คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

6 กลยุทธ์ทำอย่างไรเมื่ออยู่กับงานที่ไม่ชอบ

30/04/2024

กลยุทธ์ที่เรากำลังจะแนะนำกันต่อจากนี้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ชอบในงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แทนที่คุณจะมานั่งใจลอยไปวันๆ ลองปรับชีวิตของคุณให้เข้ากับที่ทำงานดู แล้วคุณจะรู้ว่าเราสามารถมีชีวิตที่ดีในงานที่น่าเบื่อได้ 1. เริ่มจากทำความรู้จักกับเพื่อนรอบๆ ตัว หากงานมันน่าเบื่อ ลองค้นหาผู้คนในที่ทำงานที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้น เพราะหลายครั้งคนเลือกที่จะอยู่กับงานที่น่าเบื่อ ด้วยการแลกเอากับการที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดีแทน ลองเปิดใจแล้วทำความรู้จักกับคนรอบๆ ตัวดู ไม่แน่คุณอาจจะพบว่างานที่น่าเบื่อกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อร่วมงานที่ดีก็เป็นได้ 2. หัดเป็นคนคิดบวก หากงานที่คุณกำลังทำมันน่าเบื่อมาก ให้คุณลองหันไปใส่ใจในองค์ประกอบเล็กๆ แทน ให้มองหาข้อดีของงานที่กำลังทำอยู่นี้ มองหามุมมองด้านบวกให้กับทุกอย่างที่คุณกำลังทำ หากงานไม่ดีแต่บริษัทไม่ได้แย่ไปหมดซะทุกอย่าง หาด้านบวกที่อยู่ในบริษัทให้เจอ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น 3. มองไปที่สิ่งที่คุณจะไปต่อ แม้ว่างานที่ทำอยู่วันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดหวัง แต่คุณต้องมองให้ออกว่าเส้นทางต่อไปของคุณคืออะไร หากคุณกำหนดบทบาทที่คุณจะไปต่อเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วละก็ คุณก็จะมีวิธีจัดการกับงานน่าเบื่อที่ต้องทำอยู่ตอนนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะคุณรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทำไปเพื่อคุณจะได้ไปต่อ 4. กดปุ่มความอดทนของคุณ ไม่มีใครได้อะไรอย่างที่ใจต้องการตลอดเวลา หากคุณกำลังเบื่อถึงขีดสุด ก็ได้เวลาที่คุณจะต้องทำการกดปุ่มความอดทนของคุณกันแล้ว ทุกอาชีพจะมีช่วงเวลาในการเติบโตแตกต่างกันไป ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของคุณ อดทนเอาไว้แล้วเมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะดีเอง 5. เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรทำ หลักจากที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรคือประสบการณ์เชิงบวกที่เราต้องทำ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะทำการเรียนรู้ประสบการณ์เชิงลบกันบ้าง เพราะหลักจากที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวเชิงลบแล้ว มันจะทำให้เราสามารถเลือกได้อย่างถูกต้องได้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ 6. มองหาสิ่งที่คุณควรจะได้จากบริษัท บางทีคุณอาจไม่รักงานของคุณที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่กลับพบว่าสิ่งที่บริษัทมอบให้นั้นกลับเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก คุณอาจจะใช้สิ่งดีๆ ที่บริษัทพร้อมจะมอบให้ อย่างโปรแกรมสนับสนุนด้านการศีกษา หรือโปรแกรมสนับสนุนการรักษาพยาบาล และด้านอื่นๆ ที่จะเติมเต็มความต้องการของคุณได้ หาให้เจอแล้วความน่าเบื่อของงานจะลดลง ดังนั้นแทนที่จะมานั่งซึมเศร้ากับความน่าเบื่อของงาน ลองเปิดใจด้านบวกแล้วมองหาเรื่องราวดีๆ คบหากับคนดีๆ ที่อยู่ในบริษัทดู แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเวลามันช่วยเราได้จริงๆ ที่มา: forbes แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsmehttps://www.smartsme.co.th/content/250122

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สรุปประเด็นไฮไลต์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดกับผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway

30/04/2024

สรุปประเด็นไฮไลต์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตอบคำถามผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway – ความทรงอิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐ, ความพิเศษของ Apple, โอกาสลงทุน VI, วิฤตธนาคาร, การกระจายความเสี่ยงดีจริงหรือ ? ปัญญาประดิษฐ์ไม่สู้ปัญญามนุษย์ และอื่น ๆ Berkshire Hathaway (เบิร์กเชียร์ แฮทะเวย์) บริษัทโฮลดิงระดับโลกที่มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนระดับตำนานของโลกเป็นประธานและซีอีโอ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2023 และประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2023 เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไตรมาสแรกของปี 2023 Berkshire Hathaway มีผลประกอบการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีรายได้รวมในไตรมาสแรก 35,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท) หักต้นทุนการดำเนินงานแล้วมีรายได้จากการดำเนินงาน 8,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 273,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY)วอร์เรน บัฟเฟตต์ และชาร์ลี มังเกอร์/ ภาพจากวิดีโอของ CNBCหลังเปิดเผยรายงานผลประกอบการ วอร์เรน บัฟเฟตต์ วัย 92 ปี พร้อมด้วยมือขวา ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) รองประธาน Berkshire Hathaway วัย 99 ปี ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงในการตอบคำถามนักลงทุน ซึ่งนับว่าน่าทึ่งสำหรับคนวัยนี้ แถมคุณปู่บัฟเฟตต์ยังเริ่มต้นการพูดคุยกับนักลงทุนอย่างอารมณ์ดีโดยพูดล้อเล่นไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษด้วยว่า Berkshire Hathaway ก็มี “คิงชาร์ลส์” เป็นของตัวเอง ซึ่งหมายถึงคู่หู ชาร์ลี มังเกอร์ ของเขานั่นเอง  ตามการรายงานของ CNBC บอกว่า แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้จะมีความผันผวนเกิดขึ้นในตลาดและมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของ Berkshire Hathaway ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนโดยการตอบคำถามน้ำเสียงที่สงบและนิ่ง  แต่การที่บัฟเฟตต์นิ่งไม่มีอาการกังวล ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เห็นความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึง เขากล่าวถึงสภาวะปัจจุบันและแนวโน้มในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อาจต้องต่อสู้กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ธนาคารอาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจภาพใหญ่นั้น บัฟเฟตต์ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจชะลอตัวลง และ Berkshire Hathaway อาจจะมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระดับตำนานเจ้าของฉายา “นักพยากรณ์แห่งโอมาฮา” (The Oracle of Omaha) คนนี้ยังมองโอกาสของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (value investing) ในแง่ดีมากขึ้น  นี่คือสรุปไฮไลต์บางส่วนจากสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับชาร์ลี มังเกอร์ กล่าวกับนักลงทุนในวันนั้น “เงินสดไม่ใช่ขยะ” อย่างที่หลายคนคิด บัฟเฟตต์เฝ้าดูการหมุนเวียนของสกุลเงิน ซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็น “หนึ่งในตัวเลขที่น่าสนใจที่สุด” และเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า “เงินสดเป็นขยะ” บัฟเฟตต์ชี้ให้มองว่า งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 800,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ และส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบธนบัตร 100 ดอลลาร์ ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในระบบเศรษฐกิจ นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าเงินสดไม่ใช่ขยะ  “ใครก็ตามที่คิดว่าเงินสดเป็นขยะ ควรดูงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ”  “มันเป็นเรื่องน่าตะลึงที่ธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์แพร่กระจายออกไป … เชื่อผมเถอะว่าเงินสดไม่ใช่ขยะ”REUTERS/ Rachel Mummeyไม่มีสกุลเงินไหนจะโค่น “ดอลลาร์สหรัฐ” ลงจากการเป็นเป็นสกุลเงินสำรองของโลก บัฟเฟตต์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะถูกปลดลงจากบัลลังก์การเป็นสกุลเงินสำรองของโลกในเวลาอันใกล้นี้ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับ “เพดานหนี้สาธารณะ” ที่อาจส่งผลต่อสถานะนี้ก็ตาม  “เราเป็นสกุลเงินสำรอง (ของโลก) ผมไม่เห็นตัวเลือกอื่นว่าจะมีสกุลเงินอื่นใดมาเป็นสกุลเงินสำรองแทนที่ได้” บัฟเฟตต์กล่าวว่า ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์หนี้สาธารณะดีเหมือนเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) แต่เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่รับผิดชอบนโยบายการคลัง  บัฟเฟตต์กล่าวอีกว่า เป็นการยากที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการขยายเพดานหนี้และผลกระทบที่จะเกิดต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรฐ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจทางการเมือง  ด้านคุณปู่ชาลี มังเกอร์ เปรียบเทียบการจัดการหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นว่าญี่ปุ่นจัดการหนี้สาธารณะได้ดี อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสหรัฐ และสกุลเงินของญี่ปุ่นก็ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้เป็นเงินสำรองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก “ผมชื่นชมญี่ปุ่นมาก … แต่ผมไม่คิดว่าเราควรพยายามเลียนแบบ” มังเกอร์ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ภายในประเทศส่วนใหญ่ของญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นถึงภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจ “ในญี่ปุ่น ทุกคนต้องอดทนและรับมือให้ได้ แต่ในอเมริกา พวกเราพร่ำบ่น [รัฐบาล]” มังเกอร์กล่าวเสริมวอร์เรน บัฟเฟตต์ และชาร์ลี มังเกอร์/ ภาพจากวิดีโอ CNBC Apple เป็นธุรกิจที่ดีที่สุดที่ Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่ บัฟเฟตต์พูดถึง Apple ซึ่ง Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่เกือบ ๆ 6% ว่า Apple เป็นธุรกิจที่แตกต่าง และเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในบรรดาธุรกิจที่ Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่  “หลักเกณฑ์ของเราสำหรับ Apple นั้นแตกต่างจากธุรกิจอื่นที่เราเป็นเจ้าของ – บังเอิญว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีกว่าทุกธุรกิจอื่น ๆ ที่เราเป็นเจ้าของ” บัฟเฟตต์กล่าว  บัฟเฟตต์กล่าวว่า Apple อยู่ในโพสิชั่นที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือ iPhone และคนกลุ่มเดียวกันนี้ยอมจ่ายเงิน 35,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการซื้อรถคันที่สอง และถ้าพวกเขาต้องเลือกระหว่างเลิกใช้รถคันที่สองหรือเลิกใช้ iPhone พวกเขาก็จะทิ้งรถคันที่สอง ซึ่ง Berkshire Hathaway ไม่มีโปรดักต์อื่นที่มีคุณสมบัติแบบนี้  และเขากล่าวเพิ่มเติมว่า รู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาดขายหุ้น Apple ออกไปบางส่วนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารอาจจะยังมีปัญหาต่อไป แต่ผู้ฝากเงินไม่ต้องกังวล บัฟเฟตต์คาดว่าปัญหาในภาคการธนาคารจะยังดำเนินต่อไป แต่เขากล่าวว่าผู้ฝากเงินไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเงินฝากในธนาคาร  บัฟเฟตต์ฟาดแรงต่อกรณี First Republic Bank ซึ่งถูกซื้อกิจการโดย First Republic Bank เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ถูกหน่วยงานกำกับดูแลเข้าพิทักษ์ทรัพย์ นับเป็นการล้มของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ปี 2008 และเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank และ Signature BankREUTERS/ Rachel Mummeyเขากล่าวว่า ควรมีการลงโทษกรรมการและผู้บริหารธนาคารที่ต้องรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการที่ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ฝากเงินสามารถมั่นใจได้ว่าเงินฝากในธนาคารนั้นปลอดภัยเพราะมีการรับประกันจากรัฐ  และบัฟเฟตต์ยังกล่าวตำหนิหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐว่า การชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนในเรื่องนี้ “แย่มาก” เขาบอกว่าไม่ควรมีคนจำนวนมากมายขนาดนี้ที่เข้าใจผิดว่า บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) และรัฐบาลสหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ธนาคารล้ม และการแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงิน บางทีการกระจายความเสี่ยงก็นำมาซึ่งความเสี่ยงเสียเอง ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) กล่าวว่า การกระจายการลงทุนกลายเป็นกฎมาตรฐานในการลงทุนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็มีบางอย่างที่ผู้ศึกษาด้านการลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจมากพอ  เขาบอกว่า บางทีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนก็เป็น “deworsification” คือ เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ไม่ดีแล้วนำมาซึ่งความเสี่ยงเสียเอง “สิ่งไร้สาระอย่างหนึ่งที่สอนกันในการศึกษาในมหาวิทยาลัยสมัยใหม่คือการลงทุนในหุ้นสามัญนั้นจำเป็นต้องมีการกระจายความเสี่ยงให้มากเข้าไว้”   “นั่นเป็นความคิดที่บ้า” มังเกอร์บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีโอกาสที่ดีมากมายที่สามารถระบุเจาะจงได้ง่าย ๆREUTERS/ Rachel Mummeyโอกาสในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) มาจากการที่คนอื่นทำเรื่องโง่ ๆ บัฟเฟตต์กล่าวว่า นักลงทุนเน้นโดยนักลงทุนเน้นคุณค่า จะมีโอกาสทำเงินเมื่อคนอื่นตัดสินใจผิดพลาด  “สิ่งที่เปิดโอกาสให้คุณคือการที่คนอื่นทำเรื่องโง่ ๆ” เขากล่าว “ใน 58 ปีที่เราบริหาร Berkshire มา ผมบอกได้เลยว่า มีคนที่ทำเรื่องโง่ ๆ เพิ่มขึ้นมาก และพวกเขาก็ทำเรื่องโง่ ๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ด้วย” บัฟเฟตต์กล่าว  ถึงอย่างนั้น มังเกอร์กล่าวว่า นักลงทุนเน้นคุณค่าควรสบายใจที่จะทำกำไรได้น้อยลง เพราะในยุคนี้มีการแข่งขันมากขึ้น แต่เขาก็กล่าวว่ายังมีโอกาสอีกมากอยู่ในมือของคนฉลาดที่พยายามชิงไหวชิงพริบกัน  แต่บัฟเฟตต์เสริมว่า คนพวกนั้นพยายามชิงไหวชิงพริบกันในเวทีที่นักลงทุนไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าไป เขากล่าวอีกว่า โลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่องระยะสั้นมากเกินไป “ผมอยากเกิดในยุคนี้ และออกไปลงทุนด้วยเงินที่ไม่มากเกินไป และหวังว่าจะเปลี่ยนมันเป็นเงินจำนวนมากได้ และชาร์ลีก็เช่นกัน” บัฟเฟฟต์กล่าว ซึ่งตีความได้ว่าเขาอยากเริ่มลงทุนในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงกว่าในยุคที่เขาเริ่มต้น  แต่มังเกอร์บอกว่า ไม่ชอบ “ความเป็นไปได้” ที่ความมั่งคั่งของตัวเองจะหดเล็กล การลงทุนในญี่ปุ่นยังไม่สิ้นสุด บัฟเฟตต์ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ในช่วงครบรอบวันเกิดอายุ 90 ปีของเขา ซึ่งทั้ง 5 บริษัทเป็นบริษัทเทรดดิ้ง (ธุรกิจซื้อมาขายไป) ชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ Mitsubishi Corp. (มิตซูบิชิ), Mitsui (มิตซุย), Itochu Corp. (อิโตชู), Marubeni (เมรุเบนิ) และ Sumitomo (ซูมิโตโม)  เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเพิ่มการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นแต่ละบริษัท 7.4% และเขาได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อแสดงการสนับสนุนธุรกิจที่เขาถือหุ้นอยู่ด้วย  “เราจะมองหาโอกาสต่อไป” บัฟเฟตต์กล่าวกับผู้ถือหุ้นในบริษัทของเขา  นอกจากนั้น Berkshire Hathaway ยังมีการออกตราสารหนี้เสนอขายในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งตอนนี้ Berkshire Hathaway เป็นผู้กู้จากต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นREUTERS/ Rachel Mummey“ปัญญาประดิษฐ์” ไม่สู้ “ปัญญามนุษย์” ชาร์ลี มังเกอร์ แสดงความกังขาเกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ แม้ขาจะยอมรับว่ามันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของหลาย ๆ อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว “เราจะได้เห็นโลกนี้มีหุ่นยนต์มากขึ้น” มังเกอร์กล่าว “โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเชื่อในโฆษณาที่เกินจริงบางอย่างในศักยภาพของ AI ผมคิดว่าปัญญาแบบเดิม ๆ ก็ทำงานได้ดีทีเดียว”  ด้านวอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์มุมมองว่า แม้ว่าตัวเขาเองคาดหวังว่า AI จะ “เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลก” แต่เขาไม่คิดว่ามันจะดีกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องรู้เทคนิคของธุรกิจที่ลงทุน หากเข้าใจปัจจัยแวดล้อม และไม่หยุดเรียนรู้ บัฟเฟตต์กล่าววว่า ตัวเขาเองอาจจะไม่สามารถเรียนรู้เรื่องทางเทคนิคของธุรกิจได้ แต่มันก็ไม่จำเป็น ขอเพียงเข้าจัยปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเรียนรู้ต่อไป  เขาตัวอย่างการลงทุนใน Apple ว่า “ผมไม่เข้าใจโทรศัพท์เลย แต่ผมเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค”  บัฟเฟตต์กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าธุรกิจที่ดีสามารถกลายเป็นธุรกิจที่ไม่ดีได้อย่างไร หรือมีอะไรที่ดึงดูดความสนใจได้หรือไม่  เขากล่าวว่าทีมของเขาไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ แต่สามารถกำหนดและตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น ราคาควรเป็นอย่างไร และอะไรเป็นภัยคุกคามต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ  “เราไม่ได้ฉลาดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เรา … ค่อย ๆ ฉลาดขึ้นทีละนิด ตามวันเวลาที่ล่วงเลยไป” บัฟเฟตต์กล่าว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net /world-news/news-1285516

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดรายชื่อ 20 ประเทศ เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดในโลก ปี 2023

30/04/2024

CareerAddict หนึ่งในแหล่งข้อมูลด้านอาชีพออนไลน์ชั้นนำของโลกในปัจจุบัน โดยให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแก่ผู้อ่าน 14 ล้านคนต่อปี ได้เผยแพร่ข้อมูล 20 ประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด ปี 2023 ตามข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยธนาคารโลก (World Bank) ดังนี้ (อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้คำนวณในบทความนี้ คือ 33.74 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) อันดับ 1 ลักเซมเบิร์ก เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 191,101 บาท ลักเซมเบิร์ก ประเทศเล็ก ๆ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุด โดยมีแพทย์ ทันตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้บริหารระดับ C ที่ล้วนมีเงินเดือนหกหลัก โดยเฉลี่ยแล้วคนที่ทำงานในลักเซมเบิร์กมีรายได้ระหว่าง 94,371-297,856 ต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ลักเซมเบิร์กยังเป็นประเทศที่ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีมาตรฐานการครองชีพที่สูง อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 179,334 บาท สวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ เทือกเขาแอลป์ที่งดงาม ช็อกโกแลต ชีสแสนอร่อย และนาฬิกาหรู สวิตเซอร์แลนด์ยังมีชื่อเสียงในด้านเงินเดือนที่สูงอีกด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีชื่อเสียงในด้านค่าครองชีพที่สูงเช่นกัน แท้จริงแล้วค่าใช้จ่ายรายเดือนของคนโสดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,451.90 ฟรังก์สวิส (52,617 บาท) ในขณะที่อพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนนอกใจกลางเมืองจะมีค่าเช่าประมาณ 1,257.71 ฟรังก์สวิส (45,561 บาท) ต่อเดือน อันดับ 3 นอร์เวย์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 150,646 บาท นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย และมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก (จากข้อมูลของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัย ตามรายงานการพัฒนามนุษย์ขององค์การสหประชาชาติ ในขณะเดียวกัน พนักงานที่ทำงานทางไกลควรพิจารณาที่จะย้ายมาทำงานที่นี่ เนื่องจากประเทศนี้มีโครงการวีซ่าทำงานทางไกลที่ดี อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 149,943 บาท ผู้คนจากทั่วโลกยังคงย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาด้วยความหวังว่าจะก้าวหน้าในอาชีพการงาน ด้วยบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่งที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ รวมถึง Google และ Amazon จึงมีความต้องการผู้หางานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และการเงิน สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเพิ่มงาน 8.3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2574 อันดับ 5 เดนมาร์ก เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 148,079 บาท ในฐานะบ้านเกิดของเลโก้ ลิตเติล เมอร์เมด และฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ็น เดนมาร์กมีหลายสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเดนมาร์กเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมีตลาดงานที่แข็งแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีความต้องการแรงงานในภาคธุรกิจ วิทยาศาสตร์ อาหารและเครื่องดื่ม กฎหมาย และการก่อสร้างสูง อันดับ 6 ไอซ์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 124,701 บาท ไอซ์แลนด์เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่ในแง่ของเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำอีกด้วย ดัชนีสันติภาพสากลโลก (PDF) ปี 2565 จัดอันดับให้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ค่าจ้างในไอซ์แลนด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยสถิติของไอซ์แลนด์รายงานว่าเพิ่มขึ้น 5.2% ระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2565 อันดับ 7 สวีเดน เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 125,265 บาท ไม่ใช่เพียงเงินเดือนสูง แต่สวีเดนมีหน่วยงานภาครัฐขนาดใหญ่ โดยทั่วไปงานภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนมากกว่าภาครัฐ แต่ที่สวีเดนเงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนในภาคเอกชนคือ SEK 36,000 (125,479 บาท) และภาครัฐ SEK 36,000 (118,866 บาท) งานที่ได้ค่าตอบแทนดีที่สุดบางงานในสวีเดน ได้แก่ ทนายความ นักบิน และศัลยแพทย์ อันดับ 8 เนเธอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 118,922 บาท นอกจากกังหันลมและทุ่งดอกทิวลิปแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่น่าทำงานที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีตลาดงานที่ดีและอัตราการว่างงานต่ำ ในความเป็นจริง มีตำแหน่งงานว่างมากกว่าผู้หางานที่สามารถจ้างงานได้ทันที ณ สิ้นปี 2564 ตามข้อมูลของ EURES ระบุว่า เนเธอร์แลนด์มีความต้องการอย่างมากในด้านการศึกษา อีคอมเมิร์ซ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ อันดับ 9 สิงคโปร์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 118,228 บาท ในฐานะประเทศในเอเชียเพียงประเทศเดียวที่ติด 10 อันดับแรก ค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยของสิงคโปร์ต่อพนักงานประจำอยู่ที่ 5,847 ดอลลาร์สิงคโปร์ (149,974 บาท) แม้ว่าประเทศนี้จะมีอัตราค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่ก็มีอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก (2.1%) และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การเงิน วิศวกรรม และการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัลยแพทย์ได้รับเงินเดือนสูงสุดในสิงคโปร์ เฉลี่ย 12,339 ดอลลาร์สิงคโปร์ (316,327 บาท) ต่อเดือน อันดับ 10 ไอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 116,591 บาท แม้ว่าไอร์แลนด์จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์น้อยที่สุด แต่พนักงานจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งการลาหยุดตามกฎหมายโดยได้รับค่าจ้าง 4 สัปดาห์ การลาเพื่อผู้ดูแล 104 สัปดาห์ และลาคลอดบุตรสูงสุด 26 สัปดาห์ งานที่มีรายได้สูงในไอร์แลนด์ ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ อันดับ 11 ออสเตรเลีย เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 113,032 บาท ออสเตรเลียมีชื่อเสียงในด้านธรรมชาติ ชายหาดที่สวยงาม และการส่งออกดนตรี เช่น Kylie Minogue และ Sia ออสเตรเลียมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสในการทำงานมากมายในออสเตรเลีย ด้วยเงินเดือนเฉลี่ย 35.04 เหรียญออสเตรเลีย (841 บาท) ต่อชั่วโมง อันดับ 12 ฟินแลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 112,371 บาท ฟินแลนด์ยังเป็นที่รู้จักกันในนามประเทศที่มีทะเลสาบนับพัน ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในตลาดงานที่แข็งแรงที่สุดในโลก และมีภาคบริการที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ งานในโรงแรมและการจัดเลี้ยง การพาณิชย์ การขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการดูแลสุขภาพเป็นที่ต้องการสูงเป็นพิเศษ โดยมีเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 43,761 ถึง 768,394 บาทต่อเดือน อันดับ 13 กาตาร์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 111,013 บาท ด้วยอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก (0.3%) ตามข้อมูลของ World Bank กาตาร์มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการแรงงานสูงในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรพิจารณาย้ายไปกาตาร์หากคุณทำงานในภาคการดูแลสุขภาพ การก่อสร้าง หรือน้ำมันและก๊าซ อันดับ 14 ออสเตรีย เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 109,219 บาท พระราชวังที่หรูหราในออสเตรียเป็นที่รู้จักดีจากคนทั่วโลก และเป็นประเทศผู้ผลิตคีตกวีเพลงคลาสสิกที่โด่งดังที่สุดในโลก เช่น Mozart และ Haydn ออสเตรียเป็นประเทศที่ต้องการคนทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจ การเงิน การดูแลสุขภาพ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉลี่ยแล้วเงินเดือนอยู่ที่ 2,000 ยูโร ถึง 6,500 ยูโรขึ้นไป (73,351 ถึง 238,406 บาทขึ้นไป) ต่อเดือน อันดับ 15 เยอรมนี เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 108,041 บาท ด้วยเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เงินเดือนสุทธิรายเดือนเฉลี่ยของประเทศที่ €2,636 (96,453 บาท) การทำงานในเยอรมนีสร้างรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป ในขณะเดียวกัน เงินเดือนสูงสุดในประเทศมักจะจ่ายให้กับแพทย์ ทนายความ ผู้บริหารธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อันดับ 16 อิสราเอล เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 105,564 บาท หลังจากอัตราค่าจ้างตกต่ำในช่วงกลางปี 2565 ในปี 2566 เงินเดือนก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอิสราเอล โดยเพิ่มขึ้น 4.7% ระหว่างเดือนกันยายน 2564 ถึงกันยายน 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้ค่าจ้างที่มากขึ้น (9.9%) ในขณะที่มีงานเพิ่มขึ้น 10% ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทำให้อิสราเอลเป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักพัฒนา นักวิเคราะห์คอมพิวเตอร์ และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล อันดับ 17 เบลเยียม เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 102,651 บาท เบลเยียมมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการผลิตเบียร์ ช็อกโกแลต วิศวกรรม เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สิ่งทอ และยานยนต์ เบลเยียมมีมาตรฐานการครองชีพและการศึกษาสูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากทำงานต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน เงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนมักจะสูงที่สุดในเมืองหลวงของประเทศอย่างบรัสเซลส์ ที่ 4,381 ยูโร (160,703 บาท) อันดับ 18 สหราชอาณาจักร เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 101,917 บาท แม้ว่าการออกจาก EU ของสหราชอาณาจักรในปี 2563 ทำให้อัตราการเติบโตของอัตราค่าจ้างลดลงทั่วประเทศ แต่อัตราค่าจ้างก็ได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 11% สำหรับตำแหน่งงานว่างที่ในภาคส่วนที่มีอัตราเงินเดือนต่ำ เช่น การก่อสร้าง การต้อนรับ และการทำความสะอาดระหว่างปี 2562 ถึง 2564 และแม้จะมีค่าครองชีพที่เหมาะสม แต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของสหราชอาณาจักรทำให้การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งงานนั้นรุนแรงกว่าปกติมาก อันดับ 19 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 99,932 บาท ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจของตะวันออกกลาง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับมืออาชีพในอุตสาหกรรมการให้คำปรึกษา บริการทางการเงิน การก่อสร้างและวิศวกรรม ในขณะเดียวกัน พนักงานประจำที่ทำงานครบ 1 ปี ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี 30 วันโดยได้รับค่าจ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการทำงานในยูเออีคือ ไม่เสียภาษีเงินได้ อันดับ 20 แคนาดา เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 98,479 บาท ในฐานะแหล่งกำเนิดของน้ำเชื่อมเมเปิล ฮอกกี้น้ำแข็งร่วมสมัย และผู้ชนะรางวัลแกรมมี่ 5 สมัย คือ เซลีน ดิออน แคนาดามีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดที่อันดับ 20 การทำงานในแคนาดาให้มากกว่ารายได้ที่สบาย แม้ว่ารวมถึงระบบการรักษาพยาบาลชั้นนำ การลาที่ได้รับค่าจ้าง และวันหยุดที่รวมถึงการลาเพื่อพ่อแม่และมารดา แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.n et/csr-hr/news-1282488

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

กองทุนประกันฯ ชงแผนล้างหนี้ธุรกิจเจ๊งเคลมโควิด

30/04/2024

กองทุนประกันวินาศภัย ชงแผนล้างหนี้บริษัทประกันเจ๊งโควิดถูกเพิกถอนใบอนุญาต เดินหน้าเสนอคลังกู้เงิน 20,000 ล้านบาท พร้อมออกบอนด์ขายบริษัทประกันอีก 30,000 ล้าน จับตาแผนฟื้นฟู “สินมั่นคงฯ” หวั่นกองทุนแบกภาระเพิ่มนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความคืบหน้าการจัดหาเงินกู้ของกองทุนประกันวินาศภัย เพื่อนำเงินมาชำระให้แก่เจ้าหนี้บริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตจากผลกระทบเคลมประกันภัยโควิด-19ซึ่งปัจจุบันมีมูลหนี้อยู่กว่า 50,000 ล้านบาทนั้น ภายในเดือน พ.ค. 2566 นี้ คณะทำงานของกองทุนจะมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องแผนจัดหาเงินกู้ จากนั้นในเดือน มิ.ย. คณะทำงานจะยกทีมนำแผนจัดหาเงินกู้ไปประชุมร่วมกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)และในเดือน ก.ค. จะมีการประชุมอนุกรรมการจัดหาเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน จากนั้นในเดือน ส.ค. กองทุนจะเสนอแผนจัดหาเงินกู้ต่อ สบน. เพื่อให้ สบน.ทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตั้งกรอบวงเงินการกู้ไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชำระหนี้ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปส่วนมูลหนี้ที่เหลืออีก 20,000-30,000 ล้านบาท กองทุนมีแนวคิดจะออกตราสารหนี้ (บอนด์) เพื่อให้บริษัทประกันภัยมาช่วยซื้อ โดยสามารถนำเอาตราสารหนี้ไปดำรงเป็นเงินกองทุนของบริษัทได้ ซึ่งตามกฎระเบียบเปิดช่องให้กองทุน สามารถดำเนินการได้ แต่กระบวนการอาจไม่ง่าย เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีเวลา 2-3 ปีหลังกู้เงินแล้ว จะดำเนินการตรงส่วนนี้ต่อเนื่องได้ทั้งนี้ มีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความผันแปร คือ ความไม่แน่ใจว่าหลังการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลจะเห็นความสำคัญและเข้ามาแทรกแซงแค่ไหน และกรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัย ที่มีโอกาสจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไรก็ดี หากเกิดขึ้น จะทำให้มูลหนี้ของกองทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 40,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว มีเจ้าหนี้เพิ่มอีก 4-5 แสนราย“ตอนนี้รัฐบาลไม่มีงบฯมาสนับสนุน ดังนั้นการช่วยเหลือตัวเองของกองทุน คือ มีเงินสมทบเข้ากองทุนปีละ 600-700 ล้านบาท ทำให้การกู้เงินคงทำไม่ได้มาก ตามความสามารถในการชำระ ดังนั้นจะมีการกู้เงินบางส่วน และออกตราสารหนี้บางส่วน แต่ถ้าบริษัทสินมั่นคงประกันภัยล้มอีก ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเอายังไง อย่างไรก็ดี กองทุนเองก็พยายามจะให้มีเม็ดเงินมาชำระหนี้ในปีต่อๆ ไป”ชนะพล มหาวงษ์ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัยกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 กองทุนได้อนุมัติจ่ายหนี้ไปแล้ว 2,000 ล้านบาท เหลือเงินสภาพคล่องอยู่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท พยายามพยุงให้ถึงสิ้นปีนี้ โดยขณะนี้กองทุนมีศักยภาพทยอยจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อเดือน หรือจำนวนเจ้าหนี้ราว 6,000-7,000 รายต่อเดือน ซึ่งจะใช้เงินอยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี จึงอาจทยอยกู้ปีละ 5,000 ล้านบาท เพราะอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เนื่องจากรัฐบาลไม่ค้ำประกันนอกจากนี้ ต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการ คปภ. ในการอนุมัติเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนเต็มเพดานที่ 0.5% จากเดิม 0.25% จากเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ได้เสนอไปตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการอนุมัติ ซึ่งหากอนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนจะขยับมาอยู่ที่ปีละ 1,300-1,400 ล้านบาทนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่บอร์ด คปภ.ยังไม่อนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบให้กับกองทุนประกันวินาศภัยอีก 0.25% เป็นเต็มเพดาน 0.5% นั้น เนื่องจากขณะนี้สำนักงาน คปภ. มีข้อเสนอจะเข้าไปช่วย โดยการให้เงินกู้กับกองทุน ซึ่งกำลังพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ อยู่นอกจากนี้ ยังกำลังพิจารณาลดเงินสมทบเข้าบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ให้ประมาณ 2 ปี ซึ่งยาวขึ้นจากข้อเสนอของภาคธุรกิจที่ให้ลด 1 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจนำส่วนลดตรงนี้ นำส่งเป็นเงินสมทบให้กองทุนได้ อย่างไรก็ดี ส่วนนี้จะไม่เกิน 0.25% ซึ่งยอมรับว่า ยังไม่เพียงพอ ฉะนั้น ในระยะยาวอาจจะต้องแก้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย“ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็พยายามสั่งการให้ทำให้เร็วที่สุด” เลขาธิการ คปภ.กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1286530

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

กู้รายวัน ส่งดอกโหด”วันละ 4 หมื่น” ถอนตัวไม่ขึ้นกู้มานานนับปี “ลั่นจะสู้ ไม่หนี”

30/04/2024

กู้รายวัน ส่งดอกโหด”วันละ 4 หมื่น” ถอนตัวไม่ขึ้นกู้มานานนับปี “ลั่นจะสู้ ไม่หนี” ชาวเน็ตสงสัยเรื่องจริงหรือคอนเทนต์เมื่อเวลา 13.00 น. น.ส.ปาริชาต กลั้งกลาง อายุ 40 ปี อาชีพรับเหมาก่อสร้าง เธอโพสต์คลิปอุทาหรณ์เตือนภัยคนที่อยากจะเข้ามาในวงการหนี้นอกระบบ หลังเธอไม่มีทางเลือกตัดสินใจกู้เงินรายวัน กู้มาเรื่อย ๆ นานนับปี พีกสุดต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 40,000 กว่าบาท ถลำลึกถึงขั้นเกือบปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีปัญหา โดย น.ส.ปาริชาต เปิดเผยถึงสาเหตุว่าทำไมถึงตัดสินใจกู้เงินนอกระบบว่า จุดเริ่มต้นคือตนเองออกจากงานประจำ เพื่อออกมาช่วยงานสามี นั่นคือ รับเหมาก่อสร้าง ประกอบกับเล่นแชร์ด้วย แต่สุดท้ายบ้านแชร์ล้มเสียไปประมาณ 3 ล้านบาท ทุกอย่างพังหมด แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนธุรกิจ ต้องมีเงินจ่ายค่าจ้างช่าง ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่กล้าจะไปหยิบยืมใคร และไม่สามารถกู้เงินในระบบได้ เนื่องจากติดแบล็คลิสต์ เครดิตบูโร กันทั้งคู่ ทำให้ตนเองตัดสินใจไปกู้เงินรายวันเพื่อเอาใช้หมุนเวียนธุรกิจ โดยไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งสามี ไปหาแหล่งเงินกู้จากเฟซบุ๊ก เริ่มกู้ครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2565 ได้ยอด 20,000 บาท และมีน้องคนค้ำประกันช่วยกู้ให้อีก 20,000 บาท รวมเป็น 40,000 บาท เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ ตลอด 1 ปี ช่วงไหนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย ก็ไปกู้มาใหม่ โดยไปหาเจ้าอื่น รวมแล้วกว่า 20 เจ้า รวมยอดทั้งหมดประมาณ 8 แสนบาท ถ้าหากว่ากู้ 10,000 ดอกเบี้ย 2,000 บาท 24 วัน แต่ส่วนมากไม่ถึง 24 วัน ประมาณ 14 วันก็ไปขอเขาตัดยอด เอายอดที่ตนเองส่งมาใช้ เขาก็จะนับ 1 ใหม่ และคิดดอกเบี้ยใหม่ ส่วนประเด็นที่มีชาวเน็ตเข้าไปเข้าเมนต์ว่า จ่ายดอกเบี้ยวัน 40,000 บาท เป็นคอนเทนต์นั้น น.ส.ปาริชาต กล่าวว่า เรื่องจริง ไม่ใช่คอนเทนต์แน่นอน มาที่โคราชได้เลย เนื่องจากพอน้องคนที่ช่วยค้ำประกันเริ่มตัน ตนเองจึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกคนหนึ่งให้กู้ให้ตนเองอีก จากนั้นตนเองก็เป็นคนส่งยอดทั้งหมดเอง เพราะไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง ไม่อยากทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลังรับผิดชอบแทนตนเอง ทำไม่ได้จริง ๆส่วนด้านความสัมพันธ์กับสามี นางสาวปาริชาต กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ได้คุยกันแล้ว เขาคงถึงที่สุดของเขา ไม่สามารถช่วยเราได้เหมือนกัน เนื่องจากตัวสามีเองก็มีลูกติด ซึ่งตอนนี้ตนเองก็เหมือนไปเป็นภาระของเขา ไปฉุดให้เขาล้มลงไปกับตนเองด้วย ซึ่งตนเองก็เข้าใจ เพราะก็ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ และต้องหาอีกเท่าไหร่ถึงจะปิดยอดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คิดสั้นและสั่งลาพ่อแม่ไว้เรียบร้อย แต่ก็อยากลงคลิปเพื่อเตือนใจทุกคนว่าอย่าเข้ามาในวงการนี้ อย่าถลำลึก หยุดได้หยุด แต่หลังจากลงคลิปไป คุณพ่อก็โทรมาเตือนสติว่าให้คิดดี ๆ ให้นึกถึงตัว ถ้ายังอยู่ก็ยังมีทางออกพร้อมกับบอกหลังจากโพสต์คลิปดังกล่าวไป และได้รับคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็มีกำลังใจมากขึ้น ประกอบกับมีคนมาคอมเมนต์ให้กำลัง ช่วยแนะทางออกให้ แต่ก็มีบางคนที่ซ้ำเติมว่า “ก็ทำตัวเองทั้งนั้น” ซึ่งตนเองเข้าใจทุกมุมมอง และกลับมาคิดกับตัวเองได้ว่า หากว่าตนเองสู้ต่อ จะสามารถช่วยเป็นแนวทางให้กับคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตนเอง มาหาทางออกมันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า และสามารถช่วยใครหลาย ๆ ได้ ตอนนี้ตนเองตัดสินใจว่าจะสู้ ไม่หนี และนำคำแนะนำของทุกคนมาปรับใช้ ซึ่งจากที่ตนเองศึกษาดูพบว่ามีหลายคนที่สามารถปิดยอดได้ แต่ร้อยละ 90 หนีทั้งนั้น และไม่คิดว่าจะมีคนกู้นอกระบบเยอะขนาดนี้ เพราะหลังจากที่โพสต์คลิปลงไปมีคนเข้ามาทักปรึกษากันเยอะมาก จนถึงต้องตั้งกลุ่มเอาไว้พูดคุยกัน และเชื่อว่าคนไทยน่าจะติดแบล็กลิตส์ เครดิตบูโรกันเยอะ ไม่เช่นนั้นคงไม่กู้นอกระบบกันเยอะขนาดนี้ ส่วนทางออกของปัญหาตอนนี้ ตนเองใช้วิธีการพูดคุย ซึ่งหลายเจ้าก็คุยได้ ยอมผ่อนปรนให้ และลดให้ทุกเจ้า ทั้งนี้ตนเองยังเข้าไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ มีแต่คำตอบบอกให้ทำใจ สุดท้ายนี้ น.ส.ปาริชาต ยังฝากไปถึงคนที่คิดจะก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วยว่า คงบอกว่า “อย่าไปกู้เลย” คงพูดไม่ได้ เพราะบางคนมันเลือกไม่ได้จริง ๆ อย่างตนเองที่ตัดสินใจกู้ก็เพราะไม่มีทางออกจริง ๆ แต่ถ้ากู้ไปแล้วอย่าให้ถึงขั้นถลำลึกจนเอาดอกมาชนดอกแบบนี้ ให้อยู่ในลิมิตที่ตัวเองไหว และถ้าสามารถหยิบยืมเพื่อนฝูงหรือญาติได้ ไปทางนั้นดีกว่า เพราะมันทรมานมาก ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่นอนหลับสนิทได้สักวันเดียว ******************************************** (ขอขอบตุณเรื่องจาก ข่าวสดออนไลน์) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์https://www.tvpoolonline.com/content/2120972?fbclid=IwAR2MEVoN6CCe2tq0eOq1SVVjokI-HGnqFA39GQgIbXhVOjF_r6OKCAUTD6E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ระทึก! คปภ. พบเบาะแสอีกอาชีพ"แอม" เคยมีใบอนุญาตตัวแทน ตั้งทีมสอบวุ่น​ ย้ำหากพบฉ้อฉลมีโทษจำคุก​ -​ชวดเงินประกัน

30/04/2024

• พบข้อมูลมีใบอนุญาตฯ แต่หมดอายุไปแล้ว ในขณะที่ประกันที่ “แอม” ขายยังไม่มีการเคลมประกันแต่อย่างใด พร้อมย้ำการเรียกร้องค่าสินไหมโดยไม่สุจริตอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยมีโทษจำคุกและอาจชวดเงินประกันภัยจากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจขออำนาจศาลอาญาอนุมัติการจับกุม “นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์” หรือ “แอม” ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) และจากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ามีผู้เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันจำนวนหลายราย ซึ่งมีนางแอม เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏข่าวว่านางแอมได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตด้วย และมีคำถามตามมาว่าการฆาตกรรมดังกล่าวเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าสินไหมประกันภัยด้วยหรือไม่ นั้นเพื่อให้ได้ความกระจ่างในเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงาน คปภ. ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของนางแอม พบว่า นางแอมเคยได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตจำนวน 4 ใบอนุญาต สังกัด 3 บริษัท ดังนี้ ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท เอไอเอ จำกัด วันออกใบอนุญาต 3 กุมภาพันธ์ 2555 วันใบอนุญาตหมดอายุ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 13 มีนาคม 2558 วันใบอนุญาตหมดอายุ 12 มีนาคม 2559 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 19 กันยายน 2562 วันใบอนุญาตหมดอายุ 18 กันยายน 2563 และวันออกใบอนุญาต 15 กุมภาพันธ์ 2564 วันใบอนุญาตหมดอายุ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยปัจจุบันใบอนุญาตทั้งหมดได้หมดอายุแล้วนอกจากนี้ยังตรวจสอบพบข้อมูลเพิ่มเติมในเบื้องต้นว่า นางแอมได้ขายกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 11 กรมธรรม์ ประกอบด้วย บริษัท เอไอเอ จำกัด จำนวน 8 กรมธรรม์ โดยเสนอขายเมื่อปี 2555 ซึ่งกรมธรรม์ประกันชีวิตดังกล่าว ณ ปัจจุบันได้สิ้นผลบังคับไปแล้ว โดยในระหว่างความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 กรมธรรม์ เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตของบุตรของนางแอมและไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 กรมธรรม์ ซึ่งไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิตเลขาธิการ คปภ. ฝากย้ำเตือนประชาชนว่ากรณีผู้ใดก็ตามกระทำให้บุคคลเสียชีวิตเพื่อหวังเงินประกันภัย นอกจากจะถูกดำเนินคดีและมีความผิดทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว หากมีการพิสูจน์ทราบว่าผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยมีส่วนกระทำความผิดร่วมด้วย บริษัทประกันภัยอาจจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินตามสัญญาประกันภัยได้ และถ้าเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยจะมีความผิดทางอาญาด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจต่อระบบประกันภัย สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ในทุกสถานการณ์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnectแหล่งที่มาข่าว สยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/443929

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

โพลล์ชี้นักลงทุนมือใหม่ซื้อคริปโตเพราะเพื่อน

30/04/2024

ผลสำรวจพบอิทธิพลจากเพื่อนและความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) เป็นเหตุผลที่นักลงทุนมือใหม่ซื้อคริปโตเป็นครั้งแรก ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรกปลายเดือนที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อการศึกษานักลงทุนของหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงินของอเมริกา (FINRA) ได้เปิดเผยผลสำรวจที่พบว่า 31% ของนักลงทุนหน้าใหม่บอกว่า “คำแนะนำจากเพื่อน” คือเหตุผลหลักในการตัดสินใจกระโจนเข้าตลาดคริปโตในปี 2022 ทั้งนี้ เทียบกับแค่ 8% สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรครั้งแรก ซึ่งบ่งชี้ว่า องค์ประกอบทางสังคมในการลงทุนในคริปโตไม่ปรากฏอยู่ในการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการ “เริ่มต้นด้วยเงินก้อนเล็กๆ” เป็นเหตุผลสำคัญอันดับ 2 ในการเข้าสู่ตลาดคริปโต (24%) เช่นเดียวกับนักลงทุนในหุ้นและพันธบัตรขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจราว 10% ระบุว่า ความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) การลงทุนที่มีแนวโน้มสดใสทำให้ตกลงใจซื้อคริปโตครั้งแรก การสำรวจของ FINRA ยังพบว่า นักลงทุนในคริปโต 48% บอกว่า ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลจากเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เทียบกับ 35% ของนักลงทุนในหุ้น และตามด้วยการค้นหาในสื่อสังคม (25%) นอกจากนั้นผลสำรวจยังระบุว่า นักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดคริปโตมีอายุเฉลี่ย 37 ปี น้อยกว่านักลงทุนในหุ้นที่มีอายุเฉลี่ย 43 ปี และ 28.5% จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เทียบกับ 46.3% ของนักลงทุนในหุ้น ที่น่าสนใจคือ การสำรวจพบว่า เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรก นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลได้คะแนนแค่ 26.6% ในชุดคำถาม 5 ข้อเกี่ยวกับการออกคริปโต การแปลงคริปโตเป็นดอลลาร์ การเก็บภาษีจากคริปโต และสาเหตุที่การทำธุรกรรมคริปโตอาจเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง การสำรวจความคิดเห็นของ FINRA จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 9-29 กันยายน 2022 จากผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น 465 คนที่สุ่มเลือกจากครัวเรือนในอเมริกา ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อน 6.75% และเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจเพื่อติดตามผลจากรายงานในปี 2020 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000041416

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

4 เคล็ดลับ ก้าวสู่ 'วัยเกษียณ' อย่างมีคุณภาพทั้งกายและใจ

30/04/2024

เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะมีคนที่เข้าสู่ 'วัยเกษียณ' เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ต้องเผชิญตามมา คือ เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการเงิน ทำอย่างไรที่จะเตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เพื่อให้เกษียณอย่างมีคุณภาพ● หลายคนมองว่าช่วงเวลาหลังเกษียณ เป็นช่วงที่มีความสุข แต่ความจริงแล้ว ผู้ที่เกษียณอายุต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลง รายจ่ายที่ยังเหมือเดิม รวมถึงสุขภาพที่เสื่อมลง ● ผู้เกษียณอายุ จึงต้องเตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ● นอกจากนี้ การปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ยังเป็นแนวทางสำคัญ เพื่อให้สู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพการเกษียณอายุเปรียบเสมือนกับการก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งของชีวิตและถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้หลังจากนี้ผู้เกษียณมีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนอาจจะยังปรับตัวไม่ทันเพราะช่วงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาต้องพบปะเพื่อนร่วมงานทุกวัน และมีงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจได้ ผู้เกษียณจึงต้องมีการเตรียมตัวหรือการวางแผนวัยเกษียณ ต้องเผชิญอะไรบ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยถึงสิ่งที่วัยเกษียณต้องเผชิญ ว่า เมื่อถึงวัยเกษียณ อาจคิดว่าเป็นช่วงที่มีความสุข เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวหรือทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเผชิญหลายเรื่อง ซึ่งการเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ชีวิตมีความสุขมากที่สุด ในวัยเกษียณมี 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้1. รายได้ลดลงเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในช่วงวัยเกษียณ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการทำงานจากอายุ ทำให้รายได้ลดลง หรือมีโอกาสหารายได้ลดลงเมื่อเทียบกับตอนอยู่ในวัยทำงาน2. ค่าใช้จ่ายยังมีเหมือนเดิมเมื่อเกษียณอายุแล้ว หมายความว่าไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีงานทำก็ไม่มีรายได้หลักเหมือนช่วงวัยทำงาน ซึ่งสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายประจำและต่อเนื่องไปจนสิ้นอายุขัย3. สุขภาพเสื่อมลงผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม จึงเกิดอาการผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งหากพิจารณาถึงวิธีการดูแลและรักษาโรคเหล่านี้ต้องใช้เงินรักษาค่อนข้างสูง4. เคล็ดลับ เตรียมพร้อมหลังเกษียณกรมอนามัย แนะผู้เกษียณอายุ เตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ดังนี้1) ด้านสุขภาพอนามัยออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง หากิจกรรมที่สร้างรายได้ กิจกรรมการกุศลที่เสริมคุณค่าให้ตนเอง กิจกรรมการออกกำลังกายหรือกายบริหารทุกวันอย่างน้อย สัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที ไม่ควรออกกำลังกายที่หนักเกินไป  โดยเฉพาะข้อเข่าเพราะจะทำให้เข่ารับน้ำหนักมากขึ้นจนเป็นสาเหตุของข้อเข่าเสื่อม ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเพื่อลดการเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย ตรวจสุขภาพร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และฝึกจิตและสมาธิ เพื่อให้รู้จักปล่อยวาง มองโลกในแง่ดี เป็นการพัฒนาทางอารมณ์เพื่อไม่ให้แปรปรวนง่าย   ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย2) ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้ทันสมัย พูดคุยกับผู้อื่น  รู้เรื่อง และอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานได้ โดยเฉพาะลูกหลานและญาติควรให้ความสำคัญกับผู้เกษียณอายุ เพราะถือเป็นผู้สูงอายุประจำบ้าน ควรหาเวลาเพื่อพบปะหรือโทรศัพท์พูดคุยก็จะช่วยให้ผู้เกษียณไม่เหงาและเกิดภาวะซึมเศร้า3) ด้านพฤติกรรมการออมต้องออมทรัพย์สำรองไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณให้เพียงพอในแต่ละเดือน จะช่วยลดปัญหาและภาวะเครียดจากค่าใช้จ่ายที่ไม่พอใช้ได้ 4) ด้านที่อยู่อาศัยต้องวางแผนว่าจะพักอาศัยอยู่กับใคร หรืออยู่ตามลำพัง โดยควรจัดบ้านและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม คำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุและอันตรายต่าง ๆ เช่น ใช้วัสดุกันลื่นในห้องน้ำ มีราวจับ ใช้โถส้วมแบบนั่งราบ จัดบ้านให้โล่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ดังนั้น ในช่วงวัยก่อนเกษียณจึงควรมีการเตรียมตัวหากลุ่มเพื่อน กลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ไว้ หรืออาจหากลุ่มสมาชิกผู้สูงอายุใกล้ ๆ เพื่อจะได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เสริมคุณค่าให้กับชีวิต และเป็นการส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า เหงาและเครียดได้ปรับตัว ปรับใจ สู่วัยเกษียณ นพ.เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ (หมอเก่ง) อายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลผู้สูงอายุ Chersery home แนะนำ 3 เทคนิคในการปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ดังนี้ 1. เปิดใจความเห็นต่างการให้เกียรติผู้อื่น เป็นการให้ความเคารพนับถือ และยอมรับในความสามารถของผู้อื่น ด้วยการใช้กริยาวาจาสุภาพ อ่อนน้อม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฝึกเป็นคนที่รับฟังให้มาก ลองเปิดใจเพื่อให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ความแตกต่างหลากหลายระหว่างช่วงวัย ประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับสังคม ครอบครัว และลูกหลาน เพื่อท่านจะสามารถเข้าใจคนสมัยใหม่ได้ดีขึ้น... พูดภาษาเดียวกันกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว2. ปล่อยวางไม่ยึดติดรับรู้แต่ไม่ยึดติด ไม่ว่าอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ การรู้จักการปล่อยวางอารมณ์ โดยไม่ยึดมั่น ถือมั่นหรือยึดติดในตนเองกับอดีตที่ผ่านมา หมอคิดเสมอว่ากาลเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคิดก็จะเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเด็กสมัยใหม่นั้นมีความรู้ความสามารถมาก และเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็วการที่ท่านเปิดใจกว้างปล่อยวางไม่ยึดติดกับประสบการณ์เดิม รับฟังสิ่งใหม่ อาจจะช่วยต่อยอด และประสบความสำเร็จได้ หากตัวท่านเองสามารถยอมรับได้ท่านจะมีความสุขขึ้นมาก ๆ เลยหล่ะครับ หากย้อนเวลาได้ ลองนึกถึงท่านเองว่าเมื่อสมัยวันรุ่น หรือวัยเด็ก ท่านอยากให้ผู้สูงวัยในสมัยท่านเปิดใจรับฟังความเห็นจากเราหรือไม่ ซึ่งตัวหมอเองก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน 3. เจริญจิต เจริญใจการหมั่นเจริญทางปัญญา ให้เห็นสภาพความเป็นจริงนั้น โดยการใช้เหตุและผลเข้ามาประกอบดังหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสนาอื่น ๆ ก็ตาม หากเข้าใจหลักของความจริงที่ว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สภาพจิตใจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาติ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ ใจของเราต่างหากที่จะต้องปรับเปลี่ยน ปรับทัศนคติให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาอีกทั้ง การหมั่นเจริญสติ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจ การเคลื่อนไหว ผ่านการอบรม ฝึกฝน และนำมาปฏิบัติ แม้เพียง 3-5 นาที/ วัน ก็ทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นแล้วนะครับ อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้หยุดหรือควบคุมอารมณ์และความคิดที่ทำให้ไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธความเครียด ความเหงา ความเศร้าก็ตามการปรับตัว ปรับใจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้สูงอายุ มีความสุข มีความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขแน่นอน อ้างอิง : กรมอนามัย , ธนาคารไทยพาณิชย์ , Chersery homeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1063118

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

อัพเดต ปรับเพดานจ่ายเงินสมทบเพิ่ม ผู้ประกันตนรับประโยชน์เพิ่มเท่าไหร่ ?

30/04/2024

ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่ม ปัจจุบันมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% วันที่ 25 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้นำร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. … ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ ไปเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องครั้งที่ 1 ผ่านทางระบบกลางทางกฎหมาย (LAW.co.th) ช่วงวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2566 สรุปมีผู้ร่วมเสนอความเห็นทั้งนายจ้าง และลูกจ้างรวม 55,584 คน โดยมีผู้เห็นด้วยคิดเป็นร้อยละ 27 และไม่เห็นด้วยคิดเป็น 73 ทั้งนี้ การเปิดความคิดเห็นดังกล่าว เป็นขั้นตอนหลังจากแนวทางการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อกลางปี 2565 คณะกรรมการประกันสังคมพิจารณาการกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ แบบค่อยเป็นค่อยไป หลังจากประเทศไทยไม่ได้ปรับมานานเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งเหตุผลและความจำเป็นของการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูง คือ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนในการรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ปรับเท่าไหร่-เมื่อไหร่ ? เงินสมทบมาตรา 33 คือที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนในอัตราร้อยละ 5 โดยผู้ที่มีค่าจ้างเดือนละ 1,650 บาทขึ้นไปต้องจ่ายในอัตรา 5% ของค่าจ้าง แต่มีเพดานคำนวนที่ค่าจ้าง 15,000 บาท ทั้งนี้ เพดานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณจะถูกปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป 3 ระยะ ดังนี้   ●  ระยะที่ 1 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567-31 ธ.ค. 2569 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 17,500 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 875 บาท   ●  ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2570-31 ธ.ค. 2572 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,000 บาท   ●  ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2573 เป็นต้นไป ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,150 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท จะไม่ได้รับผลกระทบจ่ายเงินสมทบเพิ่ม เพราะจะได้จ่ายเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างตามจริง โดยระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% ผู้ประกันตนรับประโยชน์เพิ่ม 6 กรณี นางนิยดา เสนีย์มโนมัย ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน และโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้รายงานผลความคิดเห็นต่อคณะกรรมการ สปส. เพื่อรับทราบแล้ว “แต่มีข้อสังเกตว่าการที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับเพดานค่าจ้าง” ซึ่งการปรับเพดานเงินสมทบอัตราใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้ประกันตน ดังนี้ หนึ่ง เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงาน ได้รับในอัตรา 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันได้รับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน สอง เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 30,000 บาท อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 35,000 บาท ช่วงปี 2570-2572 เป็น 40,000 บาท และปี 2573 เป็น 46,000 บาท สาม เงินบำนาญชราภาพ ได้รับในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยมี 2 อัตรา คือ 1. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี (ครบ 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 2. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบเกิน 15 ปี (เกิน 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่จ่ายประกันสังคม + อัตราการจ่ายเงินบำนาญให้อีก 1.5% ต่อปีของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ ตัวอย่าง หากส่งเงินสมทบครบ 15 ปี เงินบำนาญชราภาพอัตราเดิมได้รับ 3,000 บาทต่อเดือน และหากส่งเงินสมทบครบ 25 ปี อัตราเดิมได้รับ 5,250 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 3,500 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 6,125 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,000 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 7,000 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2573 ทำงาน ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,600 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 8,050 บาทต่อเดือน สี่ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 22,500 บาทต่อครั้ง อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง, ช่วงปี 2570-2572 เป็น 30,000 บาทต่อครั้ง และปี 2573 เป็น 34,500 บาทต่อครั้ง ห้า เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ได้รับในอัตรา 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน หก เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 250 บาทต่อวัน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 292 บาทต่อวัน, ช่วงปี 2570-2572 จะเป็น 333 บาทต่อวัน และปี 2573 เป็น 383 บาทต่อวัน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/csr-hr/news-1272888

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อยากมีเงินเก็บ ต้องรีบอ่าน! เผยเคล็ดลับลงทุนยังไงให้เห็นผล

30/04/2024

บทความโดย Gen Healthy Life วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 วินัยทางการเงิน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการบริการการเงินในชีวิต โดยการบริหารการเงินนั้นมีหลากหลายวิธี อาทิ การสร้างงบประมาณที่จะใช้ในแต่ละเดือน การทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้มองเห็นรายจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่จะสร้างความมั่นคงและเติบโตในระยะยาวให้กับกระเป๋าเงินของเรา คือการใช้เทคนิคการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ได้นำเคล็ดลับการลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของเรา จะมีเทคนิคการลงทุนอย่างไรบ้างไปดูกันเลย เริ่มที่ข้อแรก “เคล็ดลับการลงทุน” หากมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะเกิดความเสี่ยงหรือไม่ ลองพิจารณาระยะเวลาการลงทุนที่สั้นลง ง่ายต่อการถอนถือเป็นขั้นแรกของมือใหม่นักลงทุนในการบริหารความเสี่ยง แต่ถ้าต้องการเพิ่มระยะเวลาในการลงทุนให้ยาวขึ้น สิ่งที่สำคัญที่ควรตระหนักคือ เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางและผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เหนือสิ่งอื่นใด อย่าทำอะไรเกินตัว ต้องทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของเราเอง ต่อมา “บัญชีออมทรัพย์” เป็นวิธีการเก็บเงินที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งวิธีนี้ยังสามารถถอนเงินไปใช้จ่ายในเวลาที่ฉุกเฉินได้ตามที่เราต้องการ นอกจากนี้ยังมีการเก็บเงินแบบเงินฝากประจำ (Fixed Deposit) ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างดี เน้นการออมอย่างสม่ำเสมอเพื่อเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายในยามที่เกษียณอายุ “พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้” เป็นเครื่องมือลงทุนที่มีบทบาทคล้ายกันกับเงินฝากประจำ แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับคุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน เคล็ดลับถัดมาคือ “แผนการลงทุนและการออมเงิน” ซึ่งเป็นการลงทุนกับบริษัทประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยจะมอบผลประโยชน์ทั้งในเรื่องการประกันภัยและการลงทุน รวมไปถึงการออมเงินให้กับลูกค้า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการคุ้มครองชีวิตและเก็บเงินออมสะสมเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบสนองความต้องการที่ดี “ทางเลือกของแผนบำเหน็จบำนาญ” คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเก็บเงินบำนาญแบบส่วนตัว ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนมักจะดีกว่า และคุณอาจสามารถเลือกเกษียณอายุก่อนกำหนดได้อีกด้วย “กองทุนรวม” อีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนเข้าด้วยกันเพื่อลงทุนในตลาดทุน เงินทั้งหมดจะถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุนเพื่อลงทุนในหลาย ๆ หลักทรัพย์ เช่น หุ้นบริษัท ตราสารหนี้ และอื่น ๆ การลงทุนในกองทุนรวมจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ต่อมา “การลงทุนอสังหาฯ” การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีแนวโน้มผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมหรือตลาดหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่การแปลงมูลค่าเป็นเงินเพื่อนำมาใช้ยามฉุกเฉินก็อาจจะไม่ง่ายเช่นกัน ซึ่งหากใครต้องการความปลอดภัยในชีวิตและต้องการความมั่นคง การทำ “ประกันภัย” ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะหากเรามีประกันภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ เจ็บป่วยขึ้นมา ก็ช่วยลดความวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้มาก เป็นเครื่องมือในการบริหารและปกป้องความเสี่ยงทางการเงิน สุดท้าย “ทางเลือกการลงทุนอื่น ๆ” วลีที่บอกว่า “จงกระจายความเสี่ยง” ยังสามารถใช้ได้กับการลงทุนเสมอ ลองลงทุนในหลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดีควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นควรทำการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/b%20reaking-news/news-1277698

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X