คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

บันได 4 ขั้น สู่การออม กับเทคนิคบริหารเงิน ฉบับเงินเดือนหมื่นห้า

30/04/2024

ส่องเคล็บลับการบริหารเงินเดือน 15,000 บาท ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยสินค้าล่อตาล่อใจ และค่าของชีพที่แพงขึ้นโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ทำอย่างไรจะมีเงินออม และแบ่งเงินไปลงทุนได้ กับ 6 นิสัยที่ต้องลด ละ เลิก ㆍปัจจุบัน คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจการลงทุนและการออมมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากเพิ่งเริ่มทำงานแล้วได้เงินเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท สามารถออมเงินได้ ด้วยการวางแผนทางการเงิน ㆍทำความรู้จัก 'Nudge Theory' ทฤษฎีผลักดัน ของ ดร. ริชาร์ด เอช. เธเลอร์ ที่ช่วยดีไซน์ทางเลือกไม่ใช่การบังคับ เพื่อให้เดินสู่เป้าหมายได้แบบไม่กดดันมากนัก ㆍพร้อมด้วย 4 เทคนิคการแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน ด้วยหลัก 50 : 20 : 20 : 10 ที่จะช่วยให้เรามีทั้งเงินสำหรับใช้จ่ายที่จำเป็น ค่าใช้จ่ายสร้างความสุข การออม และลงทุน ในยุคที่ข้าวของแพงขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ที่หลายคนต้องใช้จ่ายไปกับค่าเช่าห้อง ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าข้าวของเครื่องใช้ อีกทั้ง ความจำเป็นของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน แล้วหากเราเพิ่งเริ่มทำงานและได้ เงินเดือน 15,000 บาท แต่อยากมีเงินออม หรือ ต้องการลงทุนจะทำอย่างไร บันได 4 ขั้น สู่การออม ข้อมูลจากเว็บไซต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยกตัวอย่าง แนวคิดการเก็บเงิน 'Nudge Theory' หรือทฤษฎีผลักดัน ของ ดร. ริชาร์ด เอช. เธเลอร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2560 ที่จะเป็นตัวช่วยเก็บให้เราสามารถเก็บเงินได้ โดยไม่กดดันมากนัก Nudge Theory เป็นการดีไซน์ทางเลือกไม่ใช่การบังคับ เพื่อให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ คนเราโดยปกติแล้วไม่ค่อยจะได้คิดถึงเป้าหมายในระยะยาว คิดถึงแต่เพียงเป้าหมายในระยะสั้น ๆ การเก็บเงินเหมือนเป็นการบีบบังคับใจ จึงทำให้หลายคนรู้สึกเครียดจนเกินไปจึงทำไม่บรรลุเป้าหมาย แต่ทฤษฎีนี้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการเก็บเงิน เพื่อให้เก็บสำเร็จนั่นเอง โดยมี 4 ขั้นตอน คือ ให้รางวัลตัวเอง ทำดีต้องมีรางวัล การสร้างแรงบันดาลใจในการเก็บเงิน คือ การให้รางวัลตัวเอง ด้วยการกำหนดรางวัลเอาไว้ หากสามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายจะให้รางวัลนั้นกับตัวเอง ยกตัวอย่าง ตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน ไม่ต้องยิ่งใหญ่มากมาย เช่น เก็บเงินให้ได้เดือนละ 2,000 บาท หากเก็บได้ครบ 1 ปี จะให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของที่อยากได้ 1 ชิ้น ในงบไม่เกิน 4,000 บาท เป็นต้น เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อก้าวสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น เมื่อมีการตั้งเป้าหมายในทุกๆ เดือน เดือนละ 2,000 บาท ต้องมีการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น จากที่เคยนัดเพื่อนไปปาร์ตี้สังสรรค์ เดือนละครั้ง อาจต้องเปลี่ยนเป็นนัดสองเดือนครั้ง หรือเปลี่ยนจากปาร์ตี้ มาทำกิจกรรมอย่างอื่น ร่วมกันที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าใช้จ่ายน้อยแทน แยกเงินออกเป็นส่วนๆ แล้วทำรายการบัญชีแยก การเก็บเงินให้สำเร็จ ต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการที่ดี โดยการแยกเงินออกเป็นสัดส่วนให้ชัดเจน อาจแยกออกเป็นแต่ละบัญชีเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เช่น บัญชีเงินเก็บ บัญชีค่าใช้จ่ายรายเดือน บัญชีเก็บเงินไว้เป็นเงินลงทุน จะได้ไม่ปนกัน และไม่เผลอไปเอาเงินเก็บมาใช้จ่าย ตรวจดูยอดเงินสม่ำเสมอ จะได้ไม่เผลอใช้จนหมด การเช็กยอดเงินคงเหลือในบัญชีเป็นสิ่งที่เราพึงกระทำให้เป็นนิสัย จะได้ไม่เผลอใช้เงินซื้อของฟุ่มเฟือยหรือของไม่จำเป็น โดยส่วนที่เป็นเงินเก็บควรแยกออกมาเก็บไว้ในบัญชีเงินเก็บตั้งแต่ต้นเดือน โดยใช้วิธีการหักเงินจากบัญชีอัตโนมัติเลยก็ได้ เพื่อไม่ให้ลืมนำเงินเก็บจำนวนนี้เข้าบัญชี เงินเดือน 15,000 อยากลงทุนทำอย่างไร Make by Kbank ได้แนะนำการวางแผนการเงินของคนเงินเดือน 15,000 บาท แล้วอยากมีเงินเก็บพร้อมกับการลงทุนด้วย 4 เทคนิค ดังนี้ 1. รู้จักสัดส่วนของการใช้เงินอย่างถูกต้อง หากต้องการจะเก็บเงินลงทุน ต้องแบ่งสัดส่วนให้เป็น 50 : 20 : 20 : 10 ㆍ50% เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายที่ต้องถูกกำหนดเอาไว้แบบตายตัวแต่ละเดือนเลย เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าเช่าห้อง, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง ฯลฯ ㆍ20% แรกเป็นส่วนของค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้กับตนเอง หรือซื้อในสิ่งที่อยากได้บ้าง เช่น เสื้อผ้า, เกม, ปาร์ตี้สังสรรค์ เพื่อเป็นของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะที่มุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก ㆍ20% แบ่งเงินเป็นสัดส่วนสำหรับการแยกเอาไว้ในบัญชีเก็บด้วยกันกับแฟน หรือจะเก็บคนเดียวก็ไม่มีปัญหา (แยกหลายบัญชีเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ ได้ แต่ต้องไม่ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น) ㆍ10% ส่วนนี้สำหรับไว้ลงทุนตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หรือมีแนวโน้มสร้างผลกำไรได้อย่างดีในอนาคต 2. ใช้ตัวช่วยเพื่อแบ่งเงินออกให้ชัดเจน เมื่อรู้แล้วว่าต้องแบ่งเงินเป็นสัดส่วนอย่างไรบ้าง การมีตัวช่วยดี ๆ สำหรับวางแผนการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น แอปฯ “MAKE by KBank” ที่เป็นตัวช่วยแยกกระเป๋าเงินได้แบบไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าใช้จ่ายประจำวัน, ค่าอาหาร-ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ฯลฯ 3. ศึกษาแนวทางการลงทุนให้ดี การลงทุนมีความเสี่ยง หากอยากลงทุนต้องเริ่มจากถามตนเองว่าถนัดการลงทุนแนวไหนมากที่สุด เช่น หุ้น, กองทุน, ทองคำ, คริปโต ฯลฯ ทั้งนี้ การลงทุนก็ต้องรอผลกำไรในระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน หากไม่แน่ใจว่าวิธีลงทุนแบบไหนเหมาะกับตนเองมากที่สุด สามารถหาข้อมูล หรือเข้าคอร์สที่เกี่ยวข้อง และถามตนเองว่าพร้อมต่อความเสี่ยงดังกล่าวหรือไม่ 4. กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนหลายรูปแบบ การบริหารความเสี่ยงของตนเองให้เป็น หลักง่าย ๆ คือ พยายามเลือกลงทุนกับสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น, กองทุน, คริปโต แต่เงินลงทุนทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 10% ที่ได้แยกเอาไว้ เมื่อได้ผลกำไรก็เปิดบัญชีเก็บด้วยกันแล้วสะสมกำไรเอาไว้ หากขาดทุนก็เอาเงินดังกล่าวมาต่อยอด เมื่อแบ่งเงินเป็นสัดส่วน กระจายความเสี่ยง รวมถึงไม่ทำให้รู้สึกเครียดเกินไป จากนั้นก็ค่อย ๆ เก็บเงินลงทุนกับสินทรัพย์ไปเรื่อย ลด - ละ - เลิก 6 นิสัย เก็บเงินไม่อยู่ ทั้งนี้ นอกจากเคล็ดลับและคำแนะนำในการออมเงิน การแบ่งสัดส่วนเงินแล้ว ยังมีสิ่งที่ควรลด ละ เลิก เพื่อให้เราปรับการใช้เงิน ให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น ข้อมูลจาก ธนาคารทหารไทยธนชาต อธิบายว่า หลายคนคงเคยได้ยินทฤษฎี 21 วัน ของ Dr. Maxwell Maltz ที่กล่าวถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ หากทำสิ่งไหนซ้ำๆ เป็นเวลา 21 วัน จะทำให้ชินกับสิ่งนั้นจนกลายเป็นนิสัย ดังนั้นเมื่อต้องการเปลี่ยนนิสัย หรือพฤติกรรม เราก็สามารถทำได้ด้วยการเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ แล้วรักษาวินัย ให้ครบ 21 วัน แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถนำทฤษฎีนี้มาปรับใช้กับนิสัยทางการเงินได้ เช่น วินัยในการออมเงิน, วางแผนการเงิน, ลงทุน เป็นต้น 1. เลิกใช้เงินก่อน แล้วออมทีหลัง หากคุณเป็นหนึ่งในพนักงานเงินเดือน ที่พอเงินเข้าบัญชีปุ๊บ ก็โอนออกไปใช้จ่ายปั๊บ เหลือเท่าไรค่อยนำมาเป็นเงินเก็บ ให้ลองเปลี่ยนวิธีเป็นการออมเงินทันทีแล้วค่อยใช้ทีหลังแทน จะช่วยให้ออมเงินตามเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น ควรกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการออมในแต่ละเดือนไว้ เพื่อสร้างความสม่ำเสมอ และทำจนเป็นนิสัย เช่น เมื่อเงินเดือนเข้า จะหัก 10% ของเงินเดือนมาเป็นเงินออมทันที เหลือเท่าไรค่อยนำไปใช้จ่าย หรือ เช่น สร้างนิสัยรักการออม โดยการหยอดกระปุกทุกวัน วันละ 100 บาท เป็นต้น 2. เลิกตามกระแส สูญเสียกันไปเท่าไรแล้วกับคำว่า “ของมันต้องมี” ปัจจุบัน โซเชียลมีเดียเข้ามามีผลต่อนิสัยของมนุษย์เป็นอย่างมาก บางทีเห็นเพื่อนในโลกออนไลน์ซื้อของสวย ๆ งาม ๆ จากที่เราไม่เคยอยากได้ อยากมี ก็ไปซื้อตามโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความจำเป็น ทำให้บ่อยครั้งที่เรามักจะหมดเงินไปกับการตามกระแส ดังนั้น ก่อนใช้จ่าย เราควรคำนึงถึงความจำเป็นก่อนเสมอ ให้ซื้อของเพราะต้องใช้ ไม่ใช่เพราะของมันต้องมี 3. เลิกก่อหนี้ โดยไม่จำเป็น หากเป็นคนที่ซื้อของด้วยเหตุผล “ของมันต้องมี” บ่อย ๆ หนึ่งในปัญหาที่มนุษย์เงินเดือนจะเจอกันนั่นคือ หนี้บัตรเครดิต รูดไปก่อน ค่อยจ่ายทีหลัง แต่เอาเข้าจริงไม่มีให้จ่าย หรือมีจ่ายแบบเดือนชนเดือน ซึ่งก็จะทำให้เกิดปัญหาการเงินไม่รู้จบ เพื่อตัดปัญหาเหล่านี้จึงควรเลิกก่อหนี้โดยไม่จำเป็น และรู้จักบริหารเงินอย่างชาญฉลาด เช่น รูดบัตรเครดิตในจำนวนเงินที่ผ่อนไหว, ไม่ใช้จ่ายเกินตัว เป็นต้น 4. เลิกใช้เงินแบบไม่วางแผนอนาคต หลายคนประสบปัญหาเงินเหลือไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือน อาจเป็นเพราะคุณไม่ได้วางแผนการเงิน หรือวางแผนไม่ดีพอ จึงทำให้เหลือเงินไม่พอต่อการใช้จ่าย เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพียงเริ่มทำรายการสรุปค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน จดบันทึกค่าใช้จ่ายรายวัน-รายสัปดาห์ รวมถึงการทำงบการเงินล่วงหน้าเพื่อประเมินรายรับ-รายจ่ายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริหารเงินได้ดียิ่งขึ้น 5. เลิกลงทุนโดยไม่ศึกษาให้รอบคอบ ทุกคนล้วนใฝ่ฝันที่อยากจะมี passive income จึงมักนำเงินเก็บไปลงทุนเพื่อสร้างรายรับ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ต้องสูญเงินไปเพราะไม่ศึกษาการลงทุนให้ดีเสียก่อน ไปลงทุนตาม ๆ กันไปกับคนรู้จัก เพราะการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม จึงควรศึกษาให้ละเอียดด้วยตัวเอง ทำความเข้าใจ พร้อมทั้งศึกษารายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ วางแผนการลงทุนให้รอบด้าน หากต้องการคำแนะนำ ก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 6. เลิกเก็บเงินบัญชีเดียว หากคุณมีบัญชีออมเงิน และบัญชีสำหรับใช้จ่ายเป็นบัญชีเดียวกัน อาจทำให้คุณเผลอใช้เงินเก็บไปโดยไม่รู้ตัวได้ เพราะฉะนั้นจึงควรแยกบัญชีเงินออม และเงินสำหรับใช้จ่ายออกจากกัน รวมถึงควรแยกบัญชีตามจุดประสงค์ในการออมเงิน เพื่อไม่ให้ดึงเงินมาใช้มั่วซั่วอีกด้วย เช่น แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน คือ สำหรับใช้จ่าย, สำหรับออมเพื่อลงทุน และสำหรับออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เป็นต้น อ้างอิง : Make by Kbank , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา , ธนาคารทหารไทยธนชาต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/social/1094009

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย รับรางวัล “Thailand’s Employee Experience of the Year” ประเภทธุรกิจประกันชีวิต จากงาน Asian Experience Awards 2023

18/11/2023

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล เป็นตัวแทนรับรางวัล Thailand’s Employee Experience of the Year ประเภทธุรกิจประกันชีวิต จากงาน Asian Experience Awards 2023 ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ประเทศไทย ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยอดเยี่ยมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่พนักงานในธุรกิจด้านการเงินและการประกันภัย ตลอดระยะเวลา 85 ปีที่ผ่านมา จึงนับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติและน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอไอเอ ประเทศไทย ตลอดจนยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอที่ต้องการดูแลผู้คนทั้งภายในและภายนอกองค์กรด้วยความเข้าใจและความจริงใจ สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

6 ขั้นตอนพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อประกันชีวิต

30/04/2024

หนึ่งในคำถามในใจของใครหลายๆ เมื่อถูกชักชวนให้ทำประกันชีวิต ว่า “ทำไมเราต้องทำประกัน” ไม่เห็นจำเป็นเลย แถมยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่รู้หรือไม่ว่า การทำประกันชีวิตสามารถสร้างวินัยทางการออมเงิน เพื่อเป็นทุนในการดูแลชีวิตของเราได้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี หรือหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็ยังสามารถเป็นทุนหรือมรดกให้กับคนที่อยู่ข้างหลังสามารถนำไปต่อชีวิตหรือเป็นทุนในการดำรงชีวิตต่อไปได้โดยแม้จะไม่มีเสาหลักของบ้านคอยดูแลอยู่ก็ตามเมื่อประกันชีวิต สำคัญอย่างนี้ แล้วจะเลือกยังไงเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน โดยที่ไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำวัน และยังสามารถเก็บออม สร้างผลตอบแทนเพื่อดูแลชีวิตในอนาคตกันได้ เรามาดูคำตอบกัน ….รู้จัก “ประกันชีวิต”เรื่องของประกันชีวิต ประกอบไปด้วย “ผู้เอาประกัน”  ซึ่งได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้กับบริษัทประกันชีวิต  เพื่อซื้อความคุ้มครองหากเสียชีวิต ภายในเวลาที่กำหนด หรือมีอายุยืนยาวไปจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง ที่เรียกว่า “จำนวนเงินเอาประกัน” หรือ “ทุนประกัน” ให้กับ “ผู้รับผลประโยชน์” หรือผู้เอาประกันภัย  ซึ่งปัจจุบันจะมีเงื่อนไขความคุ้มครองให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ทำประกันได้เลือกซื้อตามความต้องการ ซึ่งปัจจุบันกรมธรรม์ประกันชีวิตมีด้วยกัน 4 รูปแบบคือ1. แบบสะสมทรัพย์  ซึ่งเป็นสัญญาประกันชีวิต ที่บริษัทประกันชีวิต จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผุ้รับประโยชน์ใน 2 เงื่อนไข  คือ1.1 เมื่อผู้เอาประกันภัย มีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา1.2 เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาเอาประกันภัยก่อนวันครบกำหนดสัญญา2. แบบตลอดชีพ  โดยเป็นสัญญาประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันตลอดชีวิต ตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต  หรือจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้ผู้เอาประกันภัยกรณีมีชีวิตยืนยาวจนถึงอายุ 99 ปี3. แบบชั่วระยะเวลา  เป็นสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ในระยะเวลาเอาประกันภัย4. แบบบำนาญ  เป็นสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันจะจ่ายเงินงวดอย่างสม่ำเสมอ แก่ผู้เอาประกันภัยตลอดชีพ  หรือเริ่มตั้งแต่ผู้เอาประกันภัยมีอายุตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์6 ขั้นตอนก่อนซื้อประกันชีวิต1. เลือกแบบประกันชีวิต ที่ให้ความคุ้มครอง ตรงกับความต้องการของตนเองมากที่สุด  เนื่องจากปัจจุบันกรมธรรม์ประกันชีวิตสามารถเลือกความคุ้มครองได้หลากหลาย ตามความต้องการของแต่ละคนมากขึ้น2. วางแผนและประมาณการณ์ จำนวนเงิน ที่จะชำระเบี้ยประกันได้ตลอดระยะเวลาชำระ  หากไม่สามารถชำระเบี้ยประกันอาจจะทำให้กรมธรรม์ขาดผลบังคับ  และสิ้นสุดความคุ้มครองและเสียผลประโยชน์ที่ผู้ทำประกันควรจะได้รับ3. กรอกใบคำขอเอาประกันภัย ตามความเป็นจริง4. เมื่อกรอกใบคำขอเอาประกันภัย แล้ว การชำระเบี้ย งวดแรก  ต้องเรียกใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ย ประกันภัยชั่วคราว จากตัวแทนประกันชีวิตเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย5. เมื่อได้รับกรมธรรม์พร้อมกับใบเสร็จรับเงิน แล้วให้ตรวจสอบข้อมูลที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ว่าถูกต้องตรงตามที่แจ้งไว้ในใบคำขอประกันภัยหรือไม่ หากพบความผิดพลาด ต้องรีบแจ้งให้บริษัทประกันเพื่อแก้ไขทันที6. อ่านกรมธรรม์ให้ละเอียด เพื่อศึกษาเงื่อนไข ของกรมธรรม์ทั้งหน้าที่และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับตามเงื่อนไขกรมธรรม์และขอยกเว้นที่กรมธรรม์จะไม่ให้ความคุ้มครอง“เห็นกันหรือไม่ เรื่องของประกันชีวิตไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายๆคน คิดกันแล้ว แต่กลับเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรจะมองข้าม โดยในการชำระเบี้ยประกันชีวิต ควรจะเริ่มต้นด้วยการจ่ายเบี้ยประกันประมาณ 10-20% ของรายได้ปัจจุบันของผู้ทำประกัน  หากในอนาคตมีรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถปรับเพิ่มเบี้ยประกันที่จ่ายเพื่อซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อกำลังซื้อของตนเองและสามารถจ่ายเบี้ยไปจนกว่าจะครบอายุสัญญาได้โดยไม่มีการยกเลิกกรมธรรม์ระหว่างทาง ที่สำคัญ ควรจะเริ่มต้นทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะจะจ่ายเบี้ยถูก รับทุนประกันสูงกว่า เมื่อตัดสินใจเริ่มต้นทำประกันชีวิตในช่วงที่มีอายุมากเพราะต้องจ่ายเบี้ยที่แพงกว่า เพื่อรับความคุ้มครองที่เท่ากับช่วงที่อายุยังน้อย”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2023/35156/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ (Reinvestment Risk)

30/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS] Reinvestment Risk หรือความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ ความเสี่ยงตัวนี้เป็นความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดกันง่าย ๆ แต่บางคนนึกกันไม่ถึง ลองคิดดูว่าถ้าเราลงทุนใน Fixed Income เช่น พันธบัตรแล้ว วันครบกำหนดสัญญา (Maturity Date) จะเป็นวันที่เราจะได้รับเงินต้น (Principal) คืนมา จากนั้นเราก็จะลงทุนใหม่อีกรอบ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Reinvestment ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใหม่อีกรอบนี่อาจจะได้น้อยลงกว่าเดิม เราจะเรียกความเสี่ยงนั้นว่า Reinvestment Risk ลองสมมุติว่ามีพันธบัตรให้เลือกอยู่ 2 ตัว ตัวแรกมีระยะเวลาแค่ 1 ปี (ดอกเบี้ย 5%) ส่วนตัวที่ 2 มีระยะเวลา 10 ปี (ดอกเบี้ย 5%) ถ้าเราต้องการลงทุน 10 ปี ให้ได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ก็จะมี Investment Strategy อยู่ 2 แบบ ดังนี้ – Investment Strategy I : ลงทุนในพันธบัตรตัวแรก แล้วก็วางแผนที่จะ Roll Over (ซื้อทีละปี ไปเรื่อย ๆ) จนครบสิบปี – Investment Strategy II : ลงทุนในพันธบัตรตัวที่สอง แล้วล็อกอัตราผลตอบแทนไป 10 ปี เดาออกใช่หรือไม่ครับว่า Investment Strategy แบบแรกจะมี Reinvestment Risk สูงกว่า (ซึ่งอย่าลืมนะครับว่า Risk นั้นคือสิ่งที่ผันผวนออกจากการประมาณการของเราไว้ ไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้ เราก็เรียกว่าเป็น Risk นะครับ) โดยในทางกลับกัน ถ้ายังจำได้อยู่ว่า Interest Rate Risk จะมีมากกว่าใน Investment Strategy แบบที่สอง (ทั้งนี้ทั้งนั้น เวลาดู Investment Strategy จะต้องดู Risk ทุก ๆ ตัวพร้อมกัน การดูแค่ตัวใดตัวหนึ่งจะทำให้บิดเบือนความเป็นจริง ยังเป็นผลให้ตัดสินใจผิดได้) สินทรัพย์ที่มีระยะการลงทุน (Asset Duration) สั้นกว่าระยะเวลาของการชำระหนี้สิน (Liability Duration) จำต้อง Roll Over (รับเงินต้นมา แล้วก็ลงทุนใหม่ไปเรื่อย ๆ) แล้วถ้าเกิดตอนที่ได้รับเงินต้นคืนมานั้น อัตราดอกเบี้ยเกิดตกลงมา เมื่อเอาไปลงทุนใหม่ก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยลงกว่าเดิม พันธบัตรที่จ่ายคูปอง (Coupon) บ่อย ๆ หรือมาก ๆ ก็มี Reinvestment Risk สูงกว่า พันธบัตรที่ไม่จ่ายคูปอง (Coupon) เนื่องจากตอนที่ได้รับคูปองมาแล้ว ถ้า Reinvestment ได้อัตราผลตอบแทนไม่เท่ากับ Yield To Maturity (IRR ของกระแสเงินสดจากพันธบัตร) ก็คงเสียใจไม่น้อย (แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ตัว เอาคูปองไปฝากแบงก์ไว้เฉย ๆ) ซึ่งเมื่อกล่าวถึง IRR แล้ว ทราบหรือไม่ว่าในการคำนวณ IRR นั้นจะถือว่า Reinvestment Return เท่ากับตัว IRR เอง กลับมาที่บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะรับฝาก เงินคืน (Coupon) กับเงินปันผล (Dividend) จากกรมธรรม์ได้ ซึ่งนิยมระบุคำว่า “การันตี” กันไว้ในสัญญา (แปลว่า ผู้ถือกรมธรรม์มี Reinvestment Risk น้อยลง) แล้ววิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนของกรมธรรม์จากลูกค้าก็เช่นกัน ถ้าใช้สูตรหา IRR เลย จะแปลว่าเรากำลังสมมุติให้ ลูกค้าสามารถ Reinvestment กับเงินก้อนนั้นได้เท่ากับ IRR แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าจะเอาเงินไปฝากธนาคารหรือไม่ก็เอาไปใช้เลยเสียมากกว่า ซึ่งจะทำให้ IRR ที่หามาได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เมื่อรู้จัก Investment Risk และ Reinvestment Risk กันแล้ว เราก็จะมาดูความเสี่ยงจากงบการเงินของบริษัทได้ และก็ทำ Risk Management ชั้นต้นได้ (แล้วถ้ามีการคาดการณ์เก็งกำไรจากความเสี่ยงที่ถืออยู่ บางคนจะเรียกว่า Earning Management แทน) ยกตัวอย่างเช่น บริษัทให้ความสนใจกับ Interest Rate Risk มากกว่า Reinvestment Risk โดยถ้าถึงเวลาที่ต้องชำระหนี้สินคืน บริษัทต้องขายสินทรัพย์ที่ยังไม่ครบกำหนดสัญญาไป แล้วถ้าช่วงเวลานั้นดอกเบี้ยในตลาดเกิดสูงขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์มีค่าลดลง และไม่พอที่จะชำระหนี้สินคืนได้ และก็เช่นเดียวกัน เมื่อ Interest Rate สูงขึ้นมา มันจะทำให้ค่า “การลดลงของสินทรัพย์” ของบริษัทสูงขึ้นกว่า ค่า “การลดลงของหนี้สิน” ของบริษัท ซึ่งถ้าเราใช้ Investment Strategy นี้ ก็ภาวนาขอให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดไม่สูงขึ้นไปด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1434877

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

“เก็บเงินไว้รักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” ?

30/04/2024

อาจเป็นคำถามในใจใครหลายคนสำหรับการเลือกตัดสินใจระหว่างสองวิธีนี้ ว่าจะ “เก็บเงินสำรองไว้เพื่อรักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” เพื่อโอนย้ายความเสี่ยง อย่างไรก็ดีทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลประกอบดังนี้การเก็บเงินไว้รักษาตนเองกรณี “เก็บเงินไว้เพื่อรักษาตัวเอง” ข้อแรกที่ควรคำนึงถึงคือ งบประมาณที่ต้องการเก็บของแต่ละคนคือเท่าไร บางคน 1 ล้านบาทรู้สึกเพียงพอ บางคนต้องมี 5 ล้านบาท หรือบางคนต้องมี 30 ล้านบาทถึงจะอุ่นใจ และเพียงพอกับการรักษาที่ตัวเองต้องการตัวอย่าง น.ส.เอ ต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรักษาตนเอง 5 ล้านบาท ปัจจุบันน.ส.เอ อายุ 35 ปี ทยอยเก็บเงินจนได้ครบ 5 ล้านบาท อายุ 45 ปีเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาล เป็นค่าผ่าตัด 200,000 บาท เคมีบำบัด 445,788 บาท รังสีรักษา 200,000 บาท Target Therapy(ใช้ 1 ชนิด) 1,766,000 บาท(1) รวมค่าใช้จ่าย 2,611,788 บาท“หลังจากใช้ไป ถ้า น.ส.เอต้องการเติมเงินค่ารักษาพยาบาลให้ครบ 5 ล้านบาท น.ส.เอ ต้องเริ่มทยอยเก็บเงินอีกครั้ง ซึ่งถ้าต่อมามีการรักษาซ้ำหรือเป็นโรคร้ายแรงด้านอื่น 5 ล้านบาทที่เตรียมไว้อาจจะไม่เพียงพอจำเป็นต้องขายสินทรัพย์อื่นที่มีอยู่เพื่อมาดูแลรักษาตนเองในอนาคต”การซื้อ “ประกันสุขภาพ”ปัจจุบันสัญญา “ประกันสุขภาพ” มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบค่ารักษาพยาบาลต่อการรักษาตัวหนึ่งครั้ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี หรือค่ารักษาพยาบาลแบบวงเงินเหมาจ่ายต่อปี เริ่มต้นตั้งแต่ 200,000 บาท จนถึง 120 ล้านบาทต่อปี  การเลือกแผนใดจะอยู่ที่การวางแผนการรักษาในโรงพยาบาลที่มีค่ารักษาอยู่ในระดับใด ความสามารถในการชำระเบี้ยต่อปี และจำนวนปีที่ต้องการได้รับความคุ้มครองปัจจุบันคุ้มครองสูงสุดอยู่ที่ 99 ปีตัวอย่าง ถ้า น.ส.เอ อายุ  35 ปี มีความประสงค์ทำประกันสุขภาพ ณ ปัจจุบันจนถึงอายุ 99 ปีค่าเบี้ยประกันรวมทั้งสัญญาคือ 7,658,800 บาท(2)  ถ้าเกิดเหตุต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลตามตัวอย่างข้างต้นจะครอบคลุมวงเงินค่ารักษาและในปีต่อไปวงเงินก็จะกลับมาเต็มใหม่ที่ 5 ล้านบาทเสมอทุกปี ทำให้วางแผนค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลได้จากตัวอย่างถ้า น.ส.เอ ทำประกันสุขภาพวงเงิน 5 ล้านบาทต่อปี ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 จะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลรักษาพยาบาลได้ดังนี้“การเก็บเงินสำรองไว้เพื่อรักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” นั้น จะมี “ข้อดี-ข้อเสีย” ที่แตกต่างกันตามที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตามการวางแผนประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในการวางแผนทางการเงิน เพราะจะทราบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและวางแผนในการเก็บเงินได้ การจัดสรรเงินเพื่อแผนประกันสุขภาพควรอยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม เพียงพอกับการรักษาแบบที่เราต้องการ และคำนึงถึงเบี้ยประกันที่มีการปรับเพิ่มตามอายุ หนึ่งแผนการเงินที่สำเร็จจะสามารถต่อยอดไปยังแผนการวางแผนทางการเงินด้านอื่นๆ ได้ที่มา:(1) https://www.bangkoklife.com/th/articles/0/124(2) เบี้ยประกันค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายสุขภาพ หญิง อายุ 35-99 ปี (เฉพาะเบี้ยสุขภาพ)(3) https://thaicancersociety.com/rights-to-health-care/(4) https://thaicancersociety.com/rights-to-health-care/cancer-anywhere/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/19207

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

อสังหาริมทรัพย์

ผลสำรวจชี้ 'คนไทยอยากมีบ้าน' แต่รายได้ไม่พอ ซื้อไม่ไหว

30/04/2024

ผลสำรวจชี้ คนไทยส่วนใหญ่ยังอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่รายได้ไม่พอซื้อ – ผ่อนระยะยาว ยอมจ่ายค่าเช่าเท่าราคาซื้อ กลัวอนาคตไม่มั่นคง การมี “บ้าน” ของตัวเองคงเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นเจ้าของได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีความผันผวนตลอดเวลา ล่าสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ “กำลังซื้อที่อยู่อาศัย” ในกลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ในเดือน มี.ค. 2566จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 1,479 คน พบว่า ค่านิยมในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ “งบประมาณที่ไม่เพียงพอ” เป็นข้อจำกัดให้ต้องเช่าแทนการซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา พบกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน มีกำลังไม่พอซื้อบ้านต้องเช่าอยู่ เมื่อย้อนไปดูข้อมูลจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (2560-2579) พบว่า จากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทย 21.32 ล้านครัวเรือน มีมากถึง 5.87 ล้านครัวเรือน ที่ “ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง”ในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนรายได้สูง 0.8670 ล้านครัวเรือน รายได้ปานกลาง 1.4112 ล้านครัวเรือน และรายได้น้อยมากเกือบ 3.6 ล้านครัวเรือน นอกนั้นเป็นครัวเรือนไร้ที่พึ่ง 0.06612 ล้านครัวเรือน ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งเกิน 79% ของรายได้ ต้นตอไม่มีเงินออม ซื้อบ้านไม่ไหว สำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในปี 2564 ครัวเรือนไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ 89% ของจำนวนครัวเรือนไทยโดยรวม ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 79% จนไปกดดันการออมอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง และกลุ่มเปราะบางทางการเงิน ทั้งนี้ หากพิจารณาผู้เช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ จะพบว่าส่วนใหญ่ 73% มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน หรือเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา 72% ของผู้เช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ มองหาที่พักที่มีค่าเช่าไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน รองลงมา 21% มองหาที่พักค่าเช่า 10,001-20,000 บาท/เดือน ซึ่งเป็นระดับค่าเช่าที่สามารถผ่อนบ้านราคาปานกลางลงมาได้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเงินออมไม่พอสำหรับดาวน์บ้าน ความมั่นใจทางด้านรายในอนาคต และสภาพคล่องที่จะสามารถผ่อนในระยะยาวได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7940894#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ข้อดีของการทำ ประกันเดินทาง หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายเมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์ฉุกเฉิน

30/04/2024

การเดินทางในแต่ละทริปนั้น สิ่งที่สำคัญคือความปลอดภัยและการทำ ประกันเดินทาง เพราะอุบัติเหตุอาจเกิดได้โดยไม่ทันคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่ใด คนแปลกหน้าหรือมิจฉาชีพเข้ามาทำร้าย ความผิดพลาดทางเทคนิคของยานพาหนะที่พาเราไปในทริปนั้น ๆ ตลอดจนสภาพแวดล้อมในเส้นทางที่เราไป ภัยธรรมชาติและภัยจากสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ไม่มีใครตอบได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ รูปแบบของประกันการเดินทางมีทั้งสำหรับการเดินทางในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจุดหมายของคุณจะเป็นที่ไหนก็ตาม การทำประกันสำหรับทุกทริปมีข้อดีที่ควรให้ความสำคัญ เป็นประโยชน์ที่คุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับค่าเบี้ยประกันที่ไม่แพง1. การเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง ผู้เดินทางประสบอุบัติเหตุหรือเกิดเจ็บป่วยกระทันหันต้องเข้าโรงพยาบาลในต่างประเทศ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าบ้านเรา ถ้าไม่มี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ก็ต้องจ่ายเอง แต่ถ้ามีประกัน บริษัทประกันจะรับผิดชอบแทนให้ จึงหมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้ หรือแม้แต่กรณีที่ของหายในต่างแดน ถูกโจรกรรม ชิงทรัพย์ กระเป๋าเดินทางเสียหายหรือสูญสาย ฯลฯ ผู้ทำประกันสามารถเรียกเคลมได้ตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน การเดินทางในประเทศก็สามารถเคลมได้เช่นเดียวกัน2. กรมธรรม์ประกันการเดินทางใช้เป็นเอกสารประกอบยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางไปพำนักในประเทศโซนเชงเก้น (ประเทศในเขตพื้นที่ยุโรปที่ร่วมลงนามในข้อตกลงเชงเก้น) เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือไม่เกิน 90 วัน การขอวีซ่าไปประเทศเหล่านี้ค่อนข้างยากและจะต้องมีกรมธรรม์ประกันการเดินทาง3. ไม่ต้องรอให้ออกเดินทางก็คุ้มครองแล้ว สำหรับ ประกันการเดินทางในประเทศ และประกันเดินทางไปต่างประเทศจะให้ความคุ้มครองนับตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ดังนั้นหากเกิดกรณีไฟล์ทบินล่าช้า หรือไฟลท์ยกเลิก ไม่ว่าจะเป็นไฟลท์บินในประเทศหรือต่างประเทศ โดยบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าที่พักแทน และบางบริษัทอาจให้ความคุ้มครองไปถึงการซื้อตั๋วใหม่ด้วย4. ค่าประกันการเดินทางจัดว่ามีอัตราที่ต่ำกว่าประกันอื่น ๆ บางกรมธรรม์มีราคาแค่หลักร้อยเท่านั้นแต่ความคุ้มครองครอบคลุมตลอดการเดินทาง ถือว่าคุ้มค่ามาก นอกจากนี้ยังมีให้เลือกทำประกันแบบเป็นรายเที่ยวสำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางบ่อยและไม่อยากจ่ายแพง 5. กรมธรรม์ ประกันเดินทาง เป็นเสมือนเพื่อนร่วมทาง ที่คอยดูแลคุณในทุก ๆ เส้นทาง จะเดินทางในไทยหรือไปต่างประเทศที่อยู่ไกลคนละทวีป กรมธรรม์ฉบับนี้ก็พร้อมจะไปกับคุณทุกที่ เมื่อคุณได้รับอันตราย หรือประสบปัญหาเจ็บป่วย อุบัติเหตุ สามารถติดต่อประกันได้ทุกสถานการณ์ และติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถึงแม้จะเดินทางคนเดียวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหลือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องมีค่าใช้จ่าย ประกันเคลียร์ให้อย่างไรบ้างกรณีที่คุณได้ทำ ประกันเดินทางในประเทศ และต่างประเทศไว้แล้วนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแค่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันเพื่อทำการเคลม โดยทั่วไปการเคลมทำได้สองแบบㆍผู้ทำประกันสำรองจ่ายไปก่อน เป็นวิธีที่แนะนำเพราะหน้างานคุณจะได้รับความสะดวกรวดเร็วกว่าแล้วเก็บเอกสารการรักษา เช่น ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล ใบรับรองแพทย์ พร้อมใบรับรองแพทย์ นำกลับมาเคลมค่าสินไหมกับบริษัทประกันที่ทำไว้ สามารถแจ้งเคลมทางอีเมลก็ได้ เคลมออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทประกัน เคลมด้วยการส่งเอกสารทางไปรษณีย์ไปที่บริษัท หรือช่องทางการเคลมตามที่บริษัทประกันได้ระบุไว้ แต่ถ้าหากไม่สะดวกสำรองจ่าย ก็สามารถเคลมได้โดยการให้ทางบริษัทประกันชำระโดยตรงㆍติดต่อให้ทางบริษัทประกันจ่ายค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ บางครั้งอาจต้องใช้เวลารอเคลมนาน ขึ้นอยู่กับบริการของบริษัทแต่ละแห่งเมื่อกลับจากการเดินทางแล้วควรรีบติดต่อกับทางบริษัทประกันเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย และอย่าลืมเตรียมเอกสารที่ใช้ในการเคลม สำหรับกรณีที่จะเบิกค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ใบเสร็จค่ารักษา ใบรับรองแพทย์ กรมธรรม์ประกันเดินทาง พร้อมสำเนาหน้าสมุดบัญชี หรือเช็กกับทางบริษัทก่อนว่ามีเอกสารอื่นใดต้องเตรียมบ้างส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่มักเกิดบ่อยคือ ถูกยกเลิกเที่ยวบิน สามารถเคลม ประกันเดินทาง ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่กำหนดในกรมธรรม์ได้เลย แต่ละกรมธรรม์จะมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน หากไม่แน่ใจก็ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันเพื่อความแน่ใจ ส่วนใหญ่แล้วกรณีที่เคลมได้มักจะเป็นการยกเลิกเที่ยวบินด้วยสาเหตุของสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง ความขัดข้องของอุปกรณ์การบิน หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินของสายการบินที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ไม่ว่าเงื่อนไขของกรมธรรม์จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดผู้ที่มีประกันการเดินทางก็ยังอุ่นใจและไม่ต้องเดือดร้อนกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้ เพราะมีบริษัทประกันคอยดูแลเป็นธุระจัดการให้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/489771

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

หุ้น

ดร.นิเวศน์ เปิด 5 กลุ่มหุ้นที่เกลียด ไม่คิดลงทุน

30/04/2024

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ เปิดประสบการณ์ 5 กลุ่มหุ้นที่เกลียด ไม่คิดลงทุน ทั้ง “หุ้นโฮลดิ้งกงสี-สินค้าโภคภัณฑ์-ถูกดิสรัปจากเทคโนโลยี-หุ้นไม่มีเจ้าของ-มีเจ้ามือ”วันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คนที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานมากนั้น ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่ามักจะมีความคิดที่ “ฝังใจ” กับหุ้นบางประเภทที่ตนเองเคยประสบ และมีประสบการณ์ที่ “ไม่ดี” ซ้ำอยู่หลายหนจนทำให้ “เข็ด” และหลังจากนั้นก็จะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย แม้ว่าหุ้น “ตัวใหม่” อาจจะกำลัง “ดูดี” น่าลงทุนเหตุผลรวบยอดที่ใช้ก็คือ เขา “เกลียด” หุ้นที่มีลักษณะแบบนั้น เพราะลงทุนหรือเล่นแล้วก็มักจะขาดทุนหรือหุ้นไม่ไปไหน ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ ในเว็บบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้น เช่น “กลุ่มหุ้นปันผล” ที่จ่ายหรือกำลังจะจ่ายปันผลงดงามที่มักจะพบคอมเม้นท์ที่ว่า “อยากเอาปันผลไปคืน” หลังจากวัน X-Dividend หรือวันที่ได้รับสิทธิในปันผลไปแล้ว และราคาหุ้นตกลงมามากกว่าเงินปันผลที่ได้พอสมควร ซึ่งทำให้ซื้อแล้ว “ขาดทุน”หุ้นที่ซื้อแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่ได้อะไรเลย” แม้ว่าจะวิเคราะห์ดีแล้ว และผลประกอบการก็ออกมา “ดีตามคาด” เป็นหุ้นที่มักทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ VI รู้สึกผิดหวังมากกว่าปกติและนั่นก็อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะ “เกลียด” และจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนั้น ซึ่งก็มีหลายแบบมากดังตัวอย่างต่อไปนี้หุ้นโฮลดิ้ง-กงสีกลุ่มแรกก็คือ หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นกลุ่มที่ไม่ใคร่จะสนใจนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายหุ้น อาจจะเพราะพวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเลยเพราะเขาไม่สนใจหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงินอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับการที่ไม่คิดจะขายหุ้น ซึ่งอาจจะอยู่ในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่เป็นแหล่งของความมั่งคั่งของคนในกลุ่มของตนเองที่เป็นเจ้าของร่วมกันดังนั้นพวกเขาก็อาจจะไม่สนใจที่จะทำให้ราคาหรือมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น หรือถ้ากิจการของบริษัทมีกำไรดี เขาก็จะจ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเงินอยู่กับบริษัทที่เขาควบคุมนั้น ดีกว่าต้องจ่ายออกไปให้กับนักลงทุนที่เป็น “คนนอก” หุ้นจึงมักจะไม่ค่อยไปไหนคนที่เป็น VI รวมถึงผมก็เลยเกลียดหรือไม่ชอบหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่สนใจผู้ถือหุ้นรายย่อย และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มาจากต่างชาติบางประเทศที่มักจะมีประวัติดังกล่าวอย่างไรก็ตาม นาน ๆ เราก็อาจจะ “เผลอ” เหมือนกันเวลาเจอหุ้นหรือบริษัทที่ “ดี” และน่าสนใจมาก เราก็อาจจะเข้าไปซื้อหรือเก็งกำไร และก็อาจจะพบว่า “ผิดหวังอีกแล้ว ไม่รู้จักจำ” ว่าเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารเป็นใครหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์หุ้นที่ผม “เกลียด” กลุ่มที่สองก็คือ หุ้นที่มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์สูงมาก ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงได้มากเวลาที่อุปสงค์และอุปทานไม่สอดคล้องกันรุนแรง ตัวอย่างเช่น เหล็ก น้ำมัน ยาง ปิโตรเคมี หรือสินค้าบริการอย่างค่าระวางเรือเป็นต้นอย่างไรก็ตาม ระดับของการไม่ชอบและการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปลงทุนซื้อขายก็แตกต่างกันบ้างตามความผันผวนของราคาสินค้าและระดับของมาร์จินหรือส่วนต่างราคาซื้อและขายของบริษัทในอุตสาหกรรมแต่ละอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับเหล็กนั้น ผมคิดว่าลำบากมากที่จะทำผลตอบแทนระยะยาวไม่ว่าบริษัทจะดีแค่ไหน ดังนั้น หุ้นเหล็กตัวหนึ่ง ที่แม้ว่าจะ “ยิ่งใหญ่” มากในตลาดหุ้นเวียตนามและทำกำไรได้ดีมากในปัจจุบันผมเองก็จะหลีกเลี่ยง ผมคิดว่า ในระยะยาวแล้ว การถือหุ้นเหล็กคงทำกำไรได้ยาก และถ้าระยะยาว 4-5 ปี ถือไม่ได้ ระยะสั้นแค่ 4-5 นาทีผมก็ไม่ถืออย่างไรก็ตาม หุ้นโภคภัณฑ์นั้น บ่อยครั้งก็ให้ผลตอบแทนแบบ “ทะลุฟ้า 4-5 เด้ง” ได้ง่าย ๆ และนี่ก็ทำให้เรา “เผลอ” เข้าไปเล่นได้ ผมเองเคยคิดอยู่บ้างเหมือนกันในหุ้นบางตัว แต่ก็ไม่ได้ทำและก็พลาดโอกาสทำเงินไป อย่างไรก็ตาม ผมก็พยายาม “ไม่เสียดาย” เพราะเราไม่อยากรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงและประเมินไม่ได้ผมจะเล่นต่อเมื่อบริษัทหรือหุ้นที่ทำกิจการโภคภัณฑ์นั้น มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ของราคาสินค้าในทางเดียวกันหมด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงรวมของบริษัทได้มากและที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หุ้นมีราคาที่ “ถูกมาก ๆ” และต่อให้ปีนั้นจะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุด มันก็ยังถูกอยู่ดี เพราะมันจะ “ไม่เจ๊ง” และในไม่ช้ากำไรก็จะกลับมาตามราคาโภคภัณฑ์ที่จะต้องดีขึ้น ตัวอย่างก็เช่น ราคาน้ำมัน เป็นต้นหุ้นถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีหุ้นกลุ่มที่ 3 ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก็คือ กิจการที่อาจจะถูก Disrupt หรือทำลายล้างโดยเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล ตัวอย่างอาจจะรวมถึงธุรกิจหนังสือ สิ่งพิมพ์ ทีวี และโรงภาพยนตร์ ที่ผมพยายามหลีกเลี่ยง นอกจากนั้นธุรกิจอย่างเช่นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ก็อาจจะกำลังโดนรถไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาตีตลาดอย่างรุนแรงทั้งหมดนั้น จริง ๆ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงหรือแค่บางส่วน นอกจากนั้น บริษัทก็อาจจะสามารถปรับตัวและหาตลาดใหม่โดยใช้เทคโนโลยีเองก็ได้ ดังนั้น ถึงผมจะยังไม่ลงทุน ก็จะคอยติดตามว่าพัฒนาการของธุรกิจเป็นอย่างไร ผลประกอบการแย่ลงเรื่อย ๆ หรือเริ่มดีขึ้น ที่สำคัญ ราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดไหนแล้ว ทั้งหมดนั้นก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะลงทุนและทำกำไรได้หุ้นไม่มีเจ้าของหุ้นหรือบริษัทกลุ่มที่ 4 ที่ผมคิดว่านักเล่นหุ้นจำนวนมากอาจจะ “เกลียด” แต่ผมเองคิดว่าน่าสนใจก็คือ หุ้นที่ “ไม่มีเจ้าของ” ซึ่งก็มักจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก และผู้ถือหุ้นที่ถือจำนวนมากก็จะเป็นสถาบันที่ลงทุนโดยมืออาชีพ เช่นเดียวกับผู้บริหารบริษัทก็จะเป็นมืออาชีพที่จะต้องถูกประเมินโดยผู้ถือหุ้นสำหรับผลงานของตนเองประเด็นที่นักเล่นหุ้นเกลียดหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ การที่หุ้นเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีคนที่พร้อมซื้อขายหุ้นมากเกินไป นอกจากนั้น จำนวนมากก็เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศที่มักตัดสินใจซื้อขายหุ้นโดยอิงกับภาวะการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลกนั่นทำให้หุ้นใหญ่ ๆ ของไทยปรับตัวขึ้นลงน้อยในแต่ละวันหรือแม้แต่สัปดาห์ เหตุผลก็เพราะว่าคนที่ซื้อขายก็ตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานกิจการของบริษัทที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงช้า ข่าวดีหรือข่าวร้ายของบริษัทที่เข้ามากระทบนั้น ก็มักจะมีผลไม่มากต่อผลประกอบการโดยรวมดังนั้นราคาหุ้นจึงไม่ใคร่หวือหวา นักเล่นหุ้นที่เน้นการเก็งกำไรเร็ว ๆ จึงมักจะผิดหวังและ “ไม่อยากรอ” พวกเขาจึงมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นแต่ผมเองกลับชอบ เพราะราคาของหุ้นจะ “ไม่แพง” โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตเร็ว ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจลงทุนมากนัก และก็อาจจะไม่อยากที่จะถือหุ้นยาวด้วย เพราะมองว่ามีตลาดอื่นที่โตเร็วและเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าแต่สำหรับผมแล้ว นี่คือกลุ่มที่มีความมั่นคงของผลประกอบการ มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ กิจการยังสามารถเติบโตได้บ้าง มีค่า PE ปกติไม่เกิน 10 เท่า และสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงมากเช่น 4-5% ต่อปีขึ้นไปได้ต่อเนื่องยาวนาน ผมก็คิดว่าน่าลงทุนและหวังผลตอบแทนได้อย่างน้อย 6-7% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในอนาคตหุ้นที่มีเจ้ามือหุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมเกลียดก็คือ “หุ้นที่มีเจ้ามือ” หรือคนที่คอยดูแลทำราคาหรือเรียกว่าเป็น “Market Maker” หรือในกรณีที่รุนแรงก็คือปั่นหุ้นหรือ “คอร์เนอร์หุ้น” ที่ทำให้ราคาหุ้นผิดธรรมชาติมาก อาจจะสูงกว่าพื้นฐานเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวได้ในระยะเวลาสั้น ๆสิ่งที่จะต้องระวังมากสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ หลาย ๆ ตัวเป็นหุ้นที่อาจจะมีพื้นฐานที่ดี มีสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้นที่น่าสนใจมาก นอกจากนั้นก็อาจจะมีผลประกอบการที่ดูเหมือนจะมีการเติบโตสูงมากและบริษัทเป็น “ผู้ชนะ” คล้าย ๆ กับ “ซุปเปอร์สต็อก”แต่ถ้าวิเคราะห์ดูอย่างรอบคอบและไม่ถูกอิทธิพลของการ “เล่าเรื่อง” ประกอบกับผลประกอบการที่กำลังดีขึ้นมาก และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นราวกับติดจรวด ก็อาจจะพบว่าบริษัทอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นในระยะยาว ซึ่งก็จะทำให้ในที่สุด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก็จะตกลงมาอย่างแรงจนทำให้คนที่เข้าไปเล่นขาดทุนได้ทั้ง ๆ ที่เคยได้กำไรมโหฬารแต่ไม่ยอมขายเพราะยังเชื่อในตัวหุ้นอยู่ผมเองพยายามและก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นได้สำเร็จ เพราะเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการสำคัญที่สุดของการลงทุนนั่นก็คือ ถ้าหุ้นมีราคาแพงมากเกินไปมาก ผมไม่ซื้อ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมไม่เชื่อสตอรี่ที่ดีเกินไป และก็ไม่ชอบผู้บริหารที่ “โม้” มากเกินไปดังนั้น เมื่อพบว่าบริษัทมีอาการแบบนั้น ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้น ผมพลาดหุ้นแนวนี้เยอะมากในช่วงอย่างน้อย 6-7 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ก็เห็นแล้วว่า คนที่เข้าไปเล่นหุ้นเหล่านั้นเจ็บตัวกันหนัก หลายคน “คืนเงินกลับไปหมดแล้ว” หลังจากคอร์เนอร์ “แตก” กันเป็นระลอกกล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ โดยปกติแล้ว ผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกลียด และจะซื้อก็ต่อเมื่อหุ้นมีราคาถูกถึงถูกมาก และต้องดูแล้วว่ามันก็ไม่ถึงกับเกลียดมากจนซื้อไม่ได้เลยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1435260

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ : ออมเงินพร้อมประหยัดภาษี ยุคตลาดทุนผันผวน

30/04/2024

เข้าสู่ช่วงโค้งของปีกันแล้ว และหลายคนอาจกำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินที่จะมาช่วยลดหย่อนภาษี ซึ่ง 2 คู่หูกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังคงเป็นทางเลือกในอันดับต้น ๆ ในใจของหลายคน แต่ในช่วงที่ตลาดทุนผันผวนแบบนี้ และพอร์ตลงทุนของหลายคนแดงฉ่ำ ก็ทำเอาแทบไม่มีแรงเดินกันเลยทีเดียวใครที่รู้ตัวว่า ‘ใจบาง’ รับความเสี่ยงได้น้อย ก็คงต้องมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ซึ่งบทความนี้ beartaiBRIEF ชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์’ ทางเลือกในการออมเพื่อประหยัดภาษีที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นประกันชีวิตสะสมทรัพย์คืออะไร ?แม้ขึ้นชื่อว่า ‘ประกัน’ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นั้นให้ความสำคัญกับการออมเป็นหลัก และได้สิทธิ์คุ้มครองชีวิตด้วย ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีระยะเวลาคุ้มครองตลอดชีพ หรือมากกว่า 10 ปีขึ้นไป โดยสามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดซึ่งประกันตัวนี้นอกจากช่วยเราประหยัดภาษีแล้ว ก็ยังเป็นตัวสร้างวินัยการออมให้กับเราด้วยการกำหนดระยะเวลาชำระเบี้ยที่ชัดเจน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือรายปี นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นอีกเรื่องคือ การได้รับเงินคืนระหว่างปี ที่เราจะได้เป็นรายปีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบกำหนดสัญญา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินก้อนอีกจำนวนหนึ่งแต่!! ไม่ใช่ว่าประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีเงินคืนระหว่างปีทั้งหมด เพราะมีแบบที่ไม่มีเงินคืนระหว่างสัญญาด้วย ดังนั้น เราจึงต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ ว่าผลิตภัณฑ์ประกันตัวนี้ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง ?1. วงเงินคุ้มครอง : ส่วนใหญ่ประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครองสูง ผลตอบแทนที่ได้รับจะค่อนข้างน้อย เพราะค่าเบี้ยประกันบางส่วนจะถูกนำไปหักจ่ายเป็นค่าความคุ้มครอง เราจึงควรเลือกความคุ้มครองแบบประกันที่ต้องการ2. ระยะเวลาชำระเบี้ย : ควรเลือกให้เหมาะกับอายุและความสามารถในการหารายได้ เช่น ถ้าเป็นแบบประกันระยะยาว 10 – 20 ปี เหมาะกับวัยเริ่มต้นทำงานหรือวัยทำงานมากกว่าวัยใกล้เกษียณ3. งวดการชำระเบี้ย : ส่วนใหญ่จะกำหนดชำระเบี้ยรายปี หากต้องการชำระเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน หรือราย 6 เดือน ก็สามารถทำได้ แต่ค่าเบี้ยรวมต่อปีจะสูงขึ้นราว 2 – 9% ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการออมเงินในประกันชีวิตลดลง4. การจ่ายเงินคืน : บริษัทประกันแต่ละแห่งมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากผู้เอาประกันยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ควรฝากไว้ในกรมธรรม์ เพราะจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากทั่วไป และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย5. สภาพคล่อง : ตามปกติแล้ว บริษัทประกันจะนำเบี้ยประกันที่ได้รับจากลูกค้าไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน หากผู้เอาประกันต้องการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดก็อาจได้รับเงินคืนสูงหรือต่ำกว่าที่ชำระเบี้ยไว้ก็ได้ เราจึงควรศึกษารายละเอียดกรมธรรม์อย่างรอบคอบแบบไหนถึงใช่ ?ประกันชีวิตสะสมทรัพย์จะมีตัวเลขสองตัว XX/X เป็นสัญลักษณ์ เช่น 10/5, 20/5 ซึ่งเลขตัวหน้า หมายถึง ระยะเวลาความคุ้มครอง และตัวหลัง หมายถึง ระยะเวลาการชำระเบี้ย เราจึงสามารถแบ่งประกันชีวิตสะสมทรัพย์ได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้1. ชอบจ่ายสั้น แต่คุ้มครองได้ยาว ๆ : ควรเลือกระยะเวลาความคุ้มครองเป็นหลัก เช่น ผลิตภัณฑ์แบบ 20/5 หมายถึง ชำระเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 20 ปี โดยจะมีเงินคืนตามเงื่อนไขของแผนความคุ้มครอง2. ได้เงินก้อนเร็ว : ควรเลือกแบบระยะสั้น เช่น 10/5 หมายถึง จ่ายเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี หรือ 14/5 จ่ายเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 14 ปี และมีเงินคืนตามเงื่อนไขของแต่ละแผนที่แตกต่างกันออกไปประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการออมและบริหารภาษีเป็นหลัก ดังนั้น ผลตอบแทนอาจไม่มากเท่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ การออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์ประกันดังกล่าว ก็มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, Krungsri The COACHพิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัสแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1327436

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

พึงระวัง “ทุกขลาภ” มรดก รู้จักวางแผนภาษีส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาท

30/04/2024

บทความโดย "ปีย์วรงค์ เชี่ยววณิชชา"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 24 ตุลาคม 2566 แม้ว่าการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว จะนำมาซึ่งความเศร้าโศก แต่บางครั้งการได้รับมรดกจากผู้ล่วงลับ อาจสร้างความทุกข์ใจได้ จึงควรศึกษาข้อกฎหมาย เพื่อเตรียมส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาทหรือผู้สืบสันดานไปพร้อมกับความสุขและความสบายใจ มรดก อ้างอิงความหมายตามมาตรา 1599-1600 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง “ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ด้วย ซึ่งทายาทของผู้ตายต้องรับสืบทอดหนี้สินของผู้ตายไปพร้อมกับทรัพย์สิน เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” ซึ่งสามารถเป็นทรัพย์สินในรูปแบบใดก็ได้ เช่น เงินฝาก หลักทรัพย์ ยานพาหนะ อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา ในพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า “ผู้รับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีหากได้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกนั้น ในส่วนที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ในอัตราสูงสุดร้อยละ 10 ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 และได้รับยกเว้นภาษีมรดกสำหรับคู่สมรสจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยผู้รับมรดกจะต้องชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่ได้รับมรดก และสามารถเลือกผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี โดยมีภาระเงินเพิ่มร้อยละ 0.5 ต่อเดือน สำหรับการผ่อนตั้งแต่ปีที่ 3 ขึ้นไป หากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน ให้เสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ” ตัวอย่าง ทายาทได้รับมรดกเป็นเงินสดมูลค่า 200 ล้านบาท จะคิดเป็นภาษีที่ต้องชำระในอัตราสูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 150 วัน หรือผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี พร้อมเงินเพิ่มประมาณ 1.5 ล้านบาท หากไม่สามารถชำระภาษีทั้งหมดได้ใน 2 ปีแรก และหากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด จะเสียเบี้ยปรับ 5 ล้านบาท หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน จะเสียเบี้ยปรับอีก 2.5 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้นับว่าโชคดีที่ได้รับมาเป็นเงินสด สามารถนำเงินสดที่เป็นมรดกนั้นไปชำระภาษีได้ทันที แต่ทายาทก็จะไม่ได้รับมรดกเท่ากับที่เจ้ามรดกได้ตั้งใจส่งต่อไว้ให้แต่แรก หากผู้รับมรดกไม่ได้เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน แต่เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ได้รับเป็นบ้านและที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่แปลงเป็นเงินสดได้ยาก เช่น ที่ดินราคาประเมิน 200 ล้านบาท เพียงอย่างเดียว ผู้รับมรดกจะต้องมีภาระนำเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท มาชำระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับมรดก ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมการโอนร้อยละ 2 ของราคาประเมิน หรือ 4 ล้านบาท ซึ่งผู้รับมรดกอาจจะไม่ได้มีเงินสดมากพอ หรือเป็นไปได้ยากที่จะสามารถขายที่ดินดังกล่าว เพื่อแปลงเป็นเงินสดมาชำระภาษีได้ทันก่อนมีเบี้ยปรับตามเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น หากเจ้ามรดกไม่อยากให้ทรัพย์มรดกของตนเป็นทุกขลาภแก่บุพการี ทายาทผู้สืบสันดาน หรือผู้รับพินัยกรรม ควรวางแผนการจัดการทรัพย์สิน ดังนี้ ผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้ทายาท 1. เจ้ามรดกควรพิจารณาผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้กับทายาท โดยอาศัยข้อกำหนดในมาตรา 48 เรื่องภาษีการรับให้ว่า “บุพการีสามารถยกหรือโอนทรัพย์สินของตนให้กับผู้สืบสันดานได้ โดยผู้สืบสันดานนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หากมีมูลค่าเกินกว่านั้น ผู้สืบสันดานต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5” เพราะฉะนั้นก่อนเสียชีวิต บุพการีที่ตั้งใจจะยกที่ดินราคาประเมิน 200 ล้านบาท ให้กับทายาทคนหนึ่ง สามารถจัดสรรที่ดินออกเป็นแปลงย่อย แล้วทยอยโอนให้กับทายาทที่ตั้งใจไว้ โดยมีมูลค่ารวมไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี จนกว่าที่ดินผืนดังกล่าวจะเหลือมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท จึงทิ้งไว้เป็นมรดกได้ พร้อมดูแลค่าธรรมเนียมการโอนในอัตราร้อยละ 0.5 ในแต่ละครั้งให้กับทายาทด้วย สำหรับเจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และต้องการมอบให้กับผู้รับมรดกตามพินัยกรรม สมควรอย่างยิ่งที่จะวางแผนผ่องถ่ายทรัพย์สินต่าง ๆ ให้เหลือมูลค่าเป็นมรดกน้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เสียภาษีมรดกร้อยละ 10 ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น โดยในการโอนทรัพย์สิน เจ้ามรดกต้องพึงระวังว่า การให้โดยเสน่หากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุพการี ทายาทหรือผู้สืบสันดาน จะได้รับยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ถ้าเกินกว่านั้นจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5  ซึ่งก็ยังน้อยกว่าอัตราภาษีมรดกในกรณีนี้อยู่ดี ทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน 2. เจ้ามรดก ควรพิจารณาทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน หากตั้งใจมอบทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ให้กับผู้รับมรดกรายใดรายหนึ่ง ควรเพิ่มมรดกในส่วนที่เป็นเงินสดอีกร้อยละ 5-10 ของมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อเพิ่มเงินสดสภาพคล่องให้ผู้รับมรดกใช้เสียภาษีและเสียค่าธรรมเนียมดำเนินการต่าง ๆ เป็นการลดภาระของผู้รับมรดกในอนาคตได้ หรือหากเจ้ามรดกไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ตั้งแต่แรก การทำประกันชีวิต แล้วกำหนดทุนชีวิตให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ผู้รับมรดกที่ได้ถูกระบุชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ จะได้รับเงินค่าสินไหมมรณกรรมโดยตรงทันทีที่เจ้ามรดกผู้เอาประกันเสียชีวิต ก็จะสามารถประหยัดเงินมรดกที่ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้ได้ ดังจะเห็นได้ว่า เจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมาก อาจสร้างปัญหาให้กับผู้รับมรดกในอนาคตได้ หากไม่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายภาษีมรดกและการรับให้ รวมถึงหากไม่มีการทำพินัยกรรมที่ละเอียดถี่ถ้วนรองรับไว้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้ผู้เป็นที่รักได้ส่งต่อทรัพย์สินตามที่ตั้งใจและมีความสงบสุขในสัมปรายภพ การวางแผนภาษีและมรดก เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาจัดทำขึ้นร่วมกับทนายวิชาชีพ หรือที่ปรึกษาการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิจากสมาคมนักวางแผนการเงินก่อนที่จะสายเกินไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1417306

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

คลังความรู้อื่นๆ

กองทุนเปิด เอไอเอ ยูเอส 500 อิควิตี้ ฟันด์ (AIA-US500) บริหารจัดการโดยบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar Thailand ประเภทกองทุน US Equity

30/05/2024

แจกพิกัด สถานที่เล่นสงกรานต์ในกรุงเทพฯ ปี 2567

29/04/2024

เปิดไทม์ไลน์เศรษฐกิจโลก กางแผนการลงทุนปีเถาะ

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3 เชิญชวนทุกโรงเรียนในประเทศไทยร่วมโครงการ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของเยาวชนไทย

25/09/2024

นักวิเคราะห์โอด "ปลาไม่เข้าแหติดอวน" หลังนักเทรดเริ่มรู้ทันธาตุแท้เหรียญอัลท์คอยน์

17/04/2024


X