกครั้งเสมอ เพื่อมั่นใจว่าสัญญาถูกเขียนไว้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในประเด็นการแถลงปัญหาสุขภาพซึ่งเราต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เราจะอ้างว่าตัวแทนเป็นคนกรอก โดยที่เราไม่ได้อ่านไม่ได้4. ลูกค้าจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพมาหลายปี พอหยุดจ่าย เกิดป่วยหนักขึ้นมาบริษัทไม่ผ่อนผันเลยข้อสังเกต : เป็นข้อตกลงตามสัญญาครับ แต่อย่างไรก็ตาม ในสัญญาได้ระบุระยะผ่อนผันให้  แต่ถ้ายังเลยระยะผ่อนผัน ก็ต้องดูว่ากรมธรรม์หลัก มีมูลค่าเงินสด ที่สามารถกู้มาจ่ายเบี้ยประกัน ซึ่งจะทำให้กรมธรรม์คุ้มครองต่อไปได้อีกระยะหนึ่งครับ5. ลูกค้าแถลงข้อเท็จจริงในการทำประกันสุขภาพ แต่ยังมีระยะรอคอย 30 วันสำหรับโรคทั่วไป และ 120 วันสำหรับโรคบางโรคข้อสังเกต : อันนี้เป็นจุดอ่อนของกรมธรรม์ประกันสุขภาพทุกบริษัท ที่ไม่สามารถเริ่มคุ้มครองทันทีสำหรับการเจ็บป่วย แต่สำหรับอุบัติเหตุจะเริ่มคุ้มครองทันทีที่กรมธรรม์อนุมัติ วิธีแก้ปัญหาคือ พยายามซื้อประกันให้เร็วที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย อย่ารอให้มีอาการป่วยแล้วรีบซื้อ เพื่อหวังว่าจะได้เบิกสินไหมทันทีข้อเสียเปรียบของบริษัทประกันชีวิต1. ถ้าลูกค้าฆ่าตัวตายหลังกรมธรรม์มีผลบังคับแล้วหนึ่งปี บริษัทต้องรับผิดชอบ จ่ายสินไหมตามปกติข้อสังเกต : ตามสถิติพบว่าลูกค้าที่คิดสั้น แล้วหวังเงินสินไหมจากการฆ่าตัวตายนั้น ส่วนใหญ่ เมื่อเลยระยะเวลาหนึ่งปีไปแล้ว มักจะคิดตก เปลี่ยนความตั้งใจ ไปทำมาหากินตามปกติ2. ถ้าลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ แล้วเสียชีวิตหลังสองปี บริษัทยังต้องรับผิดชอบเรื่องสินไหมตามปกติข้อสังเกต : เป็นหน้าที่ของบริษัทที่ต้องสืบให้ทราบว่า ลูกค้ามีการปกปิดข้อเท็จจริงหรือเปล่า ถ้าเลยสองปี ถือเป็นการละเลยของบริษัทเอง จึงต้องรับผิดชอบตามทุนประกันชีวิตที่ลูกค้าซื้อเอาไว้ทุกประการ3. ถ้าลูกค้าถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าโดยเจตนา หากมีผู้รับประโยชน์หลายคน และคนอื่นไม่ได้ร่วมลงมือด้วย บริษัทต้องรับผิดชอบจ่ายสินไหมให้ผู้รับประโยชน์คนอื่นตามปกติ ตามสัดส่วนที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ ส่วนสินไหมของผู้ลงมือไม่ต้องจ่าย แต่ต้องคืนเบี้ยประกันส่วนนี้ให้กับกองมรดกของผู้เอาประกันข้อสังเกต : ผู้รับประโยชน์คนอื่นที่ไม่รู้เรื่อง ต้องได้รับการปกป้องตามสิทธิ์ที่เขาพึงมี บริษัทไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้4. เมื่อลูกค้าซื้อประกันชีวิตและมีผลคุ้มครองไปแล้ว ต่อมาไม่ว่าลูกค้าจะเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใด (ที่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม) บริษัทต้องรับผิดชอบค่าสินไหมตามปกติ ถึงแม้ดูเหมือนว่าลูกค้าจะทำให้เกิดความเสี่ยงเหล่านั้นขึ้นเอง เช่น ลูกค้าถูกประหารชีวิตจากการทำความผิดตามกฏหมาย หรือลูกค้าเข้าร่วมทะเลาะวิวาทแล้วถูกแทงเสียชีวิตข้อสังเกต : คำว่าประกันชีวิตคือ ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกค้าหยุดหายใจ ไม่ว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด บริษัทต้องรับผิดชอบทั้งหมด5. ตามมาตรฐานของการประกันสุขภาพแบบใหม่ ที่เริ่มมีผลสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. 2565 เมื่อซื้อไปและกรมธรรม์มีผลคุ้มครองแล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงอะไร และป่วยต่อเนื่องขนาดไหน บริษัทต้องรับผิดชอบลูกค้า ตามวงเงินและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ไม่สามารถยกเลิกได้ไปตลอดสัญญา เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ลูกค้ามีการปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพ หรือเรียกร้องสินไหมโดยทุจริตเท่านั้นข้อสังเกต : กฎหมายใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของประกันสุขภาพในอดีต ที่มีบางบริษัท(ส่วนน้อย) ฉวยโอกาสยกเลิกกรมธรรม์ของลูกค้า เมื่อพบว่าลูกค้าป่วยหนัก ต้องเบิกสินไหมต่อเนื่อง ถือเป็นความกล้าหาญของคปภ. ที่ออกมาปกป้องลูกค้าผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการทำประกันสุขภาพ6. ตามมาตรฐานของการประกันสุขภาพแบบใหม่ บริษัทไม่สามารถเลือกขึ้นเบี้ยประกันสำหรับคนบางคนที่เรียกร้องสินไหมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากการที่มีสุขภาพแย่ลงหลังการซื้อประกันสุขภาพ เว้นแต่บริษัทจะพิสูจน์ได้ว่าพอร์ตโฟลิโอของการประกันสุขภาพทั้งพอร์ต ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี ก็ให้ยื่นเรื่องมาที่คปภ. เพื่อพิจารณาปรับเบี้ยประกันสำหรับลูกค้าในพอร์ตนั้นทั้งหมดข้อสังเกต : คปภ. เข้ามากำกับดูแลมากขึ้น ไม่ให้บริษัทประกันภัยเลือกปฏิบัติต่อลูกค้าตามอำเภอใจ ไม่ว่าจะยกเลิกกรมธรรม์ เพิ่มค่าเบี้ยประกันโดยพลการ แน่นอนว่า บริษัทประกันภัยย่อมไม่ชอบข้อกำหนดนี้ แต่ต้องปฏิบัติตาม ผมคิดว่า ถ้าเราอ่านข้อมูลทั้งหมดด้วยใจที่เป็นธรรม ผมเชื่อว่าหน่วยงานของรัฐคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ออกกฏหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนมากกว่า ในเรื่องข้อเสียเปรียบของประชาชนนั้น ถ้าเพียงแต่ประชาชนสมัครทำประกันด้วยความสุจริตใจ เปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วน ก็จะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ และถึงแม้ประชาชนผิดเงื่อนไขเสียเอง เช่น ปกปิดข้อเท็จจริง กฎหมายยังปกป้องโดยการคืนเบี้ยประกันชีวิตให้ (แต่หักค่าใช้จ่ายเล็กน้อย เช่นค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น)ขณะที่ฝั่งบริษัทประกันชีวิต มีหลายเรื่องที่ไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องของตนเองเลย แต่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่ว่าการที่ลูกค้าฆ่าตัวตาย ลูกค้าถูกฆาตกรรม หรือการที่ลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริง แล้วเสียชีวิตหลัง 2 ปีไปแล้ว บริษัทต้องรับผิดชอบทั้งหมดขอให้พวกเรามั่นใจว่า หน่วยงานของรัฐและกฎหมายที่ออกมากำกับดูแล เกี่ยวกับระบบประกันชีวิตของไทยนั้น ได้มาตรฐานและคุ้มครองผู้บริโภคดีพอ หากพบการกระทำใดที่เรารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เราสามารถร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของคปภ.ได้ตลอดเวลา สะดวกและรวดเร็วครับมีสำนวนหนึ่งในธุรกิจประกันชีวิตคือ “คนมีเหตุผล หนีประกันไม่พ้น” ผมคิดว่าหลักการของประกันสุขภาพและประกันชีวิตก็เหมือนกัน ล้วนผ่านการขบคิด ทดสอบ และนำมาใช้เป็นร้อยปี จนเป็นหลักการที่อยู่ตัวแล้ว เราจึงไม่แปลกใจที่ ประเทศที่ยิ่งเจริญ ธุรกิจประกันชีวิต ประกันสุขภาพยิ่งโตตาม มันคงเป็นดัชนีชี้วัดที่ดีได้ตัวหนึ่ง เห็นด้วยไหมครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/487257

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

อสังหาริมทรัพย์

บ้านเอง VS ขายผ่านเอเจนต์ เลือกอย่างไรไม่ให้ว้าวุ่น

30/04/2024

ผู้ซื้อและผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ในทางปฏิบัติมีรายละเอียดต่าง ๆ มากมายตลอดกระบวนการซื้อหรือขาย ตั้งแต่การเลือกโครงการ ทำเล เจ้าของบ้านหรือผู้พัฒนา ราคา ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมจิปาถะ ไปจนถึงการทำเรื่องธุรกรรมต่าง ๆ ส่วนในฝั่งของผู้ขายก็ต้องการขายให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยหรือคืนทุนให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงทำให้แนวโน้มการใช้เอเจนต์อสังหาฯ มาทำหน้าที่จุกจิกเหล่านี้แทนกำลังได้รับความนิยม  DDproperty  เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 54% ในเมืองไทย ออกบทความ  ไขข้อสงสัยขายบ้านเอง VS ขายผ่านเอเจนต์ แบบไหนเหมาะ เลือกอย่างไรไม่ให้ว้าวุ่นระบุว่า การซื้อ ขาย หรือเช่าบ้านให้ได้ตรงใจถ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็อาจเป็นเรื่องปวดหัวมากถึงมากที่สุด เพราะกว่าจะพบที่อยู่อาศัยที่ถูกใจต้องผ่านหลายกระบวนการ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่า หรือผู้ปล่อยเช่าอสังหาฯ สามารถให้เอเจนต์ทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีรายละเอียด ข้อมูล การติดต่อประสานงานและขั้นตอนที่จุกจิกแทนได้ การเลือกใช้เอเจนต์ที่มีคุณภาพและได้รับการรับรอง จึงกลายเป็นอีกตัวช่วยที่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้เวลา สมอง และงบประมาณกับเรื่องสำคัญนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความท้าทายที่ถูกมองข้ามเมื่อคิดขายบ้านเอง ได้แก่ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคที่วางแผนซื้อบ้านในเวลานี้มีความกังวลใจต่อภาระค่าใช้จ่ายและเลือกชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน โดยหันมาเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแทน ขณะที่โครงการรีเซลหรือโครงการมือสอง ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ถูกกว่าบ้านใหม่ กลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่มีงบประมาณจำกัดและมีความจำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้มีสินค้าบ้าน/คอนโดฯ มือสองจะนำออกมาขายสู่ตลาดเพื่อตอบรับความต้องการที่มีในตอนนี้ อย่างไรก็ดี ภายใต้โอกาสนั้นก็ยังมีความท้าทายซ่อนอยู่ เนื่องจากการขายอสังหาฯ มีความแตกต่างจากการขายสินค้าทั่วไปพอสมควร อันดับแรกผู้ที่ต้องการขายที่อยู่อาศัยมือสองต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม้ที่อยู่อาศัยจะมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ถือเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ก่อนตัดสินใจซื้อจึงต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แม้การประกาศขายบ้านเองนั้นมีข้อดีตรงที่ผู้ขายได้รับเงินเต็มจำนวนทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นเหมือนการขายผ่านเอเจนต์ แต่ในทางตรงกันข้าม การประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จ หากไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ความท้าทายที่ถูกมองข้ามเมื่อคิดขายบ้านเอง ได้แก่ ㆍตั้งราคาขายตามใจ ไม่สนราคาตลาด  ขั้นตอนการตั้งราคาขายบ้านมือสองนั้นถือว่ามีความสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากถือเป็นปัจจัยแรกที่ดึงดูดผู้ซื้อ ผู้ขายมือใหม่หลายคนมักจะเลือกตั้งราคาตามที่ต้องการ โดยลืมพิจารณาปัจจัยสำคัญคือราคาขายของสินค้าประเภทเดียวกันในทำเลนั้น ๆ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งโดยตรงที่ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบได้ทันที ผู้ขายควรจะศึกษาราคาขายเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยมือสองประเภทเดียวกันในทำเลนั้น ๆ ก่อน  หากเป็นบ้าน/คอนโดฯ ที่ผ่อนชำระอยู่ก็ต้องตั้งราคาให้ครอบคลุมภาระหนี้ที่เหลือ โดยหักค่าเสื่อมของอสังหาฯ ออก และต้องไม่ลืมรวมค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องซ่อมแซมจุดชำรุดแล้วตกแต่งบ้านให้สวยงามพร้อมเข้าอยู่ ค่าทำการตลาดเมื่อประกาศขาย รวมทั้งบวกค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบด้วย โดยราคาขายควรเหมาะสมกับสภาพอสังหาฯ ไม่แพงเกินไปจนผู้ซื้อเมินตั้งแต่ครั้งแรก และไม่ถูกจนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าที่อยู่อาศัยนั้นมีปัญหาซ่อนอยู่ หรือผู้ขายร้อนเงิน ซึ่งจะทำให้เสี่ยงโดนกดราคาเพิ่ม ㆍไม่เข้าใจการวางแผนการตลาด  การประกาศขายอสังหาฯ นั้นมีทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ให้เลือก ปัจจัยสำคัญคือต้องเริ่มต้นวางแผนทำการตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ซื้อมากที่สุด ใช้ข้อความให้ดึงดูดใจจากราคาและความคุ้มค่าจากของแถมที่มอบให้ เลือกใช้รูปถ่ายที่สวยงามในมุมที่ทำให้บ้านดูกว้างขวาง ไม่อึดอัด ข้อควรคำนึงคือการประกาศขายผ่านช่องทางออนไลน์นั้นแม้จะมีความสะดวกและเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า แต่ในทางกลับกันก็มีการแข่งขันที่สูงไม่น้อย ดังนั้นการประกาศฟรีตามเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสหรือโซเชียลมีเดียอาจไม่เพียงพอ บางครั้งจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเพิ่มยอดผู้เข้าชม หรือให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ขณะเดียวกันผู้ขายอาจไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าต้องใช้ระยะเวลานานเพียงใดกว่าจะปิดการขายได้ หากไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอเพื่อวางแผนการตลาด อาจทำให้ไม่สามารถขายออกได้ง่ายหรืองบส่วนนี้บานปลาย  ㆍไม่มีเวลาเพียงพอในการพาผู้ซื้อเยี่ยมชม  เมื่อมีผู้สนใจซื้อและขอนัดหมายเยี่ยมชมที่อยู่อาศัยที่ประกาศขายจริง ผู้ขายต้องเป็นคนดำเนินการเอง ซึ่งปกติแล้วจะมีการขอเยี่ยมชมเรื่อย ๆ จากหลากหลายลูกค้าที่สนใจ ซึ่งผู้ขายต้องทำใจว่าอาจต้องใช้เวลาในการเปิดบ้านและพาไปเยี่ยมชมและให้ข้อมูลหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะขายได้ หรือบางกรณีที่ผู้สนใจซื้อสะดวกนัดหมาย แต่อาจจะไม่ตรงกับช่วงเวลาที่ผู้ขายว่าง ซึ่งหากเกิดกรณีที่ต้องเลื่อนนัดหรือปฏิเสธนัดบ่อย ๆ ก็เป็นการลดโอกาสที่จะขายได้ตามไปด้วย เนื่องจากผู้ซื้ออาจสนใจโครงการอื่นที่ไปดูแทนหรือมีความจำเป็นเร่งด่วนในการหาบ้านใหม่ นอกจากนี้ผู้ขายยังต้องเผชิญความท้าทายในการพิจารณาว่าผู้ที่สนใจซื้อนั้นเป็นลูกค้าจริง หรือเป็นแค่มิจฉาชีพที่แฝงตัวมา ㆍขาดทักษะในการต่อรอง  ผู้ขายต้องมีทักษะในการสื่อสารและวาทศิลป์ที่ดีในการดึงดูดใจเมื่อให้ข้อมูลบ้านที่จะขาย เพื่อให้สามารถปิดการขายได้ภายในเวลาที่รวดเร็วและขายได้ตามราคาที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้ขายมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการขายบ้าน/คอนโดฯ มาก่อน มักเผชิญความท้าทายเมื่อผู้ซื้อต้องการให้ลดราคาลง หรือต่อรองราคาโดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ขอลดราคาโดยไม่เอาเฟอร์นิเจอร์ หรือหาจุดชำรุดมากดดันขอลดราคาเพิ่ม นอกจากนี้ ระหว่างการสื่อสารกันนั้น ผู้ขายไม่ควรบอกเหตุผลการขายในเชิงลบที่อาจเสี่ยงต่อการถูกกดราคา หรือยกเลิกการซื้อในภายหลังเช่นกัน ㆍขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเอกสารสัญญา การซื้อขายที่อยู่อาศัยมือสองนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างจากการซื้อขายทรัพย์สินอื่น ๆ และซับซ้อนกว่า ผู้ขายต้องศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องการทำสัญญาการขายให้รอบคอบและครอบคลุม รายละเอียดในสัญญาต้องชัดเจนทั้งในเรื่องราคา เงื่อนไข เวลาในการดำเนินงานต่าง ๆ หรือค่าเสียเวลาหากผู้ซื้อเปลี่ยนใจยกเลิกสัญญาในภายหลัง นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้เรื่องสินเชื่อ การเตรียมเอกสารในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ขณะเดียวกันยังต้องศึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อทำความเข้าใจว่าส่วนไหนบ้างที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งควรคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ในราคาขายบ้านตั้งแต่แรก รายละเอียดเหล่านี้ต้องใช้เวลาศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนจะประกาศขาย เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในภายหลัง“เอเจนต์” สะพานเชื่อมผู้ขายและผู้ซื้อ มีดีมากกว่าแค่ขายบ้าน บางคนอาจมีความเชื่อผิด ๆ มองว่าเอเจนต์ทำได้แค่ขายเพียงอย่างเดียว จึงเสียดายเงินหากต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น ซึ่งแท้จริงแล้วเอเจนต์มืออาชีพนั้นมีบทบาทอยู่ในทุกขั้นตอนของเส้นทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย ดังนี้ ㆍเป็นที่ปรึกษา คอยดูแลในทุกขั้นตอน     เอเจนต์มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในการซื้อขายอสังหาฯ เป็นอย่างดี จากการศึกษาตลาด เรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้อง และติดตามข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ตลอดเวลา เอเจนต์จะช่วยดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการตั้งราคาขายบ้าน/คอนโดฯ ที่เหมาะสม ตรวจสอบจุดบกพร่องที่ควรซ่อมแซม ให้คำปรึกษาเพื่อปรับปรุงตกแต่งบ้าน/คอนโดฯ ให้สวยงามขึ้น เพื่อช่วยให้ขายบ้านได้ราคาดีและดึงดูดใจผู้ซื้อ นอกจากนี้ เอเจนต์ยังมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา การขอสินเชื่อในฝั่งผู้ซื้อ และการโอนกรรมสิทธิ์ ถือเป็นที่ปรึกษาที่ช่วยเตรียมการ อำนวยความสะดวก และแก้ไขปัญหาในการขายที่อยู่อาศัยให้ราบรื่น ประหยัดเวลาของผู้ขายมากขึ้น และลดความยุ่งยากในขั้นตอนที่ไม่คุ้นชินออกไป ㆍเป็นทั้งนักวิเคราะห์และนักวางแผนการตลาด     การประกาศขายที่อยู่อาศัยให้ได้รับผลตอบรับที่ดีนั้น เอเจนต์ต้องทำการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน เพื่อนำมาวางแผนขายบ้าน/คอนโดฯ มือสองให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยต้องศึกษาจุดเด่นของอสังหาฯ ที่ต้องการขาย นำมาวิเคราะห์โอกาสในทำเลนั้นๆ โดยเปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยประเภทเดียวกันที่ประกาศขายในทำเลนั้น ๆ ว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด อยู่ในระดับราคาเท่าไร ผู้ซื้อที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร มีการติดตามสื่อผ่านช่องทางไหนบ้าง และนำข้อมูลทั้งหมดมาวางแผนว่าจะประกาศขายในสื่อออฟไลน์และออนไลน์ที่ใดบ้าง ใช้ระยะเวลาเท่าไร และมีกลยุทธ์ใดบ้างที่จะนำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้ปิดการขายะสกรีนผู้ซื้อ     เอเจนต์จะมีประสบการณ์การซื้อ-ขายในได้ไวขึ้น ㆍสวมบท Matchmaker ช่วยจับคู่แลตลาดมากกว่าผู้บริโภคทั่วไป จึงมีความเข้าใจความต้องการที่ต่างกันทั้งของผู้ซื้อและผู้ขาย และมีเครือข่ายของเอเจนต์เองหรือฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เชื่อมโยงให้ผู้ขายได้พบกับผู้ซื้อที่มีความต้องการที่ตรงกัน ขณะเดียวกัน เอเจนต์ยังมีประสบการณ์ที่จะช่วยประเมินว่าผู้สนใจซื้อคนไหนมีศักยภาพในการซื้อมากเพียงพอ นอกจากจะเป็นตัวแทนในการพาผู้สนใจซื้อมาเยี่ยมชมโครงการแล้ว ยังมีเทคนิคและทักษะที่ดีในการเจรจา เป็นเสมือนคนกลางที่ลดความร้อนแรงเมื่อมีการต่อรองราคา ช่วยหลีกเลี่ยงการโดนกดราคาจากผู้สนใจซื้อโดยตรง และโน้มน้าวให้เห็นความคุ้มค่าของบ้าน เพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อในราคาที่ตั้งไว้หรือใกล้เคียง ㆍเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเอกสารและสัญญา     เอเจนต์ต้องมีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม เพื่อให้สามารถช่วยผู้ขายได้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการตรวจสอบว่าที่อยู่อาศัยอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถขายได้ มีหนี้ค้างชำระหรือพันธะกับทางธนาคารหรือไม่ ซึ่งจะไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์บ้านที่ติดจำนองได้ จนกว่าจะเคลียร์หนี้กับธนาคารและทำเรื่องปลอดจำนองก่อน รวมทั้งแนะนำการไถ่ถอนหลักทรัพย์กรณีที่ที่อยู่อาศัยนั้นยังติดผ่อนธนาคาร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลังเมื่อมีการตกลงซื้อขาย นอกจากนี้ เอเจนต์ยังสามารถช่วยเตรียมเอกสารในการทำสัญญาต่าง ๆ ครอบคลุมตั้งแต่การทำสัญญาจะซื้อจะขาย การวางเงินมัดจำ การช่วยลูกค้าขอสินเชื่อ การเตรียมสัญญาซื้อขายและเอกสารต่าง ๆ ตลอดจนการโอนกรรมสิทธิ์ ลดเวลาในการดำเนินการเอง และช่วยให้มั่นใจในความถูกต้อง  เลือกเอเจนต์อย่างไรให้ปลอดภัย ไร้กังวลเรื่องโดนหลอก ก่อนตัดสินใจเลือกเอเจนต์ ผู้ขายควรตรวจสอบประวัติและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งมีการสอบวัดความรู้ทางด้านการเป็นตัวแทนและสอบวัดจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้งขอดูผลงานการขายที่ผ่านมาก่อน เพื่อพิจารณาคุณภาพและความรู้ความสามารถของเอเจนต์เบื้องต้น จากนั้นจึงตกลงรายละเอียดในสัญญาว่าจ้างเอเจนต์ให้เรียบร้อยว่า ภายใต้ค่านายหน้านั้นครอบคลุมบริการอะไรบ้าง เช่น ค่าทำการตลาด ค่าเดินทางพาลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเพิ่มมาในภายหลังโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งระบุเงื่อนไขที่ชัดเจนในการขาย ㆍหากเอเจนต์สามารถขายบ้านในราคาสูงกว่าที่ตกลงไว้ในตอนต้น เจ้าของบ้านจะตกลงให้จำนวนเงินส่วนที่เกินเป็นของเอเจนต์หรือไม่ ㆍเมื่อตกลงว่าจ้างแล้ว ค่านายหน้าจะต้องจ่ายในทุกกรณีที่ขายบ้าน/คอนโดฯ นั้นสำเร็จ แม้เจ้าของบ้านจะขายได้เองหรือไม่ ㆍบางครั้งสัญญาจะระบุว่าเจ้าของต้องแต่งตั้งให้เอเจนต์นั้น ๆ เป็นตัวแทนขายแต่เพียงผู้เดียว ห้ามมิให้เอเจนต์ผู้อื่นเป็นตัวแทนขายเป็นอันขาด ภายในระยะเวลาตามที่กำหนด ซึ่งถือเป็นวิธีป้องกันให้เอเจนต์ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกเจ้าของบ้านหรือเอเจนต์คนอื่นขายตัดหน้า โดยทั่วไปแล้วการขายที่อยู่อาศัยผ่านเอเจนต์จะต้องเสียค่านายหน้าหรือค่าคอมมิชชั่นประมาณ 3% ของราคาซื้อขาย และเอเจนต์จะเก็บค่านายหน้าเมื่อลูกค้าทำสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้วหรือปิดการขายได้แล้วนั่นเอง ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาข้อดีและข้อจำกัดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจว่าการเลือกขายบ้านด้วยตนเอง หรือผ่านเอเจนต์ วิธีไหนที่เหมาะสมกับความต้องการและตอบโจทย์มากที่สุดข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า เหตุผลที่ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านเอเจนต์อสังหาฯ นั้น 2 ใน 3 (68%) มองว่า เอเจนต์ช่วยให้ประหยัดเวลาจากการทำธุรกรรมได้มากขึ้น ตามมาด้วย 51% มองว่าเอเจนต์อสังหาฯ มีความรู้และความเชี่ยวชาญมากกว่าตนเอง และ 45% ยอมจ่ายเงินใช้เอเจนต์เพื่อลดความยุ่งยากในกระบวนการซื้อขายลง  ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกเอเจนต์นั้น มากกว่า 2 ใน 3 (71%) พิจารณาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเอเจนต์ ตามมาด้วยประสบการณ์ของเอเจนต์ 63% และชื่อเสียงของบริษัทที่เอเจนต์สังกัดอยู่ 55% ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเอเจนต์นั้นมีความสามารถเพียงพอและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ 8 ใน 10 ของผู้บริโภค (81%) เผยว่าให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification) เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงหรือเจอมิจฉาชีพแฝงตัวมา อย่างไรก็ดี หากผู้บริโภคยังไม่มั่นใจเมื่อต้องใช้เอเจนต์อสังหาฯ ก็สามารถเลือกใช้ “เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification)” ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ที่มีการแสดงข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจน และความเชี่ยวชาญเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าเอเจนต์ที่ผ่านการลงทะเบียนในโครงการนี้ และได้ป้ายสัญลักษณ์สีเขียว "ยืนยันตัวตน" หรือ "Verified" บนเว็บไซต์ http://www.ddproperty.com/ตรงปก มีความน่าเชื่อถือ และไว้ใจได้ ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการซื้อ-ขาย-เช่าบนเส้นทางอสังหาฯ นี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น และไร้กังวล แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/personal-finance/detail/53543

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

กูรูวงการประกัน เฉลยสาเหตุ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังผ่าไส้ติ่ง เคลมไม่ได้

30/04/2024

“บรรยง วิทยวีรศักดิ์” กูรูวงการการเงินและประกันภัย เฉลยสาเหตุ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังผ่าไส้ติ่ง แต่เคลมประกันไม่ได้วันที่ 22 ตุลาคม 2566 นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการการเงินและประกันภัย และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า อินฟลูชื่อดังผ่าไส้ติ่ง แต่เคลมประกันไม่ได้ อ้างรอสืบประวัติ วันนี้มีเฉลยข่าวจากทีวีพูล พาดหัวว่า “ชาวเน็ตงง! อินฟลูชื่อดังผ่าไส้ติ่ง แต่เคลมประกันไม่ได้ อ้างรอสืบประวัติ สรุปเป็นหนี้เกือบ 2 แสน”เนื้อข่าวบอกว่า อินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้ป่วยเป็นไส้ติ่ง ก่อนเข้ารักษา ได้โทรถามตัวแทนประกัน ก็บอกว่าไม่ต้องสำรองจ่าย สามารถเข้าแอดมิดได้เพราะการเป็นไส้ติ่ง ไม่ใช่โรคติดต่อ การเป็นไส้ติ่งคล้ายกับอุบัติเหตุที่อยู่ ๆ ก็เป็นได้อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 3 กันยายน 2566 ลูกค้ามีอาการเท้าบวมซึ่งแพทย์ก็ระบุว่า เป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่ใช้เท้าบ่อยและใส่ส้นสูงทั้งวัน ทางลูกค้าก็ส่งบัตรประกันไปและสำรองจ่ายเงินตามปกติ ซึ่งค่ารักษาครั้งนั้นประมาณ 2,000 บาทผมในฐานะที่ทำงานในธุรกิจประกันชีวิตมายาวนาน พออ่านเนื้อข่าวก็พอจับประเด็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงขอใช้ความรู้ในธุรกิจประกันชีวิต มาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนี้ธุรกิจประกันชีวิตวางอยู่บนหลักการ ที่ทั้งบริษัทประกันชีวิตและลูกค้าต้องมีความซื่อสัตย์ต่อกันอย่างยิ่งยวด หมายความว่าถ้าลูกค้าแถลงข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ปกปิดข้อมูลเรื่องสุขภาพ หากมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากทำประกันชีวิตไปแล้ว บริษัทก็พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง นี่คือหลักการที่เหมือนกันทุกประเทศอย่างไรก็ดี ในการทำประกันสุขภาพนั้น บริษัทไม่สามารถตรวจสุขภาพทุกรายโดยละเอียด หรือไปตรวจสอบประวัติของลูกค้าจากทุกโรงพยาบาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงใช้หลักการว่า ให้ลูกค้าเป็นผู้แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และถ้าไม่มีอะไรน่าสงสัย บริษัทจะเชื่อถือสิ่งที่แถลงมา (ถ้ามีอะไรสงสัย เช่นอ้วนไป ผอมไป หรือเคยผ่าตัดเนื้องอก อาจมีการเรียกตรวจสุขภาพเพิ่ม) แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริงที่มีนัยสำคัญ บริษัทมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ โดยเฉพาะในสองปีแรกที่ทำประกันในทางกฎหมายเรียกว่าสัญญาเป็นโมฆียะ กล่าวคือถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน บริษัทมีสิทธิ์บอกล้างสัญญา และมีผลให้สัญญาไม่มีผลบังคับ ย้อนหลังไปถึงวันที่เริ่มทำสำหรับโรคที่มีนัยสำคัญต่อสุขภาพในอนาคต ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ การพบก้อนเนื้อในร่างกาย เป็นต้น แต่ไม่ใช่พวกโรคไข้หวัด ตาแดง หรืออาการอื่นๆ ที่เป็นแล้วหายขาด อันนั้นถือว่าไม่มีนัยสำคัญต่อสุขภาพ ไม่ต้องแถลงก็ได้อย่างไรก็ตาม หากบริษัทมีการบอกล้างสัญญาเนื่องจากลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริง บริษัทจะคืนเงินที่เรียกว่า “ค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันภัย” เป็นเบี้ยประกันทั้งหมดที่ลูกค้าจ่ายมา หักด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินบางส่วน เช่น ค่าใช้จ่ายในการพิจารณารับประกันและค่าอากรแสตมป์ เป็นต้นหลายคนอาจจะสงสัยว่า ก็ในข่าวบอกว่าลูกค้าเป็นไส้ติ่ง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วบริษัทจะบอกเลิกสัญญาดื้อๆได้อย่างไรคำตอบคือ ได้ ถ้าลูกค้าป่วยด้วยโรคที่มีนัยสำคัญก่อนทำประกันชีวิต แล้วไม่ได้แจ้ง บริษัทมีสิทธิ์บอกล้างสัญญาได้ถ้าสังเกตุดีๆ ในเนื้อข่าวบอกว่า ก่อนหน้าที่จะผ่าตัดไส้ติ่งหนึ่งเดือน ลูกค้าได้ไปพบแพทย์ด้วยอาการเท้าบวม ถึงแม้แพทย์จะบอกว่าเดินมากและใส่รองเท้าส้นสูง แต่ในทางการแพทย์ สามารถมองในอีกแง่หนึ่งคือ อาจจะเกิดจากโรคหัวใจหรือโรคไตได้ถ้าเท้าบวมจากการเดินมาก อันนี้ไม่ถือเป็นการปกปิดข้อเท็จจริง แต่ถ้าเท้าบวมจากโรคหัวใจ และมีประวัติว่าลูกค้าเป็นมาก่อน อันนี้เป็นประเด็น ที่จะทำให้บริษัทบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าลูกค้าไม่มีประวัติการรักษามาก่อน บริษัทต้องรับผิดชอบครับหลายคนอาจจะสงสัยว่า ต่อให้ลูกค้ามีประวัติโรคหัวใจมาก่อน แต่เรื่องที่ลูกค้าต้องการจะเคลม มันเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ไม่มีประวัติมาก่อน ไม่ได้เกี่ยวกับหัวใจ จะหาเรื่องไม่จ่ายได้อย่างไรกลับมาที่หลักการความซื่อสัตย์ต่อกันอย่างยิ่งยวด หมายความว่า ถ้าในวันแรกที่ลูกค้าสมัครทำประกันชีวิต แล้วแจ้งบริษัทประกันตามตรงว่า มีประวัติรักษาโรคหัวใจมาก่อน หากบริษัททราบ ย่อมต้องตอบปฏิเสธ ไม่รับเข้าเป็นลูกค้า สัญญาก็คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น แต่เมื่อรู้ภายหลัง บริษัทก็มีสิทธิ์บอกล้างสัญญาได้ภายในสองปีนับ จากวันที่อนุมัติกรมธรรม์ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคแรก)ดังนั้น หากมีการปกปิดข้อเท็จจริงแล้ว ต่อมาลูกค้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ถ้าบริษัทสืบย้อนหลังแล้วพบว่า ลูกค้ามีประวัติป่วยด้วยโรคที่มีนัยสำคัญต่อสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง เอดส์หรือโรคไต บริษัทมีสิทธิ์บอกล้างสัญญาได้ และหลักการนี้เป็นหลักการที่ใช้กันทั่วโลกครับการที่ตัวแทนประกันชีวิตไปบอกลูกค้าว่า โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ไม่มีประวัติมาก่อน น่าจะเบิกได้ ก็ต้องใส่หมายเหตุว่า “ถ้าก่อนทำประกันชีวิต คุณไม่มีประวัติสุขภาพที่มีนัยสำคัญมาก่อนด้วย”โดยทั่วไป หลังสมัครทำประกันชีวิตไปแล้วสองปี บริษัทมักไม่สืบแล้วว่า คุณมีประวัติเป็นโรคอะไรมาก่อน อย่างไรก็ตาม ถ้าแพทย์ผู้รักษา เขียนในใบเคลมไว้อย่างชัดเจนว่าลูกค้าเป็นโรคนี้ก่อนทำประกันสุขภาพ บริษัทก็มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาประกันสุขภาพได้ แต่ไม่สามารถบอกล้างสัญญาประกันชีวิตหลังสองปีได้ ถึงแม้ว่าลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริงในเนื้อข่าวบอกว่า อินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้ ตัดพ้อว่าถ้าทำประกันแล้วเบิกไม่ได้ จะทำไปทำไม ขอชี้แจงเรื่องนี้ ดังนี้1. ในกรณีนี้ บริษัทยังไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายสินไหม แต่ขอตรวจสอบประวัติสุขภาพให้ชัดเจนก่อน เพียงแต่ยังไม่สามารถใช้สิทธิ์แฟกซ์เคลม (Cashless service)ได้ ลูกค้าต้องสำรองเงินไปก่อน2. ทุกบริษัทประกันชีวิต จะแจ้งว่าสิทธิ์แฟกซ์เคลมเป็นบริการเสริม ที่ไม่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ ในกรมธรรม์จะเขียนเพียงว่า หากเจ็บป่วย หลังจากบริษัทตรวจ สอบข้อเท็จจริงว่าถูกต้องตามเงื่อนไขแล้ว บริษัทจะจ่ายสินไหมนั่นหมายความว่า ถ้าข้อเท็จจริงชัดเจนทันที บริษัทก็จะจ่ายสินไหมผ่านไปที่โรงพยาบาลโดยตรง แต่ถ้ายังไม่ชัดเจน ลูกค้าต้องออกเงินไปก่อน เมื่อบริษัทได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว บริษัทค่อยจ่ายเงินค่ารักษาคืนให้ลูกค้า ตามสิทธิ์ที่พึงมีในกรมธรรม์ในเคสนี้ ก็ขอให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ถ้าเราไม่ได้ปกปิดข้อเท็จจริง บริษัทไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า เราเคยป่วยมาก่อนได้ บริษัทต้องรับผิดชอบในการจ่ายสินไหมครับแต่ถ้าบริษัทไปเจอหลักฐานว่า เราเคยรักษาโรคหัวใจมาก่อน หรือแพทย์เขียนในประวัติผู้ป่วยก่อนหน้านี้ว่า มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ถึงแม้จะยังไม่ได้ให้ยาโรคหัวใจมา ก็อาจเป็นเหตุให้บริษัทประกันบอกล้างสัญญาได้ ดังนั้น ตอนทำสัญญาประกันภัย ถ้ามีประวัติสุขภาพในโรงพยาบาลแล้ว ต้องบอกผู้ขายให้หมดครับการทำประกันสุขภาพ จึงต้องรีบทำในขณะที่มีสุขภาพแข็งแรง หากป่วยหลังจากทำประกันแล้ว บริษัทไม่มีสิทธิ์บิดพลิ้ว ต้องรับผิดชอบสุขภาพของเราไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเรารอให้เจ็บป่วยมาก่อน แล้วมาสมัคร และไม่บอกความจริงกับบริษัท ก็เท่ากับไม่สุจริตต่อกัน แล้วจะให้บริษัทรับผิดชอบการเจ็บป่วยของเราไปตลอดชีวิต ก็คงจะไม่ถูกต้องที่ผ่านมา พอมีข่าวลบเกี่ยวกับเรื่องประกันชีวิต ประกันสุขภาพ มักไม่ค่อยมีคนกล้าออกมาเคลียร์ มาตอบข้อสงสัย อาจเป็นเพราะยังไม่รู้ข้อมูลทางการแพทย์ หรือบางเรื่องขึ้นกับเอกสารที่มาแสดง จึงทำให้ประชาชน มีทัศนคติลบ หรือตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันชีวิตขอให้เชื่อว่า คงไม่มีบริษัทไหน ที่ตั้งใจตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อโกงโดยเฉพาะ ถ้าทำอย่างนั้น ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน โดยเฉพาะบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย ล้วนแต่มีอายุมา 50 ปีขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น แต่เขาต้องมีหลักการบางอย่างที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของเขาขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยหรือ คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ หากมีเรื่องที่จะร้องเรียน คปภ.มักจะยืนอยู่ข้างประชาชนเสมอครับ หากยังไม่พอใจคำตัดสินของคปภ. ก็ยังมีศาลสถิตยุติธรรมให้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่งวันนี้ ผมก็ขอทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ฝ่าคมหอกคมดาบ ออกมาชี้แจงตามหลักวิชาการ เพื่อความเข้าใจร่วมกันของสังคมไทยครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1420996

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X