คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

ไล่บี้ตรวจสอบ “ประกันเถื่อน” ตะลึง ! ลูกเจ้าของโรงพยาบาลดังมีเอี่ยว

30/04/2024

หลังจากประชาชนจำนวนมากซื้อประกันภัยสัตว์เลี้ยง แต่ไม่สามารถเบิกค่าเคลมสินไหมได้ ร้อนถึง สมาคมประกันวินาศภัยไทย ต้องออกมาเตือนให้ระมัดระวัง พร้อมตรวจสอบพบว่า เป็นบริษัทประกันภัยเถื่อนจากต่างชาติรวมถึงยังพบว่ามีการลักลอบขายประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวในประเทศไทยด้วย ล่าสุด มีความคืบหน้าที่ตรวจสอบ พบว่า ขบวนการนี้มีคนไทยเกี่ยวข้องด้วยเปิดเครือข่ายขายประกันเถื่อน“ประสิทธิ์ คำเกิด” ประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) กล่าวว่า ได้ตรวจสอบแกะรอยการโกงในครั้งนี้ พบว่า เมื่อปี 2564 ประมาณเดือน มิ.ย. มีบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ (แทนชื่อว่า IS) เสนอตัวทำการตลาดขายประกันภัยสัตว์เลี้ยงให้กับบริษัทประกันภัยจากประเทศอังกฤษ (แทนชื่อว่า IU) โดยวางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (แทนชื่อว่า IP)ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 บริษัท IS มีการทำสัญญานายหน้าร่วม โดยอ้างว่าบริษัท IU มีใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยและประกันภัยต่ออยู่ที่อังกฤษ จนถึงเดือน ก.ค. 2565 เริ่มเสนอขายประกันภัยสัตว์เลี้ยงบนหน้าเว็บไซต์ IP“เมื่อลูกค้าคนไทยชำระเงินค่าเบี้ยประกันไปแล้ว ทาง IP จะนำส่งค่าเบี้ยให้ IU โดย IU จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นกลับมาให้กับ IP ผ่าน IS ตรวจพบครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. 2566 กล่าวคือ IS กับ IP คือกลุ่มคนเดียวกัน”โดยพบว่าบริษัทดังกล่าวมีการรับประกันไปมากกว่า 4,000 กรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันราว 10-20 ล้านบาท ซึ่งกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายจะหมดอายุความคุ้มครอง วันที่ 29 มิ.ย. 2567“จากการรับประกันที่มีจำนวนมากนั้น ประมาณเดือน พ.ค. 2566 เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีคือ ทาง IU ขอให้ IP เอาโปรดักต์ตัวนี้ออกจากหน้าเว็บไซต์ และถูกร้องขอให้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไขบางอย่าง และประมาณวันที่ 27 มิ.ย. 2566 เริ่มเกิดปัญหา ลูกค้าเคลมไม่ได้”ดอดเจรจาลูกค้าขอคืนเบี้ย“กัลยา จุกหอม” ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากการพูดคุยกับผู้เสียหาย พบว่าเป็นการทำประกันที่ง่ายมาก ไม่มีการขอข้อมูลตรวจสอบความเป็นตัวตนของสัตว์เลย นอกจากนั้นหลาย ๆ คลินิกสัตว์มีการแนะนำให้ลูกค้าซื้อประกันสัตว์เลี้ยงกับบริษัทนี้ด้วย เนื่องจากเห็นว่า ช่วงแรกเคลมง่ายจ่ายหมด จนมาระยะหลังค้างชำระค่าสินไหมเป็นจำนวนมาก ตอนนี้มีประมาณ 180 ราย ที่ยื่นเคลมแต่ยังไม่ได้รับเงิน“ลูกค้ายังมีความหวังที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทน และส่วนหนึ่งมองว่าค่าสินไหมไม่สูง จึงยังไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี โดยล่าสุดทาง IS ที่สิงคโปร์ มีการเจรจากับผู้เสียหายขอคืนเบี้ย 40% ให้ลูกค้า ซึ่งในทางปฏิบัติ ประกันในไทยจะไม่มีรูปแบบนี้ แต่จะมีถ้าจะยกเลิกต้องคืนเบี้ยตามส่วนที่มีระยะเวลาคุ้มครองเหลืออยู่”แอบขายประกันสุขภาพต่างชาติจากการสืบค้นยังพบว่า บริษัท IU มีการรับประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวอยู่ในประเทศไทยด้วย โดยขายบนเว็บไซต์มานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันก็ยังขายอยู่ เนื่องจากไม่ผิดกฎหมายไทย ซึ่งมีบุคคลเสมือนเป็นนายหน้า ทำหน้าที่รับประกันและต่ออายุ มีออฟฟิศตั้งอยู่ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีคนไทยที่มีไลเซนส์นายหน้าจริงแต่ปัจจุบันได้ลาออกไปแล้ว และให้ข้อมูลว่ามีชาวรัสเซียเป็นผู้จัดการที่นี่ และจะมีบริษัทที่ทำหน้าที่ประสานงาน-แจ้งเคลม ออฟฟิศอยู่แถวรามอินทรา เชื่อมโยงกับบริษัทที่ซอยศูนย์วิจัย 4 ที่เป็นบริษัทรับทำเคลมและจ่ายสินไหม“ตามกฎหมายไทยกำหนดให้ชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักระยะยาวในไทย จะยื่นขอวีซ่าต้องมีประกันสุขภาพ 2 แบบคือ 1.Visa Non O-A (ไม่เกิน 1 ปี) วงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะซื้อผ่านบริษัทในไทยมีอยู่ 12 บริษัท หรือจากต่างประเทศก็ได้และเมื่อจะขอต่อวีซ่าต้องติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และประสานกรมการกงสุลเพื่อตรวจสอบข้อมูลประกันสุขภาพ และ 2.Visa Non O-X พำนักระยะยาวตลอดที่อยู่ในไทย ต้องมีวงเงิน OPD ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท และ IPD ไม่น้อยกว่า 400,000 บาท ซื้อได้เฉพาะบริษัทในไทย ซึ่งมีอยู่ 7 ราย”ตะลึงลูกเจ้าของโรงพยาบาลดังมีเอี่ยวทั้งนี้ จากที่สมาคมได้ตรวจสอบข้อมูล ตามที่กล่าวอ้างว่า จดทะเบียนเป็นนายหน้าประกันภัยและประกันภัยต่ออยู่ที่อังกฤษ ก็พบว่าไม่ปรากฏรายชื่อนี้อยู่ในลิสต์ของ คปภ. อังกฤษ (FCA) และสมาคมประกันภัยอังกฤษ (ABI) โดยพบเพียงหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทเป็น “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” มีชาวอังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 1 ราย และในโครงข่ายพันธมิตร มีคนไทยร่วมถือหุ้นด้วย 2-3 ราย ซึ่งหนึ่งรายในนั้น ถือหุ้นใน IS ที่สิงคโปร์ด้วย“ประสิทธิ์” กล่าวว่า กลุ่มคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พบว่า มีนามสกุลดัง เป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย และอีกรายเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทให้บริการบริหารจัดการค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดที่ถูกต้องตามกฎหมายในไทย อ้างอิงจากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ แต่ไม่พบว่าได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัยแต่อย่างใดโดยบริษัทตั้งอยู่ในซอยศูนย์วิจัย 4 กทม. จะรับทำหน้าที่ดำเนินการจ่ายเคลมและรับชำระเบี้ยประกันภัยในกรณีเมื่อลูกค้าจ่ายเป็นเงินสดและเงินโอน แต่หากลูกค้าจ่ายค่าเบี้ยผ่านบัตรเครดิต เงินจะเข้าบัญชีโดยตรงในบริษัท IU ที่อังกฤษDSI โยน คปภ. ตรวจสอบเอาผิดเบื้องต้นทาง ตม. และกงสุล ได้รับทราบแล้วว่า บริษัท IU ไม่มีตัวตน และได้มีการแจ้งเตือนเอกสารของบริษัท IU ว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในการยื่นขอวีซ่าโดยจากข้อมูลล่าสุดที่ชาวต่างชาติยื่นขอวีซ่าประมาณกว่า 30,000 ราย แต่ในระบบประกันของสมาคม มีแค่กว่า 8,000 รายเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่แน่ใจว่า ซื้อประกันที่ไหน หรือใช้สวัสดิการของรัฐที่มีอยู่แทนการซื้อประกันได้“ประสิทธิ์” กล่าวว่า หลังจากที่มีผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งจากประกันภัยสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจเข้าข่ายกรณีฉ้อโกง สมาคมจึงได้ทำหนังสือไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แต่เบื้องต้นดีเอสไอได้ประสานส่งเรื่องไปยังสำนักงาน คปภ. เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแล“หลังจากนี้การดำเนินการตามกฎหมายจะอยู่ที่ คปภ. จะเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับความมั่นใจในการรวบรวมพยานหลักฐานที่ชัดเจน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1391597

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

แม่กลุ้มใจ ! ลูกสาวติดเชื้อ RSV ประกันไม่อนุมัติ เพราะเคลมถี่เกินไป

30/04/2024

แม่กลุ้มใจ ! ประกันไม่อนุมัติ ลูกสาวติดเชื้อ RSV แจ้งเหตุผลชวนอึ้ง ! เคลมประกันถี่เกินไปคุณแม่รายหนึ่งได้แชร์ประสบการณ์การเป็นลูกค้าประกันของบริษัทหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ได้อ่านเรื่องราวต้องถึงกับอึ้ง เนื่องจากลูกสาวติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็ก) ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถเคลมประกันได้ โดยบริษัทประกันให้เหตุผลว่าเคลมต่อเนื่องเกินไป จึงขอพิจารณาเอกสารอย่างละเอียดคุณแม่รายนี้เล่าว่าได้ซื้อประกันสุขภาพให้ลูกสาว ซึ่งจ่ายค่าเบี้ยประกันปีละ 48,XXX บาท โดยเงื่อนไขของประกันดังนี้1. จ่ายค่ารักษาแบบ OPD ให้ 1,500 บาท/ครั้ง จำนวนไม่เกิน 30 ครั้ง/ปี2. จ่ายค่ารักษาแบบ IPD ให้ครั้งละ 50,000 บาท แต่ต้องไม่ใช่โรคเดียวกันในแต่ละครั้ง (หากเป็นการรักษาโรคเดียวกันให้นับรวมในยอด 50,000 บาท ซึ่งจำกัดระยะเวลารักษาภายใน 3 เดือน ไม่รวมค่าห้อง)คุณแม่ยังเล่าต่อว่าในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ได้ใช้ประกันเพื่อจ่ายค่ารักษา OPD ไปทั้งสิ้น 8 ครั้ง โดยในวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ได้ใช้ประกัน เพื่อจ่าย IPD ครั้งที่ 1 แพทย์ระบุว่าลูกสาวปอดอักเสบ ตรวจแล้วไม่พบเชื้ออะไร เคลมยอดเงินจำนวน 18,xxx บาทวันที่ 8 กันยายน 2566 ได้ใช้ประกัน เพื่อจ่าย IPD ครั้งที่ 2 แพทย์ระบุว่าลูกสาวเชื้อไวรัส RSV เคลมยอดเงินจำนวน 32,xxx บาท แต่ไม่สามารถเคลมเงินประกันได้ ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองเต็มจำนวน โดยตัวแทนประกันแจ้งว่า “ฝ่ายพิจารณาขอตรวจเอกสารการรักษาอย่างละเอียด เนื่องจากมีการเคลมที่ต่อเนื่องกันเกินไป”เหตุที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนและไม่สบายใจให้กับคุณแม่รายนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกสาวต้องเข้ารับการรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นสิทธิ์ของผู้เอาประกันที่จะใช้ประกันของตัวเอง“เรามีสิทธิ์ที่จะเคลมไหม ตลอดระยะเวลา 1 ปี การเคลมแต่ละครั้งเราต้องมานั่งเกรงใจประกันเหรอคะ ต้องมาคอยมานั่งกังวลว่าเคลมถี่เกินไปหรือเปล่า ประกันจะเมตตาอนุมัติให้เราหรือเปล่า ถ้าวันนี้เราไม่มีเงินเหลือติดตัวอยู่เลย เราต้องทำยังไงคะ เรากับลูกจะต้องอยู่ในโรงบาลจนกว่าประกันจะพิจารณา ซึ่งไม่รู้ว่าจะอนุมัติให้เราหรือไม่อนุมัติให้เราเลย วันนี้ตัวแทนประกันแจ้งให้เราเขียนจดหมายแนบขอความเห็นใจจากฝ่ายพิจารณา เขียนร้องขอรอบที่ 2 จากการโดนปฏิเสธรอบแรก สุดท้ายก็โดนปฏิเสธอีกรอบที่ 2 เข้าเนื้อไม่พอต้องมาเจ็บใจอีก รู้สึกเหมือนขอทานขอเศษบุญเลยค่ะ”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintvhttps://www.amarintv.com/news/detail/187738

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ร่วมงานสัมมนาวิชาการ “เคล็ดลับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหลักการ ESG” ในงาน Thailand InsurTech Fair 2023

30/04/2024

นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค กลุ่มบริษัทเอไอเอ ร่วมบรรยายในงานสัมมนาวิชาการ Thailand InsurTech Fair 2023 ในหัวข้อ ‘ESG - เครื่องมือสำคัญในขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน’ โดยได้ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการธุรกิจโดยประยุกต์ใช้หลักการ ESG (Environmental, Social and Governance) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งเป็นปรัชญาที่เอไอเอยึดถือในการดำเนินธุรกิจมาตลอดกว่าศตวรรษ ตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำด้าน ESG ในภูมิภาคเอเชีย สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นดูแลผู้คนทั่วเอเชียให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น - ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ณ ห้องฟินิกซ์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

สมาคมประกันวินาศภัยไทย สะกดไทม์ไลน์ โบรกเกอร์เถื่อนขายประกันสัตว์เลี้ยง ประกันสุขภาพ เบี้ยวเคลมเชิดเบี้ยประกัน

30/04/2024

11 กันยายน 2566 : นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ เลขาธิการสมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นประธานในการประชุมชี้แจงบริษัทสมาชิกของสมาคมฯ พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ คำเกิด ประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ และนางสาวกัลยา จุกหอม ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมในการชี้แจงถึงการดำเนินการของสมาคมฯ ถึงประเด็นปัญหาและผลกบระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีที่มีกลุ่มบุคคล/บริษัทต่างชาติ ขายประกันภัยในประเทศไทย ทั้งประกันภัยสัตว์เลี้ยง และประกันภัยสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศนายประสิทธิ์ อธิบายว่า ทางสมาคมฯ ได้ไปตามสืบค้นว่าบริษัทฯ ที่รับประกันภัยนี้ทางบริษัทแจ้งว่า รับประกันสุขภาพเท่านั้น และเป็นบริษัทต่างชาติ แต่เมื่อปี 2565 บริษัทฯประเทศสิงคโปร์ มาเสนอโปรดักส์ประกันสุขภาพ จึงมีการแตกไลน์ให้คนไทยขายประกันสัตว์เลี้ยง สุนัข-แมว ซึ่งริเริ่มตั้งแต่มิถุนายน และขายจริงจังในเดือนกรกฎาคม 2565โดยในกระบวนการนี้ ขอสมมุตตัวละครมี 3 ฝ่าย ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย คือ T1, T2 และ T3 โดยคนไทย ที่มีหน้าที่ดูแลด้านสินไหมทดแทน ในเบื้องต้นมีผู้ทำประกันภัยจำนวน 4,000 ฉบับ (เป็นตัวเลขที่ไม่แน่ชัดเนื่องจากสุ่มประเมินจากผู้ที่เสียหาย) คิดเป็นเบี้ยประกันภัย 20 ล้านบาท เนื่องจากไม่ยุ่งยากต่อการทำประกัน ไม่ดูรายละเอียดของสัตว์มากมายนัก เช่น ให้ชี้แจงเพียงแค่พันธ์ุของสุนัข และอายุเท่านั้น และที่น่าสังเกตุคือ คนไทยที่ดำเนินการในประเทศไทยนั้น มีนามสกุลดัง และเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง  เป็นผู้การันตีและให้ความสนับสนุนบริษัทดังกล่าวโดยมีการคิดอัตราเบี้ยประกัน 3 แบบ ได้แก่ อัตรา 2,500 บาท 4,900 และสูงสุด 7,500 บาท โดยซื้อผ่านช่องทางเว็ปไซต์ ชำระผ่านบัตรเครดิต เงินก็จะโอนไปยังประเทศอังกฤษ แต่หากชำระเงินสด ทางบริษัทฯ คนไทยก็รับชำระเบี้ยประกัน ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีผู้ถือหุ้น 3 คน ชื่อเดียวกันกับที่จัดห้างหุ้นส่วนที่ประเทศอังกฤษ แต่บริษัทนี้ไม่ได้มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าในประเทศไทย ขณะนี้ปิดรับประกันภัยแล้ว ซึ่งกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายคาดว่าหมดอายุเดือนมิถุนายน 2567โดยหลังจากนั้นเรื่องมาเกิดว่าเคลมไม่ได้ประมาณเดือน พฤษภาคม 2566 ซึ่งช่วงแรกก็มีการจ่ายสินไหมทดแทนอย่างต่อเนื่อง วิธีการคือนำสัตว์เข้าไปรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หลังจากนั้นให้นำใบเสร็จมาเบิกค่ารักษาพยาบาลกับ T3 เพื่อพิจารณาจ่ายเงินต่อไป ซึ่งในช่วงแรกก็มีการจ่ายสินไหมอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีปัญหา จนกระทั่งเดือนมิถุนายน 2566 จำนวนการเคลมสูงมากจนผิดสังเกตุว่า ทำประกันสุขนัขเพียงตัวเดียวแต่เคลมบ่อยครั้ง ทาง T3 จีงตรวจสอบและขอให้เจ้าของสุนัขส่งเอกสารเพิ่มเติมนางสาวกัลยา จุกหอม ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย อธิบายว่า ทางสมาคมฯ ได้ติดตามตรวจสอบไปยังหน่วยงานกำกับทางประเทศอังกฤษ ว่าบริษัทดังกล่าวมีตัวตนหรือไม่ เนื่องจากทางบริษัทฯ แจ้งว่า ส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยต่อด้วย แต่ทางหน่วยงานกำกับของประเทศอังกฤษแจ้งกลับมาว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีใบนุญาตประกอบธุรกิจรับประกันหรือนายหน้าแต่อย่างใด แต่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วน และมีชื่อของคนไทยร่วมหุ้นด้วย 2-3 คน พำนักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ 1 คน ส่วนอีก 2 คนอยู่ประเทศไทย โดยทางประเทศไทยมีหน้าที่รับบริการด้านสินไหมทดแทน โดยทางชาวต่างชาติที่ถือหุ้นใหญ่ที่อังกฤษจะทำหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทน"ต่อมาระยะหลังมีจำนวนเคลมมากขึ้น เริ่มจ่ายเคลมล่าช้าและไม่จ่ายสินไหมทดแทน จนมีผู้เสียหายร้องเรียนจำนวนมากจนทำให้สมาคมประกันวินาศภัย จึงต้องเร่งดำเนินการติดตาม และเรื่องดังกล่าวรายละเอียดต่างๆ ได้ส่งเรื่องทั้งหมดต่อให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.ดำเนินการต่อไป เพื่อให้เกิดการป้องกัน ป้องปรามบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาหาประโยชน์จากการหลอกขายประกันภัยในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึงหลอกชาวต่างชาติให้ซื้อประกันสุขภาพ เพื่อเอื้อต่อการมีวีซ่า อยู่ในประเทศไทยได้ระยะยาวมากขึ้นด้วย "นางสาวกัลยา กล่าว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=152266

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

บ้านคือวิมาน! คุณพร้อมเป็น “หัวหน้าครอบครัว” เพื่อความมั่งคั่งแล้วหรือยัง

30/04/2024

บทความโดย “กมล กระจ่างวงศ์ชัย”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย   วันที่ 11 กันยายน 2566 เคยได้ยินคำว่า “บ้าน คือ วิมานของเรา” เพราะองค์ประกอบสำคัญของบ้าน คือ ครอบครัว หากคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว บทบาทหนึ่งที่สำคัญ คือ การบริหารการเงินในครอบครัว (Family Finances) และต่อจากนี้ คือ คำถามที่อาจทำให้คุณและครอบครัว “มั่งคั่ง มั่นคง และมีความสุข” เหมือนอยู่ในวิมานของเรา มีเป้าหมายชีวิตของครอบครัวที่สามารถแปลงเป็นแผนการเงินเพื่อปฏิบัติให้ถึงเป้าหมาย ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณมีความรู้ มีเหตุมีผล และเชื่อว่าเป้าหมายที่ปราศจากแผน เป็นเพียงแค่ความฝัน แน่นอนว่าหลายคนอาจวางแผนการเงินเบื้องต้นด้วยการอ่านหนังสือ สื่อออนไลน์จากการเรียน การอบรม แต่บางคนอาจอาศัยผู้รู้หรือใช้บริการนักวางแผนการเงิน แปลงเป้าหมายชีวิตให้เป็นเป้าหมายและแผนการเงินที่สมบูรณ์แผนการเงินที่สมบูรณ์ของครอบครัว ประกอบด้วย แผนด้านรายได้ รายจ่าย การออม การลงทุน แผนประกันความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สิน แผนการเกษียณ แผนจัดการมรดก รวมถึงแผนเฉพาะต่าง ๆ เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงานมีบุตร แผนการศึกษา เป็นต้น ใช้ “งบประมาณ” ในการควบคุมค่าใช้จ่ายของสมาชิกในครอบครัว ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อในความพอเพียง อาจให้สมาชิกทำบันทึกการใช้จ่ายเพื่อควบคุมไม่ให้จ่ายเกินกว่างบประมาณของแต่ละคน สมาชิกจะเรียนรู้การใช้จ่ายตามความลำดับ ความจำเป็น (Needs) ความต้องการ (Wants) และใช้จ่ายไม่เกินกว่าฐานะ (living within your means) อันเป็นกฎทองของการสร้างความมั่งคั่ง เงินสำรองฉุกเฉิน มีเงินสำรองฉุกเฉิน สำหรับครอบครัวใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อในเรื่องการมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยง ถึงแม้อาจทำประกันชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับครอบครัวตามแผนเป้าหมายชีวิตของครอบครัวแล้วก็ตาม แต่กรณีที่ไม่มีประกันหรือท่านรับความเสี่ยงไว้เอง เช่น ค่าบำรุงรักษาซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงบ้านและอุปกรณ์ การขาดรายได้จากการออกจากงานหรือกรณีที่สมาชิกในครอบครัวมีจำนวนมาก (อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดมากตามจำนวนคน) และ/หรือ อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน วัยชรา (ที่ไม่มีประกัน) คุณจึงควรกำหนดจำนวนเงินสำรองให้เหมาะสมกับครอบครัว ข้อพึงระวัง ไม่ควรคิดว่าวงเงินบัตรเครดิตหรือวงเงินสินเชื่อระยะสั้นดอกเบี้ยสูงเป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน หรือคิดเสมือนว่าเป็นแหล่งรายได้พิเศษ สามารถสื่อสารเชิงบวกและสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการปฏิบัติตามแผนการเงิน ใช่ หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณได้สร้างครอบครัวคุณธรรม เนื่องจากการสื่อสารเชิงบวกหรือการสื่อสารเชิงคุณธรรมมีผลให้ครอบครัวมีความสุขสามัคคีและเข้มแข็ง สมาชิกมีความเข้าใจ มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัว มีผลโดยตรงให้สมาชิกร่วมกันปฏิบัติตามแผนการเงิน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สร้างความตระหนักรู้ให้ครอบครัวไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงทั้งทางออนไลน์และทางอื่น ๆ ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณกำลังบูรณาการความรู้ด้านการเงิน (Money Literacy) ร่วมกับความรู้ด้านสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อรู้ทันกลโกงรูปแบบเก่าและใหม่ของมิจฉาชีพ แล้วสื่อสารด้วยการพูดคุยกับครอบครัวผ่านสื่อออนไลน์ เช่น line group โดยเชื่อว่าการเตือนสติพร้อมกับให้ความรู้ก่อให้เกิดสติปัญญา และสติปัญญาก่อให้เกิดความไม่ประมาท ดังนั้น จึงถ่ายทอดทัศนคติ ความรู้และ mindset การเงินการลงทุนแก่สมาชิกในครอบครัวพร้อมกันไปด้วยเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน   เป็นบุคคลต้นแบบ (Role Model) ด้านการเงินการลงทุนแก่สมาชิกในครอบครัว ใช่หรือไม่ ถ้าตอบ “ใช่” คุณเชื่อว่า “ทำสิ่งที่ถูก ไม่ใช่เพราะพูดให้ฟัง แต่เพราะทำให้ดู” จึงเป็นบุคคลต้นแบบที่ถ่ายทอดทัศนคติและความรู้การเงินด้วยการทำให้ดูด้วย แต่ผลวิจัยโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนมกราคม 2565 เรื่อง “พฤติกรรมเชิงลึกและไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่” พบว่า บุคคลต้นแบบในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนของกลุ่มประชากร คือ พ่อแม่และบุคคลในวงการบันเทิง แต่ถ้าเป็นกลุ่มประชากรออนไลน์ผู้ใกล้ชิดบริการของตลาดหลักทรัพย์ฯ บุคคลต้นแบบกลับกลายเป็น นักธุรกิจต่างประเทศและกูรูด้านการลงทุน จึงเป็นข้อที่ท่านควรเข้าใจพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในครอบครัวด้วย อนึ่ง บางกรณี เช่น เมื่อบุตรเรียนจบ (และน่าจะทำงานแล้ว) ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาก็จะไม่มีแต่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น บุตรไม่ทำงาน ออกจากงาน ขาดรายได้ ขอเงินลงทุน ลงทุนผิดพลาดหรือก่อหนี้สิน อาจจะมาขอความช่วยเหลือด้านการเงิน จึงควรเฝ้ามองหาทางป้องกันหรือหาทางออกให้ด้วยเช่นกัน เฉลยและสรุป ถ้าคุณตอบ “ใช่” ทุกข้อ คุณและครอบครัวดำเนินชีวิตตามหลักการ 5 ข้อของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ มีความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี  มีความรู้และคุณธรรม อย่างไรก็ตาม ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อความมั่งคั่ง ต้องติดตามสถานการณ์การเงิน ทบทวนแผนการเงิน และหาช่องทางใหม่ ๆ ในการบริหารการเงินในครอบครัว (Family Finances) เพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินและเป้าหมายชีวิต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1389887

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดทัพนวัตกรรมโซลูชันส์ด้านสุขภาพและการเงิน ตอบโจทย์ลูกค้าแบบครบวงจร ในงาน Thailand InsurTech Fair 2023

30/04/2024

กรุงเทพฯ 8 กันยายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิต สุขภาพ และยูนิต ลิงค์ จัดทัพนวัตกรรมโซลูชันส์ที่พร้อมดูแลคนไทยทั้งในด้านสุขภาพ โรคร้ายแรง และด้านการวางแผนการเงิน ร่วมงาน Thailand InsurTech Fair 2023 มหกรรมเทคโนโลยีประกันภัยยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ซึ่งมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายโยฮัน ดีทอย (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน นายดำรงศักดิ์ ขุนทอง (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาค 2 นางสลักจิต นิลประเสริฐศักดิ์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางการขาย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก นางสาวธีรนุช ทำนุพันธุ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และบริหารสำนักงานตัวแทนประกันชีวิต และ นพ.ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ (ซ้ายสุด) เป็นตัวแทนร่วมในพิธีเปิดบูธเอไอเอ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วยคณะ เป็นประธานในพิธีสำหรับงานครั้งนี้ เอไอเอ ได้นำนวัตกรรมโซลูชันส์ที่ครบวงจรมานำเสนอแก่ลูกค้า เพื่อส่งมอบการดูแลที่ดีที่สุดให้กับคนไทย กับแบบประกันที่ได้รับความนิยม อาทิ ‘AIA Health Saver’ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ และ‘AIA Multi-Pay CI’ ประกันโรคร้ายแรงแบบจ่ายผลประโยชน์หลายครั้ง พร้อมด้วยประกันรูปแบบใหม่ที่ให้เงินคืนจากการดูแลสุขภาพคุ้มถึง 3 ต่อ[1] อย่าง ‘AIA Vitality Unit Linked’ ซึ่งมาพร้อมความคุ้มครองครบทั้งชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง อีกทั้งยังได้รับโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้สนุกกับทุก Content ของชีวิต พิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อแบบประกันเอไอเอภายในงาน จะได้รับโปรโมชันแบ่งจ่าย 0% นาน 7 เดือน[2] เมื่อชำระเงินผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ หรือบัตรเครดิต KTC และสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) หรือสามารถเลือกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท[3] ต่อกรมธรรม์[4] เมื่อสมัครบริการหักบัญขีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) ผ่านบัตรเครดิตทุกธนาคาร หรือผ่านการหักบัญชีธนาคาร  นอกจากนี้ เอไอเอ ยังขอเชิญชวนมาร่วมสนุกกับกิจกรรมมากมายภายในบูธ เช่น ถ่ายรูปสุดชิคที่ Photo Booth เพื่อรับกระเป๋า Amenity สีสันสดใส กิจกรรมตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี และปรึกษาด้านโภชนาการ เพื่อรับคะแนนเอไอเอ ไวทัลลิตี้ สูงสุด 5,000 คะแนน[5] พร้อมของที่ระลึกสุดเก๋ อีกทั้งยังจะได้พบกับโชว์พิเศษจาก ‘ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี’ AIA Health Saver Ambassador ในวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 14.15 น. เป็นต้นไปงาน Thailand InsurTech Fair 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 10 กันยายน 2566 ณ อิมแพ็คเอ๊กซิบิชัน ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถมาเลือกแบบประกันที่ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ พร้อมรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพได้ที่บูธเอไอเอ  หมายเหตุ: [1] เงินคืนจากค่าการประกันภัยซื่งคิดเป็นอัตราร้อยละของค่าการประกันภัยมาตรฐานในแต่ละปีกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระแล้วโดยค่าการประกันภัยมาตรฐานหมายถึงค่าการประกันภัยมาตรฐานสำหรับระดับภัยมาตรฐานหลังหักส่วนลดค่าการประกันภัยตามบันทึกสลักหลังใด ๆ (ถ้ามี) โดยไม่รวมถึงค่าการประกันภัยเพิ่มสำหรับภัยต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากสุขภาพและหรืออาชีพ ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าการประกันภัยที่ได้รับการยกเว้นจากผลประโยชน์ตามกรมธรรม์และหรือสัญญาเพิ่มเติมและหรือบันทึกสลักหลังใด ๆ (ถ้ามี)ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ [2] เฉพาะกรมธรรม์ที่มีงวดการชำระเบี้ยประกันภัยแบบรายปี ที่เข้าร่วมรายการเท่านั้น ยกเว้นแบบประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยประกันภัยแบบครั้งเดียว แบบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในกลุ่มยูนิต ลิงค์   [3] สงวนสิทธิ์เฉพาะกรมธรรม์ที่ซื้อผ่านช่องทางตัวแทนที่ได้รับการอนุมัติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2561 และยังไม่เคยสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง (AUTOPAY) เท่านั้น เงื่อนไขเป็นไปตามที่เอไอเอกำหนด และไม่รวมกรมธรรม์ใหม่ที่ร่วมแคมเปญผ่อนชำระ 0% นาน 7 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ [4] ไม่รวมแบบประกันยูนิต ลิงค์ แบบประกันอุบัติเหตุ แบบประกันชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว และแบบประกันที่มีงวดการชำระเบี้ยแบบรายเดือน [5] สิทธิประโยชน์ของสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของเอไอเอ ซึ่งเอไอเอขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่าง ๆ โดยท่านสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน AIA+ หรือเว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/vitality/rewards คำเตือน:  ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง ของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย รับรางวัล “บริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2565” อันดับที่ 1 ควบรางวัล ‘บริษัทประกันชีวิตที่มีความยั่งยืนดีเด่น’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากงาน Prime Minister’s Insurance Awards 2023

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 8 กันยายน 2566 –  เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายโยฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน รับรางวัล ‘บริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2565’ อันดับที่ 1 พร้อมควบอีกหนึ่งรางวัลอันทรงคุณค่า ได้แก่ ‘บริษัทประกันชีวิตที่มีความยั่งยืนดีเด่น ประจำปี 2565’ ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จาก นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี ภายในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2566 (Prime Minister’s Insurance Awards 2023) ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยทั้ง 2 รางวัลถือเป็นความภาคภูมิใจและสะท้อนถึงการบริหารงานที่โดดเด่น มีประสิทธิภาพ และดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงแสดงให้เห็นว่าเอไอเอ เป็นบริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งเป็นปรัชญาที่เอไอเอยึดถือในการดำเนินธุรกิจมาตลอด 85 ปี ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นอกจากนี้ ตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ประเทศไทย จำนวน 10 ท่าน ยังได้เข้ารับรางวัล ‘ตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2565’ ซึ่งประกอบด้วย นางรสรินทร์ ไทยประดิษฐ์ (หน่วยโกรเวอร์ เวลธ์) นายสุปวัจน์ กุฏเงิน (หน่วยฟินแมฟ) นางเกศิณี เพ็ชรแสนงาม (หน่วยทองล้านนา 19) นางสาวชุติมา คันธิก (หน่วยนำทอง 1151) นายชนพัฒน์ มะโนนึก (หน่วยชนพัฒน์) นายสุทธิรักษ์ เถาอั้น (หน่วยประทานชัย 10) นางสาววลัยกร วิชัย (หน่วยวายน์กรุ๊ป 6) นายฑิตถากร ชูเพชร (หน่วยเหรียญทอง 3 บีดี 3) นางสาวสิณีค์ แสงณรงค์ไชย (หน่วยทองล้านนา ยูนีค) และนางสาวทยิดา ฮาวกันทะ (หน่วยครีเอทเวลธ์ 12 ทีที)นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับตัวแทนทั้ง 10 ท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ และขอขอบคุณ คปภ. ที่มอบรางวัลอันทรงคุณค่าถึง 2 รางวัลให้แก่เอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งรางวัลทั้งหมดที่เราได้รับในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เอไอเอต้องรักษามาตรฐานในการดำเนินงาน พร้อมกับมุ่งพัฒนาองค์กรต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อส่งมอบความคุ้มครอง การบริการ และการดูแลที่ดีเยี่ยมให้แก่คนไทยทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากการพัฒนาภายในองค์กรแล้ว เราไม่เคยละเลยที่จะพัฒนาสังคมและชุมชนที่เราอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 85 ปีที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย โดยเรายังคงมุ่งมั่นที่จะดูแลและตอบแทนสังคมไทยต่อไป เพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้ยั่งยืน พร้อมกับส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

5 เคล็ดลับ เริ่มต้นลงทุนตั้งแต่วัยหนุ่มสาว

30/04/2024

เปิด 5 เคล็ดลับ สำรวจดูความพร้อมก่อนลงทุนควรพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง ก่อนจะลงทุนตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ต้องบอกว่าการเรียนรู้เรื่องของการออมเงินถือว่าเป็นการสร้างวินัยอย่างหนึ่งในชีวิต แต่การออมเงินให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บออม เช่นเดียวกันกับการลงทุนที่ต้องใช้เวลา ยิ่งมีเวลามาก ยิ่งสามารถเก็บออมหรือได้เงินจากการลงทุนได้มากขึ้น ดังนั้น การเริ่มลงทุนตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่สำคัญและควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อวางแผนการเงินที่ดีในระยะยาวและมีความสม่ำเสมอ ฉะนั้นยิ่งเริ่มลงทุนเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งสะสมเงินที่ได้จากการลงทุนมากขึ้น “ประชาชาติธุรกิจ” พาเช็กลิสต์ก่อนจะลงทุน ลองสำรวจดูความพร้อมก่อนลงทุนต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง เพราะเงินที่จะนำมาลงทุนนั้นควรเป็นเงินเย็นหรือเงินที่ไม่ต้องใช้ทำอะไรในระยะเวลาอันใกล้ รู้การเดินทางของเงิน เมื่อเงินเดือนออก รู้หรือไม่ว่าต้องโดนหักค่าอะไรไปบ้าง เช่น ประกันสังคม เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่ายอาจตอบไม่ได้ ดังนั้น ในเบื้องต้นควรจดบันทึกเพื่อดูพฤติกรรมตัวเองและสร้างวินัยด้านการใช้จ่าย หากมีเงินเหลือ แปลว่า ใช้น้อยกว่าที่หาได้ เมื่อเงินเหลือก็ต้องตั้งเป้าว่าสามารถนำมาเก็บออมหรือลงทุนได้เท่าไร เช่น มีเงินเหลือเดือนละ 2,000 บาท ตั้งใจแบ่งมาเก็บออมสม่ำเสมอเดือนละ 1,000 บาท ข้อแนะนำควรหักเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนเพื่อนำไปเก็บออมหรือลงทุน แต่หากพบว่าในแต่ละเดือนไม่มีเงินเหลือก็อย่าเพิ่งคิดเรื่องลงทุน ควรตรวจสอบการเดินทางของเงินก่อนว่าทำไมเงินถึงไม่เหลือ และเมื่อรู้ปัญหาก็รีบแก้ไข เช่น ซื้อของฟุ่มเฟือย ช็อปปิ้งออนไลน์ทุกสัปดาห์ ก็ต้องลด ละ เลิก เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน สิ่งสำคัญประการหนึ่งก่อนแบ่งเงินไปลงทุน คือ ควรจัดการเงินขั้นพื้นฐานให้แข็งแรง เช่น เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน ซึ่งควรมีเริ่มต้น 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยเงินส่วนนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพื่อให้เบิกใช้ได้ง่ายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ขาดรายได้ชั่วคราว ซ่อมแซมบ้านเนื่องจากน้ำท่วม โดยแนะนำว่า ก่อนนำเงินไปลงทุน เงินออมก้อนแรกที่ควรมี คือ เงินสำรองฉุกเฉิน เรียนรู้หนี้ ช่วงวัยหนุ่มสาวหรือวัยที่ก้าวเข้าสู่โลกการทำงานไม่นาน เป็นช่วงที่หลายคนอาจเริ่มก่อหนี้ ดังนั้น ควรเรียนรู้การบริหารจัดการหนี้ โดยเฉพาะการก่อหนี้บัตรเครดิต เพราะง่ายและสะดวกในการใช้จ่ายแทนเงินสด แถมมีความคุ้มค่าจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด เครดิตเงินคืน รวมถึงมีระบบผ่อนจ่ายแบบสบาย ๆ ดังนั้น หากใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี มีวินัย ก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์ในด้านการบริหารการเงินได้เป็นอย่างดี เมื่อตรวจสอบทุกอย่างและพบว่าพร้อมลงทุน ก็เข้าสู่ขั้นตอนการลงทุน ดังนี้ ㆍตั้งเป้าหมายการลงทุน ควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจนว่าจะลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อการเกษียณ เพื่อการศึกษาลูก เพื่อซื้อบ้าน เพื่อแต่งงาน เป็นต้น อีกทั้งควรระบุรายละเอียดด้วยว่าเป้าหมายดังกล่าวมีมูลค่าเท่าไร ใช้ระยะเวลากี่ปีในการเก็บเงิน เช่น มีเป้าหมายเก็บเงินเพื่อดาวน์บ้าน 300,000 บาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือเก็บเงินแต่งงานให้ได้ 200,000 บาท ภายในเวลา 8 ปีข้างหน้า เป็นต้น เมื่อมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน จากนั้นต้องมาคำนวณเม็ดเงินลงทุนที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายทางการเงิน ㆍรู้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แม้เราจะเคยได้ยินว่ายิ่งอายุน้อยยิ่งสามารถรับความเสี่ยงได้มาก แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปสำหรับทุกคน เพราะความสามารถและความเต็มใจในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นวัยรุ่นและเพิ่งเริ่มต้นทำงานก็ควรทำความเข้าใจระดับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองก่อนว่า ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ปานกลาง หรือสูง และเมื่อรู้ระดับความเสี่ยงแล้ว ก็จะได้สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทและผลตอบแทนคาดการณ์ของพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ㆍกระจายความเสี่ยง นอกจากความพยายามในการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงที่สุด ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุนด้วย ดังนั้น นักลงทุนต้องพยายามลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น หากสามารถบริหารการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ (Portfolio) ให้มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดและมีความเสี่ยงหรือความผันผวนในผลตอบแทนต่ำที่สุด เรียกได้ว่านักลงทุนสามารถบริหารหรือถือครองกลุ่มสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ㆍอย่ามองข้ามผลประโยชน์ทางภาษี แม้การประหยัดภาษีอาจเป็นประเด็นรองจากการแสวงหาผลตอบแทน แต่การเลือกเครื่องมือลงทุนที่ได้ประโยชน์ทางภาษีก็เป็นข้อได้เปรียบด้วย ทางเลือกหนึ่งของการเก็บออมที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์เงินเดือน คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็นหลักประกันให้กับลูกจ้างให้มีเงินใช้หลังเกษียณ ดังนั้น หากเริ่มต้นสะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่เริ่มทำงานก็จะเป็นเครื่องมือที่พาไปสู่การเกษียณสุขได้ไม่ยาก แต่หากประกอบอาชีพอิสระหรือที่ทำงานไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ㆍลงทุนอย่างสม่ำเสมอ วิธีการลงทุนแบบหนึ่งที่เหมาะกับวัยหนุ่มสาวที่ต้องการลงทุนระยะยาว คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกไม่ยุ่งยากซับซ้อนและเห็นผลได้จริง เพราะข้อดี คือ ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน อีกทั้งการลงทุนแบบ DCA ยังส่งเสริมให้พัฒนาวิธีคิดแบบนักลงทุนอีกด้วย เพราะต้องวิเคราะห์ ติดตามผลการดำเนินงาน และต้องตัดสินใจในการลงทุนอีกด้วย ㆍข้อควรรู้ ทุกวันนี้มีช่องทางการลงทุนให้เลือกมากมายและสามารถลงทุนได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในขณะเดียวกันอาจจะได้ยินกระแสข่าวการหลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการแอบอ้างผู้มีชื่อเสียงเพื่อชักชวนให้ลงทุนหรือชักนำด้วยผลตอบแทนสูง ดังนั้น นอกจากต้องศึกษาทำความเข้าใจเครื่องมือการลงทุนแต่ละประเภท หมั่นหาความรู้รอบตัวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ยังต้องเพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบแหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือก่อนลงทุนด้วย ข้อมูลบทความจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1386088

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ประกันควบการลงทุน เปรียบเสมือนกาแฟ 3 in 1 มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?

30/04/2024

บทความโดย “สกา เวชมงคลกร” นักวางแผนการเงิน CFP®วันที่ 5 กันยายน 2566 ปัจจุบันการซื้อประกันควบการลงทุนเป็นที่แพร่หลายในเมืองไทยมากขึ้น เรามาสำรวจและทำความรู้จักในส่วนของแบบประกันนี้เพื่อให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนการตัดสินใจซื้อถ้าจะถามว่าใครเหมาะกับแบบประกันควบการลงทุนนี้ ต้องดูถึงเป้าหมายและสถานะว่าคน ๆ นั้น มีภาระมากเพียงใด แต่จริง ๆ แล้วความโดดเด่นของแบบประกันควบการลงทุนนี้ มันคือการเก็บออม ประกัน และ ลงทุน ในหนึ่งเดียว เปรียบเสมือนเป็นกาแฟ 3 in 1 ที่กลมกล่อม เพราะข้อดีก็มีหลายด้าน แต่ก็มีข้อพึงระวังก่อนตัดสินใจซื้อเช่นเดียวกัน10 จุดเด่นที่เป็นประโยชน์1. ได้ทุนประกันสูงตั้งแต่เริ่มออม เหมาะสำหรับหัวหน้าครอบครัว หรือคนที่มีภาระต่าง ๆ เพราะเป็นแบบเดียวที่ได้ทุนประกันสูงมากถึง 280 เท่า หรือ 300 เท่า ในบางบริษัทและบางอายุ เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ส่งเป็นรายปี2. มีความยืดหยุ่นในกรมธรรม์สูง หมายความว่า ในอนาคตหากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันในบางช่วงได้ สามารถใช้สิทธิหยุดพักชำระหรือ Premium Holiday โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบรายสามัญทั่วไป3. ออมเป็นรายเดือนได้ด้วยเบี้ยประกันที่เท่ากับรายปี มนุษย์เงินเดือนทุกคนสามารถเริ่มต้นเก็บออม ลงทุน และยังได้ทุนประกันชีวิตด้วย4. เงินก้อนสามารถแปลงร่างเป็นเงินฉุกเฉินในอนาคตได้ ในส่วนของมูลค่า Account Value ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจากทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน หากเกิดเป็นโรคร้ายแรง หรือต้องการใช้เงินก้อนฉุกเฉิน สามารถถอนในส่วน Account Value นี้ออกไปได้ และยังคงได้รับความคุ้มครองชีวิตตามเดิมหากมูลค่า Account Value ที่เหลือยังคงเพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อไป5. ยามเกษียณก็สามารถทยอยถอนเงินออกมาใช้ได้ โดยถอนออกจากมูลค่าบัญชีกรมธรรม์ที่สะสมมา ตามเป้าประสงค์ที่ต้องการในอนาคต เช่น ต้องการได้เงินก้อนบำเหน็จ หรือต้องการถอนเงินเป็นแบบรายได้ประจำทุกเดือน หรือต้องการถอนมาเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ ก็สามารถเลือกได้เอง6. สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติม สุขภาพ โรคร้ายแรง หรือทุพพลภาพ ที่เป็นการจ่ายเบี้ยคงที่ไปในแบบประกันควบการลงทุนได้ ซึ่งข้อดีคือเลือกจำนวนปีที่ต้องการจ่ายเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองได้ เช่น ออมเงิน 15 ปี แต่สามารถคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรงและทุพพลภาพไปได้จนอายุ 70 ปี เป็นต้น7. ในหลาย ๆ ที่มีโบนัสให้ หากออมอย่างต่อเนื่องทุกเดือนไม่ขาด ทำให้ได้รับโบนัสอีกก้อนจากการลงทุนในแบบประกันควบการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มวินัยการออมให้เราลงทุนแบบต่อเนื่อง8. สามารถนำเอาแบบประกันควบการลงทุนเป็นหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงตามแผนการเงินได้ ในส่วนของความคุ้มครองด้านต่าง ๆ เงินที่สะสมในส่วนของการลงทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินก้อนในรูปแบบต่าง ฟ ในเวลาที่ต้องการมากที่สุดเช่น เราอาจจะใช้สิทธิเลือกถอนเงินจาก Account Value เป็นเงินก้อน หากเราเป็นโรคร้ายแรงเพื่อนำมารักษาตัว และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รายเดือนต่อไป ซึ่งหากต่อมาเกิดเสียชีวิตก็ยังได้ทุนประกันชีวิตตามเดิมส่งต่อให้ผู้รับประโยชน์ตามเจตนาของผู้เอาประกัน9. สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ ไปลดภาษีได้ เช่น ค่า Premium Charge ค่าการประกันภัย ค่าบริหารและจัดสรรกรมธรรม์แบบรายเดือน ได้ในทุก ๆ ปี ตลอดการถือสัญญาประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งหากเราหยุดชำระเบี้ยแล้ว แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราสามารถนำเอารายจ่ายส่วนนี้ไปลดหย่อนภาษีในอนาคต โดยที่ไม่ต้องชำระเบี้ยอีกต่อไป10. สามารถเลือกจำนวนปีที่ต้องการชำระเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครอง ตามความเหมาะสมและจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิตในอนาคต หากมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายทางการเงิน สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม เช่น เลือกจำนวนปีที่ต้องการคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 60 ปี หากไม่เกิดอะไรขึ้น ก็สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนบำเหน็จในวัย 60 ปีสามารถเพิ่มหรือลดทุนประกันชีวิตได้ในอนาคต เช่น ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงาน ช่วงการเป็นหัวหน้าครอบครัว จะมีภาระเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินต่าง ๆ หนี้บ้าน หนี้รถ หรือทุนการศึกษาบุตร หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสัก 20 ปี ภาระเหล่านี้ก็ลดลง ลูกเรียนจบทำงานแล้ว หัวหน้าครอบครัวก็สามารถลดทุนประกันชีวิตตามภาระที่ลดลงได้คนที่เหมาะสมประกันควบการลงทุนคนที่เหมาะกับแบบประกันควบการลงทุน คือคนวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องการทั้งเก็บออม ประกัน ลงทุน ไปพร้อม ๆ กัน และด้วยข้อดีที่สามารถทยอยออมเป็นรายเดือนได้ โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนประกันชีวิตแบบรายสามัญธรรมดาทั่วไป การจ่ายเบี้ยรายเดือนหรืออาจจะมองในอีกมุมเป็นการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) หรือแบบกระจายเงินลงทุนแบบสม่ำเสมอ เพื่อให้กระจายความเสี่ยงไปในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ในทุกๆ เดือนสร้างวินัยในการเก็บออมได้ ซึ่งจากข้อดีที่ควรเป็นประกันชีวิตเริ่มต้นของคนวัยทำงานที่ตอบสนองได้ครบทั้ง ประกันชีวิต เก็บออม และลงทุน ในบางปีที่เกิดขัดสนเรื่องการเงิน ไม่สามารถชำระเบี้ยในช่วงนั้นได้ เราก็มีสิทธิที่จะเลือกขอใช้สิทธิการหยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday) โดยยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิมแต่ต้องศึกษาให้ดีในส่วนของเงื่อนไขในแต่ละบริษัทว่าจะกำหนดว่าขั้นต่ำของการจ่ายชำระเบี้ยในช่วงแรกนั้นกี่ปี จึงจะสามารถใช้สิทธิหยุดพักชำระเบี้ยนี้ได้ ความยืดหยุ่นของกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุนเป็นทางเลือกที่ทุกคนควรศึกษาเอาไว้อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ตนพึงมีอย่างไรก็ดี ก็มีข้อพึงทราบและข้อควรที่พึงรู้อีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เรื่องอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความไม่แน่นอน หากตลาดผันผวนและผลตอบแทนไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ ต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทันกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และหัวข้อด้านอื่น ๆ ดังนี้1. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีผลต่อแบบประกันชีวิตควบการลงทุน2. ผลตอบแทนไม่แน่นอนตามความผันผวนของตลาด3. แผนต้องมีการปรับตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป4. จำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้5. หากมีการแนบซื้อสัญญาเพิ่มเติมเข้าไป ต้องคำนวณถึงอัตราค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ว่าจะคุ้มครองอยู่ได้จนถึงกี่ปี อาจมีความเสี่ยงที่คุ้มครองไปจนชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วมูลค่าบัญชีกรมธรรม์หมดในช่วงอายุ 70 กว่า ๆ ก็จะทำให้หาซื้อประกันสุขภาพอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ลำบาก โดยเฉพาะหากเป็นโรคร้ายหรือโรคเรื้อรังใด ๆ มาก่อนหน้า6. การซื้อประกันควบการลงทุนอาจจะไม่ได้เหมาะเป็นแผนการถอนเงินเกษียณได้ทั้งหมด เพราะในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย เพราะหลังจากอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันภัยเพิ่มขึ้น (Cost of Insurance)ประกันควบการลงทุนจึงเหมาะกับแต่ละ Lifestyle ในแต่ละช่วง Life Stage ของชีวิต ที่จะสร้างความคุ้มครองได้มากกว่าแบบประกันทั่วไป หากต้องการวางแผนการถอนเงินเกษียณ อาจจะต้องมีการปรับทุนประกันชีวิตให้ลดลงต่ำสุด เมื่ออายุเรามากขึ้นแล้วสรุปควรซื้อประกันควบการลงทุนหรือไม่ หรือควรซื้อแยกเป็นประกันชีวิตกับกองทุนไปเลย จริง ๆ ก็ต้องตามถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อว่ามีเป้าหมายทางการเงินด้านไหน ห่วงหรือกังวลในด้านอะไรมากที่สุด หากเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องการทุนประกันชีวิตสูง ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสมหากเป็นนักธุรกิจ ที่มีภาระหนี้สินสูง ต้องการทำทุนประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นอีกทางเลือกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากทุนประกันชีวิตที่สูงได้ หรือเป็นคนโสดที่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พ่อแม่ก็อาจจะลำบาก ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสมในวัยเริ่มต้นทำงานก็สามารถเลือกประกันควบการลงทุนเป็นประกันชีวิตเล่มแรกที่ได้ทั้ง ประกัน เก็บออม และลงทุนดังนั้นสามารถเลือกประกันควบการลงทุนเป็นทางเลือกในเริ่มต้นซื้อประกันชีวิต เพื่อให้ได้ความคุ้มครองคือค่าความสามารถในการหารายได้ที่มากพอ (Earning Ability) ด้วยการออมรายเดือนที่ไม่มากนักดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อประกันชีวิตควบการลงทุน ควรศึกษาให้ดีอย่างถ่องแท้ถึงลักษณะ ข้อดี ข้อเสีย จุดที่ต้องพึงระวัง เพื่อทราบถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่พึงมี ไว้เป็นทางเลือกก็น่าจะทำให้ตอบโจทย์ได้หลากหลายมิติจากเงินก้อนเดียวที่ทยอยเก็บออมเป็นรายเดือน และก็ต้องซื้อกับตัวแทนประกันชีวิตที่มีใบอนุญาตในการขายถูกต้องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1384824

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ภาวะ ‘Money Dysmorphia’ ตั้งหน้าตั้งตา ‘เก็บเงิน’ จนเครียด มีเงินก็ไม่ยอมใช้

30/04/2024

การตั้งเป้าเก็บเงินและมีเงินเก็บสำรองไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราเอาแต่เก็บเงินจนไม่ได้ใช้ชีวิต และมีความรู้สึกว่าเก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอ แบบนี้อาจเข้าข่ายภาวะ “Money Dysmorphia” (มันนี ดิสมอร์เฟีย) หรือพฤติกรรมที่เอาแต่เก็บเงินจนเครียด คนส่วนใหญ่มักตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อดูแลสุขภาพในอนาคต เพื่อเป็นเงินเก็บสำรองยามฉุกเฉิน หรือเพื่อเป็นเงินเกษียณไว้ใช้ในยามแก่ชรา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคมส่วนใหญ่มักจะเริ่มวางแผนการเงินเอาไว้ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน  แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่รู้สึกว่า “เก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอ หรือมีเงินเก็บเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่กล้าใช้ ไม่กล้าซื้อของให้ตัวเอง ไม่กล้านำเงินไปใช้จ่ายกับการท่องเที่ยวหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง” ใครที่กำลังติดอยู่ในความคิดเหล่านี้และเริ่มมีนิสัยการเก็บเงินแบบสุดโต่ง รู้ไว้ว่าคุณอาจกำลังเข้าข่ายภาวะ Money Dysmorphia การมีเงินเก็บจำนวนมากอาจเป็นเรื่องดีสำหรับใครหลายคน เพราะถือว่ามีอิสระทางการเงิน สามารถแบ่งเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นได้บ้าง แต่กับผู้ที่มีภาวะ “Money Dysmorphia” หรือ “อาการเก็บเงินจนเครียด” พวกเขาจะไม่ยอมนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลย ซึ่งในบางครั้งก็อาจไม่กล้าใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นเสียด้วยซ้ำ เช่น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี หรือซื้ออาหารที่มีคุณภาพสูงที่มีราคาสูงตามไปด้วย เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและเลือกที่จะเก็บเงินไว้ดีกว่า จนนำไปสู่ความเครียดเนื่องจากไม่กล้าใช้จ่ายอะไรเลยในที่สุด ㆍสาเหตุหลักของภาวะ Money Dysmorphia ภาวะ Money Dysmorphia มักจะเกิดกับผู้ที่มีเงินเก็บเพียงพออยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานะทางการเงินแม้ว่าจะมีเงินเก็บมากพออยู่แล้ว ซึ่งสาเหตุหลักของภาวะดังกล่าวสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1. กังวลกับสถานะทางการเงิน กลุ่มคนที่เริ่มเข้าข่ายภาวะ Money Dysmorphia นั้น ส่วนมากมักจะกังวลกับสถานะทางการเงินในอนาคตของตัวเองมากเกินไป เช่น กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าตัวเองจะมีเงินเก็บสำรองในส่วนนี้มากพอแล้วก็ตาม 2. กดดันตัวเองมากเกินไป ปัจจุบันหลายคนเริ่มหันมาเก็บเงินทีละมากๆ ในแต่ละเดือน เพื่อความสะดวกสบายในชีวิตหลังเกษียณ และในปัจจุบันหลายคนเลือกจะเกษียณตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คนที่มีภาวะ Money Dysmorphia อยู่แล้ว ก็ยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยิ่งไม่กล้าใช้เงินเพื่อความสุขของตัวเองมากขึ้น 3. มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน หากใครที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับการเงินในอดีต เช่น เคยมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะทยอยจ่ายจนหมด เคยติดหนี้บัตรเครดิต ติดเครดิตบูโร หรืออาจเคยอยู่ในครอบครัวที่ยากจนมาก่อนจนมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก เป็นต้น ㆍภาวะ “สุขภาพจิต” ที่เกี่ยวกับ “การเงิน” ยังมีอีกหลายประเด็น นอกจากภาวะ Money Dysmorphia ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในทางอ้อมเนื่องจากกดดันตัวเองจนเครียดแล้ว ยังมีภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินและอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น - โกหกหรือปกปิดเรื่องเงินกับคนในบ้าน พฤติกรรมนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาครอบครัวได้ในอนาคต เนื่องจากคู่รักหลายคู่มักปกปิดปัญหาด้านการเงินกับอีกฝ่าย และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขได้เนื่องจากปัญหามีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีปัญหาครอบครัวตามมา โดยเฉพาะการหย่าร้าง  - พยายามลืมปัญหาทางการเงิน คนที่มีอาการนี้มักจะเป็นคนที่กำลังมีปัญหาด้านการเงิน แต่พยายามหลอกตัวเองว่ายังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้จะมีเงินสำรองจ่ายน้อยหรืออาจจะไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ ทำให้คนเหล่านี้มักจะชำระหนี้ช้ากว่ากำหนด หรือมีเงินไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ทำให้ตัวเองมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น - เสพติดการใช้เงิน เป็นอาการที่ตรงกันข้ามกับภาวะ “เก็บเงินจนเครียด” โดยคนที่มีอาการนี้มักจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ใช้จ่ายเงิน โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าสินค้าและบริการเหล่านั้นมีความจำเป็นหรือไม่ และที่สำคัญไม่ได้ประมาณรายจ่ายของตัวเองว่าจะมีเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินหรือไม่ ในบางคนอาจจะใช้จ่ายเพื่อแก้เครียดหรือแก้เบื่อ แต่สำหรับบางคนอาการนี้คือจุดเริ่มต้นของอาการทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือ ไบโพลาร์ แม้ว่าการมีเป้าหมายในการ “เก็บเงิน” และประมาณรายจ่ายของตัวเองจะเป็นเรื่องดีและมีความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมสังคมปัจจุบัน แต่ความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะอะไรที่ตึงเครียดจนเกินความพอดีย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวันได้ อ้างอิงข้อมูล : Timevalue Millionaire, Billionmoney และ Brandinside แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/1067995

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X