Everyday knowledge for you
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
บทความโดย "ดร.กลางใจ แสงวิจิตร" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยคุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วคุณจะซื้อประกันสุขภาพไปทำไม การเป็นมนุษย์เงินเดือนทำให้คุณมีรายได้เป็นประจำทุกเดือน และคุณก็ยังมีประกันสังคมที่คุ้มครองคุณเมื่อคุณเจ็บป่วย อีกทั้งหลายบริษัทยังช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมให้คุณอีกหรือหากคุณรับข้าราชการ คุณจะมีสวัสดิการการรักษาพยาบาลจากกรมบัญชีกลางให้ความคุ้มครองคุณอยู่แล้ว ทำไมคุณจะต้องมานั่งจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันสุขภาพแสนแพงทุกปี ๆ ด้วย ทั้ง ๆ ที่สุขภาพก็แข็งแรงถ้าคุณถามตัวเองแบบนี้อยู่ในใจละก็ บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจให้คุณได้ ประกันสุขภาพมีความสำคัญกับมนุษย์เงินเดือนอย่างคุณอย่างไร1. คุณเคยคิดหรือไม่ว่า สวัสดิการของคุณมีการกำหนดวงเงินคงที่ ในขณะที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยเฉลี่ยของโรคมะเร็ง คือ 300,000-2,000,000 บาท โรคทางสมอง 100,000-800,000 บาท โรคหัวใจ 200,000-700,000 บาท เป็นต้น2. หากคุณอยู่ในองค์กรของรัฐ คุณจะมีสวัสดิการรักษาพยาบาลตลอดชีวิตของคุณ และญาติสายตรงของคุณ (คู่สมรส บิดา มารดา บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) ก็จะได้รับความคุ้มครองตามอายุของคุณด้วย แต่ถ้าคุณทำงานในหน่วยงานเอกชนแล้ว สวัสดิการต่าง ๆ จะสิ้นสุดลงพร้อมกับสภาพการเป็นพนักงานของคุณ ซึ่งหมายถึงเมื่อเกษียณอายุหรือลาออกจากงาน3. สุขภาพคนเราเสื่อมลงตามวัย ไม่ว่าจะเป็นเพราะโรคที่เกิดขึ้นตามกรรมพันธุ์ หรือความเจ็บป่วยเพราะปัจจัยต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการบริโภค ความเครียด การออกกำลังกาย เป็นต้น4. การทำประกันสุขภาพ คือหนึ่งในวิธีที่ช่วยปกป้องความมั่งคั่ง หรือ wealth protection เนื่องจากเรื่องไม่คาดฝันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แต่หากคุณมีปัญหาสุขภาพแล้วประกันสุขภาพจะช่วยโอนความเสี่ยงโดยการชำระค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินจากสวัสดิการของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องจ่ายเงินโดยที่คุณไม่ได้วางแผนไว้เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจจะกำลังคิดว่าไว้เกษียณค่อยซื้อประกันสุขภาพก็ได้ เป็นจริงอย่างที่คุณคิด ตอนนี้คุณยังมีสวัสดิการต่าง ๆ คุ้มครองอยู่ รอไว้เกษียณเมื่อมีอายุ 60 ปีก็ยังซื้อทัน แต่คุณต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงโรคภัยที่คุณอาจจะมีก่อนที่คุณมีอายุ 60 ปีด้วยเพราะถ้าคุณซื้อประกันตอนนี้มีโรคบางอย่างมาแล้ว ประกันสุขภาพที่คุณซื้อ นอกจากจะมีเบี้ยประกันภัยสูงตามอายุของคุณแล้ว ความคุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนและความเจ็บป่วยเกี่ยวเนื่อง ก็จะถูกยกเว้นไปด้วย นั่นหมายถึงประกันจะไม่คุ้มครองนั่นเอง เช่น หากวันนี้นางสาวกอไก่มีอายุ 35 ปี มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประกันสุขภาพ อยู่มาวันหนึ่งเธอตรวจพบถุงน้ำในรังไข่และได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดด้วยสวัสดิการที่เธอมีอยู่ปัจจุบัน หมายความว่าเธอต้องรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง (กรณีนัดผ่าตัดล่วงหน้า) หรือโรงพยาบาลที่เธอมีสิทธิในการประกันตนอยู่หากเธอใช้สิทธิประกันสังคม เธอจะมีค่าห้องและค่าอาหารไม่เกินวันละ 700 บาท ในขณะเดียวกัน หากเธอเป็นข้าราชการ เธอจะมีสิทธิเบิกค่าห้องพิเศษได้วันละ 1,000 บาท แต่ค่าห้องพิเศษในปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นประมาณ 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เธออาศัยอยู่ และขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่เธอเลือกเข้าไปรักษา ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่รวมถึงค่าหัตถการ ค่ายา ค่าอุปกรณ์ ค่าหมอ และอื่น ๆ ที่จำเป็น ท้ายที่สุดแล้วเธออาจจะต้องชำระเงินส่วนเกินบางส่วนก็ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอมีประวัติการเข้ารักษาพยาบาลแล้ว เธอตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพหลังจากเกษียณอายุ บริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองเธอ อย่างมีเงื่อนไข ในกรณีตัวอย่างนี้ นางสาวกอไก่จะมีประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไขว่าไม่ความคุ้มครองอาการและภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ทันทีจากตัวอย่างนี้ยังไม่รวมถึงโรคที่อาจจะเป็นก่อนเกษียณอายุของนางสาวกอไก่ เมื่อเธอมีอายุเพิ่มขึ้น อันได้แก่ ความดันโลหิต ไขมันในเลือด โรคไต เป็นต้น นอกจากนี้ หากนางสาวกอไก่ซื้อประกันสุขภาพในวันนี้ตอนที่เธอมีอายุ 35 ปี จะทำให้เบี้ยประกันที่เธอต้องจ่ายอาจจะเริ่มต้นเพียงหมื่นต้น ๆ แต่หากเธอตั้งใจซื้อประกันสุขภาพเมื่อเกษียณอายุนั้น เธออาจจะต้องจ่ายเบี้ยประกันเริ่มต้นที่หลักแสนบาทเลยก็เป็นได้จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการรอซื้อประกันสุขภาพเมื่อเกษียณอายุจะทำให้คุณเสียประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นข้อยกเว้นความคุ้มครองของโรคที่เป็นมาก่อนหน้า เบี้ยประกันเริ่มต้นที่สูงขึ้น รวมถึงสิทธิการลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพที่มีสิทธิลดหย่อนถึง 25,000 บาทต่อปีอีกด้วยการเลือกซื้อประกันสุขภาพสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีสวัสดิการด้านสุขภาพอยู่แล้ว ควรเริ่มจากการพิจารณาโอกาสที่จะเกิดโรคที่มีทางพันธุกรรมของตัวคุณเอง ต่อจากนั้นคือการตรวจสอบงบประมาณที่คุณมีความสามารถในการชำระเบี้ยประกันได้ต่อปี แล้วนำมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณารูปแบบความคุ้มครองเบื้องต้นได้ 2 รูปแบบ ได้แก่1. ประกันแบบเหมาจ่ายตามจริง คือประกันที่เราสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามค่ารักษาพยาบาลจริง โดยมีการกำหนดวงเงินความคุ้มครองต่อปีไว้ และ 2. ประกันสุขภาพแบบแยกค่ารักษา คือประกันที่บริษัทประกันระบุรายการค่ารักษาพยาบาลและกำหนดวงเงินคุ้มครองสูงสุดไว้เป็นหมวดหมู่ทั้งนี้ คุณอาจจะแล้วมองหาประกันที่มีค่าใช้จ่ายที่คุณต้องรับผิดชอบส่วนแรก (deduct) โดยสามารถตัดความรับผิดชอบส่วนแรกของการรักษาพยาบาลแต่ละครั้งกับสวัสดิการที่คุณมีในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีประกันสุขภาพที่คุณสามารถเลือกปรับความคุ้มครองได้ตามสวัสดิการที่คุณมีให้เลือกมากมาย เช่น เลือกแบบต้องรับผิดชอบส่วนแรกในปัจจุบันเมื่อยังมีสวัสดิการอยู่ แล้วเปลี่ยนเป็นแบบไม่ต้องรับผิดชอบส่วนแรกเมื่อคุณเกษียณอายุก็ได้ การเลือกประกันสุขภาพที่มี deduct นั้น จะทำให้คุณประหยัดเบี้ยประกันภัยต่อปีได้นั่นเองแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1303486
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ทุกๆปีจะมีช่วงเวลา ที่ผมจะได้ยินข่าวว่า “มีคนหมดเงินเก็บสะสมทั้งชีวิต ไปกับ … ” อย่างปีล่าสุด 2565 อาจจะเป็นคริปโตสินทรัพย์ดิจิตอลสารพัดเหรียญ อาจจะเป็นหุ้นเทคโนโลยีบางตัว อาจจะเป็นหุ้นจีนบางตัว หรือ อาจจะป็นหุ้นแบงค์ในต่างประเทศบางตัว ที่ราคาลดลงอย่างน่ากลัวช่วงที่ผ่านมา กรณีตลาดหุ้นไทย ก็ใช่ว่าจะไม่มี ในปี 2566 ที่เพิ่งผ่านมา 4 เดือนนี้ ก็มีหุ้นไทยพิมพ์นิยม (เคยเป็นที่นิยมเล่นกันมาก) ราคาปรับตัวลงอย่างน่ากลัวเช่นกัน ตัวอย่างขอเป็นชื่อย่อนะครับ เช่น หุ้น J1 -52%, หุ้น J2 -41% , หุ้น S1 -50%, หุ้น S2 -47%, หุ้น B -32% ฯลฯ นี่คือการปรับลดลงในรอบ 4 เดือน ในช่วงเวลาเดียวกัน SET ปรับตัวลดลง -7% ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งในการลงทุนหุ้น ที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถหมดเงินเก็บสะสมทั้งชีวิต คือ การยึดติดกับตัวหุ้นและราคาเป้าหมายมากเกินไป ว่าหุ้นตัวที่ฉันถืออยู่นี้ ต้องไปที่ราคาเป้าหมายเท่านั้นเท่านี้แน่ๆ ซึ่งราคาเป้าหมายนี้บางครั้ง ก็มาจากวงใน มาจากเพื่อน มาจากแหล่งหุ้นเด็ด ที่สุดท้ายเด็ดวิญญาณได้ทั้งสิ้น อันนี้ต้องระวัง อีกปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้ถลำลึกเข้าสู่ปัญหาได้อีก คือการซื้อถัวเฉลี่ยขาลง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะยึดติดว่าหุ้นตัวนี้ดี แถมราคาลงมาแล้วเยอะมาก เช่น -50% ภายในปีเดียว ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า ***หุ้นที่ลงมาแล้ว -50% “…ไม่ใช่หุ้นที่ลงทุนได้ทุกตัว*** เราจะท่องคาถา "จงกล้า เวลาคนอื่นกลัว" แบบซี้ซั้ว ไม่ได้ !!! สมมติว่ามีหุ้นบางตัว งบการเงินปี 65 ไม่ส่ง ผู้บริหารลาออก เปลี่ยนตัวกรรมการเกือบยกชุด แม้ว่างบการเงินที่ผ่านมาจะดูดีแค่ไหน แต่เราไม่มีความจำเป็นต้องไปดูงบการเงินย้อนหลังให้เสียเวลาแล้ว เพราะถ้าผู้สอบบัญชีไม่รับรองงบการเงิน ไม่ส่งงบการเงินปีล่าสุด เราก็ไม่ต้องอ่านย้อนหลังเลยครับ ในเมื่อหุ้นดีๆ แถมยังถูก ในตลาดหุ้นไทยยังมีเยอะ เราควรจัดสรรพลังงานและเวลาไปที่กลุ่มหุ้นเหล่านั้นดีกว่า ตัวอย่างในอดีต การถัวหุ้นขาลง ที่สุดท้ายราคาแทบกลายเป็นฝุ่น มีเยอะ หุ้นแบบนี้ ยิ่งถัว ยิ่งเข้าสู่หลุมดำ - หุ้นลิสซิ่งที่งบดีมาก รายได้จากต่างประเทศดีเกินจริง ถูกสงสัยว่าไม่จริง - หุ้นเครื่องสำอางค์เน้นขยายสาขา งบสวยดี แต่หน้างานลูกค้าอยู่ไหน แทบไม่เคยเห็น - หุ้นอสังหาฯเพิ่มทุนแบบถี่ๆทั้งPP และRO สุดท้ายมีหนี้มาจากไหนไม่รู้ หุ้นหมดค่า หุ้นเหล่านี้ราคาปัจจุบันแทบไม่เหลือค่า บ้างก็ถูกห้ามซื้อขายไปแล้ว ไม่เคยมีตัวไหนกลับมาได้อีกเลย เราเลือกหุ้นดี ที่ราคาโซนล่าง ยังไงก็ได้เปรียบกว่า เราเน้นดูพื้นฐาน และทำตามสเต็ปว่า 1. Money Making Machine เครื่องจักรพิมพ์เงินสดของกิจการนั้น คืออะไร มีคุณภาพดีแค่ไหน มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันแค่ไหน ผูกขาดหรือกินขาดหรือไม่ ลูกค้าภักดีแค่ไหน มีแนวโน้มขยายกิจการหรือไม่ ฯลฯ 2. Undervalue ราคาหุ้นต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ถ้ายังสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงอยู่ เราต้องไม่ซื้อ 3. Portfolio Diversification กระจายการลงทุนลงในหุ้น 7-10 ตัว โดยลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงเท่านั้น เพราะการทำธุรกิจเป็นการดีลกับความไม่แน่นอน หุ้นก็เช่นกัน การกระจายไปสู่หุ้นคุณภาพสูงที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 7-10 ตัว ต่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับหุ้น 1 ตัวที่ราคาลดลงครึ่งหนึ่ง ก็จะกระทบพอร์ตการลงทุนของเราไม่มาก ถ้าทำทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ผมมั่นใจว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์สูญเสียเงินเก็บสะสมทั้งชีวิตกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ขอสรุปอีกครั้งว่า อย่ายึดติดกับตัวหุ้นและราคาเป้าหมายมากเกินไป และห้ามซื้อถัวเฉลี่ยขาลง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เด็ดขาดครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5453
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดยตราวุทธิ์ เหลือสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth ช่วงนี้ปัจจัย ‘การเมือง’ เข้ามารับบทเด่นและส่งผลต่อ Sentiment การลงทุนในบ้านเราเป็นอย่างมาก แม้เรายังลุ้นกับโฉมหน้ารัฐมนตรีใหม่ และนโยบายใหม่ๆ แต่ตลาดการลงทุนก็ตอบสนองกับหลายๆ นโยบายหาเสียงของว่าที่รัฐบาลใหม่กันไปพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกัน ‘Policy Maker’ จากหลากหลายองค์กรในประเทศ ก็ออกมากำชับว่าที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับ ‘วินัยทางการเงินการคลัง’ ก่อนที่จะมีการประกาศใช้นโยบายอย่างเป็นทางการ ข้ามไปอีกฟากฝั่งของซีกโลก ประเด็น ‘เพดานหนี้สหรัฐฯ’ ก็กลับมาร้อนระอุกันอีกครั้ง เมื่อกำหนดเส้นตายของการขยายเพดานหนี้งวดเข้ามาทุกวัน ในบางครั้ง หลายปัญหาทางการเงินไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับองค์กร ไปจนถึงระดับประเทศหรือระดับโลก ก็อาจสั่งสมมาทีละเล็กละน้อย บางอย่างเราอาจมองข้าม ละเลย หรือไม่ได้เคร่งครัดจัดการ รู้ตัวอีกทีปัญหาก็อาจมาจ่ออยู่ที่ปลายจมูกแล้ว ประวัติศาสตร์หนี้สหรัฐฯ วันนี้ตั้งใจจะมาชวนคุยเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับการสร้าง ‘วินัยทางการเงินส่วนบุคคล’ แต่เริ่มเรื่องด้วยปัญหาหนักๆ อย่างเพดานหนี้สหรัฐฯ เพราะเชื่อว่าสามารถสะท้อนให้เห็นถึงวินัยทางการเงินการคลังได้ดีทีเดียวเลยครับ ภายใต้กฎหมาย Public Debt Acts ของสหรัฐฯ ที่เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2005 เปิดทางให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง สามารถกู้ยืมเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายด้านต่างๆ ซึ่งช่องทางหลักในการกู้คือการออกพันธบัตรรัฐบาลนั่นเอง แต่กฎหมายก็ได้กำหนดเพดานหนี้ที่ภาครัฐสามารถก่อได้ เพื่อเป็นการควบคุมวินัยการคลัง แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯ ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ได้ขอขยายเพดานหนี้มาโดยตลอด ดังนั้น ประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงเดือนนี้ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ และสามารถพูดได้เลยครับว่า เป็นปัญหาที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์การคลังของประเทศมาอย่างยาวนาน แต่ระดับความกดดันหรือความเสี่ยงก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วง และดูเหมือนว่าในรอบนี้จะมีความกังวลมากเป็นพิเศษ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะอ่อนแอ แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยความเปราะบางของภาคการเงินอีกด้วย ภาระหนี้สหรัฐฯ ซึ่งในที่นี้หมายถึงหนี้ภาครัฐหรือหนี้สาธารณะ เริ่มเพิ่มสูงขึ้นในทศวรรษ 80 หลังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ลดภาษีครั้งใหญ่ เมื่อไม่มีรายได้จากภาษีมากพอ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเสริมสภาพคล่องด้วยการกู้ยืม ต่อมาในทศวรรษ 90 เมื่อสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดงบประมาณด้านกลาโหมลงได้จำนวนมาก ขณะที่เศรษฐกิจก็เติบโตและมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างร้อนแรง ทำให้สหรัฐฯ ต้องเจอกับปัญหาฟองสบู่เทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่า ‘วิกฤตดอทคอม’ ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 จนเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงประกาศลดภาษีถึง 2 ครั้งในปี 2001 และ 2003 และสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจประเทศไว้ได้ แต่หลังจากนั้นสหรัฐฯ เข้าไปทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ทำให้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐตลอดช่วงสงคราม จนกระทั่งมาถึงวิกฤตการเงินในปี 2008 หรือ ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ รัฐบาลใช้เงินมหาศาลอุ้มธุรกิจธนาคาร รวมถึงเพิ่มงบประมาณด้านการบริการทางสังคม เพราะอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นกว่า 10% หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงและอัตราการว่างงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ในปี 2017 ภายใต้การนำและนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศลดภาษีครั้งใหญ่ ทำให้หนี้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดในปี 2019 ที่โลกต้องเผชิญกับ ‘วิกฤต Covid-19’ ทำให้รัฐบาลแทบทุกประเทศต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการรับมือกับโรคระบาด และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาตรการกระตุ้นมาหลายระลอกรวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อย้อนรอยดูประวัติศาสตร์การก่อหนี้สหรัฐฯ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็พอจะเห็นภาพกันนะครับว่ารัฐบาลนำเงินไปใช้เพื่อการใดกันบ้าง และหลายต่อหลายครั้งที่รัฐต้องการใช้เงินเพิ่ม ก็จะขอขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขาดดุลงบประมาณมาโดยตลอด จนเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา หนี้ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นมาชนเพดานที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่มีข้อสรุปว่าสภา Congress ว่าจะขยายเพดานหนี้ออกไปอีกหรือไม่ เพดานหนี้-ดราม่าการเมือง หลายคนมองว่า ปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ คือประเด็นดราม่าทางการเมือง เพราะเป็นเกมระหว่าง 2 ขั้วอำนาจในสภา ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ ที่เป็นแบบ Split Congress ซึ่งประกอบด้วยสภาสูงหรือวุฒิสภา โดยปัจจุบันพรรคฝ่ายค้านคือรีพับลิกันครองเสียงข้างมาก และสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งพรรครัฐบาลเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดนคุมเสียงข้างมากอยู่ ดังนั้น การให้ความเห็นชอบในนโยบายใดๆ ของอีกฝ่ายจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และมักเกิดการงัดข้อทางการเมืองกันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับประเด็นเพดานหนี้ ที่รัฐบาลเป็นฝ่ายเสนอแต่ยังไม่ผ่านสภา โดยพรรครีพับลิกันกังวลว่าการขยายเพดานหนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นการเอาเงินไปใช้เพื่อสนับสนุนโครงการของรัฐบาลเดโมแครตโดยเฉพาะ รวมทั้งจะเพิ่มภาษีคนมีรายได้สูงทั้งที่ไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็น จึงอยากให้ปรับลดงบประมาณลง และเพิ่มความเข้มงวดกับการใช้งบประมาณในโครงการสวัสดิการต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ ซึ่งตามไทม์ไลน์รัฐบาลต้องสรุปประเด็นดังกล่าวให้ได้ภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่ ‘การผิดนัดชำระหนี้’ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ หากมีการผิดนัดชำระ หรือ Default ขึ้นจริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นสามารถจินตนาการได้แบบไม่รู้จบเลยล่ะครับ เริ่มจากหุ้นตก ตลาดการเงินผันผวนหนัก รัฐบาลเสียเครดิต ประเทศถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง สั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชน นักธุรกิจ นักลงทุน นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราว่างงานพุ่งพรวดและอื่นๆ สุดแท้แต่จะประเมินกันแม้ประเด็นเพดานหนี้จะเป็นปัญหากับรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอดช่วง 20 ปี แต่ข่าวดีก็คือ สหรัฐฯ ก็ยังไม่เคยเดินไปถึงทางตันขั้นที่ต้องผิดนัดชำระหนี้แม้แต่ครั้งเดียว โดยสถานการณ์เลวร้ายสุดที่เกิดขึ้นคือ สหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลง ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2011 สมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา โดยขณะนั้นปัญหาเกิดจากนโยบาย ‘โอบามาแคร์’ ที่เกิดการคัดค้านและเตะถ่วงร่างกฎหมาย Affordable Care Act จากฝั่งตรงข้าม ทำให้เหตุการณ์บานปลายไปถึงขั้น Government shutdown คือการหยุดดำเนินงานของภาครัฐชั่วคราว จนเกิดการว่างงานประมาณ 80,000-200,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ลงจาก AAA Outstanding เหลือ AA+ Excellent ปัญหาภาคธนาคารกับวินัยการเงิน เมื่อการขยายเพดานหนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียง เรื่องวินัยทางการเงินการคลังก็จะเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามมาด้วยทุกครั้ง แต่ดูเหมือนปัญหาจะยังคงวนลูปกลับไปที่เดิม และเมื่อ 3 ธนาคารในสหรัฐฯ คือ Silicon Valley Bank, Signature Bank และ First Republic Bank เกิดปัญหาสภาพคล่องตามกันมาเป็นโดมิโน รวมถึงความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ของ Credit Suisse ธนาคารชั้นนำในยุโรป ยิ่งสะท้อนวินัยทางการเงินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก็ต้องยอมรับนะครับว่า การขึ้นดอกเบี้ยอย่างร้อนแรงของธนาคารสหรัฐฯ และยุโรปตลอดปีที่ผ่านมา ก็ส่งผลข้างเคียงต่อสภาพคล่องในภาคการเงินเช่นกัน ซึ่งในการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ประจำปี 2023 ที่ผ่านมานั้น ก็ได้หยิบยกประเด็นเพดานหนี้ และปัญหาภาคธนาคารมาพูดคุยกันด้วย โดย 2 ศาสดาการลงทุนสาย VI อย่างคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ และคุณปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ก็ได้ให้มุมมองถึงความสำคัญของการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง การบริหารสภาพคล่องที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงที่ดีของภาคธนาคาร รวมถึงการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีจากภาครัฐ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลาม ปัญหาสภาพคล่องของธนาคารในสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงอย่างหนักมากว่า 90% จนนักงทุนพากันเบือนหน้าหนีหุ้นกลุ่มนี้กันหมด แต่นักลงทุนสาย VI อย่างคุณปู่วอร์เรนกลับมองเห็นเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหุ้นดีช่วงราคาเซลล์ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าราคาก็คือ การหาหุ้นพื้นฐานดีให้เจอด้วยการศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอPhoto : Shutterstockเมื่อพูดถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร ก็มีประสบการณ์การลงทุนดีๆ จากคุณปู่วอร์เรนมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ในวัยหนุ่มคุณปู่สนใจติดตามหุ้น American Express ธุรกิจบัตรเครดิตระดับโลกมาโดยตลอด แต่ยังไม่ได้เข้าลงทุนเพราะราคายังสูงตามปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ ต่อมาในปี 1963 เกิดกรณีดราม่า Salad Oil Scandal กับ American Express จนราคาร่วงถึง 50% แต่คุณปู่ก็ไม่ได้กระโดดเข้าซื้อทันทีนะครับ สิ่งที่คุณปู่ทำก็คือ เดินสำรวจตลาดการใช้บัตร American Express ตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าต่างๆ เมื่อพบว่ากระแสข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้บัตรแต่อย่างใด คุณปู่จึงค่อยตัดสินใจซื้อหุ้นสวนทางกับการเทขายของนักลงทุนอื่นๆ เพราะมองว่ายิ่งหุ้นราคาตก ยิ่งมี margin of safety ในการลงทุนเพิ่มขึ้น ตัดภาพมาตอนนี้ หุ้น American Express ถือว่ามีสัดส่วนการลงทุนสูงสุดตัวหนึ่งในพอร์ต Berkshire Hathaway ของคุณปู่ และสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าประทับใจ ตามคำพูดที่คุณปู่กล่าวไว้เสมอว่า “จงโลภเวลาที่คนอื่นกลัว” เหนือสิ่งอื่นใด ต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีวินัยทางการเงินสูง วินัยทางการเงินสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ เรื่องการเงินเป็นเรื่องของทุกคนนะครับ ไม่ใช่เรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ การวางแผนทางการเงินและการสร้างวินัยทางการเงินก็เช่นกัน เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสมดุลและความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเราเอง และเป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ในระยะยาว ที่สำคัญจะเป็นเกราะป้องกันให้เรารอดพ้นจากกับดักหนี้ได้อีกด้วย ผมมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเป็นไอเดียในการบริหารเงินของแต่ละคนได้ เริ่มจากการวางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายรับ โดยพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นว่ามีอะไรบ้าง เพื่อกันไว้สำหรับส่วนนี้ แล้วกันส่วนที่เหลือไว้เป็นเงินออม หากพบว่ารายรับไม่เพียงพอก็ควรหาทางลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้Photo : Shutterstockต่อมา ควรเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ควรมีเงินออมเผื่อไว้กรณีฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่ายจำเป็นและภาระหนี้ในแต่ละเดือน เห็นตัวเลขแล้วบางคนอาจร้องโอ้โห! เยอะไปมั๊ย!! แต่หากทำได้ คุณจะต้องขอบคุณตัวเองแน่ๆ ในวันที่ปัญหาเดินทางมาถึง นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบสวัสดิการและประกันสุขภาพที่มีอยู่ ว่าครอบคลุมแค่ไหน หากไม่เพียงพอและสามารถทำได้เพิ่มเติม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเพิ่ม buffer ทางการเงินให้กับตัวคุณเอง กรณีที่ต้องกู้ยืม ควรพิจารณาถึงความพร้อมของรายได้ในปัจจุบัน และความไม่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเอง อาจหาแหล่งรายได้เสริมเพิ่มเติมเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยเฉพาะหลังจากที่เราผ่านเหตุการณ์ไม่คาดคิดระดับโลกอย่าง Covid-19 มาแล้ว วลีที่ว่า ‘ทุกวันนี้มีอาชีพเดียวคงไม่พอ’ คือ เรื่องจริงมากๆ หรืออีกแนวทางในการสร้างรายได้เสริมก็คือการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการนำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปลงทุนต่อยอดให้งอกเงย หรือนำเงินออกมาลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ วางแผนการใช้จ่าย หากรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมาก ควรวางแผนเก็บเงินเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ บริหารเงินออมให้งอกเงย เช่น ฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร ซื้อประกันสะสมทรัพย์ ซื้อกองทุนรวม หรือสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆ โดยต้องศึกษาและทำความเข้าใจรูปแบบการออม ความเสี่ยง รวมทั้งติดตามข่าวภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนตามสภาวะตลาดที่เหมาะสม และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้อย่างมีวินัย จัดเก็บใบเสร็จเพื่อตรวจสอบและจ่ายเงินให้ตรงตามกำหนด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็น ในความจริงแล้ว การก่อหนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวนะครับ แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และเลือกก่อหนี้ที่มีประโยชน์หรือมีความจำเป็นจริงๆ เช่น การกู้ซื้อบ้าน กู้เพื่อประกอบอาชีพ หรือหาอาชีพเสริม ที่สำคัญต้องประเมินความสามารถในการชำระคืนด้วย ซึ่งตามหลักทฤษฎีมีการแนะนำไว้ว่า เราไม่ควรมีหนี้เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ในแต่ละเดือน หากมีหนี้สินเกินตัว ก็ต้องพยายามปลดหนี้ด้วยการประหยัด ทยอยผ่อนชำระ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบและหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ที่สำคัญไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม หากไม่สามารถชำระคืนได้ ก็ควรหารือกับเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ ก็มีแพ็กเกจการชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เลือกหลายหลายรูปแบบ สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระคืนของลูกหนี้แต่ละคน อย่างที่บอกนะครับ การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะผิดมากถ้าไม่มีวินัย และปล่อยให้ภาระหนี้กลายเป็นกับดักที่กัดกินตัวเราเอง จนไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระทางการเงินได้ อย่าลืมนะครับ เราเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ต้องดูแลฐานะทางการเงินของตัวเองและคงไม่สามารถขอผ่อนผันเจ้าหนี้หรือขยายเพดานหนี้ไปได้เรื่อยๆ เหมือนรัฐบาลสหรัฐฯ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1432235
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
เปิด “5 อาชีพ” สุดรุ่ง กับ สุดเสี่ยง ทั้งกลุ่มที่ตลาดงานต้องการ รวมถึงอาชีพที่เตรียมถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีก่อนเพื่อน ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์เราในทุกด้านของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่การทำงาน เพื่อให้เราสะดวกสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระและทุ่นแรงมนุษย์ได้มาก จนกลายเป็นตัวช่วยที่เราไม่สามารถขาดไปได้ แต่ด้วยเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” หรือที่คุ้นหูกันในชื่อ “เอไอ” (AI) มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้ในเสี้ยววินาที และความผิดพลาดก็น้อยมาก อีกทั้งยังไม่มีอคติต่อสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่า “แรงงาน” ต่างกลัวว่าเอไอจะเข้ามาแย่งงานของตนเอง • 83 ล้านตำแหน่ง เตรียมตกงาน จากรายงาน The Future of Jobs Report 2023 จัดทำโดย World Economic Forum หรือ WEF ทำการสำรวจทิศทางอาชีพในอนาคต (Future of Jobs Survey) โดยรวบรวมมุมมองจาก 803 บริษัท ซึ่งรวมการจ้างงานมากกว่า 11.3 ล้านคน จาก 27 กลุ่มอุตสาหกรรม ใน 45 ประเทศจากทุกภูมิภาคทั่วโลก ระบุว่า ภายในปี 2570 จะมีตำแหน่งงานที่เกิดขึ้นใหม่ราว 70 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันจะมีงานจำนวน 83 ล้านตำแหน่งจะถูกเลิกจ้าง นั่นหมายความว่ามีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่จะต้องออกจาก “ตลาดงาน” สำหรับ กลุ่มอาชีพที่ WEF คาดว่าจะถูกลดบทบาทลงอย่างรวดเร็ว จากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเปลี่ยนถ่ายงานเข้าสู่ระบบดิจิทัลแทนการใช้แรงงานคน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. พนักงานธนาคารและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง (Bank Tellers and Related Clerks) 2. พนักงานให้บริการไปรษณีย์ (Postal Service Clerks) 3. พนักงานเก็บเงินและพนักงานขายตั๋ว (Cashiers and ticket Clerks) 4. พนักงานบันทึกข้อมูล (Data Entry Clerks) 5. เลขานุการฝ่ายบริหาร (Administrative and Executive Secretaries) • 5 อาชีพที่ตลาดงานต้องการมากที่สุด ขณะที่ อาชีพที่มีความต้องการสูงในอนาคตเป็นอาชีพที่มีเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysts) ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลมหัต (Big Data Specialists) ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Machine Learning Specialists) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Professionals) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 30% ภายในปี 2570 นอกจากนี้ คาดว่างานทางด้านพาณิชย์ดิจิทัล (Digital Commerce) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Specialists) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation Specialists) และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลและกลยุทธ์ (Digital Marketing and Strategy Specialists) 5 อาชีพที่ WEF ระบุว่าเป็นอาชีพต้องการในตลาดงานมากที่สุดคือ 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Machine Learning Specialists) 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน (Sustainability Specialists) 3. นักวิเคราะห์ธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Analysts) 4. นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล (Information Security Analysts) 5. วิศวกรฟินเทค (Fintech Engineers) นอกจากนี้ ในรายงานของ WEF ยังพบ การเพิ่มขึ้นของงานที่เกี่ยวกับความยั่งยืน การศึกษาและการเกษตร ภายในช่วงปี 2566–2570 โดยงานด้านความยั่งยืน คาดว่าจะเติบโต 33% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้น 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่งานด้านการศึกษา คาดว่าจะเติบโต 10% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง ส่วนงานด้านการเกษตร คาดว่าจะเติบโต 1115 – 30% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้อาชีพที่เกี่ยวกับความยั่งยืนในเชิงธุรกิจ เป็นการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน ไม่ใช่การรักษ์โลกแบบฉาบฉวย แต่ต้องทำให้องค์กรเติบโต ไม่หวังกำไรระยะสั้น แต่จะต้องทำให้เกิดความยั่งยืนระยะยาว โดยต้องมองให้ออกถึงผลที่เกิดขึ้นกับกระทบสังคมและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม แรงงานจำเป็นต้องพัฒนาสกิลของตนเองและเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน กราฟิก: จิรภิญญาน์ พิษถาแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/labour/1069904
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
หลังจากที่ “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอข่าวว่า ชาวต่างชาติกำลังสนใจซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นมากขึ้น อาจช่วยลดปัญหา “บ้านร้าง” กว่า 10 ล้านหลังทั่วประเทศ แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก และผู้อ่านหลายคนสอบถามว่า ถ้าสนใจอยากซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นจะต้องทำอย่างไร ราคาบ้านกี่บาท ต้องจ่ายภาษีแพงแค่ไหน “ประชาชาติธุรกิจ” จึงหาข้อมูลมาเหล่านี้มาตอบคำถามที่ผู้อ่านสงสัย ถ้าใครสนใจอยากมีบ้านในแดนอาทิตย์อุทัย ก็เตรียมเงินและเตรียมตัวตามนี้ แล้วไปกันเลย ราคาบ้านญี่ปุ่นกี่บาท บ้านมือสอง บ้านเก่าในญี่ปุ่น ราคาเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของบ้าน ทำเลที่ตั้ง ขนาด และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ โดยราคาต่ำสุดเท่าที่เห็นเว็บไซต์ให้คำปรึกษาการซื้อขายบ้านในญี่ปุ่นระบุไว้คือ 5 ล้านเยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ส่วนราคาสูงสุดนั้น มีไปจนทะลุหลักพันล้านเยน หากใครสนใจสามารถเสิร์ชหาใน google เป็นภาษาไทยได้เลย มีเว็บไซต์ของบริษัทนายหน้า-บริษัทให้คำปรึกษาอยู่หลายเจ้าที่มีบ้านที่ประกาศขายให้เลือกไปในตัว ชาวต่างชาติซื้อบ้านในญี่ปุ่นได้ และส่งต่อมรดกได้อย่างอิสระ Japan-Property.jp เว็บไซต์ให้บริการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอธิบายไว้ว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมายสำหรับชาวต่างชาติในการซื้ออสังหหาริมทรัพย์ และไม่มีความแตกต่างทางอัตราภาษีระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติ ชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นสถานะ “ผู้พำนัก” (ผู้ที่ได้รับอนุญาตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี) หรือไม่ ก็สามารถซื้อและเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นได้ทั้งบ้านและที่ดิน โดยไม่มีการจำกัดเวลาถือครองกรรมสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านในญี่ปุ่นของชาวต่างชาติสำหรับคนที่มีสถานะ “ผู้พำนัก” และคนที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” จะมีความแตกต่างกันทางด้านเอกสารและข้อกำหนดเรื่องบัญชีธนาคารสำหรับการซื้อขายและทำธุรกรรมจ่ายภาษีหลังการซื้อ ส่วนการซื้อ-ขายต่อ และส่งต่อมรดก ชาวต่างชาติก็สามารถทำได้อย่างอิสระ ถ้าเราซื้อบ้านในญี่ปุ่นแล้ว เราสามารถโอนหรือส่งมอบให้ใครก็ได้ที่เราอยากให้ ส่วนเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารในญี่ปุ่นเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เป็นผู้พำนักในญี่ปุ่นจะต้องซื้อบ้านด้วยเงินสด หรือขอสินเชื่อจากธนาคารในประเทศของตัวเองบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatอยากซื้อบ้านในญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร ส่วนกระบวนการซื้อนั้น แม้ว่าเราจะสามารถหาข้อมูลหรือติดต่อกับตัวแทนจัดหาและจำหน่ายบ้านผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินที่จะซื้อและดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม ควรดำเนินการซื้อโดยใช้บริการบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้า-ตัวแทนทำธุรกรรม ซึ่งผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและการลงทะเบียนให้นายหน้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายบ้านและอื่น ๆ รวมราว ๆ 5-10% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อ ขั้นตอนในการดำเนินการมีดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เริ่มปรึกษานายหน้า : ปรึกษากับบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าถึงเงื่อนไขต่าง ๆ และบอกความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของเรา เช่น อยากได้บ้านรูปแบบไหน อยู่ในโลเกชั่นไหน ราคาเท่าไร เป็นต้น ขั้นตอนที่ 2 เลือกบ้าน : บริษัทให้คำปรึกษาจะค้นหาบ้านที่ตรงตามเงื่อนไขมาให้เลือก ขั้นตอนที่ 3 ทำคำขอซื้อ : เมื่อเลือกบ้านที่จะซื้อได้แล้วก็กรอกแบบฟอร์มประสงค์ซื้อบ้าน แล้วพนักงานของบริษัทให้คำปรึกษาจะประสานงานระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ขั้นตอนที่ 4 ลงนามในสัญญาซื้อ : เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเงื่อนไขในการทำธุรกรรม คนจากบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าจะอธิบายรายละเอียดสำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา รวมถึงสิทธิในทรัพย์สิน ข้อจำกัดทางกฎหมาย และข้อตกลงการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วลงนามในสัญญาการขายตามที่ได้ตกลงรายละเอียดไว้ ในวันทำการลงนาม ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินมัดจำ 5-10% ชำระค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม) และชำระค่าธรรมเนียมอากรแสตมป์ ขั้นตอนที่ 5 เสร็จสิ้นธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ : ขั้นตอนการลงทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ ในตอนนี้ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ รวมทั้งค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อทำกระบวนการนี้ครบแล้วก็เปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของบ้าน จะได้รับกุญแจบ้าน สามารถเปิดเข้าไปนอนได้เลยบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่นแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายในขั้นตอนลงนามในสัญญา • ค่าอากรแสตมป์ จ่ายตอนทำสัญญาซื้อขาย ประมาณ 10,000-30,000 เยน ขึ้นอยู่กับราคาอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ • ค่ามัดจำ 10-20% ของราคาขาย ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ ชำระตามเวลาที่ตกลง • ค่าบ้านส่วนที่เหลือ • ค่าธรรมเนียมการจัดการ, กองทุนสำหรับซ่อมแซม (สำหรับอพาร์ตเมนต์) • ค่านายหน้า ตามตกลง • ภาษีจดทะเบียน การลงทะเบียนของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออาคาร อัตรา 2% ของราคาทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ • ค่าธรรมเนียมอาลักษณ์ ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์และการลงทะเบียนที่เกี่ยวข้อง จำนวนเงินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ กองทุน และความซับซ้อนของขั้นตอนการลงทะเบียน แต่ปกติจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 เยน • ภาษีผู้บริโภค คิดที่อัตรา 8% ของราคาอสังหาริมทรัพย์เฉพาะราคาอาคาร-สิ่งปลูกสร้าง ไม่รวมราคาที่ดิน ซึ่งส่วนมากจะถูกรวมไว้ในราคาขายแล้ว ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งมอบทรัพย์สิน • ภาษีซื้ออสังหาริมทรัพย์ อัตรา 3% ของครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ โดยจ่ายหลังจากการซื้อทรัพย์สินแล้วประมาณ 3-6 เดือน • เบี้ยประกันภัยพิบัติ “ภาษี” ที่ต้องจ่ายทุกปี ภาษีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นต้องจ่ายทุกปีในระหว่างครอบครองทรัพย์สิน ประกอบด้วย • ภาษีทรัพย์สินถาวร จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น โดยทั่วไปอัตราอยู่ที่ 1.4% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร แต่อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ • ภาษีผังเมือง จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น อัตรา 0.3% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร ซึ่งมูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะยึดตามราคาประเมิน ณ วันที่ 1 มกราคมของปีนั้น ๆ ในกรณีที่ปล่อยเช่า ต้องจ่ายภาษีอัตราประมาณ 5% ถึง 45% ของกำไรที่ได้หลังหักค่าใช้จ่าย ในกรณีซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วจะขายต่อ ถ้าขายภายใน 5 ปีที่ซื้อมา ต้องจ่ายภาษี 39.63% ของกำไรจากการขาย ถ้าขายหลังจากซื้อ 5 ปีขึ้นไป ต้องจ่ายภาษี 20.315% ของกำไรจากการขายอ้างอิง : • japan-property.jp • LandHousing • Tokyo Portfolio แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1303480
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 1 มิถุนายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือการสนับสนุนโครงการ KKU Volleyball Academy กับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเสรณี (กลาง) นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ร.ศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ที่ 3 จากซ้าย) พร้อมมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อร่วมส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชื่นชอบและมีความสามารถด้านกีฬาวอลเลย์บอล ให้ได้มีโอกาสที่จะฝึกซ้อมกีฬาด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และด้านการกีฬาของมหาวิทยาลัย รวมถึงสามารถพัฒนาตนเองไปเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลมืออาชีพในอนาคต ตลอดจนต่อยอดไปสู่เวทีระดับสากล สะท้อนถึงพันธกิจของเอไอเอในการร่วมพัฒนาชุมชน และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยมี นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนางสาวจิราภรณ์ กนิษฐรัต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ อาคารพลศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬาวอลเลย์บอล รวมถึงพัฒนาความสามารถทางด้านกีฬาของนักเรียน นักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อต่อยอดสู่สโมสรอาชีพในระดับชาติและระดับนานาชาติต่อไป อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมโอกาสด้านการศึกษาของนักเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยใช้ความสามารถและทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอลอีกด้วย และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของเราที่ต้องการมุ่งสนับสนุนให้ผู้คนในสังคมไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เอไอเอ ประเทศไทย จึงขอมอบเงินจำนวน 1,500,000 บาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจด้านกีฬาและการออกกำลังกายให้กับเยาวชน นักเรียน และนักศึกษาต่อไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยเจอโจทย์ค่อนข้างยากและท้าทายอยู่หลายเรื่อง อย่างประกันชีวิตที่ต้องเผชิญภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน กว่าจะเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น กระทั่งดอกเบี้ยใกล้พีก (สูงสุด) แล้ว ส่วนประกันวินาศภัยก็เพิ่งเจอระเบิดลูกใหญ่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรุนแรงไป ถึงขณะนี้ผ่านไป 1 ไตรมาสของปี 2566 ดูเหมือนฟ้าหลังฝนจะเริ่มสดใสขึ้น18 บริษัท กำไร Q1 พุ่ง 121%โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย เซ็กเตอร์ประกันภัยและประกันชีวิต (insurance) รวมทั้งสิ้น 18 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมกัน 6,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยมีรายได้รวม 61,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% YOY แต่ลดลง 14% QOQ“กรกช เสวตร์ครุตมัต” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมประกันภัยปี 2566 ในภาพรวม น่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นโดยคาดว่ายอดขายประกันใหม่ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4-5% ประกอบกับภาคธุรกิจไม่ได้แข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเหมือนในอดีต เห็นได้จากธุรกิจประกันชีวิตลดการขายสินค้าชำระเบี้ยครั้งเดียว (single premium) หันมาเน้นขายสินค้าความคุ้มครอง (protection) กันมากขึ้น“สินค้าความคุ้มครอง ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพและสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ให้กำไรที่ดีในระยะยาว รวมถึงอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ จึงเป็นภาวะแวดล้อมที่เอื้อสำหรับการขายประกันใหม่แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยง คือภาพเศรษฐกิจไทย จากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจพลิกมาเป็นขาลง รวมถึงกฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับที่อาจห้ามขายพ่วงประกันมากขึ้น ทำให้เวลาขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) อาจทำได้ยากขึ้น”เทรนด์ขายผ่านแบงก์ถูกกระทบโดยเทรนด์ปีนี้ของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ยังปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้ามองระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจแย่ลง เพราะแบงก์จะค่อย ๆ ทยอยลดสาขาลง ซึ่งกดดันยอดขายประกันช่องทางนี้ โดยเบี้ยประกันจะย้ายไปบันทึกอยู่ในช่องทางอื่น ๆ มากขึ้น เช่น ช่องทางขายประกันออนไลน์, ช่องทางขายประกันผ่านโบรกเกอร์ต่าง ๆ เป็นต้นอย่างไรก็ดี “กรกช” กล่าวว่า บล.กสิกรไทย วิเคราะห์หุ้นประกันภัยเพียง 1 บริษัท คือ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ซึ่งตอนนี้ราคาหุ้นค่อนข้างสวนทางกับพื้นฐาน โดยราคาหุ้นอยู่ที่ 25-26 บาทต่อหุ้น แต่หากประเมินตามมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (embedded value) มีราคาหุ้นอยู่ที่ 40 บาทต่อหุ้นดังนั้น ราคาหุ้น BLA ยังดิสเคานต์อยู่เกือบ 40% โดยภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/2566 มีเบี้ยรับปีแรกเติบโตขึ้น 20% YOY และมีมาร์จิ้นเกินระดับ 50% จากเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำได้แค่ 30%“ตลาดไม่สนอง เพราะกำไรไม่เด่น แต่ต้องบอกว่า การดูงบกำไรของธุรกิจประกันชีวิต ต้องดูลึกกว่านั้น ดังนั้นเซนติเมนต์อาจไม่เอื้อ แต่เป็นหุ้นที่สะสมเพื่อลงทุนระยะยาวได้ ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 56 บาทต่อหุ้น ประเมินกำไร BLA ปีนี้ 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% YOY”แนวโน้ม 3 ไตรมาสที่เหลือของปีขณะที่ “ตฤณ สิทธิสวัสดิ์” นักวิเคราะห์กลุ่มธุรกิจการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทวิเคราะห์หุ้นประกันภัยอยู่ 2 บริษัท คือ บมจ.ไทยประกันชีวิต (TLI) และ บมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM) โดยปกติแล้ว TLI ช่วงไตรมาสแรกจะเป็นไฮซีซั่น เพราะเป็นช่วงที่กรมธรรม์ประกันชีวิตครบกำหนดอายุค่อนข้างมาก จึงมีการโอนกลับสำรองเข้ามามากกว่าไตรมาสอื่นดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจะน้อย แต่จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2-4 ของปี เมื่อเริ่มมีการขายประกันใหม่ จึงทำให้งบการเงินในไตรมาสแรกจะดีที่สุดของปี และไตรมาส 4 จะแย่สุด“แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิต อาไม่น่าสนใจมากนัก เพราะผ่านช่วงดีของปีไปแล้ว แต่ด้วยราคาหุ้น TLI ที่ปรับลงมามาก อาจจะมองเป็นลักษณะเทรดดิ้ง รอผลประกอบการฟื้นตัว YOY แต่ QOQ อาจจะไม่เด่น แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ถึงจุดพีกแล้ว และมองกันว่าปลายปีหรือปีหน้าจะเริ่มปรับลงซึ่งจะส่งผลลบกับการตั้งสำรองประกันชีวิตที่มากขึ้น และผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะลดลง ส่วน TQM เป็นธุรกิจนายหน้าประกันรถยนต์ ซึ่งช่วงโลว์ซีซั่นเป็นครึ่งปีแรก ดังนั้นแนวโน้มผลประกอบการจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3-4 ของปี แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และน็อนแบงก์ที่พยายามพ่วงขายประกันกับโปรดักต์สินเชื่อมากขึ้น”“ตฤณ” กล่าวด้วยว่า ประเมินกำไรปีนี้ของ TLI จะอยู่ที่ 10,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% YOY ตามการเติบโตของเบี้ยประกันและการขายแบบเจอหน้า (face to face) ได้ง่ายขึ้น ส่วน TQM คาดมีกำไร 824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% YOY โดยเติบโตจากความต้องการทำประกันรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ตามการใช้รถที่กลับสู่ภาวะปกติสุดท้ายแล้ว ธุรกิจประกันชีวิต อาจจะไม่ใช่กิจการที่จะหวือหวามากนัก โดยอาจจะเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ส่วนธุรกิจประกันภัย ก็คงต้องติดตามข่าวสาร ข้อมูลการลงทุน และพิจารณาความแข็งแกร่งของบริษัทเป็นสำคัญแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1300236
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
16/02/2024
“การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้” ปัจจุบันมีคนเก่งที่ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่อุปสรรคที่มักจะกีดขวางความสำเร็จก็คือ ภาวะผู้นำในตนเองยังไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นผู้นำผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะผู้นำก็เปรียบเสมือนต้นไม้ “ภาวะผู้นำที่เป็นทางการ” คือลำต้น กิ่งก้าน และใบ ที่ปรากฏให้เห็นจากภายนอก ซึ่งการที่ต้นไม้จะเจริญงอกงามได้ ก็ต่อเมื่อมันสามารถพัฒนาระบบรากที่อยู่ใต้ดินให้แข็งแรงเสียก่อน “ภาวะผู้นำส่วนบุคคล” ก็คือ เครือข่ายของรากที่ให้อาหารและบำรุงภาวะผู้นำที่เป็นทางการ ทำนองเดียวกัน การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้การรู้จักตนเอง เป็นพื้นฐานในการนำตนเอง ภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แท้จริง ไม่ใช่การเดินตามแนวทางที่ผู้อื่นสร้างไว้ หรือการเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จจากคนอื่น แต่หมายถึงการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งว่า ตนเองเป็นใคร มีจุดยืนอะไร เข้าใจถึงพรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัวที่มี และสามารถดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การรู้จักตนเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามีบุคลิกที่ซับซ้อนอันเกิดจากความต้องการ และแรงกระตุ้นบางอย่างที่ส่งอิทธิพลจากภายใน และยังมีแรงกดดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สังคม และสภาพแวดล้อม การพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงใคร่ขอนำเนื้อหาบางส่วนจากหลักสูตร Effective Personal Leadership ของ LMI International Inc. มาแบ่งปัน และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ :หลักสำคัญ 6 ประการของการพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล 1. การมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล Personal Responsibility : หมายถึงมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ทัศนคติ การกระทำ และคำพูดของตัวเอง รวมทั้งผลที่จะตามมา ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่กล่าวโทษคนอื่น ตระหนักว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เกิดผลที่ดีกว่าเดิมได้ ก่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจจากทัศนคติในทางบวก แทนที่จะสร้างแรงจูงใจจากความกลัว หรือจากสิ่งตอบแทนภายนอกที่ไม่ยั่งยืน 2. การมีเป้าหมาย Purpose : การคิดให้ตกผลึกว่า อะไรคือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่เราต้องการ และตอนนี้เราอยู่ที่ไหนเมื่อเทียบกับเป้าหมายนั้น ซึ่งต้องอาศัยการรู้จักตนเอง มีความฝันและความปรารถนา และเมื่อได้ตกลงเลือกทางใดแล้ว ก็ต้องยึดมั่นต่อการตัดสินใจนั้น ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองเป้าประสงค์ที่เรามีความปรารถนามากที่สุด ควรจะอยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุด 3. การวางแผน Plan : การลงมือเขียนแผนเพื่อวางแนวทางปฏิบัติและกำหนดเวลาในการทำให้เป้าประสงค์สำเร็จเป็นจริง จะช่วยลดการผัดวันประกันพรุ่ง และติดตามความก้าวหน้าได้อย่างกระตือรือร้น 4. การมีความหลงใหล Passion : ความปรารถนาทะยานอยากกระตุ้นให้ลงมือทำ การสร้างความปรารถนาเป็นความรู้สึกจากข้างใน เราสามารถกระตุ้นอารมณ์อยากได้เหมือนความอยากทางกายภาพ โดยการสร้างภาพเสมือนจริงในจินตนาการอย่างมีสมาธิจดจ่อและเชื่อมั่น ยิ่งเราสร้างมโนภาพของเป้าประสงค์และผลตอบแทนความสำเร็จได้ชัดเจนมากเท่าใด เราก็จะยิ่งรู้สึกมีความทะยานอยากมากเท่านั้น 5. การมีความคาดหวังในเชิงบวก Positive Expectancy : เราสามารถเปลี่ยนทัศนคติและอุปนิสัยที่มีอยู่เดิมได้ด้วยการป้อนข้อมูลเชิงบวกและความมั่นใจเข้าไป จิตก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในแบบนั้น การสร้างทัศนคติของความคาดหวังในเชิงบวก จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยสามขั้นตอนคือ ก) รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่จุดใดในปัจจุบัน ข) เติมใจด้วยความคิดเชิงบวก ค) สร้างมโนภาพชีวิตใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมในแบบที่วางแผนไว้ 6. การมีความแน่วแน่เพียรพยายาม Persistence : มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้เป้าประสงค์บรรลุผลสำเร็จ ไม่ว่าคนอื่นจะมีความเห็น หรือทำ หรือพูด อย่างไรก็ตาม การสร้างความมุ่งมั่นให้กล้าแกร่ง สามารถทำได้โดย ก) รักษาทัศนคติให้มั่นคงหนักแน่น ข) มีความมุ่งมั่นอดทน ค) สามารถจัดลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ การพัฒนาภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ยังต้องอาศัยการฝึกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ โดยที่สามารถตระหนักรู้ว่า ตนเองมีความรู้สึกอย่างไร และความรู้สึกนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของตนอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็สามารถควบคุมความคิดและการกระทำที่เป็นผลมาจากการตอบสนองทางอารมณ์นั้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่สามารถควบคุมสติได้ดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินการธนาคาร http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
จากบทความก่อนๆ เราได้ทราบถึงว่าประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถนำมาวางแผนการเงินในด้านต่างๆ ได้หลากหลาย ทราบถึงประกันชีวิตว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อจำกัดอย่างไรเหมาะกับใครบ้าง และในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันชีวิตว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อน1.ประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่มีเงื่อนไขอย่างไรเบี้ยประกันชีวิตที่เราจ่ายไปแต่ละปีนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดยมีรายละเอียดดังนี้ • ประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญซึ่งได้แก่ แบบตลอดชีพ, แบบสะสมทรัพย์, แบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตควบการลงทุน (เบี้ยเฉพาะในส่วนคุ้มครองชีวิตไม่รวมเบี้ยส่วนการลงทุน)สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ในกรณีที่กรมธรรม์มีความคุ้มครองชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป • ประกันชีวิตแบบบำนาญเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้หรือ 200,000 บาทแล้วแต่ว่าจำนวนใดจะน้อยกว่าให้เลือกจำนวนนั้น โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้1. ในกรณีที่ใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ถึง 100,000 บาท สามารถใช้สิทธิประกันแบบบำนาญให้ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันชีวิตแบบบำนาญรวมกันได้สูงสุดถึง 300,000 บาท2. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันแบบบำนาญ เมื่อนำไปรวมกับกองทุน SSF, กองทุน RMF, กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท • ประกันสุขภาพเบี้ยประกันสุขภาพตนเองสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท แต่เมื่อนำมารวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. มีปัญหาด้านสุขภาพสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม หลายๆท่านมีข้อสงสัยว่าถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน จะสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม ถ้าได้จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นประกันชีวิตและประกันสุขภาพตามรายละเอียดดังนี้ประกันชีวิตถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน บริษัทประกันจะมีหลักการพิจารณา 3 ข้อพิจารณาโดยฝ่ายพิจารณาการรับประกันของแต่ละบริษัท ดังนี้– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าโรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น ไม่มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่นเคยผ่าตัดมาหลายปีและหายเป็นปกติแล้วบริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่น มีน้ำหนักมากหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนด บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็อาจจะรับทำประกันแต่พิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ-ไม่รับทำประกันชีวิตในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราแบบมีความเสี่ยงสูงเช่น ทำประกันชีวิตเมื่อทราบว่าเป็นโรคมะเร็ง บริษัทจะพิจารณาไม่รับทำประกันชีวิตเลย ประกันสุขภาพ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคแล้ว บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีความเสี่ยงเป็นโรค เช่น มีนำหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐาน บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าคนปกติ ก็อาจจะรับทำประกันสุขภาพแต่จะพิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยยกเว้นโรคที่เป็นอยู่หรือเคยเป็นในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษา ทางบริษัทประกันอาจพิจารณารับประกันสุขภาพแต่ยกเว้นไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่หรือเคยมีประวัติการรักษาและในบางกรณีอาจมีเพิ่มเบี้ยประกันจากปกติด้วย– ไม่รับทำประกันสุขภาพในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง ทางบริษัทประกันอาจพิจารณาไม่รับทำประกันสุขภาพเลยก็ได้3. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ต่างจากการฝากเงินในธนาคารไหม อะไรดีกว่ากันหลายๆท่านเวลาไปธนาคารหรือเวลาคุยกับตัวแทนอาจจะเคยโดนชักชวนให้ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยมีคำโฆษณาว่าออมเงินไว้กับเราได้ผลตอบแทนมากกว่าธนาคารนะ ลดหย่อนภาษีได้ด้วย จึงเกิดคำถามว่าประกันแบบสะสมทรัพย์ดีกว่าฝากเงินในธนาคารจริงหรือ คำตอบคือ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน เพียงแต่เราจะใช้วางแผนการเงินในเรื่องใดเท่านั้นเอง แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป ดังนี้ • ฝากเงินในธนาคารข้อดีสภาพคล่องสูง ในกรณีถ้าเราต้องการใช้เงินด่วนเราสามารถถอนออกมาได้เลยข้อเสียดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนน้อย, ลดหย่อนภาษีไม่ได้, ผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยต้องเสียภาษี, ไม่มีความคุ้มครองชีวิต • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ข้อดีผลตอบแทนเมื่อครบระยะสัญญาสูงกว่าฝากเงิน, ลดหย่อนภาษีได้, ผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษี, มีความคุ้มครองชีวิตข้อเสียสภาพคล่องต่ำ ถ้าเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อนครบสัญญาต้องรอเวลาเวนคืนกรมธรรม์ 1-2 สัปดาห์กว่าจะได้เงินและอาจขาดทุนเงินต้นได้โดยสรุปคือ เงินฝากเหมาะสำหรับใช้วางแผนการเงินระยะสั้น (ไม่ถึง 1 ปี) เช่นเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศปีหน้า หรือใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินโดยทั่วไปควรมีสำรองไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิต 3-6 เดือน เผื่อไว้ในกรณีที่เราขาดรายได้เช่นโดนออกจากงานกะทันหัน เวลา 3-6 เดือนจะเป็นเวลาที่เราสามารถหางานใหม่หรือหาช่องทางรายได้ใหม่ๆได้ ในขณะที่ประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นการฝึกการออมของเราโดยต้องส่งเบี้ยทุกปีจนครบสัญญาแถมมีความคุ้มครอง เหมาะสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว (อย่างน้อยเท่ากับระยะเวลาคุ้มครอง)ดังนั้นเราควรแบ่งเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและวางแผนการเงินระยะสั้นก่อน จากนั้นถ้ามีเงินเหลือและเราประเมินตัวเองแล้วว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ทุกปีก็สามารถแบ่งเงินมาทำประกันสะสมทรัพย์ได้4. ยกเลิกประกันชีวิตก่อนครบสัญญาได้ไหมการยกเลิกสัญญาประกันชีวิตก่อนครบสัญญาสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้คือ • เวนคืนกรมธรรม์โดยจะได้รับเงินก้อนตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ ซึ่งอาจจะได้น้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไป แล้วสัญญาเป็นอันสิ้นสุด • การใช้มูลค่าเงินสำเร็จเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีความคุ้มครองตามระยะเวลาเดิมแต่ทุนประกันหรือความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ • การใช้การขยายระยะเวลาเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีทุนประกันหรือความคุ้มครองเท่าเดิมแต่ระยะเวลาความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์โดยสรุปคือไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกแบบไหนเราก็จะเสียผลประโยชน์ที่เราพึงได้จากกรมธรรม์รวมถึงอาจขาดทุนเบี้ยที่เราจ่ายไปด้วย ดังนั้นก่อนจะทำประกันทุกครั้งทุกกรมธรรม์ควรศึกษาข้อมูลและความพร้อมในการจ่ายเบี้ยให้ดีๆก่อนการตัดสินใจทำจากเรื่องน่ารู้ของประกันชีวิตทั้ง 4 ข้อดังที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ผู้ที่จะทำประกันทุกคนควรรู้เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันชีวิตได้ ก่อนการซื้อประกันทุกครั้งควรศึกษาข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะให้ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่เราซื้อตอบโจทย์ความต้องการและแผนทางการเงินของเราได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/4-fact-about-life-insurance/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หลายคนกำลังได้ยินถึงกลุ่มคนวัย “เดอะ แบก” ซึ่งคือกลุ่มคน Gen Y หรือกลุ่มมิลเลนเนียล ที่มีช่วงอายุระหว่าง 26-40 ปี หรืออาจมากกว่านั้น เป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทุกมิติของสังคม เพราะอยู่ในวัยทำงาน มีครอบครัว ซึ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเจนเนอเรชั่นของพ่อแม่และเจนเนอเรชั่นของลูกและคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่าพวกเขา (หรือพวกเรา) แบกอะไรเอาไว้หนักหนาภายใต้บทบาทของการเป็น “เดอะแบก” โพลเผย “แบกครอบครัว” ไว้หนักสุด ผลสำรวจความคิดเห็นมหาชนออนไลน์บนโพล LINE TODAY* ในหัวข้อ “คนวัยเดอะแบก วัยที่ต้องแบกรับภาระรอบตัว คุณกำลังกังวลและแบกอะไรเอาไว้หนักที่สุด?” พบว่า อันดับหนึ่ง 30.17% แบกการเป็นเสาหลักของบ้านที่ต้องดูแลครอบครัว รองลงมา 21.23% แบกความกลัวที่ใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่แถมเงินไม่พอ และ 15.64% แบกภาระหนี้สินอันหนักอึ้ง ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนชัดถึงความรับผิดชอบของคนวัยเดอะแบก นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการเติบโตในหน้าที่การงาน ความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความสัมพันธ์เพื่อนและคนรัก สามารถเชื่อมโยงไปอีกผลสำรวจจาก The American Institute of Stress ในปี 2565 ที่เผยว่าเป็น 76% ของกลุ่มคนวัยทำงานออกมายอมรับว่าความเครียดจากการทำงานส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวภาระรอบด้าน แต่ก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์รอบตัว ขณะเดียวกันคนวัย “เดอะแบก” ในวันนี้กำลังให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสาร เพื่อรักษาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง จากข้อมูลสถิติการใช้โซเชียลมีเดียของ TrueList ระบุว่า Gen Y กว่า 61% ใช้แอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน โดยในปีที่ผ่านมามีการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 63% และมีการคาดการณ์ว่าอีกสามปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นอีกกว่า 46% และนอกจากนี้ Gen Y กว่า 72% ยังมองว่าแอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญมากในชีวิต เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับคนในวัยอื่น ๆ สะท้อนอีกนัยหนึ่งให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมต่อกับสังคมและกระชับความสัมพันธ์กับผู้คนขณะที่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ในชีวิตจนความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์ต้องห่างเหินกัน วัยเดอะแบกกับสิ่งที่มองหาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต อาจไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าและความมั่นคงเพียงอย่างเดียวที่เดอะแบกกำลังมองหา ขณะเดียวกันก็ยังมองหาความสมดุลที่เกิดจาก ความยืดหยุ่น การเรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรนเมื่อตัวเองกำลังตึงเครียดมากเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้จากตัวเองและสิ่งแวดล้อมก่อนจะกระทบกับเรื่องอื่นในชีวิต การสนับสนุน ไม่มีอะไรดีไปกว่าความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้การแบกที่ว่าหนักนั้นเบาลงได้ และการสื่อสาร ที่สม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นจากเดอะแบกไปยังคนรอบตัวหรือคนรอบตัวไปยังเดอะแบกเพื่อลดความห่างเหินที่อาจจะนำไปสู่ช่องว่างในความสัมพันธ์และยังสามารถกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสมดุลให้เดอะแบกไม่รู้สึกว่ากำลังแบกหนักเกินไป *ผลสำรวจบนโพล LINE TODAY จากจำนวนผู้ร่วมโหวต 179 คน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ workpointtoday http://https//workpointtoday.com/gen-y-bear-the-burden/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
30/04/2024
08/05/2024
11/09/2024
29/04/2024