Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
20/02/2025
"เก็บเงินสด" หรือ "นำเงินไปลงทุน" แบบไหนดีกว่ากัน? คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะแม้การเก็บเงินสดจะให้ความรู้สึกปลอดภัย ใช้จ่ายได้ทันที แต่ต้องระวังเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าเงินลดลง ส่วน “การลงทุน” จะช่วยให้เงินเติบโตได้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องบริหารให้ดีเมื่อพูดถึงอนาคตทางการเงิน หลายคนมักตั้งคำถามว่า "เก็บเงินสดไว้" หรือ “นำเงินไปลงทุน” แบบไหนดีกว่ากัน โดยเฉพาะเมื่ออยากวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสองทางเลือกมีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่แต่ละคนรับไหวอย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก ทำให้หลายคนไม่กล้าตัดสินใจลงทุน “Thairath Money” จะพาไปหาคำตอบว่าเราจะมีวิธีการลงทุนอย่างไร เพื่อให้เงินในกระเป๋าของเราเติบโต“เก็บเงิน vs ลงทุน”การเก็บเงินไว้ มักเป็นวิธีที่หลายคนเลือก เพราะให้ความรู้สึก "ปลอดภัย" เพราะเงินไม่หายไปไหน แถมยังสามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อจำเป็น อย่างไรก็ตาม การเก็บเงินไว้เฉยๆ ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ และแม้จะมีเงินจำนวนมากแต่มูลค่าจริงๆ อาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไปจากอัตราเงินเฟ้อทุกปีส่วนการลงทุน เป็นวิธีในการช่วยให้เงินที่มีอยู่เติบโตขึ้น ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระยะยาว ซึ่งหากเลือกลงทุนอย่างเหมาะสม ยังสามารถสร้าง Passive Income ได้แม้ในช่วงเกษียณ เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยต่อเนื่องดังนั้น เมื่อต้องการใช้เงินหลังเกษียณ แค่มีเงินก้อนใหญ่อาจไม่พอ สิ่งสำคัญคือ การออกแบบกระแสเงินสดให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงาน ซึ่งการลงทุนที่ดีจะช่วยให้ "มีเงินใช้โดยไม่ต้องถอนเงินต้น"ตลาดหุ้นร่วงหนัก จะลงทุนอย่างไร?ช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน หรือปรับตัวลดลงแรงๆ หลายคนเริ่มลังเลว่าจะยังลงทุนต่อไปดีไหม เพราะเห็นกันชัดๆ ว่ามีความเสี่ยงขาดทุนสูงขึ้น ซึ่งบางคนเลือกที่จะชะลอการลงทุน หรือถอนเงินออกมาทั้งหมดแต่ในความเป็นจริง แม้ตลาดจะผันผวน การลงทุนก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ หากมีการวางแผนที่เหมาะสม และเลือกกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวรัฐพล วชิรเมฆากุล นักวางแผนการเงิน CFP® เผยแพร่บทความผ่านสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เรื่อง “จัดพอร์ตอย่างไรให้ Stay Invest แม้ในภาวะวิกฤติ” โดยระบุว่า หนึ่งในวิธีการที่นักลงทุนทำโดยทั่วไป เพื่อลดหรือป้องกันการสูญเสีย คือ การปรับพอร์ตตามสถานการณ์ (Tactical Asset Allocation) ออกจากสินทรัพย์เสี่ยงสูง ไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแทน เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนกับภาวะวิกฤติได้ดีอย่างทองคำแต่การปรับพอร์ตตามสถานการณ์นั้น ต้องอาศัยการคัดเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะกับแต่ละสินทรัพย์ ความแม่นยำของการตัดสินใจเข้า-ออกจากการลงทุน หากตัดสินใจผิดพลาด อาจยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียมากขึ้น หรือเสียโอกาสในการลงทุนอีกวิธีที่เริ่มนิยมคือ การลงทุนใน Futures / Options เพื่อลดการสูญเสียเงินลงทุน หรือแม้แต่ได้กำไร แต่ก็เป็นวิธีการที่ซับซ้อน และมีต้นทุน รวมถึงเป็นเครื่องมือที่มีความผันผวนไม่แพ้หุ้นหากนักลงทุนไม่อยากใช้วิธีการซับซ้อน ไม่อยากจับจังหวะเข้า-ออกจากการลงทุน แต่ยังคาดหวังการเติบโตของเงินในระยะยาว อยากวางแผนการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงอย่างรอบคอบ สามารถใช้เทคนิคด้านล่าง ดังนี้1. เตรียมใจก่อนจัดพอร์ต - เมื่อลงทุนแล้ว นักลงทุนคาดหวังให้พอร์ตลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง แต่ความเป็นจริงในโลกการลงทุนเต็มไปด้วยความผันผวน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนควรเตรียมใจกับผลลัพธ์ที่ไม่เป็นใจด้วย2. เตรียมเวลาลงทุนให้ยาว - วิธีการลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ดีวิธีหนึ่ง คือ การลงทุนระยะยาว รายงานจาก JP Morgan ศึกษาสถิติการลงทุนใน S&P 500 ช่วงปี 1950-2023 ระบุว่า • หากลงทุน 1 ปี ช่วงของผลตอบแทนอยู่ระหว่าง -39% ถึง 47% • หากลงทุน 10 ปี ช่วงของผลตอบแทนอยู่ระหว่าง -1% ถึง 19% • หากลงทุน 20 ปี ผลตอบแทนที่อาจได้อยู่ระหว่าง 6% ถึง 17% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 11.2% ต่อปี3. เพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงต่ำเข้าไปในพอร์ต - การผสมผสานการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งการลงทุนในพอร์ต (หุ้น) 60/40 (ตราสารหนี้) เพียงระยะเวลา 5 ปี ก็ช่วยปิดโอกาสขาดทุนได้ รวมถึงช่วยลดความผันผวนด้วย4. จัดพอร์ตโฟลิโอ - การลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายมากขึ้น เช่น ทองคำ หรือเงินสด จะช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะทองคำได้รับการยอมรับว่าเป็น Crisis Hedging Asset ที่ดีการลงทุนต่อเนื่อง หรือ Stay Invest เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังและสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจในระยะยาวได้ แม้ในช่วงเวลาตลาดผันผวนหรือเกิดวิกฤติ หากมีเป้าหมายการลงทุนระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้ การลงทุนต่อเนื่องเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้ามแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/financial_planning/2842933
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
20/02/2025
19 กุมภาพันธ์ 2568 : นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยถึงปี 2568 สมาคมประกันชีวิตไทยประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอยู่ที่ในช่วงร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 8 – 10% โดยบางปีสูงมากถึง 15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ และการขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพออกไปจนถึง 80 ปี จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตต่อไปได้ และจะมีผลขยายไปถึงการประกันชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) ที่เป็นสัญญาหลักด้วยอีกทั้งยังมีการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนและมาตรการจากภาครัฐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและส่งเสริมภาคธุรกิจผ่านโครงการนวัตกรรมต่างๆ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และการดำเนินงานปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันและผสานรูปแบบการขาย ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังมีการร่วมมือกันอย่างแข็งขันในทุกด้านของธุรกิจผ่านสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายที่จะส่งผลต่อการเติบโตอย่างสภาวะเศรษฐกิจทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก และเศรษฐกิจภายในประเทศไทยที่มีการเติบโตแบบหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าโลกหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ กระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งด้านการค้าและบริการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ยุติ ก่อให้เกิดความผันผวนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น"ธุรกิจประกันมักจะเติบโตไปตามอัตราการเติบโตของ GDP ซึ่งประชาชนยังอยากซื้อสินค้าประกันแบบออมทรัพย์ ยิ่งการันตีดอกเบี้ยก็ยิ่งชอบ แต่สำหรับในมุมของบริษัทประกันแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีการบริหารความเสี่ยงตามสถานการณ์ว่าจะสามารถนำไปลงทุนเพียงพอที่จะนำมาคืนให้กับผู้เอาประกันภัยในอนาคตหรือไม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทประกันหลายแห่งหันมาขายประกันที่เรียกว่า ประกันลงทุนโดยอาจจะการันตีขั้นต่ำน้อยๆ และแบ่งไปลงทุนจำนวนมากหน่อย เช่นสินค้าประเภทยูนิตลิงค์ แบบประกันที่ลูกค้าสามารถบริหารความเสี่ยงเองเพิ่มขึ้น หรือสินค้าประเภทสะสมทรัพย์ส่วนใหญ่เบี้ยประกันจะมีขนาดใหญ่กว่าเบี้ยประเภทคุ้มครองดังนั้นระยะหลังบริษัทประกันก็หันมาขายแบบประกันแบบตลอดชีพ (Whole life policy) ควบคู่กับประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เป็นต้น และแน่นอนเศรษฐกิจทั่วโลกเชื่อมต่อกัน หากต่างประเทศมีปัญหาเกิดภาวะสงคราม ทางด้านประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่น ก่อนหน้านี้สถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบทำให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งเกี่ยวเนื่องกันโดยตรง" นางนุสรากล่าวนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาคมประกันชีวิตไทยมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) ซึ่งเป็นกรอบการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ธุรกิจประกันชีวิตมีความยั่งยืนในระยะยาวนางนุสรา กล่าวต่อไปถึง ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตของปี 2567 ระหว่าง มกราคม - ธันวาคม มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 653,923 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.23 เมื่อเทียบกับปี 2566 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 184,331 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.28 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 469,592 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) 120,026 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.812.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 64,305 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 2.71โดยสาเหตุสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของธุรกิจมาจากปัจจัยเอื้อทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระแสใส่ใจสุขภาพของประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตเพิ่มขึ้น และยังช่วยเสริมให้สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health+CI) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 124,786 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.66 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.08 และยังช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ซึ่งเป็นสัญญาหลักเติบโตขึ้นตามไปด้วยส่วนแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 110,777 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.94 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 282,302 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.17นอกจากนี้ยังมีเหตุจากความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจโดยเฉพาะการรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) มีสัดส่วนร้อยละ 72 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83 ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) มีสัดส่วนร้อยละ 28 เติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเติบโตของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงโดยจำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้ • 1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 346,791 ล้านบาทอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.03 • 2. การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 245,498 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.67 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.54 • 3. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 34,484 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.93 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.27 • 4. การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ (Tele Marketing) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 12,910 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 5.49 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.97ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมฯ มีนโยบายที่มุ่งให้แต่ละบริษัทประกันชีวิต มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการบริหารและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย และมีฐานะทางการเงินที่มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) สูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Supervisory CAR) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจว่า บริษัทประกันชีวิตสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยได้ทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยจนกว่าจะครบกำหนดสัญญาดังจะเห็นได้จาก ในไตรมาสที่ 3/2567 จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนตามความเสี่ยงอยู่ที่ 373.30 ล้านล้านบาทซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในการกำกับ (Supervisory CAR)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=178589
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
20/02/2025
MOCA BANGKOK ภูมิใจนำเสนอ "Mammals" หรือ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” นิทรรศการเดี่ยวโดย วิษณุพงษ์ หนูนันท์ ศิลปินไฟแรงผู้พลิกทุกโจทย์ธรรมดาให้กลายเป็นผลงานเหนือความคาดหมาย นิทรรศการนี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และความหมายของการดำรงอยู่ เปิดให้เข้าชมฟรี! ตั้งแต่วันนี้ถึง 2 มีนาคม 2568 ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น G, MOCA BANGKOKวิษณุพงษ์ หนูนันท์ ศิลปินอิสระแนวร่วมสมัย ผู้ที่รู้จักกันในวงการว่า “หนูนันท์” ร่วมกับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOCA BANGKOK เปิดงานนิทรรศการเดี่ยว "Mammals" จัดแสดงผลงานศิลปะสื่อผสม ประเภทประติมากรรมสื่อผสม ที่จะนำพาผู้ชมเข้ามาสัมผัสกับสุนทรียภาพความงดงามของผลงานศิลปะที่จำลอง ธรรมชาติผ่านกรรมวิธี Mixed Media พร้อมทั้งฉุกคิดและตั้งคำถามถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ เพื่อค้นหาคำตอบ ผ่านหัวใจคณชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการ MOCA BANGKOK กล่าวถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่า “ทาง MOCA BANGKOK ภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนกับนิทรรศการเดี่ยวของ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ ในครั้งนี้ นิทรรศการนี้เป็น จุดเชื่อมต่อระหว่างศิลปินกับผู้ชม ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและมีความหมาย ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองที่อาจ นำไปสู่แรงบันดาลใจใหม่ๆ ซึ่งผลงานของ “หนูนันท์” ใช้วิธีการเล่าเรื่องและแสดงมุมมองของศิลปินที่ถ่ายทอด ออกมาอย่างเป็นเอกลักษณ์ เปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของเราว่าตัวเรานั้นเป็นใคร ทั้งในแง่ ของร่างกาย จิตใจ และวัฒนธรรม และในยุคที่โลกหมุนไวและเปลี่ยนแปลงเร็ว นิทรรศการนี้จะช่วยให้เราได้หยุดคิดแล้วกลับมาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ เป็นการใช้ศิลปะเป็นเลนส์ที่ช่วยให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงลึกๆ ของชีวิต และชวนให้เราคิดว่าจะทำยังไงให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง ของโลกใบเดียวกันMOCA BANGKOK อยากให้ทุกคนได้รับแรงบันดาลใจ ความสงบ และความเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัวกลับไปหลังจากที่ได้ชมนิทรรศการนี้ ทำให้เรามองสัตว์ มนุษย์ และโลกธรรมชาติในมุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิม และรู้สึกต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสมดุลและความยั่งยืนให้กับชีวิตรอบตัวเราทุกคน รวมถึงอยากเชิญชวนแฟนผลงาน ของหนูนันท์ รวมถึงคนรักศิลปะทั่วไป ไม่ควรพลาดชมนิทรรศการนี้”วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เผยว่า จุดเริ่มต้นของผลงานชุดนี้เกิดจากการสำรวจหัวใจตนเอง เนื่องจากเขาชื่นชอบ การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการวาดหรือการปั้น ที่มี “ผู้หญิง” เป็นองค์ประกอบหลัก จนเกิดเป็น คำถาม และต่อยอดสู่การค้นหาคำตอบจากศาสตร์และศิลป์หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนสื่อสังคมต่างๆ จนนำมารังสรรค์เป็นผลงาน 12 ชิ้น ที่ร้อยเรียงกันด้วยคำว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ที่ต้องการเชิดชูสตรีเพศ นำเสนอถึงความสวยงามและแง่มุม ชวนขบคิดเกี่ยวกับ “เพศแม่” ทั้งจากมุมมองของมนุษย์ และสะท้อนผ่านบรรดาสิงสาราสัตว์ ที่แต่ละชนิดล้วนเป็น สัญลักษณ์แทนประสบการณ์บางอย่างที่ผู้ชมต้องเป็นผู้ค้นหาและตีความด้วยตนเอง“แม้ว่า “Mammals” จะเป็นชื่อนิทรรศการ แต่ธีมหลักของผลงานทั้ง 12 ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วคือ “หัวใจ” ทั้งใน ความหมายเชิงชีววิทยา ถึงอวัยวะที่สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และความหมายเชิงจิตวิญญาณ ที่สื่อถึง ความรัก สายใยความผูกพัน เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีความแตกต่างอย่างมากจากสัตว์ประเภทอื่น ๆ บนโลก ทั้งการตั้งครรภ์ที่ยาวนานกว่า และการวิวัฒนาการที่ทำให้ร่างกายของ “แม่” กลั่นสารอาหารในร่างกายออกมา เป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายใยความผูกพันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแน่นแฟ้นยิ่งกว่า สัตว์ประเภทอื่น” วิษณุพงษ์ หนูนันท์ กล่าว"Mammals" ประกอบด้วยผลงานทั้งหมด 12 ชิ้นงาน โดยที่แต่ละชิ้นงานประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ สตรี และ สัตว์ โดยที่ทั้งสองจะสะท้อนความหมายถึงกันและกัน เพื่อเปิดทางสู่การสร้างความเข้าใจใหม่ เกี่ยวกับ “ชีวิต” และ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม”ตัวอย่างเช่น “วาฬ” ผลงานที่ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เลือกมาเป็นตัวเอกบนหน้าโปสเตอร์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่แม้ว่าจะวิวัฒนาการจนสามารถหายใจเหนือน้ำได้แล้ว ก็ยังคงอาศัยอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งวาฬไม่ได้เพียงแค่เอาชีวิตรอดไปวัน ๆ เท่านั้น แต่กลับสามารถเติบโตจนกลายเป็นเจ้าสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ได้ สะท้อน สู่ภาพของสตรีที่มักถูกมองเป็นเพศที่อ่อนแอ ต้องหาทางเอาชีวิตรอด ทั้งที่วิวัฒนาการธรรมชาติทำให้ผู้หญิงเป็น ผู้ที่ต้องเสียสละในการตั้งครรภ์ ผ่านความเจ็บปวดในการนำมนุษย์อีกคนมาสู่โลกใบนี้“กระทิง” ผลงานที่ดูหวือหวาที่สุดในนิทรรศการนี้ กับภาพสตรีเปลือยพร้อมผ้าสีแดง ยืนอยู่ต่อหน้ากระทิงดุ ซึ่งสื่อถึง มาทาดอร์ (Matador) วัฒนธรรมการสู้วัวกระทิงของสเปนที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่กีฬาที่มี ประวัติยาวนานนี้กลับยังไม่เปิดรับความเท่าเทียมให้กับเพศหญิง ทำให้ปัจจุบันในประเทศสเปนมีมาทาดอร์หญิง เพียง 4 คนเท่านั้น สะท้อนภาพโลกการทำงานที่หลายครั้งผู้หญิงยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในบางอาชีพ“ช้าง” อีกหนึ่งผลงานที่กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เอง ที่ได้ประสบกับ ความสูญเสียภายในครอบครัว นำมาสู่ผลงาน “ช้าง” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตั้งท้องนานที่สุดในโลกคือ 22 เดือน ที่เขาตั้งใจสื่อถึงสุภาษิตไทย "ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มี” ซึ่งผู้ชมต้องค้นหาเองว่า สิ่งที่ปิดบังไว้ไม่มิด ในผลงานชิ้นนี้คืออะไรกันแน่นอกจากผลงานทั้งสามชิ้นนี้ ในนิทรรศการ “Mammals” ผู้ชมจะได้พบกับผลงานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันน่า ตื่นตาตื่นใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แมว สิงโต ม้าลาย กระทิง และแรด ซึ่งผู้ชมแต่ละท่านจะได้รับสารแบบใด ตั้งคำถามอะไรกับผลงานแต่ละชิ้น และตีความออกมาอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับมุมองและประสบการณ์ของ แต่ละคนเอง ซึ่ง “หนูนันท์” อยากให้ผู้ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะทุกท่านได้มาสัมผัสด้วยตาและหัวใจตนเองที่ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น G, MOCA BANGKOK ทุกวัน ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 - 18:00 น. (ยกเว้นวันจันทร์ โดยพิพิธภัณฑ์ปิดทำการ) สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเบอร์ 02-016-5666 หรืออีเมล info@mocabangkok.comแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9680000013913
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
20/02/2025
อำเภอวังน้ำเขียว ภูมิใจเสนอ 'เบญจมาศ' บานในม่านหมอก ณ ตำบลไทยสามัคคี จ.นครราชสีมา หลากหลายสายพันธุ์และสีสัน รอให้ทุกคนมาเก็บภาพกลับไปการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับ จังหวัดนครราชสีมา จัดงาน เทศกาลดอกเบญจมาศบานในม่านหมอก ครั้งที่ 23 ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 6-23 กุมภาพันธ์ 2568ณ แปลงดอกเบญจมาศ ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมาเชิญชวน ผู้รักดอกไม้ทุกคน โดยเฉพาะดอกเบญจมาศ ไปชมทุ่งดอกเบญจมาศมากกว่า 20 สายพันธุ์ที่บานสะพรั่ง พร้อมกับถ่ายรูปเก็บความสวยงามและความสดใสกลับไปไว้ดูชมให้จิตใจเบิกบานพร้อมจับจ่ายซื้อสินค้า ของฝาก ที่มาออกบูธกันมากมาย และมุมถ่ายรูปที่ล้นหลาม เข้าชมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายCr. Kanok Shokjaratkul • ดอกเบญจมาศ กำลังเบ่งบานเต็มท้องทุ่งประกอบ สิริวงศ์เทาสะอาด นายก อบต.ไทยสามัคคี กล่าวว่า การจัดงานเทศกาล เบญจมาศบานในม่านหมอก ในปีนี้ เป็นครั้งที่ 23 แล้ว"ทำไมต้องเป็นดอกเบญจมาศ ย้อนกลับไปปี 2520 เราอยู่ในซอกเขา มูนหลง มูนสามง่าม บ้านคลองรำ สมัยนั้น ผกค.เยอะ พวกเราถูกยิงตายมาก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็ของบประมาณมาอพยพพี่น้อง 4-5 หมู่บ้านข้างในมารวมกันเป็นบ้านไทยสามัคคี ขึ้นอยู่กับปักธงชัย ตำบลวังน้ำเขียวCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulในปี 2535 พวกเราที่จะไปทำบัตรประชาชน ต้องไปนอนค้างคืน ทำให้ไม่สะดวก เลยทำเรื่องขอแยกเป็นกิ่งอำเภอวังน้ำเขียว ในปี 2536 ก็แยกเป็นตำบลไทยสามัคคีมีคนมาสำรวจอากาศ พบว่า ที่นี่อากาศดี เป็นโอโซนระดับ 7 ของโลก ททท.และหน่วยงานราชการก็สนับสนุนให้เป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์Cr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulชาวบ้านเริ่มปลูกเบญจมาศ เราเลยจัดงาน เบญจมาศบานในม่านหมอก นักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจปัจจุบัน เบญจมาศเหลือน้อย เพราะมันดูแลยาก ใช้เวลานาน 4 เดือนถึงจะได้ผลผลิต เกษตรกรก็หันไปปลูกผักไร้สารกัน จาก 40-50 ราย ตอนนี้เหลือประมาณ 20 รายCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulอีกอย่างสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนวังน้ำเขียว อากาศเย็น หนาว ตลอด พออากาศเปลี่ยน ถ้าร้อนจัด ๆ มันก็จะบานก่อน แล้วก็มีแมลงเยอะงานเบญจมาศเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของอบต.ไทยสามัคคี ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานตั้งแต่วันที่ 6 – 23 กุมภาพันธ์ 2568 บนพื้นที่กว่า 50 ไร่Cr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulเปิดงานวันที่ 8 วันที่ 9 มีกิจกรรมตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งในแปลงเบญจมาศ วันที่ 14 กุมภา วันแห่งความรัก มีกิจกรรมจดทะเบียนสมรสในแปลงเบญจมาศบานในม่านหมอกมีคู่รักจากท้องที่ต่าง ๆ มาจดทะเบียนสมรส ลงทะเบียนไว้แล้ว 18 คู่ พิเศษในปีนี้มีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมด้วย 2 คู่ เราจัดขบวนแห่เหมือนแต่งงานจริง มีรถแห่ มีกลองยาว แล้วก็จดทะเบียนในแปลง มีท่านนายอำเภอมามอบทะเบียนสมรสให้Cr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulวันที่ 16 มีกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่น เริ่มจากแปลงเบญจมาศ ไปผาเก็บตะวัน แล้วกลับมาจบที่แปลงเบญจมาศ มีผู้สนใจลงทะเบียนแล้ว 500 คน มีถ้วยรางวัลมอบให้ด้วยวันที่ 8, 15, 21, 22 กุมภาพันธ์ มีการแข่งขันมวยพื้นบ้านCr. Kanok ShokjaratkulCr. Kanok Shokjaratkulขอเชิญชวนผู้ที่สนใจมาเที่ยวในแปลงเบญจมาศของเรา นักท่องเที่ยวบางส่วนมาตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม ตั้งแต่ดอกไม้เริ่มบานดอกไม้จะบานไปจนถึงวันที่ 2 มีนาคม เราจะไม่เก็บ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แต่ส่วนของตลาดเปิดถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 ดอกเบญจมาศของเรามี 26 สายพันธุ์"สอบถาม โทร. 044 - 228 - 888, 089 - 280 - 5494พิกัด : maps.app.goo.gl/2i5i1fSMkxjHGi9cAแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1167142
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
18/02/2025
กรุงเทพฯ, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย จัดงานมอบรางวัลแห่งเกียรติยศ “AIA Hospital Awards 2024 – Recognition of Healthcare Excellence” แก่สุดยอดโรงพยาบาลคู่สัญญาทั่วประเทศซึ่งมีความเป็นเลิศในด้านการบริการทางการแพทย์ พร้อมส่งเสริมความยั่งยืนด้านสุขภาพ รวมถึงส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าซึ่งมีโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้จำนวนทั้งสิ้น 20 โรงพยาบาลจากทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ในงานได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธาน ร่วมด้วย นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ โดยมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย ให้การต้อนรับ นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ ในงานยังได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัลเข้าร่วมงานอย่างล้นหลาม ซึ่งรางวัล “AIA Hospital Awards 2024” ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 นับได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ประเทศไทย ที่ต้องการสร้างเครือข่ายด้านสุขภาพและบริการทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งร่วมกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ซึ่งงานมอบรางวัลฯ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมคาร์ลตัน กรุงเทพ สุขุมวิทนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับโรงพยาบาลทั้ง 20 แห่งจากทั่วประเทศ ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศ AIA Hospital Awards 2024 และขอขอบคุณทุก ๆ โรงพยาบาลที่ให้การดูแลลูกค้าเอไอเออย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอดซึ่งเอไอเอ ถือเป็นผู้นำในตลาดประกันสุขภาพ เรามีลูกค้าผู้ถือสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพมากที่สุดจำนวนกว่า 2.8 ล้านรายทั่วประเทศ* และในปีที่ผ่านมา เอไอเอได้ให้การบริการเคลมสินไหมสุขภาพมากกว่า 10,000 เคสต่อวัน และจ่ายค่าสินไหมสุขภาพให้แก่ผู้เอาประกันไปแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ผู้เอาประกันมีให้กับเอไอเอ และมอบความไว้วางใจให้เราได้ดูแลในด้านประกันสุขภาพ ในฐานะผู้นำ เอไอเอพร้อมที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบความคุ้มครองด้านสุขภาพ อีกทั้งยังพร้อมร่วมมือกับโรงพยาบาลทั่วประเทศในการบูรณาการทางด้านบริการดิจิทัลเพื่อการดูแลสุขภาพ และนำเสนอโซลูชันด้านสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นให้กับคนไทยทั่วประเทศต่อไป”นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “ปัจจุบันเอไอเอมีโรงพยาบาลและสถานพยาบาลคู่สัญญากว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นเครือข่ายการให้บริการด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และสำหรับทั้ง 20 โรงพยาบาลที่ได้รับรางวัล AIA Hospital Awards 2024 ในครั้งนี้ ผมขอแสดงความยินดีและขอขอบคุณทุกโรงพยาบาลที่ให้ความร่วมมือกับเอไอเอมาอย่างต่อเนื่อง เราได้เห็นถึงความทุ่มเทและความตั้งใจของทุก ๆ โรงพยาบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ ทั้งการบริการหน้าบ้านและระบบปฏิบัติการหลังบ้านเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า และในปีนี้เรามีเป้าหมายชัดเจนที่จะเดินหน้าร่วมมือกับทุก ๆ โรงพยาบาล โดยได้เริ่มนำร่องด้วยโครงการ AIA Smart Network กับโรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อการดูแลและส่งเสริมสุขภาพให้กับลูกค้าของเราอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกทั้งการพัฒนาบริการด้านสุขภาพในหลากหลายมิติ ซึ่งเอไอเอในฐานะผู้นำธุรกิจประกันสุขภาพ เราอยากเข้าไปมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจประกันสุขภาพและโรงพยาบาลทุกแห่งสามารถเดินหน้าและร่วมกันสร้างความยั่งยืนเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า รวมทั้งส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานได้อย่างทั่วถึง” สำหรับรางวัล AIA Hospital Awards 2024 ที่มอบให้กับโรงพยาบาลทั้ง 20 แห่งประกอบด้วย • รางวัลผู้ส่งมอบประสบการณ์ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า (Most Satisfactory Patient Experience Award) • กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลธนบุรี • ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ • ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม • ภาคตะวันออก ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา • ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต • รางวัลผู้ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสุขภาพยอดเยี่ยม (Clinical Excellence and Sustainability Award) • กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลปิยะเวท • ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต • ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • ภาคตะวันออก ได้แก่ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร • ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ • รางวัลกำกับและบริหารกิจการยอดเยี่ยม (Excellence in Healthcare Leadership Award) • กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลนครธน • ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลพิษณุเวช พิษณุโลก • ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพเมืองราช • ภาคตะวันออก ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลขอนแก่นราม • ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ • รางวัลสุดยอดผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพยอดเยี่ยม (Most Outstanding Healthcare Provider Award) • รางวัลผู้ให้บริการด้านสุขภาพยอดเยี่ยม ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท • รางวัลผู้ให้บริการด้านสุขภาพดีเด่น ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพหมายเหตุ:*ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
17/02/2025
หลายครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวของคนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง หรือคนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายพวกเขากลับต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกลับไปอยู่ในสถานะที่ยากจนเหมือนเดิม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบส่วนใหญ่มาจาก การขาดความรู้และทักษะในการบริหารจัดการเงิน[เงินไม่ใช่ทุกอย่าง]เงินเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่เงินไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย หากเราไม่รู้จักวิธีใช้เงินอย่างถูกต้อง เงินก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราได้[ปัญหาหลักของคนที่มีเงินแต่บริหารไม่เป็น]หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าบริหารเงินไม่เป็น = กลับไปจนคนที่ขาดความรู้ในการบริหารเงิน มักจะใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น ฟุ่มเฟือย หรือลงทุนผิดพลาด นอกจากนี้ พวกเขายังอาจไม่รู้จักการออมเงิน หรือการวางแผนอนาคต ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วย ก็ไม่มีเงินสำรองไว้ใช้ ส่วนแล้วมักเกิดจากหลายสาเหตุ1. การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว เมื่อมีเงินมาก มักเกิดความรู้สึกว่าเงินไม่มีวันหมด จึงใช้จ่ายอย่างไม่ยั้งคิด ซื้อของฟุ่มเฟือย รถยนต์ราคาแพง บ้านหลังใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว2. ขาดความรู้ในการลงทุน การนำเงินไปลงทุนโดยขาดความรู้ความเข้าใจ เช่น หลงเชื่อคำชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มั่นคง หรือการเก็งกำไรในตลาดหุ้นโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้สูญเสียเงินก้อนใหญ่ได้3. ไม่มีการวางแผนการเงิน การไม่แบ่งสัดส่วนเงินสำหรับการใช้จ่าย การออม และการลงทุนอย่างเหมาะสม ทำให้ไม่มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน และไม่มีการสร้างรายได้เพิ่มเติม4. มีภาระหนี้สินมากเกินไป การก่อหนี้โดยไม่จำเป็น เช่น การผ่อนสินค้าฟุ่มเฟือย หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนโดยไม่มีแผนการชำระหนี้ที่ชัดเจน[แนวทางการแก้ไขและป้องกัน]1. พัฒนาความรู้ทางการเงิน ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการบริหารการเงิน การลงทุน และการวางแผนภาษี อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสม2. สร้างวินัยทางการเงิน กำหนดงบประมาณการใช้จ่ายที่ชัดเจน แยกบัญชีสำหรับการใช้จ่าย การออม และการลงทุน มีการจดบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ3. วางแผนการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่เอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในที่เดียว และเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้4. สร้างรายได้หลายทาง ไม่พึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว พยายามสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการลงทุนหรือธุรกิจเสริม5. มีเงินสำรองฉุกเฉิน ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6-12 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น[สรุป]การมีเงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่หลักประกันความมั่งคั่งที่ยั่งยืน สิ่งสำคัญคือต้องมีความรู้และทักษะในการบริหารจัดการการเงินที่ดี มีวินัยในการใช้จ่าย และวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ การพัฒนาความรู้และทักษะเหล่านี้จะช่วยให้รักษาและต่อยอดความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน ไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เพราะความไม่รู้หรือการบริหารที่ผิดพลาดแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/6177
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
17/02/2025
ไฟ-ฟ้า โดยทีทีบี โครงการแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน เพื่อการจุดประกายเยาวชนและชุมชนที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ร่วมกับทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิดตัวนิทรรศการศิลปะ “fai-fah Art Exhibition : Youth + Uprising” เพื่อแสดงพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของเยาวชนไฟ-ฟ้า ภายใต้แนวคิด “The Power of Youth, Igniting Change – พลังแห่งเยาวชน จุดประกายการเปลี่ยนแปลง” เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นในพลังของเยาวชนที่จะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น สอดรับกับการจัดงาน Bangkok Design Week 2025 หรือเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ภายใต้ธีม “Design Up+Rising: ออกแบบพร้อมบวก” ที่ชวนทุกคนมาสร้างสรรค์ทุกความเป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัดของกรุงเทพฯ ซึ่งนิทรรศการศิลปะ “fai-fah Art Exhibition : Youth + Uprising” พร้อมเปิดให้ทุกคนสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะและการสร้างสรรค์ผลงานสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพของเด็กๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ – 23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ทรูดิจิทัล พาร์ค (TDPK Studio 1 ชั้น 2)นิทรรศการ “fai-fah Art Exhibition: Youth + Uprising”นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี เดินหน้าตามปรัชญา Make REAL Change มุ่งสร้างชีวิตที่ดีขึ้นรอบด้านให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนทุกกลุ่มของธนาคาร ตามกรอบ B+ESG ที่ผสานธุรกิจและความยั่งยืนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ทีทีบียึดถือมาโดยตลอด คือ การให้โอกาสกับเยาวชน ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการสอนจับปลา แทนการให้ปลา จึงเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในชุมชน อายุ 12-17 ปี ได้เข้ามาเรียนรู้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านเรียนรู้ไฟ-ฟ้าทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ประชาอุทิศ, จันทน์, บางกอกน้อย, สมุทรปราการ และนนทบุรี มีเด็กเข้าร่วมโครงการมากกว่า 12,000คน ผ่านคลาสเรียนต่าง ๆ ที่มุ่งพัฒนาทักษะศิลปะและชีวิต (Art & Life Skills) อย่างครอบคลุมศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิ ทีทีบี จึงเป็นมากกว่ากิจกรรมเพื่อสังคม แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น เพราะทีทีบี เชื่อว่าเมื่อเยาวชนได้รับโอกาสและพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พวกเขาจะกลายเป็นพลังสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสังคมในทางที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน นิทรรศการศิลปะ “fai-fah Art Exhibition: Youth + Uprising” จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของเด็ก ๆ เป็นเสมือนเวทีที่สะท้อนถึงความสำเร็จและแรงบันดาลใจที่บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเด็กไฟ-ฟ้า นอกจากเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้บุคคลทั่วไปได้เห็นพลังและศักยภาพของเด็ก ๆ รวมถึงความภาคภูมิใจว่าผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างแล้ว เชื่อว่ายังจะสร้างแรงบันดาลใจขับเคลื่อนสังคมและผู้คนเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย”ด้านดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค สร้างขึ้นด้วยแนวคิด “One Roof, All Possibilities - ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” ที่มุ่งสร้าง Ecosystem เชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือและความคิดสร้างสรรค์ ในชุมชนเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ให้เป็นมากกว่าพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยน แต่ยังมอบประสบการณ์อันไร้ขีดจำกัด และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ผู้คน ผ่านการจัดกิจกรรมและนิทรรศการต่าง ๆ ที่สามารถเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และร่วมสร้างไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงานได้อย่างไม่มีสิ้นสุด จึงเป็นที่มาของการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนจากศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า โดยมูลนิธิทีทีบี เข้ามาจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ fai-fah Art Exhibition : Youth + Uprising ได้โชว์พลังและศักยภาพแก่สังคมในวงกว้าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ศิลปะจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนให้สังคมเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักในการสนับสนุนเยาวชนและคนรุ่นใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย(จากซ้าย) นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต และดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์คสำหรับนิทรรศการ “fai-fah Art Exhibition: Youth + Uprising” เป็นเวทีที่เด็กไฟ-ฟ้าได้ถ่ายทอดการเดินทางของพวกเขาผ่านผลงานศิลปะ ตั้งแต่การตั้งคำถามเกี่ยวกับโลกและสังคม การค้นพบคุณค่าในตัวเอง ไปจนถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากห้องเรียนศิลปะในศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ทุกผลงานสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ ความหวัง และพลังในการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง นิทรรศการนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสมุมมองใหม่ ๆ ผ่านผลงานของเด็กธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งพร้อมจะจุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้ชมร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่านิทรรศการศิลปะ “fai-fah Art Exhibition : Youth + Uprising”นิทรรศการฯ ประกอบด้วย 5 โซน ที่นำเสนอประสบการณ์การเดินทางผ่านผลงานศิลปะกว่า 80 ชิ้นที่ออกแบบเป็นศิลปะจัดวาง (installation art) และมัลติมีเดีย เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชมในทุกมิติ เริ่มต้นด้วย1. The Spark of Change (จุดประกายแห่งการเปลี่ยนแปลง) เริ่มต้นด้วยพลังที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ผ่านการออกแบบที่แสดงถึงการเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง ความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นจะนำพาคุณเข้าสู่โลกแห่ง "Youth + Uprising"2. The Reflection (การสะท้อนตัวตนและสังคม) โซนที่ชวนคุณมองโลกผ่านสายตาของเยาวชน ตั้งคำถามถึงปัญหาปัจจุบัน เช่น ความยั่งยืน ความเท่าเทียม และการเปลี่ยนแปลงในสังคม ผลงานในโซนนี้ท้าทายให้คุณตั้งคำถามกับมาตรฐานที่เคยมีและเปิดมุมมองใหม่3. Being Myself (เป็นตัวเองในโลกที่ไม่มีผิดถูก) โซนแห่งการยอมรับความหลากหลาย ที่บอกเล่าว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวของตัวเองในโลกที่เต็มไปด้วยการตัดสินผลงานในโซนนี้สะท้อนถึงความกล้าที่จะยอมรับตัวเองและเฉลิมฉลองในความแตกต่าง4. Playground (สนามเด็กเล่นแห่งความฝัน) พื้นที่ที่ชวนให้คุณย้อนกลับไปสู่ความสดใสในวัยเด็กอีกครั้ง ที่ซึ่งความสุข ความสนุก และการมองโลกในแง่ดีสามารถเป็นพลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพลิดเพลินกับดีไซน์ที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกในแบบที่ไร้กรอบ5. The Wall of Inspiration (กำแพงแห่งแรงบันดาลใจ) จุดสุดท้ายที่ให้คุณฝากแรงบันดาลใจส่วนตัวไว้ เป็นพื้นที่ที่รวบรวมความตั้งใจของทุกคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ นิทรรศการนี้คือบทสนทนาแห่งพลังเยาวชนที่ชวนให้คุณเชื่อมั่นว่า "พลังแห่งเยาวชน จุดประกายการเปลี่ยนแปลง" อนาคตไม่ใช่แค่สิ่งที่เราจะไปถึง แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนร่วมกันสร้างได้ตั้งแต่วันนี้นิทรรศการ “fai-fah Art Exhibition: Youth + Uprising” เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ตั้งแต่วันที่ 8 – 23 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10:00 – 20:00 น. ณ TDPK Studio 1 ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค โดยไม่มีค่าใช้จ่าย มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และสัมผัสพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นนิทรรศการศิลปะ “fai-fah Art Exhibition : Youth + Uprising”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9680000012910
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
17/02/2025
ใครวางแผนไปเที่ยวเกาหลีบ้าง? หนึ่งในด่านสำคัญที่ต้องเจอคือ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.เกาหลี) หลายคนอาจกังวลว่า ตม.เกาหลีถามอะไรบ้าง จะตอบยังไงให้รอดและผ่านง่าย ๆ ไม่ต้องห่วง เรารวมคำถามยอดฮิตที่ ตม.เกาหลีมักถาม พร้อมตัวอย่าง คำตอบภาษาอังกฤษ ให้คุณได้เตรียมตัวไว้แล้ว อ่านจบ มั่นใจ ตอบเป๊ะ!12 คำถามยอดฮิต ตม.เกาหลีถามอะไรบ้าง ?การเดินทางไปเกาหลีใต้ด้วยตัวเอง ต้องมีเอกสารครบถ้วน เพื่อเพิ่มโอกาสผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.เกาหลี) ได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางครั้งแรก หรือ ไม่มีประวัติการเดินทางมาก่อน1. What is the purpose of your visit to Korea? เดินทางมาทำอะไรที่เกาหลี?คำตอบตัวอย่าง: • I come for traveling.ฉันมาเที่ยวค่ะ/ครับ • I come to visit my friend.ฉันมาเยี่ยมเพื่อนค่ะ/ครับ2. How long will you stay in Korea? / How long? จะอยู่ที่เกาหลีนานแค่ไหน?คำตอบตัวอย่าง: • I will stay for 7 days. ฉันจะอยู่ 7 วันค่ะ/ครับ3. Where are you staying? พักที่ไหน?คำตอบตัวอย่าง: • I will stay at a hotel named... ฉันพักที่โรงแรมชื่อ...4. What places will you visit in Korea? / Where do you go? จะไปเที่ยวที่ไหนบ้างในเกาหลี?คำตอบตัวอย่าง: • I will visit Seoul, Lotte World, and Hongdae.ฉันจะไปโซล สวนสนุกล็อตเตเวิลด์ และฮงแดค่ะ5. Do you have an accompany? เดินทางมากับใคร?คำตอบตัวอย่าง: • Yes, I am traveling with my family. ฉันเดินทางมากับครอบครัวค่ะ/ครับ • Yes, I am traveling with my friends.ฉันเดินทางมากับเพื่อนค่ะ/ครับ6. Do you have a return ticket? คุณมีตั๋วเครื่องบินขากลับยัง?คำตอบตัวอย่าง: • Yes, I have a return ticket on (date).ใช่ค่ะ/ครับ ฉันมีตั๋วขากลับวันที่...7. What is your job? / What is your occupation?คำตอบตัวอย่าง: • I am a/an ......ฉันเป็น.....(อาชีพ)8. Is this your first time in Korea? นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเกาหลีหรือเปล่า?คำตอบตัวอย่าง: • Yes, it’s my first time.ใช่ค่ะ/ครับ นี่เป็นครั้งแรก • No, I have been here before.ไม่ค่ะ/ครับ ฉันเคยมาแล้ว9. How much money do you have for this trip? คุณพกเงินมาเท่าไหร่สำหรับการเดินทางครั้งนี้?คำตอบตัวอย่าง: • I have about 500,000 Won.ฉันมีประมาณ 500,000 วอน10. Is there a hotel reservation? มีใบจองโรงแรม ที่พักไหม?คำตอบตัวอย่าง: • Yes, here you go.มีค่ะ นี่ค่ะ/ครับ (ยื่นใบจองให้)11. Do you know anyone in Korea? คุณรู้จักใครในเกาหลีไหม?คำตอบตัวอย่าง: • Yes, I have a friend in Seoul.ใช่ค่ะ/ครับ ฉันมีเพื่อนอยู่ที่โซล • No, I don’t know anyone here.ไม่ค่ะ/ครับ ฉันไม่รู้จักใครที่นี่12. Are you traveling alone? คุณเดินทางคนเดียวหรือเปล่า?คำตอบตัวอย่าง: • No, I am traveling with my family.ไม่ค่ะ/ครับ ฉันเดินทางมากับครอบครัว • Yes, I am traveling alone.ใช่ค่ะ/ครับ ฉันเดินทางคนเดียวเรื่องสำเนียงเกาหลี เวลาใช้ภาษาอังกฤษ 1. อาจได้ยินเสียง "L" และ "R" สลับกัน เช่น friend > "프렌드 (เพอเร็นด์)" 2. ลงท้ายคำไม่ชัดเจน เช่น hotel > "호텔 (โฮเทล)" 3. การออกเสียงสระจะฟังดูยาวหรือสั้นผิดปกติ เช่น "visit" อาจฟังเป็น "비짓 (บีจิท)"การเตรียมตัวตอบ คำถาม ตม. เกาหลี ล่วงหน้า เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้คุณมั่นใจและผ่านด่านตรวจได้อย่างราบรื่น ลองฝึกตอบคำถามภาษาอังกฤษเหล่านี้ไว้ รับรองเที่ยวเกาหลีสบายใจแต่งกายอย่างไรให้ผ่าน ตม. เกาหลีง่ายขึ้นแต่งตัวให้เหมือนนักท่องเที่ยว สุภาพ และดูเป็นมิตรสำหรับผู้หญิง • สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อย เหมาะสมกับอากาศ • ไม่แต่งตัวโป๊จนเกินไป • แต่งหน้าพอดี ไม่จัดจ้านเกินไป • ไม่ใส่แบรนด์เนมของปลอมสำหรับผู้ชาย • สามารถใส่เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตได้ • หลีกเลี่ยงการใส่สูทเต็มชุด เพราะอาจถูกสงสัยว่ามาทำงาน • ควรใส่กางเกงขายาว และรองเท้าผ้าใบทริคพิเศษ: พกกล้องถ่ายรูปคล้องคอไว้ จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ว่าเป็นนักท่องเที่ยวหากเคยติด ตม. เกาหลี ยังไปได้อีกไหม?ยังสามารถเดินทางไปเกาหลีได้อีก แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ตม. เกาหลี หากเคยถูกปฏิเสธการเข้าเมือง ไม่ได้หมายความว่าจะถูกแบนตลอดไปวิธีเพิ่มโอกาสผ่าน ตม. ครั้งต่อไป • เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน (ตั๋วเครื่องบิน, การจองที่พัก, แผนการท่องเที่ยว, เอกสารรับรองการทำงาน ฯลฯ) • ตอบคำถามให้มั่นใจ ไม่ลังเล • แสดงหลักฐานการเดินทางที่ชัดเจนเอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนไปเจอตม. เกาหลี • หนังสือเดินทาง (Passport) • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ • เอกสารจองที่พัก • แผนการท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ • เอกสารรับรองการทำงาน หรือการศึกษา • รายการบัญชีย้อนหลัง (กรณีไม่มีเอกสารรับรองอื่น ๆ)เตรียมเอกสารให้ครบ ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง และตอบคำถาม ตม. ด้วยความมั่นใจ เพียงเท่านี้ก็สามารถเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเองได้อย่างราบรื่นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451411/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
11/02/2025
หนี้ดี-หนี้เสีย รู้จักหนี้แต่ละประเภท ตั้งเป้าหมายจัดการหนี้ กลยุทธ์จัดการหนี้ที่มีประสิทธิภาพในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ 11 ธ.ค. มีมาตรการทางด้านเศรษฐกิจหลายเรื่องที่จะถูกเสนอให้ที่ประชุมอนุมัติ โดยที่สำคัญจะเป็นมาตรการแก้ปัญหาหนี้ การอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงช่วยหนี้กลุ่มเปราะบางกลุ่มอื่นของสถาบันการเงิน เพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนด้วยเรื่องการลดภาระการชำระหนี้และดอกเบี้ย ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ เน้นการตัดเงินต้นและดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไข เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สิน บ้าน รถยนต์ รวมถึงสถานประกอบการของตัวเองเอาไว้ได้รวมถึงการให้ลูกหนี้ NPL ที่มียอดมูลหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อสามารถปิดหนี้ได้ และสามารถเคลียร์เครดิตปรับปรุงชำระหนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคตนอกจากนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม ทั้งลูกหนี้ประวัติหนี้ดี เพื่อให้กำลังใจในการรักษาวินัยการเงินการคลังต่อไป รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เรื้อรังส่วนมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร Nonbank ลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเหลือ 70% และลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 เช่น อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี ก็จะเหลือร้อยละ 15 ต่อปีหนี้ดีและหนี้เสีย คืออะไรหนี้เพื่อการประกอบอาชีพ เป็นหนี้ที่สร้างอาชีพให้กับเรา ทำให้เรามีโอกาสมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การกู้เงินมาเปิดร้านขายของ การกู้เงินมาตั้งบริษัทหนี้เพื่อสร้างอนาคต เช่น การกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อให้เรามีความรู้มาใช้ในการทำงาน หรือมีทักษะ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพที่ทำอยู่ ซึ่งจะทำให้เรามีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้นหนี้เพื่อความมั่นคงระยะยาว เช่น การกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้มีบ้านเป็นของตนเอง แทนที่จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านก็กลายเป็นการจ่ายค่าผ่อนบ้านแทน ทำให้มีทรัพย์สินส่วนตัวเพิ่มขึ้นหนี้เสีย คือ หนี้ที่ไม่สร้างรายได้ในอนาคต และอาจจะทำให้ความมั่นคงลดลงอีกด้วย เช่น หนี้เพื่อการประกอบอาชีพ เป็นหนี้ที่สร้างอาชีพให้กับเรา ทำให้เรามีโอกาสมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การกู้เงินมาเปิดร้านขายของ การกู้เงินมาตั้งบริษัทหนี้เพื่อสร้างอนาคต เช่น การกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อให้เรามีความรู้มาใช้ในการทำงาน หรือมีทักษะ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพที่ทำอยู่ ซึ่งจะทำให้เรามีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้นหนี้เพื่อความมั่นคงระยะยาว เช่น การกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้มีบ้านเป็นของตนเอง แทนที่จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านก็กลายเป็นการจ่ายค่าผ่อนบ้านแทน ทำให้มีทรัพย์สินส่วนตัวเพิ่มขึ้นหนี้เสีย คือ หนี้ที่ไม่สร้างรายได้ในอนาคต และอาจจะทำให้ความมั่นคงลดลงอีกด้วย เช่น เมื่อเข้าใจความแตกต่างของหนี้ดีและหนี้เสีย ก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้เสีย ในขณะเดียวกันก็สร้างหนี้ดี เพื่อเป็นเส้นทางไปสู่อนาคตที่มั่นคงขึ้นตั้งเป้าหมายจัดการหนี้เมื่อเราจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบแล้ว จะรู้ว่าในแต่ละเดือนจะมีกระแสเงินสดเหลืออีกเท่าไหร่ ก็สามารถหาวิธีการจัดการหนี้ที่เหมาะกับตัวเองได้ สิ่งสำคัญ คือ ต้อง “ตั้งเป้าหมายการจัดการหนี้” โดยอาจมีการให้รางวัลเล็ก ๆ กับตนเองก็ได้ เช่น ชำระหนี้บัตรเครดิตให้หมดภายใน 1 ปี หากทำได้ จะไปทานอาหารมื้อพิเศษเพื่อเป็นรางวัลในการพิชิตเป้าหมายนี้ได้ หรือใช้ตั้งเป้าหมายที่เรียกว่า SMARTS-Specific : เป้าหมายควรมีความเฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการปลดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดภายใน 12 เดือนM-Measurable : เป้าหมายควรวัดผลได้ เช่น ต้องการลดจำนวนหนี้ลง 10,000 บาทต่อเดือนA-Achievable : เป้าหมายควรเป็นไปได้จริง เช่น จะหางานเสริมเพื่อหารายได้เพิ่ม 5,000 บาทต่อเดือนR-Relevant : เป้าหมายควรเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณ เช่น จะลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารลง 2,000 บาทต่อเดือนT-Time-Bound : เป้าหมายควรมีกรอบเวลาที่ชัดเจน เช่น จะออมเงิน 100,000 บาท ภายใน 2 ปีกลยุทธ์จัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพสิ่งสำคัญในการจัดการหนี้ คือ ต้องหยุดสร้างหนี้เพิ่ม จากนั้นสรุปรายการหนี้ทั้งหมด หากมีหนี้หลายก้อน ให้รีบเคลียร์หนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยมากที่สุดก่อน แต่บางครั้งหากมีหนี้บางก้อนเหลือไม่มาก การเลือกที่จะเคลียร์หนี้ก้อนเล็กออกไปก่อนก็ช่วยให้มีกำลังใจในการปลดหนี้ก้อนอื่น ๆ ด้วย (เนื่องจากจำนวนของหนี้ลดลง) ทั้งนี้ สามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการจัดการกับหนี้ได้ เช่นมองหาแหล่งเงินทุนไร้ดอกเบี้ย โดยขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือญาติพี่น้อง และสามารถให้ยืมเงินก้อนใหญ่มาชำระหนี้ทั้งหมดในปัจจุบัน แล้วผ่อนชำระให้เขาโดยไม่มีดอกเบี้ย หรือคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ ๆพูดคุยกับเจ้าหนี้โดยตรง ขอลดอัตราดอกเบี้ย ยืดเวลาการผ่อนชำระ หรือการพักชำระเงินต้น ซึ่งต้องแสดงให้เห็นว่ามีความจริงใจที่จะชำระหนี้จนครบถ้วนอย่างแน่นอนการรีไฟแนนซ์ เป็นการรวมหนี้ก้อนเดียว โดยสามารถติดต่อกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มีบริการในด้านนี้ ซึ่งจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยโดยรวมลดลง และการชำระหนี้ไปที่เจ้าหนี้เพียงรายเดียวทำให้บริหารจัดการได้ง่ายขึ้นกลยุทธ์ Snowball หรือการล้างหนี้แบบหิมะถล่ม เหมาะกับผู้ที่มีหนี้สินหลายก้อน โดยแต่ละก้อนก็มีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ก็จะใช้วิธีชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน ส่วนหนี้ก้อนอื่น ๆ ให้ชำระเป็นเงินขั้นต่ำ เมื่อชำระหนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยสูงสุดครบแล้ว ก็ให้ชำระหนี้ก้อนที่มีดอกเบี้ยสูงรองลงมา ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย ทำให้หนี้หมดไวขึ้นสุดท้าย พึงระลึกไว้ว่าอย่านำเงินไปจ่ายหนี้ทั้งหมด แต่ให้แบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บออม และเมื่อเห็นจำนวนเงินในบัญชีที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นกำลังใจให้เราในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป และเมื่อใดที่มีโอกาสในการลงทุนต่อยอด ก็ยังมีเงินสำรองในการเพิ่มความมั่งคั่งได้อีกด้วยคำแนะนำ หากมีปัญหาเรื่องหนี้สินหรือการจัดการด้านการเงิน อย่าอายที่จะ “ขอความช่วยเหลือ” จากผู้ที่มีความรู้ เพราะยิ่งปล่อยให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น อาจจะแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่หากได้รับคำแนะนำจากผู้ที่มีความรู้ ก็จะสามารถจัดการปัญหาที่มีอยู่ และพลิกกลับมาเป็นผู้ที่มีความมั่นคงทางการเงินได้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1713400
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/02/2025
ป้ายยานักท่องเที่ยวสายอาร์ต - สายมูเตลู ชวนเที่ยวงาน “คุณพระช่วย ช่วยได้จริงด้วย” นิทรรศการจาก GOODSTUPH Thailand หนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดใน Bangkok Design Week 2025ใกล้ที่จะเริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับงาน Bangkok Design Week 2025 หรือเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ 2568 งานอาร์ตประจำปี อีเวนต์สร้างสรรค์ของชาวกรุงเทพ ที่เวียนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคอนเซปต์ใหม่ "Design Up+Rising: ออกแบบพร้อมบวก+" จัดเต็มกว่า 350 โปรแกรม ณ 7 ย่านหลักทั่วกรุงเทพฯ ตลอดเดือนกุมภาพันธ์โดยโปรแกรมทั้งหมด มีหนึ่งงานไฮไลท์ที่น่าสนใจในปีนี้ สำหรับผู้เสพงานอาร์ต รวมถึงนักท่องเที่ยวสายมูเตลู กับงานนิทรรศการ ‘คุณพระช่วย ช่วยได้จริงด้วย’ ที่นำเสนอ 6 ต้นแบบของขลังที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง พร้อมสถานการณ์จำลองในรูปแบบ Interactive Abstract Art ทั้ง 6 จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร ซึ่งอีเวนต์ที่เป็นผลงานศิลปะสุดครีเอทจาก GOODSTUPH Thailand ครีเอทีฟเอเจนซี่อิสระสัญชาติไทย ที่ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ (Creative) และการออกแบบ (Design) ที่มาร่วมจัดแสดงเป็นครั้งแรกพรพิรุณ ชูชื่น Head of Designerพรพิรุณ ชูชื่น Head of Designer เล่าว่า “เพราะคนไทยเชื่อในเรื่องมู เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับบ้านเรามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็เชื่อเรื่องเหล่านี้กันทั้งนั้น แถมยังพกติดตัวกันอยู่ในทุกวัน จึงเกิดประเด็นคำถามที่ว่า “ที่พึ่งพาทางใจ จะสามารถพึ่งพาในชีวิตจริงได้ไหม”ทั้งหมดจึงต่อยอดเป็น 6 โปรดักต์ ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมืองกรุงตามสถานการณ์ต่างๆ ผ่านนิทรรศการ 6 เหตุการณ์จำลองในรูปแบบ Interactive Art แสง สี เสียงจัดเต็ม พร้อมให้ชาวกรุงมาลองของ ว่าจะขลังพร้อมบวกแค่ไหน ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์เจอคนที่ชอบ สถานการณ์ซอยมืดเปลี่ยวในกรุง สถานการณ์เมื่อต้องส่งเสียงให้คนช่วย สถานการณ์แบตมือถือหมด สถานการณ์เจรจาค้าขายให้สำเร็จ และสถานการณ์ต้องการหาโทรเบอร์ฉุกเฉินซึ่งสอดคล้องกับธีมงาน Bangkok Design Week 2025 ในปีนี้อย่าง Design Up+rising หรือ ออกแบบพร้อมบวก” “คุณพระช่วย ช่วยได้จริงด้วย” (DIVINE POWER 2.0) เมื่อของขลังที่คนไทยรู้จัก ศรัทธา และชอบพกพา ถูกนำไปเสริมฟังก์ชั่น เพิ่มอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ กลายเป็นไอเทมต้นแบบที่ให้คนเมืองพร้อมบวก+ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น • ปลัดขิกพลิกเสน่ห์ (IRRESISTIBLE ALLURING PALAD-KHICK) ของขลังอานุภาพโดดเด่นด้านเสริมเสน่ห์ มาพร้อมกับบาล์มสูตรยั่วพิเศษ ที่เมื่อรวมกับบารมีแห่งปลัดขิก คุณก็สามารถพิชิตใจคนได้ง่ายๆ • พระพิฆเนศ รุ่นเป่าเคราะห์ (GANESHA, BAD OMEN BLOWER MODEL) เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่ ความสำเร็จ และพระผู้ขจัดอุปสรรค เราเพิ่มคุณสมบัติการปัดเป่าความชั่วร้ายด้วยการฟิวชั่นกับนกหวีด เจอภยันอันตรายที่ใด ก็หยิบขึ้นมาเป่าเรียกคนมาช่วยเหลือได้ทันที • ผ้ายันต์สารพันเบอร์ (EMERGENCY NUMBER YANTRA CLOTH) หนึ่งในของขลังครั้งโบราณ ผ้ายันต์ถูกพกไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เราอัปเกรดด้วยการนำเบอร์โทรฉุกเฉินมาใส่ ให้คุณใช้ชีวิตในเมืองกรุงได้อย่างสบายใจ • ตะกรุดเสือพ่นไฟ (THE ALL-SEEING TIGER-TAKRUD) เครื่องรางที่เชื่อว่าหากนำติดตัว ฝูงสัตว์ร้ายและภูตผี จะมิกล้าทำอันตรายใดๆ เป็นคงกระพันมหาอุดและแคล้วคลาดเป็นที่สุด เสริมพลังอิทธิฤทธิ์ ด้วยการฟิวชั่นกับไฟฉายพร้อมส่องทางมืด และสิ่งชั่วร้ายในเมืองกรุง • ราหูอมไฟสำรอง (RAHU’S RECHARGER) ตัวแทนแห่งพลังเหนือธรรมชาติอันลึกลับ ที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสุริยุปราคา ในครั้งนี้ พระราหูในรูปแบบพาวเวอร์แบงค์จะมาเติมไฟให้กับมือถือคุณ ให้คุณสบายใจที่ได้มีท่านอยู่เคียงข้าง • ถั่ว 5 เม็ด เคล็ดวาจาพารวย (GOLD-TONGUE BEANS) ถั่ว 5 เม็ด มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม ผู้คนรักเอ็นดูและในครั้งนี้ การเจรจาทำมาค้าขายจะไหลลื่นกว่าที่เคย ด้วยลูกอมดับกลิ่นปาก เสริมความมั่นใจ พูดกับใคร ใครก็รัก คุยกับใคร ใครก็หลงพบกับที่พึ่งทางใจ ที่พึ่งพาได้ในชีวิตจริง และสัมผัสประสบการณ์เสพงานศิลปะสุดเจ๋ง ‘คุณพระช่วย ช่วยได้จริงด้วย’ (DIVINE POWER 2.0) จาก GOODSTUPH Thailand ตั้งแต่วันนี้ ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568 ที่บริเวณชั้น 2 ร้าน DECK ME COMMUNITY ซ.เจริญกรุง 45 เวลา 11.00 - 22.00 น.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/2841262
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
30/04/2024
17/12/2024
24/09/2024
30/04/2024