Everyday knowledge for you
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
จากบทความ “ทำประกันสุขภาพไว้ ต้องรักษาที่ไหนถึงจะเคลมได้” เราได้ทราบถึงว่าประกันสุขภาพคุ้มครองอะไรบ้าง รวมถึงเงื่อนไขการเคลมค่าประกันสุขภาพกันแล้ว แต่ปัจจุบันนั้นมีประกันสุขภาพแบบเดี่ยว (ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต) และประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต (ทำพ่วงประกันชีวิต) แล้วแต่ละแบบมีลักษณะต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เราควรเลือกแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา บทความนี้มีคำตอบ ประกันสุขภาพเดี่ยว ประกันสุขภาพเดี่ยวชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเดี่ยวคือเป็นประกันสุขภาพที่ขายแบบเดี่ยวๆ ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต นั่นคือจะคุ้มครองเฉพาะสุขภาพไม่มีการคุ้มครองชีวิต โดยจะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น ข้อดี ● เบี้ยถูกกว่าแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต เพราะคิดเฉพาะในส่วนของการคุ้มครองสุขภาพเท่านั้น ข้อเสีย ● เป็นสัญญาแบบปีต่อปี บริษัทจะพิจารณาการรับประกันแบบปีต่อปี ในกรณีที่เราเคลมเยอะในปีที่ผ่านมาบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือไม่รับต่อประกันสุขภาพเราได้ ซึ่งถ้าในกรณีที่จะเปลี่ยนบริษัทประวัติสุขภาพนั้นจะติดตัวเราไปด้วยบริษัทใหม่ก็จะพิจารณาจากประวัติสุขภาพของเราซึ่งอาจจะไม่รับทำได้ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพเป็นระยะเวลาสั้นๆ และจ่ายเบี้ยไม่สูงมาก ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต คือการที่เราทำประกันชีวิตเป็นสัญญาหลักและทำสัญญาเพิ่มเติมเป็นประกันสุขภาพ โดยการจ่ายค่าสินไหมจะมีเงื่อนไขเหมือนกับแบบเดี่ยวคือ จะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น ข้อดี ● มีความคุ้มครองชีวิต เนื่องจากเป็นสัญญาเพิ่มเติมพ่วงไปกับสัญญาหลักประกันชีวิต ถ้าบริษัทประกันชีวิตได้รับทำแล้วจะไม่สามารถยกเลิกได้ถ้าเรามีความประสงค์ต่ออายุ ● ยกเว้นเหตุ 3 ประการที่บริษัทจะไม่รับต่ออายุดังนี้ ● กรณีไม่แถลงข้อความจริงตามใบคำขอเอาประกันภัย ซึ่งหมายถึงมีการปกปิดข้อมูลไม่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง โดยที่ทราบข้อมูลนั้นอยู่แล้ว ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันรวมกันทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง ข้อเสีย ● เบี้ยประกันสูงกว่าแบบเดี่ยวเนื่องจากมีความคุ้มครองทั้งชีวิตและสุขภาพ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพในระยะเวลายาวๆหรือตลอดชีวิต ดังนั้นการทำสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพนั้นควรทำพ่วงกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เนื่องจากเป็นสัญญาหลักระยะยาวไม่เหมือนกับประกันแบบอื่นๆที่มีระยะเวลาที่สั้นกว่า จากข้อมูลข้างต้นเราได้ทราบแล้วว่าประกันสุขภาพเดี่ยวและประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิตนั้นต่างกันอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เหมาะกับใคร อย่างไรก็ตามสุขภาพเรานั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน ประกันสุขภาพเป็นสิ่งที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเราได้ ควรทำตั้งแต่สุขภาพยังแข็งแรงเพราะถ้าสุขภาพเราไม่แข็งแรงหรือเป็นโรคแล้วบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือหนักกว่านั้นคือไม่รับทำประกันเลย ดังนั้นอยากให้มองว่าเราจ่ายเป็น fix cost สำหรับเรื่องสุขภาพเราแต่ละปี แถมนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 25,000 บาทอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-different-between-health-insurance-and-health-riders/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ โดย ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา กูรูด้านการขายและการเจรจาต่อรอง ที่ได้แนะนำไว้ดังต่อไปนี้ เทคนิคที่ 1 : รู้จักตัวเอง คนเรามักจะคิดว่าเรารู้จักตัวเองดี แต่จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง หรือยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ เช่น ถ้าอยากขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราคิดแล้วหรือยังว่าถ้าเขาจะมาซื้อแล้วขอเข้าอยู่อาศัยทันที เราจะไปอยู่ที่ไหน หรือ บอกราคาขายไปแต่ไม่มีราคาสำหรับต่อรองในใจเลย แถมบางคนบอกขายบ้านเพราะต้องการเช็คราคาไม่ใช่ต้องการขายจริง ....ผมเคยเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งทุกครั้งที่สามี-ภรรยาคู่นี้ทะเลาะกัน วันรุ่งขึ้นต้องมีป้ายประกาศขายบ้านติดหน้าบ้านเสมอ กรณีนี้ไม่ใช่การตั้งใจจะขายบ้านจริง ๆ แต่เป็นเรื่องการประชดประชันมากกว่า การรู้ตัวเองคือต้องรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร จะมีผลในการตั้งราคาขายและกลยุทธ์ในการต่อรองอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ต้องรู้ตัวเองก่อน เพราะหากเขาต่อรองราคาแล้วเกิดขายได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าเราต้องการทดสอบราคา ก็ควรตั้งราคาสูงเข้าไว้เพราะอย่างไรเราก็ไม่ขายอยู่แล้ว ถ้าให้พูดกันตรง ๆ การเจรจาต่อรองมีวัตถุประสงค์ลึก ๆ แล้วก็คือการต้องการจะตรวจสอบราคาสินค้าของตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต้องเล่นบทไหนครับ เทคนิคที่ 2 : รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตน นั่นคือ รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตัวเองว่าการที่เขาส่งเราให้ไปต่อรองราคาเรามีสิทธิ์ลดได้แค่ไหน สมมุติเป็นเซลล์แมนเรามีสิทธิ์ลดราคาได้แค่ไหน และไม่ควรไปลดราคาเกินอำนาจที่องค์กรมอบหมาย เพราะถ้าลดมากไปคงต้องเข้าเนื้อตัวเองหรือโดนเจ้านายเล่นงานแน่ครับ เทคนิคที่ 3 : รู้จักสินค้าหรือบริการของตนที่จะขาย ทำความรู้จักสินค้าและบริการของตัวเองว่า “วันนี้เราจะเรียกราคาได้แค่ไหน” โดยเราต้องรู้อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ความต้องการและราคาสินค้าในตลาดว่าเป็นที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งต้องดูด้วยว่าสินค้าของเราอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงของธุรกิจประเภทนี้ เช่น หากเราจะขายสินค้าพืชไร่เกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดตอนนี้ และน้ำมันดีเซลเพื่อการขนส่งวันนี้ปรับราคาสูงขึ้น เราก็ขึ้นราคาสินค้าได้เยอะเพราะตลาดต้องการของเรายังไงก็ต้องสู้ราคาแถมยังมีข้ออ้างเรื่องราคาน้ำมันอีก เทคนิคที่ 4: รู้จักลูกค้า ใครคือลูกค้าของเรา? เป็นคำถามที่สิ่งสำคัญมากครับ ในฝั่งของการตลาดเขาจะมีการแบ่งตลาดหรือกลุ่มลูกค้าออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า “เซกเมนท์เทชั่น” (Segmentation) สินค้าบางตัวทางการตลาดแบ่งเซกเมนท์ตามอายุ หรือแบ่งตามเพศก็มี เช่นเครื่องดื่มชูกำลังนอกจากแบ่งตามอาชีพแล้วช่วงหลังก็แบ่งตามเพศด้วย อย่างผู้หญิงจะไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังจากขวดสีชาจะทำให้ดูเหมือนกรรมกรจนเกินไป ผู้ผลิตจึงผลิตใส่ขวดใส ๆ และปรับสีให้สวย เราเลยเห็นเครื่องดื่มแนวใหม่ที่มีสีแดง สีฟ้า หรือสีเขียว วางอยู่ตามตู้แช่ในตลาดขณะนี้ครับ เทคนิคที่ 5 : รู้จักคู่แข่ง ส่วนนี้ผมปรับมาจากหลักพิชัยสงครามของซุนหวู่ เช่นหากคู่แข่งเข้าตลาดไหนถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าไปเข้าตลาดซ้ำกับเขาเพราะเรากำลังเดินตามรอยเท้าคู่แข่ง อาจถูกคู่แข่งลวงให้หลงทางได้ มิหนำซ้ำยังมีตลาดใหม่อื่น ๆ ให้ทำอีกมาก แต่เรากลับมามัววิ่งตามคู่แข่ง จงสำรวจหาสถานที่เพื่อคุมตลาดใหม่เพราะยิ่งถ้าต้องรบกับคู่แข่ง ในที่สุดผู้ซื้อจะได้เปรียบเพราะต่างต้องแข่งกันลดราคาให้ผู้ซื้อ ซึ่งรบกันยังไงเราก็มีแต่เสียเปรียบครับ สู้เลี่ยงไปเข้าตลาดอื่นดีกว่าถ้าเลือกได้ เทคนิคที่ 6 : รู้ถึงมูลเหตุจูงใจในการซื้อ เราต้องรู้สาเหตุที่จะจูงใจลูกค้าว่า “ทำไมเขาถึงมาซื้อสินค้าของเรา” ตัวอย่างเช่น การขายบ้าน เราต้องรู้ก่อนว่าบ้านเรามีอะไรจูงใจลูกค้าให้มาซื้อ อาจจะเป็นเพราะบ้านเราอยู่กลางเมืองจึงขายได้ราคาถึงแม้เป็นบ้านเก่า ๆ ก็ตาม ดังนั้นมูลเหตุจูงใจในตัวอย่างนี้คือ “บ้านใจกลางเมือง” เมื่อเวลาเราเจรจากับลูกค้าให้เน้น “สถานที่” หรือ “โลเคชั่น” (Location) อย่าไปคุยประเด็นเรื่องบ้านสวยเพราะบ้านเราเก่ายังไงก็ไม่สวยหรอก เผลอ ๆ เขาซื้อไปแล้วอาจต้องไปทุบบ้านทิ้งทีหลังก็ได้ เทคนิคที่ 7 : รู้ค่านิยมของผู้ซื้อ รู้ค่านิยมของผู้เจรจา อย่างคนต่างชาติมีค่านิยมอย่างหนึ่งคนไทยก็มีค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง เช่น ทำไมคนญี่ปุ่นชอบเดินดูวัดเก่า ๆ และคนไทยชอบไปต่างประเทศเพื่อไปดูโบสถ์ฝรั่ง ผมว่าคนเอเชียชอบดูสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับวัดวาอารามนะครับ ไม่เว้นแม้แต่ของฝรั่ง เทคนิคที่ 8 : รู้ถึงรสนิยมของผู้ซื้อ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองมีรสนิยมสูง และมักจะมีรสนิยมสูงกว่ารายได้ที่ตัวเองได้รับเสมอ เช่น อยากได้ของดีมากแต่รายได้หรือจำนวนเงินที่ตั้งใจจะจ่ายนั้นน้อยหรือต่ำ หรือที่เขาเรียกกันว่า “รายได้ต่ำรสนิยมสูง” ซึ่งคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักการตลาดในการเจรจาและส่งเสริมการขายที่โอ้อวดสินค้าว่าของเขาดีแต่ที่จริงแค่นำสินค้าคุณภาพต่ำมาหลอกขาย ดังนั้นถ้าเราเป็นพวกรสนิยมสมถะก็อยู่อย่างพอเพียงดีที่สุด จะได้สินค้าที่ดีในราคาสมเหตุสมผลครับ เทคนิคที่ 9 : รู้ถึงจังหวะในการนำเสนอ เราควรรู้จักจังหวะในการนำเสนอด้วยนะครับ โดยต้องรู้ว่าจะนำเสนอในช่วงไหน เขามีหลักง่าย ๆ คือ ให้ปฏิบัติการในช่วงที่ลูกค้าผ่อนคลาย ยกตัวอย่างเช่น เวลาไปตัดผม เราตั้งใจแค่ไปซอยผมแต่จบออกมาต้องเสียเงินเพิ่มหลายเท่าเพราะคนที่บริการสังเกตเห็นเราผ่อนคลายสบายใจจึงเสนอขายสินค้าอย่างอื่นในลักษณะแบบการขายพ่วง (Cross Selling) เขาเรียกการขายแบบสูตรของช่างทำผมเช่น ชวนเสริมคิ้ว นวดหน้า ลบตีนกา ลบรอยเหี่ยวย่น สุดท้ายไปทำสปาเบ็ดเสร็จเลย สังเกตได้ทุกร้านทำผมจะเป็นแบบนี้ครับ บางทีตัดผมอยู่ชวนย้อมสีผมเฉยเลยบอกว่าเป็นสมัยนิยม “ลูกค้าที่ทำไปมีแต่คนทักว่าสวยหล่อขึ้นทุกคนเลยค่ะ” สุดท้ายจาก 250 บาทกลายเป็น 2,500-3,500 บาท นี่คือตัวอย่างของการรู้จังหวะที่เขาผ่อนคลายครับ เทคนิคที่ 10 : รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด ยกตัวอย่างเช่นเรารู้ทั้งรู้ว่าบ้านนี้พี่น้องทะเลาะกันทำให้ต้องมาขายมรดกกินดังนั้นเราก็ไม่ควรมาพูดว่า “ทำไมพวกพี่ถึงทะเลาะกันล่ะครับ”เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เราแค่เป็นคนไปซื้อของเขาเท่านั้นครับ เทคนิคที่ 11 : รู้หลักคุณธรรมนำการเจรจาต่อรอง หากเราอยากเป็นนักเจรจาที่ดีต้องรู้หลักคุณธรรมด้วยครับ บางคนฉวยเอาสถานการณ์ที่ได้เปรียบมาเอาเปรียบคู่เจรจาอย่างไร้คุณธรรม เช่นเขาอาจมีความจำเป็นต้องขายสินค้าเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ก็ไปกดราคาเขามาก ๆ เวลาไปต่อรองซื้อขายอีก เข้าข่ายหักคอคนขายเพราะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินแบบนี้เรียกว่า “ไม่มีคุณธรรม” ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ เทคนิคที่ 12 : รู้หลักดึงดูดลูกค้าเป็นพวก เราควรใช้หลักการนี้ดึงดูดคู่เจรจาให้เป็นพวกเดียวกับเราเพราะคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันมักเป็นพวกเดียวกันและจะพูดกันง่ายขึ้น เช่น คนภาคเดียวกันส่งภาษาพื้นเมืองก็จะพูดกันง่าย ยกตัวอย่างเช่นคนใต้ด้วยกันพอได้ยินสำเนียงกรุงเทพฯลักษณะทองแดงหน่อย ๆ ก็เริ่มรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแล้วก็จะพูดกันง่ายล่ะคราวนี้ หรือคนชอบพรรคการเมืองเดียวกันจะคุยกันง่าย ทำให้การเจรจาต่อรองก็จะง่ายตามมา เทคนิคที่ 13 : รู้ขั้นตอนของการจูงใจ ขั้นตอนของการจูงใจเริ่มต้นจากการค้นหาความต้องการของลูกค้า เราต้องค้นให้เจอว่าลูกค้าต้องการสิ่งใดมากที่สุดจากนั้นก็นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เหมาะกับเขาให้มากที่สุด แล้วเราจะปิดการขายได้อย่างง่ายดาย เช่น เราสังเกตว่าลูกค้ารายนี้เกลียดความยุ่งยาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าซื้อของเราแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วเรารับบัตรมาจากมือลูกค้าก็ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ารับบัตรเครดิตจากลูกค้ามาแล้วยังต้องไปตรวจสอบเครดิตบูโรชักเข้าชักออกอย่างนี้ลูกค้าไม่เอาด้วยนะครับ ทำให้ลูกค้ายุ่งยากต้องมานั่งเซ็นเอกสารอีกสิบกว่าชุดเขาก็ไม่เอาไม่ซื้อแล้ว เพราะขั้นตอนปิดการขายยุ่งยากเกินไป เทคนิคที่ 14 : ปูพื้นฐานข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อจูงใจลูกค้า การจูงใจแบบนี้เราต้องบอกพื้นฐานข้อมูลและข้อเท็จจริงให้กับลูกค้า เช่น ราคาทองเพิ่มขึ้นแล้วในตลาด พี่สนใจการลงทุนในรูปแบบโกลด์ฟิวเจอร์ไหมครับ? โดยเราต้องเน้นให้เขาเห็นคุณค่าที่ลูกค้ามุ่งหวัง เช่น “ถ้าพี่ตัดสินใจเร็วยิ่งได้เปรียบไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยแบงก์จะกินแย่เลย” หรือ ถ้าบ้านที่เราหมายตาเอาไว้คู่เจรจาเขากู้แบงค์มาซื้อบ้านก็ต้องบอกว่า “ถ้าบ้านพี่หลังนี้ไปกู้ธนาคารมา ยิ่งขายได้เร็วก็ยิ่งดีไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยจะทบต้นจนทำให้ยอดเงินกู้แบงก์สูงขึ้นไปเรื่อยๆ” เห็นไหมครับ เป็นการเน้นคุณค่าที่สร้างประโยชน์ให้ผู้เจรจา ดังนั้นผู้เจรจาก็จะเห็นด้วยและตกลงใจได้เร็วขึ้นครับ เทคนิคที่ 15 : กระตุ้นให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ ควรมีการเชียร์ให้คู่เจรจาตัดสินใจ เพราะคนเราต้องการคนกระตุ้นหลาย ๆ ครั้ง ถ้ากระตุ้นเขาแล้วไม่ได้ผลให้กระตุ้นคนที่มีอิทธิพลกับเขาแทน ยิ่งบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่มีอิทธิพลเหนือลูกค้าก็เข้าข่ายหลักการชนะ 3 ฝ่ายยิ่งดีใหญ่ เช่น ถ้าเรากระตุ้นตัวเขาไม่ได้ก็กระตุ้นสามีหรือภรรยาเขาที่มาด้วยกันแทนก็ได้นะครับ เทคนิคที่ 16 : หลีกข้ามปัญหาของการต่อรอง ปัญหาการต่อรองมันเกิดขึ้นได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องเครดิตเราให้ลูกค้าไม่ได้ก็ให้ข้ามไปคุยเรื่องอื่นก่อนอย่ามาคุยเรื่องนี้ อย่างลูกค้าบอกจะซื้อแบบสินเชื่อหรือขอเครดิตแต่เราให้ไม่ได้ก็อย่าคุยเรื่องนี้ ให้เปลี่ยนไปคุยเรื่องราคาก่อนราคานี้โอเคไหม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ครับ เทคนิคที่ 17 : จดจำข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าประจำ เพราะคนเราจะรู้สึกภูมิใจมาก หากมาติดต่อครั้งที่สองเราจำได้ว่าครั้งแรกเขาเคยมาแล้ว เช่น ร้าน 7-Eleven บางสาขาพนักงานจำลูกค้าหรือจำชื่อลูกค้าได้ โดยที่บางครั้งลูกค้ายังไม่ทันบอกซ้ำว่าเขาชื่ออะไร เทคนิคการรู้ชื่อลูกค้านี่ไม่ยากครับ ขอให้เราสนใจฟังคนที่มากับเขาเรียกกันก็รู้แล้วครับ เช่น ให้เรียกชื่อตามลูกที่เรียกแม่เขา หรือแม่เขาเรียกลูกว่าอะไร บางครั้งอาจต้องใช้กลยุทธ์ “แอบถามจากคนใกล้ชิด” เช่นถามคนงาน ถามเลขาว่าเจ้าของกิจการชื่ออะไรเป็นต้น เทคนิคที่ 18 : การปิดการขาย สุดท้ายเมื่อได้จังหวะเราต้องปิดการขายและการเจรจาทันทีครับเพราะของในโลกของการขาย ของขายแล้วคืนไม่ได้ มาคืนก็ไม่มีใครรับคืนครับ ข้อนี้ถือเป็นความลับอีกอันหนึ่งของเจรจาต่อรองเชียวนะครับ เช่น เราซื้อบ้านจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว บอกไม่เอาไม่ได้ครับ หรืออาจได้แต่เป็นอีกราคาหนึ่งที่น้อยกว่าตอนจ่ายเงินซื้อ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsmehttps://www.smartsme.co.th/content/249873#!
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลธุรกิจด้านกฎหมายและกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และประธานมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในการที่เอไอเอ ประเทศไทย มีส่วนร่วมสนับสนุนกรมธรรมธ์ประกันอุบัติเหตุจำนวน 111 กรมธรรม์ ให้แก่เจ้าหน้าที่และทหารเรือที่ปฏิบัติงานวางปะการังและบ้านปลาบริเวณหน้าหาดทิศตะวันออกของเกาะแสมสาร ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรและวางปะการัง เกาะแสมสาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยโครงการดังกล่าว มุ่งดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการัง บริเวณเกาะแสมสาร รวมทั้งยกระดับความสำคัญพื้นที่หมู่เกาะแสมสารให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เกิดความเชื่อมโยงของระบบนิเวศป่าชายเลน ป่าชายหาด พื้นทราย สาหร่าย หญ้าทะเล บ้านปลา และแนวปะการัง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในด้าน ESG ของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่สังคม โดยถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานที่เอไอเอให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ อ. สัตหีบ จ. ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
คุณศรัณย์ลภัส สุขชู - ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านบริหารความสัมพันธ์ธุรกิจและสรรหาว่าจ้าง (ซ้าย), คุณคริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย (กลาง) และ คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ ของ เอไอเอ เวลเนส (ขวา) เข้าร่วมงานเปิดตัว สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์กรุงเทพฯ 11 พฤษภาคม 2566 – ALive Powered by AIA (เอ ไลฟ์ พาวเวอร์ บาย เอไอเอ) แอปพลิเคชันครบวงจรด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีความยินดีที่จะเปิดตัวอีเว้นท์ สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ (StayALive office fair) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 11 - 13 พฤษภาคมนี้ ณ ลานโปรโมชั่น สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น G โดยภายในงานทั้งสามวันนี้ ALive มีความตั้งใจที่จะเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการวางแผนชีวิตแบบครบทุกมิติ ทั้งการวางแผนสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน และครอบครัว ภายในงาน คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ ของ เอไอเอ เวลเนส พร้อมด้วย คุณศรัณย์ลภัส สุขชู ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านบริหารความสัมพันธ์ธุรกิจและสรรหาว่าจ้าง เอไอเอ ประเทศไทย ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเปิด พร้อมร่วมแบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ALive ตลอดจนสิทธิประโยชน์และกิจกรรมร่วมสนุกต่างๆ จากทางพาร์ทเนอร์ภายในงาน สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ ผู้ร่วมงานจะได้สนุกไปกับบูธและกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ บูธออฟฟิศ ยุค 90 ซึ่งจะพาทุกคนย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศออฟฟิศวันวานในยุค 90 รวมถึงการสัมผัสประสบการณ์เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพในอนาคต และร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ ALive ในการช่วยเหลือเด็กป่วยเรื้อรัง โครงการโรงพยาบาลมีสุข มูลนิธิกระจกเงา ผ่านกิจกรรม ‘หนึ่งสแกน แทนน้ำใจ’ ทุก ๆ หนึ่งการสแกน ฟีเจอร์ Calories Tracker* แทนเงินบริจาค 10 บาท ยิ่งไปกว่านั้นภายในงานยังมีกิจกรรมมากมายจากแบรนด์พาร์ทเนอร์ อาทิ Celebrity Fitness & Fitness First, Dreamdesk, Pharmcare, Fitbit, Garmin, Tops Vita ฯลฯ พร้อมเต็มอิ่มกับความบันเทิงบนเวที ไปกับกิจกรรม ‘Pick a Card’ เปิดไพ่ดูดวงสุขภาพการเงินกับหมอคิส Kisshoro, เซสชันวางแผนการเงินกับคุณฟู๋ New World Finance และกิจกรรมออกสเต็ปสาธิตวิธีการเต้นบริหารร่างกายกับคุณเด็บบี้ บาซู จากรายการ Easy Moveคุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส บรรยายวิสัยทัศน์และข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ALive Powered by AIAคุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส กล่าวว่า “สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ เป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานชาวออฟฟิศและบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพได้รับทราบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพต่างๆ นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เพื่อการวางแผนสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาที่ว่า “Healthier, Longer, Better Lives”ผู้ที่รักสุขภาพและพนักงานออฟฟิศสามารถมา #StayALive ไปด้วยกัน ได้ตั้งแต่วันที่ 11 – 13 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ลานโปรโมชั่น สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น Gแอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ALive Powered by AIA *คำนวณปริมาณแคลอรี่โดยการประมาณการ เกี่ยวกับ ALive Powered by AIA ALive Powered by AIA โมไบล์แอปพลิเคชันสุดล้ำที่มอบประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบครบวงจร ที่ถูกพัฒนาโดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของทุกคน โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ภายใต้ กลุ่มบริษัทเอไอเอ ALive ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว ให้คำแนะนำได้อย่างครอบคลุมในทุกช่วงเวลาของครอบครัวโดยเชื่อมโยงกับสังคมออนไลน์ ตอบรับเทรนด์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ โดดเด่นด้วย 5 ฟีเจอร์หลัก อาทิ Telemed การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ Live Events อัปเดตข้อมูลดีๆ ผ่านรูปแบบวิดีโอ โดยผู้เชี่ยวชาญและ กูรูชื่อดัง Calories Tracker ตัวช่วยคำนวณค่าแคลอรี่ในอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งคำนวณปริมาณแคลอรี่โดยการประมาณการ Scoop สนุกกับการแชร์และชมวิดีโอเนื้อหาด้านสุขภาพที่หลากหลาย และ Community แหล่งพูดคุยและแบ่งปันเนื้อหาสำหรับทุกคน พร้อมสิทธิพิเศษต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพไว้ให้สำหรับผู้ใช้งานในฟีเจอร์ Rewards
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
10/05/2023
กรุงเทพฯ, 10 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนส่งมอบชุดชั้นใน แก่ ซาบีน่า โดยมี นางสาวพิชชา ธนาลงกรณ์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ซาบีน่า ฟาร์อีสท์ จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำชุดชั้นในเสื่อมสภาพเข้าสู่กระบวนการกำจัดอย่างถูกวิธี ภายใต้โครงการ “โละแล้วไปไหน (New Life Bra Cycle)” ด้วยกระบวนการเผาทำลายผ่านระบบปิด ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ลดปัญหามลพิษ PM2.5 และยังสามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานสะอาดทดแทนการใช้ถ่านหิน เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยเอไอเอ ประเทศไทย รวบรวมชุดชั้นในเก่าจากพนักงานเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,839 ตัว สามารถย่อยสลายเป็นพลังงานความร้อนถึง 2,687.3 ล้านจูล ลดการใช้ถ่านหินถึง 127,966.67 กรัม และลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 191,950 กรัม เพื่อเป็นการช่วยกำจัดขยะอย่างถูกวิธี และนำพลังงานสะอาดที่ได้หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ จึงไม่สร้างมลภาวะเพิ่มเติม อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสริมและปลูกฝังลักษณะนิสัยในการรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน พร้อมร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี นับเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของเอไอเอ ในการส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ESG ที่เอไอเอ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรผู้นำด้าน ESG ของประเทศต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย แอ่วเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์…เซฟเวอร์ แซ่บเวอร์เชียงใหม่” เปิดตัวประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตัวใหม่ล่าสุด "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ที่มาในคอนเซ็ปต์ “คุ้มกว่าที่เคยเจอ เซฟเวอร์ทั่วไทย” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือน[1] ตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศ และความมุ่งมั่นที่ต้องการช่วยสนับสนุนให้คนไทยได้มีประกันสุขภาพได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยงานจัดขึ้น ณ ลานโปรโมชัน ชั้น 1 เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟสฯ) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมาในงานได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พร้อมด้วย นางเยาวภา อุกฤษฏชน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล ร่วมให้ความรู้ถึงผลิตภัณฑ์ "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมความคุ้มครองและผลประโยชน์ที่คุ้มค่า รวมถึง “เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions)” บริการเสริมด้านสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ครอบคลุมการดูแลสุขภาพตลอดทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเอไอเอ และแขกรับเชิญพิเศษที่มาสร้างความสุขให้กับชาวเชียงใหม่ อย่าง ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ แอมบาสเดอร์ และ เปรี้ยว ทัศนียา การสมนุช เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ แอมบาสเดอร์ นอกจากนี้ เอไอเอ ยังได้นำกิจกรรมสนุก ๆ พร้อมของรางวัลแซ่บ ๆ ไปมอบให้เฉพาะชาวเชียงใหม่ อีกทั้งมีพันธมิตรมาร่วมออกบูธสร้างสีสรรค์ และชวนชาวเชียงใหม่ให้มามีสุขภาพดีไปด้วยกัน อาทิ บริการตรวจสุขภาพ วัดความดัน และดัชนีมวลกายฟรี พร้อมรับคำแนะนำเรื่อง Office Syndrome และทำแบบประเมินการนอนหลับ จากโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ บริการตรวจวิเคราะห์ความเสี่ยงในการล้ม จาก Blue Oak และโปรโมชันสุดพิเศษจาก Virgin Active และ Boots อีกด้วยนางเยาวภา อุกฤษฏชน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล กล่าวว่า “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตัวใหม่ล่าสุดที่เราตั้งใจพัฒนาออกมาเพื่อรองรับกลุ่มคนที่มีความกังวลเรื่องสุขภาพ และต้องการมีประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายติดตัวไว้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายตอนเจ็บป่วย โดยแบบประกันตัวนี้ เอไอเอ ตั้งใจออกแบบให้เป็นแพ็กที่เล็กลง เพื่อให้เป็นแบบประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ในราคาที่คุ้มค่า สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน จนถึงอายุ 75 ปี คุ้มครองนานสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ซึ่งจุดเด่นหลักแบบเวอร์ ๆ ของแบบประกันตัวนี้ ได้แก่ • ดีเวอร์: เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงสุดถึง 500,000 บาท (ต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง) • เยอะเวอร์: เบิ้ลความคุ้มครอง 2 เท่า[2] สำหรับ 6 โรคร้ายแรงยอดฮิต นานถึง 4 ปีกรมธรรม์ • คุ้มเวอร์: เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นแค่เดือนละ 575 บาท • บ่อยเวอร์: จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก[3] (OPD) สูงสุด 30ครั้ง / รอบปีกรมธรรม์นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวถึง เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions) ว่า “สำหรับลูกค้าเอไอเอ เราให้มากกว่าความคุ้มครอง เพราะเอไอเอ ในฐานะผู้นำในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพ เรามีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า และพร้อมอยู่เคียงข้างดูแลลูกค้าตลอดทุกช่วงชีวิต โดย เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ เป็นการรวมบริการเสริมด้านสุขภาพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกค้าของเอไอเอ ผ่านบริการและโครงการสุขภาพถึง 9 บริการ ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพที่เหนือระดับ ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่ Preventive programs อย่าง เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) โครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[4] ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าสนุกกับการดูแลสุขภาพ พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพต่าง ๆ (Health Privilege) ไม่ว่าจะเป็นบริการตรวจสุขภาพประจำปี และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และเมื่อลูกค้าเริ่มเจ็บป่วยไม่มาก เอไอเอมีบริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ พร้อมส่งยาให้ถึงบ้าน และสามารถยื่นเคลมออนไลน์ ผ่าน AIA iService ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมกับบริการ Cashless Claim ที่ให้ลูกค้าเคลมผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องสำรองจ่าย เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายของเอไอเอ ซึ่งมีอยู่มากที่สุดกว่า 750 แห่งทั่วประเทศ[4]“ยิ่งไปกว่านั้น หากลูกค้าเจ็บป่วยหนักถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัด เรามีบริการพิจารณาความคุ้มครองก่อนผ่าตัด (Pre-Authorization) ให้ลูกค้าได้รู้ความคุ้มครองก่อนได้รับการผ่าตัด ตลอดจนบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management) ซึ่งเอไอเอจับมือกับ Teladoc Health รวมทีมแพทย์กว่า 50,000 คนทั่วโลก มาช่วยให้ความเห็นที่สองของการรักษา เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอ มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ดีและเหมาะสมที่สุด และหากลูกค้าต้องการไปรักษาที่ต่างประเทศ สามารถใช้บริการ Regional Passport เลือกเข้ารับการรักษาได้ในกว่า 14 ประเทศทั่วโลก หรือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขณะอยู่ต่างแดน เรามีบริการ Emergency Medical Assistance ที่จะคอยประสานงานช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายโรงพยาบาล ให้ลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการเสริมด้านสุขภาพที่ลูกค้าเอไอเอจะได้รับ นอกเหนือจากความคุ้มครองค่ะ” นางสาวรพีพร กล่าวทิ้งท้ายผู้ที่สนใจแบบประกันสุขภาพ เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/hsvprll หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AIA Call Center โทร. 1581 ตลอด 24 ชั่วโมงหมายเหตุ: [1] คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรายปี 6,900 บาท สำหรับเพศชายอายุ 21-25 ปี แผนความคุ้มครอง 200,000 บาท [2] ผลประโยชน์สูงสุดเพิ่มเป็น 2 เท่าของจำนวนเงินเอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคร้ายแรง เมื่อป่วยเป็นโรคร้ายแรงครั้งแรก [3] เฉพาะแผนความคุ้มครอง 400,000 บาท คุ้มครอง 1,000 บาท/ครั้ง และ 500,000 บาท คุ้มครอง 1,500 บาท/ครั้ง [4] ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2566 คำเตือน: • ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจในเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับเล่มกรมธรรม์แล้วโปรดศึกษารายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ • ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 3 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย รับรางวัล “สยามรัฐออนไลน์ อวอร์ด ประจำปี 2566 (Siamrath Online Awards 2023)” โดยมี นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เป็นตัวแทนรับรางวัล โดยรางวัลสยามรัฐออนไลน์ อวอร์ด ประจำปี 2566 จัดขึ้น เพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมถึงบุคคลในหลากหลายวงการ โดยในครั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับในสาขา “รางวัลแบรนด์ธุรกิจประกันยอดนิยม (The Most Popular Life Insurance)” ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากประชาชนคนไทยทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศไทย* ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาเป็นระยะเวลานานกว่า 85 ปี เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการบริการ รวมถึงการให้คำปรึกษา และมอบประสบการณ์การดูแลที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมช่วยสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ซึ่งพิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค แกรนด์ ฮอลล์ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 ที่ผ่านมาหมายเหตุ: *ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ วันที่ 5 เมษายน 2566
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 2 พฤษภาคม 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิต สุขภาพ และยูนิต ลิงค์ เดินหน้าส่งมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมความต้องการของคนไทย ด้วยการผนึก 2 ผลิตภัณฑ์เรือธง “AIA Vitality” และ “AIA Unit Linked” เข้าไว้ด้วยกัน กับการเปิดตัวครั้งแรกของ “AIA Vitality Unit Linked” ที่ให้ลูกค้าได้เลือกรับความคุ้มครองครบทั้งสุขภาพและโรคร้ายแรง ร่วมกับการมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน พร้อมยังได้รับเงินคืนค่าการประกันภัยตลอดอายุกรมธรรม์ ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของวงการประกันชีวิตไทย ที่ลูกค้าเอไอเอ จะได้วางแผนการเงินพร้อมวางแผนสุขภาพแบบครบวงจร ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น – Healthier, Longer, Better Lives ซึ่งงานเปิดตัว “AIA Vitality Unit Linked” เอไอเอ ประเทศไทย ได้จัดขึ้นกับตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 500 ท่าน โดยมีผู้บริหารเอไอเอเข้าร่วม นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ นางชุลีพร ยูปานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเอไอเอ ไวทัลลิตี้ และนายพีร พนิตพล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ ร่วมด้วยแขกคนพิเศษ หมาก ปริญ สุภารัตน์ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ แอมบาสเดอร์ พร้อมที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพ พญ.หฤทัย ไกรวพันธ์ และนายสุรเชษฐ์ ชลตระกูล ร่วมพูดคุยบนเวที พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการวางแผนสุขภาพและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมานายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย เข้าใจความต้องการของลูกค้าที่ปัจจุบันมีความกังวลถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ ขณะเดียวกันก็มีความตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุชัดเจนว่า ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา และด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ทำให้คนไทยจะมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งย่อมตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพ เราต้องการเห็นคนไทยมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนการเงินที่รอบคอบ ควบคู่กับการวางแผนสุขภาพที่ควรเริ่มตั้งแต่ตอนยังมีสุขภาพดี เพราะหากเรามีสถานะการเงินที่มั่นคงแต่มีสุขภาพที่อ่อนแอ หรือมีสุขภาพแข็งแรงแต่ขาดการวางแผนทางการเงินที่ดี ย่อมไม่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวอย่างแน่นอน จึงเป็นที่มาของการนำ 2 ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งอย่าง เอไอเอ ไวทัลลิตี้ และ เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ มาผสานเข้าด้วยกัน ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุด “AIA Vitality Unit Linked” เพื่อมอบการดูแลทั้งในด้านความคุ้มครองชีวิตและการเงินผ่านแบบประกันเอไอเอ อิสระ พลัส (ยูนิต ลิงค์) ที่มีความยืดหยุ่นสูงและเหมาะสำหรับใช้วางแผนสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ตลอดจนการดูแลด้านสุขภาพผ่านโครงการ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ ซึ่งเป็นโครงการสุขภาพที่มีสมาชิกมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 500,000 ราย[1] ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกจับคู่แบบประกันเอไอเอ อิสระ พลัส (ยูนิต ลิงค์) กับสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง หรือสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ เพื่อได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น และมีสิทธิเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการเอไอเอ ไวทัลลิตี้ ได้ทันที เพื่อให้การมีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายจากพันธมิตรของเรา[2] อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับเงินคืนค่าการประกันภัยตลอดทั้งโครงการ[3] เพื่อเป็นเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ เรียกว่า “AIA Vitality Unit Linked” ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ได้ครบทุกมิติ และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยสนับสนุนให้คนไทยมีการวางแผนชีวิต การเงิน และสุขภาพ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตามพันธกิจของเอไอเอ”“AIA Vitality Unit Linked” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้ลูกค้ามีสุขภาพดี และมีเงินคืนค่าการประกันภัย สูงสุด 25%[3] โดยเลือกซื้อแบบประกันเพื่อรับความคุ้มครองดังนี้ • เอไอเอ อิสระ พลัส (ยูนิต ลิงค์) ซึ่งลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า มีโอกาสวางแผนการเงินและลงทุนในกองทุนรวมที่คัดสรรและบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ จาก บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) และพันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลก อีกทั้งยังได้รับบริการพิเศษ AIA InvestPro ที่จะช่วยดูแลปรับพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น • สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง ลูกค้าสามารถเลือกแนบสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง ได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ 1) AIA Health Cancer-UDR 2) AIA CI Plus-UDR 3) AIA CI Care-UDR 4) AIA Multi-Pay CI-UDR • สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ลูกค้าสามารถเลือกแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ 1) AIA H&S Extra (new standard)-UDR 2) AIA HB Extra-UDR 3) AIA Health Happy-UDR 4) AIA Health Saver-UDR • เอไอเอ ไวทัลลิตี้ โครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[1] เพื่อมุ่งสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมสะสมคะแนนเอไอเอ ไวทัลลิตี้ เพื่อปรับสถานะให้สูงขึ้น และยังได้รับสิทธิประโยชน์หลากหลายจากพันธมิตรชั้นนำ อีกทั้งมีสิทธิรับเงินคืนค่าการประกันภัยตามสถานะเอไอเอ ไวทัลลิตี้[3] ตลอดทั้งโครงการลูกค้าที่สนใจ “AIA Vitality Unit Linked” สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3oLih9aหรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AIA Call Center โทร. 1581 หรือ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ทั่วประเทศ หมายเหตุ: [1] ข้อมูลสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้ ณ วันที่ 21 เมษายน 2566 [2] สิทธิประโยชน์ของสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของเอไอเอ ซึ่งเอไอเอขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ โดยท่านสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน AIA+ หรือเว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/vitality/rewards [3] ตามเงื่อนไขการจ่ายเงินคืนค่าการประกันภัย ณ วันครบรอบปีกรมธรรม์ที่ระบุในสัญญา [4] เงินคืนค่าการประกันภัย ขึ้นอยู่กับสถานะเอไอเอ ไวทัลลิตี้ของลูกค้า เงื่อนไขเป็นไปตามที่เอไอเอกำหนด คำเตือน: • ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจในเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับเล่มกรมธรรม์แล้วโปรดศึกษารายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ • ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ • การทำประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ ไม่ใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยง ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงศึกษา อ่าน และทำความเข้าใจในเอกสารประกอบการเสนอขายและหนังสือชี้ชวนของกองทุน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยและลงทุน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คนไทย ‘วัยเกษียณ’ อยู่ในภาวะเปราะบาง พบผู้สูงอายุเงินออมต่ำกว่า 50,000 บาท พุ่งกว่า 41.4% หนี้เสียขยายตัว มูลค่าเกือบ 8 หมื่นบาทต่อบัญชี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผุดแคมเปญ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” เจาะคนวัยแรงงานใกล้เกษียณอายุ 45-65 ปี ช่วยบริหารเงินรับมือเกษียณ ตั้งเป้าปีนี้มีผู้เข้าเรียนอย่างน้อย 3 พันราย วันที่ 25 เมษายน 2566 สังคมผู้สูงอายุคืออะไร? มาลองทวนความจำกันหน่อย โดยปัจจุบันระดับประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ และระดับประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ ถือเป็นสังคมสูงอายุ (Aged Society) ขณะที่ระดับประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และระดับประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ ถือเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society) และหากระดับประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ และระดับประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ จะถือเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) (ที่มา: คำนิยามจากองค์การสหประชาชาติ) “เดี่ยวนี้ทาง UN หรือในยุโรปใช้เกณฑ์อายุ 65 ปี เป็นมาตรวัดใหม่แล้ว ซึ่งตอนนี้ทั้งในยุโรปและอเมริกาก็กำลังมีแนวคิดที่จะขยายอายุทำงานมากขึ้นอีกด้วย” คนทั้งโลกเกือบ 8 พันล้าน “ยังไม่แก่” โดยสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุทั้งโลก พบว่าในปี 2565 โลกของเรามีประชากร 7,942 ล้านคน และมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปแค่ 9.7% ของประชากรทั้งหมด ฉะนั้นถือว่าคนทั้งโลกโดยรวม “ยังไม่แก่” โดยคาดว่าในปี 2593 จะเพิ่มขึ้นเป็น 16.4% (ที่มา : World Population Prospects 2022) ซึ่งตามคำนิยาม UN ถือว่าเป็นการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society) ทั้งนี้พบว่าบางกลุ่มประเทศในปัจจุบันถือว่าเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society) และสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) แล้วด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดย 5 ประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป สูงสุดในโลกคือ 1.ญี่ปุ่น 29.8% 2.อิตาลี 23.7% 3.ฟินแลนด์ 22.9% 4.โปรตุเกส 22.6% และ 5.กรีซ 22.5% (ที่มา : ข้อมูลปี 2021, World Social Report 2023) เพราะฉะนั้นจะเห็นประเทศเหล่านี้ ภาพเศรษฐกิจโดยรวม คนมีอายุเยอะ คนทำงานน้อยลง ตัวเลข GDP ชะลอลง จากรายได้ภาษีคนทำงานที่น้อยลง แต่มีภาระด้านการคลังจากการดูแลผู้สูงอายุที่ทยอยขึ้น ไทย : คนสูงอายุเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน มาดูกันที่ประเทศไทย จากข้อมูลสิ้นปี 2565 พบว่าประชากรไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนแล้วกว่า 19.2% หรือจำนวน 12.69 ล้านคน แยกเป็นช่วงอายุ 60-69 ปี จำนวน 7.12 ล้านคน, ช่วงอายุ 70-79 ปี จำนวน 3.74 ล้านคน, ช่วงอายุ 80 ปีขึ้นไป จำนวน 1.83 ล้านคน โดยตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society) หรือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% ของประชากรทั้งหมดภายในปี 2566 และอีกไม่ถึง 20 ปีหรือในปี 2583 สังคมไทยจะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) มีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ มากกว่า 20.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.4% ของประชากรทั้งประเทศ (ที่มา : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ข้อมูลสิ้นปี 2565) “ความจริงที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรคือ จำนวนเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปีต่ำลง (คนมีลูกช้า, มีลูกน้อย หรือไม่มีลูกเลย) ขณะที่ประชากรวัยแรงงานลดลง แต่ประชากรสูงวัยมากขึ้น โดยอายุผู้ชายจะเฉลี่ย 77.5 ปี ผู้หญิงอายุเฉลี่ย 83 ปี” .คนไทยเป็นหนี้เร็ว-หนี้นาน-เป็นหนี้จนแก่ ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้การออมเพื่อวัยเกษียณ หรือการบริหารจัดการเงินหลังเกษียณไปแล้วจะมีความสำคัญอย่างมาก โดยปัจจุบันคนไทยถือว่าเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้นาน และเป็นหนี้จนแก่ โดยสัดส่วนประมาณ 60% ของคนอายุน้อยเป็นหนี้ และ 20% ของคนหลังเกษียณยังเป็นหนี้ มีหนี้สูงและหนี้นาน โดยมีค่ากลางของมูลหนี้ประมาณ 128,384 บาทต่อราย (ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย ก.ค. 2563) ที่สำคัญ 1 ใน 4 ของผู้กู้อายุน้อยมีหนี้เสีย ซึ่งน่าเป็นห่วงมากเพราะจะกระทบกับทั้งชีวิตและการทำงาน และกลุ่มลูกหนี้สูงอายุมีมูลค่าหนี้เสียขยายตัวค่อนข้างสูง และมีหนี้เสียสูงถึง 77,942 บาทต่อบัญชี (ที่มา : ภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2565, ข้อมูลเครดิตบูโรไตรมาส 3/2565) ผู้สูงอายุกว่า 41.4% มีเงินออมต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ขณะที่สถานะการออมเงินของผู้สูงอายุ พบว่ากว่า 54.3% มีเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณ แต่มูลค่าการออมของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ว่า 41.4% ต่ำกว่า 50,000 บาท เพราะฉะนั้นอาจมีเงินไม่พอดำรงชีพหลังเกษียณ ขณะที่มีเงิน 50,000-99,999 บาท มีสัดส่วน 21.7% มีเงิน 100,000-399,999 บาท มีสัดส่วน 25% และมีเงิน 400,000 บาท มีสัดส่วน 11.9% โดยปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังพึ่งพารายได้หลักจากการทำงาน สัดส่วน 32.4% และจากลูก 32.2% ส่วนจากเบี้ยยังชีพ 19.2% บำเหน็จ/บำนาญ 7.5% คู่สมรส 4.5% มีผู้สูงอายุเพียง 1.5% เท่านั้น ที่มีรายได้หลักมาจากเงินออม/ดอกเบี้ย (ที่มา : รายงานการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย 2564 สำนักงานสถิติแห่งชาติ) นอกจากนี้กลุ่มผู้สูงอายุมีระดับทักษะทางการเงินน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับคนวัยอื่น โดยวัยเกษียณกว่า 55.3% ยังอ่อนด้านความรู้ทางการเงินที่สุดผุดแคมเปญ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” ดร.ศรพลกล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโครงสร้างประชากรไทย และช่องว่างด้านทักษะและความรู้ทางการเงินที่ต้องส่งเสริมและปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างเร่งด่วน จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” เพื่อส่งเสริมให้คนไทยโดยเฉพาะวัยแรงงานที่ใกล้เกษียณ อายุ 45-65 ปี ให้มีความรู้พื้นฐานด้านการบริหารเงินสำหรับเกษียณ “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของประเทศอย่างมาก และตลาดหลักทรัพย์ฯบรรจุไว้ในแผนไว้แล้ว โดยจะมุ่งเน้นในการพัฒนาความรู้ให้กับกลุ่มวัยแรงงานที่ใกล้เกษียณให้สามารถเกษียณสุขได้” นางสาวพรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลท. กล่าวอีกว่า จริง ๆ มีกลยุทธ์บริหารเงินสำหรับวัยเกษียณเข้าใจง่ายผ่าน The 3 Buckets Strategy คือ 1.ถังเงินสำรอง (Cash Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตลาดเงินหรือเงินฝาก 2.ถังเติมเงิน (Conservative Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ เช่น หุ้นกู้, รีท หรือประกันบำนาญ 3.ถังรักษาคุณภาพชีวิต (Aggressive Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว เช่น หุ้น, กองทุนรวมหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะ 10 ปีขึ้นไป โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการพัฒนาเนื้อหาและเครื่องมือที่เน้นการจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายให้เหมาะสมและเพียงพอใช้สำหรับเลี้ยงดูตนเองไปตลอดชีวิต เพื่อนำไปสู่การมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข ดึงคนอายุ 45-65 ปี เข้ามาเรียนปีนี้ 3,000 ราย แคมเปญ “Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้” จะเผยแพร่ความรู้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกษียณ ประกอบด้วย SET e-Learning ใหม่ล่าสุด 2 หลักสูตร (รวม 2 ชั่วโมง) ได้แก่ หลักสูตร “วัย 50+ : เตรียมชีวิตมั่งคั่ง รับวันเกษียณ” และหลักสูตร “วัย 60+ : บริหารเงินหลังเกษียณสไตล์วัยเก๋า” พร้อมต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการฝึกวางแผนการเงินจริงผ่าน Workshop หลักสูตรบริหารเงินหลังเกษียณ (6 ชั่วโมง) และ Group Mentor แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนการเงิน โดยมุ่งหวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องการเตรียมความพร้อมด้านการเงินสำหรับอนาคต ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีความมั่นคงทางการเงิน และพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตวัยเกษียณในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาระบบ SET e-Learning มีคนเข้ามาเรียนแล้วกว่า 3 ล้านราย ก็คาดหวังว่าปีนี้น่าจะมีกลุ่มเป้าหมายคนอายุ 45-65 ปี เข้ามาเรียนอย่างน้อย 3,000 ราย จากปัจจุบันยังไม่ลอนช์แคมเปญแต่มีคนสนใจแล้วกว่า 400 ราย ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจวางแผนการเงินและผู้ใกล้เกษียณ สามารถเข้าเรียน SET e-Learning ฟรี มีวุฒิบัตร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/elearning และแอปพลิเคชั่น “SET App” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์http://https//www.prachachat.net/finance/news-1272590
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย "ธีรวัตร์ นรอิงคสิทธิ์" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” สัจธรรมข้อนี้ สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต รวมไปถึงในเรื่องของวัฏจักรของการลงทุน ซึ่งการเลือกประเภทการลงทุนให้เหมาะสมตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ก็จะทำให้นักลงทุนค้นพบช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท และสามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดในการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้ ทฤษฎีที่จะกล่าวถึงนี้เรียกว่า The Six Stages of Business Cycle ของคุณ Martin J. Pring ซึ่งทฤษฎีนี้ได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาสู่การเป็นตัวชี้วัดทางการเงินและเศรษฐกิจ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาเลือกสินทรัพย์ในการลงทุน โดยแบ่งสินทรัพย์เพื่อการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพันธบัตร กลุ่มหลักทรัพย์ และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ตาม 6 วัฎจักรเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรื่อง และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งภาพรวมของแต่ละลักษณะเศรษฐกิจในแต่ละช่วง และแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาจะถูกอธิบายในลำดับถัดไป ระยะที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยสูง ควรลงทุนตราสารหนี้ ในสภาวะนี้ เศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ลดลง การค้าเริ่มซบเซา ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มลดกำลังในการผลิต และลดต้นทุนต่าง ๆ การว่างงานสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อลดลง เป็นช่วงเวลาที่ควรลงทุนในพันธบัตร เพราะมูลค่าตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย โดยที่เมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น ราคาพันธบัตรจะลดลง ประกอบกับการที่มีรัฐบาลค้ำประกัน จึงมีความปลอดภัยมาก เหมาะกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอย แต่หากนักลงทุนต้องการจะลงทุนในหลักทรัพย์ก็ควรลงทุนในกลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ระยะที่ 2 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด จังหวะลงทุนหุ้น สภาวะนี้เปรียบเสมือนมีเมฆดำปกคลุม มองไปทางไหนก็ไม่เห็นโอกาส ไม่มีสภาพคล่องในการค้าขาย และบางธุรกิจอาจเกิดปัญหาสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก การว่างงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และประชาชนไม่มีกำลังซื้อเพราะรายได้ลดลง ซึ่งในช่วงเวลานี้ควรลงทุนในหุ้น เน้นลงทุนในกลุ่มชี้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หรือกลุ่มสินค้าบริโภค เพราะจะซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และสัญญาณที่จะทำให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะนี้ก็คือ อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องและราคาพันธบัตรยังคงสูงขึ้น ระยะที่ 3 ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ในสภาวะนี้เศรษฐกิจโดยทั่วไปเริ่มดีขึ้น ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น ธุรกิจเริ่มกลับมามีกำไร ธนาคารและสถาบันทางการเงินเริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อ เพื่อกระตุ้นการผลิตและการลงทุนของผู้ประกอบการ ในจังหวะนี้สามารถเริ่มเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ได้ เพราะสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยในการผลิต ดังนั้น หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความต้องการของสินค้ากลุ่มนี้จะมากขึ้น และราคาจะปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ และหากประสงค์จะลงทุนในหลักทรัพย์ ควรเลือกหุ้นที่มีฟื้นฐานดี หรือกลุ่มวัฏจักร ระยะที่ 4 ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว ขายพันธบัตร และลงทุนหุ้น บรรยากาศโดยรวมในสภาวะนี้ถือว่าดี ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมไปถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้การลงทุนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมาก ประชาชนมีสภาพคล่องในการซื้อสินค้าและบริการ ทำให้เศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตในอัตราสูง เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการขายพันธบัตร เพราะดอกเบี้ยจะเริ่มเป็นขาขึ้น เพื่อลดความร้อนแรงในระบบเศรษฐกิจลง ซึ่งจะทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง แต่ราคาหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถเลือกลงทุนได้ทุกกลุ่มหลักทรัพย์ ระยะที่ 5 ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรือง ทยอยขายหุ้น ในจุดที่ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อสูง และเป็นช่วงที่มีการจ้างงานอย่างเต็มที่ แรงงานก็สามารถที่จะเลือกงานและเรียกร้องค่าจ้างได้อย่างที่ต้องการ มีสภาพคล่องในการค้าขาย การจับจ่ายสินค้าบริโภค อุปโภค และการท่องเที่ยวสูงสุด ทำให้สินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจนอาจจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ประกอบกับผู้บริโภคไม่ได้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเท่าเดิม เนื่องจากเริ่มนำเงินไปออมมากขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทเริ่มลดลง ในช่วงนี้จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเมื่อพ้นตรงนี้ไปแล้วก็จะทำให้มีการปรับราคาลง ทำให้เป็นจังหวะที่ดีที่จะเริ่มทยอยขายหุ้นที่สะสมไว้ ระยะที่ 6 ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ถือเงินสด เป็นหลัก ในภาวะเศรษฐกิจนี้จะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง จากการลงทุนและการบริโภคเกินกำลังการผลิตของประเทศ อัตรา GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไม่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้นน้อยมาก ผู้ประกอบการลดความเชื่อมั่นใจการลงทุน ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้นจากการแข่งขันที่สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาอาจเกิดการลดกำลังการผลิตและอัตราจ้างงาน ก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว จะเห็นได้ว่าภาวะนี้จะตรงกันข้ามกับระยะที่ 3 ซึ่งจะส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธบัตร กลุ่มหุ้น และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาตกลงอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงเวลานี้จึงแนะนำให้ถือเงินสดเป็นหลัก หลังจากจบระยะที่ 6 แล้วก็จะเข้าสู่สภาวะวิกฤต หลังจากนั้นก็จะเป็นการกลับไปเริ่มต้นที่ระยะที่ 1 ใหม่ วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป ซึ่งหากนักลงทุนเข้าใจว่าในหนึ่งรอบวัฏจักรจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง อะไรเป็นจุดที่จะบ่งบอกว่าตอนนี้ประเทศอยู่ในสภาวะใด ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้น เช่น ถ้าตอนนี้นักลงทุนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ไปว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ก็จะเริ่มย้ายสินทรัพย์จากสินทรัพย์เสี่ยงไปถือเงินสด หรือถ้าเป็นการลงทุนในกองทุนรวมก็สามารถที่จะสับไปยังกองทุนตลาดเงินที่ลงทุนในเงินสดได้นั่นเอง นอกจากการจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจแล้ว นักลงทุนก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการมีเงินสำรองฉุกเฉินไม่น้อยกว่า 12 เดือน การมีรายได้หลายช่องทางและสม่ำเสมอ การให้ความสำคัญกับการออมเงิน การมีประกันสุขภาพ ซึ่งหากจัดการวางแผนการเงินได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในสภาวะใด นักลงทุนก็สามารถลงทุนได้อย่างมีความสุข แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1269400
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
29/04/2024
21/10/2024
21/08/2024
30/04/2024