•  
คนวัยทำงานในช่วงกอบโกยเงินทองอย่าชะล่าใจ ต้องนึกถึงตัวเองรู้จักเก็บออม 
ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม เพื่อการใช้ชีวิตในอนาคตเมื่อสู่วัยสูงอายุ 
ไม่ให้เผชิญกับความยากลำบาก เพราะจากสถานการณ์การเตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ 
เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ในการสำรวจปี 2564 ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม 
มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 18-59 ปี จำนวน 1,734 
คน ทราบว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุแล้ว
  •  แสดงให้เห็นว่าประมาณ 1ใน 4 ของประชากรวัยทำงาน 
อาจยังไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การสูงวัยของสังคมไทย และ 1 ใน 5 
ยังไม่ได้เตรียมตัวด้านสุขภาพเลย โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z อายุ 18-26 ปี 
คิดว่าตัวเองสุขภาพดีเพียง 57.6% เท่านั้น ต่ำกว่าเจน X กลุ่มอายุ 42-59 ปี
 และ เจน Y กลุ่มอายุ 27-41 ปี แม้พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพมีทุกรุ่นทุกอายุ
 แต่กลุ่มเจน Y และ Z มีพฤติกรรมชอบกินอาหารรสจัด 
พักผ่อนและออกกำลังกายไม่เพียงพอ หลายคนนอกดึก เพราะดูซีรีย์ หรือเล่นเกม
  •  มาดูเรื่องการเก็บออม กลุ่มเจน Z ออมแบบฝากธนาคารและเงินสด มากกว่าเจน
 X และ Y ซึ่งออมในรูปแบบประกันชีวิต กองทุนรวม กองทุนชุมชน 
หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 
ขณะที่การสร้างครอบครัวไม่ใช่เป้าหมายของคนรุ่นใหม่ จึงไม่นิยมมีลูก โดยเจน
 Y และ Z ต้องการพึ่งพารัฐ หรือสถานสงเคราะห์ 
เพื่อให้ดูแลในช่วงท้ายของชีวิต สูงกว่าเจน X

เมื่อช่วงท้ายของชีวิตในวัยสูงอายุไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องสุขภาพที่เสื่อมถอย
 อาจต้องนอนติดเตียง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ เป็นชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา 
ทุกคนจึงมีสิทธิแสดงเจตนาไม่รับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียง 
เพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้าย หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ตาม 
พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 โดยพบว่าส่วนใหญ่ทุกรุ่นอายุ 
ไม่ต้องการเป็นภาระให้ครอบครัว ไม่ต้องการยื้อชีวิตหากอยู่ในภาวะโคม่า 
และต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเอกสารแสดงเจตนา หรือชีวเจตน์ 
เพื่อวางแผนวิธีการรักษาพยาบาลล่วงหน้า หรือยุติการรักษา
เป็นบทสรุปคร่าวๆ 
ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุของคนรุ่นใหม่ หรือคนวัยทำงาน 
นำไปสู่คำถามว่าน่าห่วงหรือไม่? ก็ได้คำตอบจาก ”รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์” 
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล 
มีทั้งกลุ่มน่าห่วงและน่าจะเอาตัวรอดได้ 
โดยด้านการเงินในการดูแลตัวเองเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ แบ่งเป็น 3 แหล่ง 1.จากการพึ่งตัวเอง 2. ภาครัฐ ซึ่งมีระบบการคุ้มครองทางสังคม และ 3. คนในครอบครัว
ในการพึ่งครอบครัว ดูเหมือนค่อนข้างจะแน่นอนในยุคก่อนๆ แต่เมื่อคนยุคปัจจุบันแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อยลง
 ทำให้เห็นได้ชัดว่าการจะหวังพึ่งครอบครัว ให้ลูกหลานดูแลลดลงอย่างแน่นอน 
และการพึ่งภาครัฐ ก็มีการส่งเสริมการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ 
ซึ่งต้องยอมรับว่ามีค่อนข้างน้อย หรือแม้ประกันสังคม 
จะขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจาก 55 ปี เป็น 60 ปี 
แต่เรื่องความเสี่ยงก็มีมาก เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
จะทำให้การจ่ายเงินกรณีชราภาพ อาจไม่เพียงพอ 

กลุ่มเจน X เจน Y หรือเจน Z น่าห่วงมากกว่ากัน
เมื่อประเมินการพึ่งตัวเองในเรื่องการออมเงินและการลงทุน 
จากข้อมูลสถานการณ์เตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ 
จะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญในการออม 
แต่ยังค่อนข้างต่ำท่ามกลางเงินเฟ้อขยับขึ้นสูง ขณะเดียวกันการลงทุน 
แม้มีความมั่นคงในการลงทุน แต่ก็ยังขาดทักษะ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นห่วง 
แต่หากยังสามารถทำงานได้ในวัยสูงอายุก็ดี
“ในส่วนสวัสดิการภาครัฐ ต้องยอมรับว่าไม่เพียงพอ 
แต่ก็ไม่อยากให้ขยับเบี้ยยังชีพแบบก้าวกระโดดไปถึง 3 พันบาท 
เพราะจะกระทบภาระทางการคลัง 
ดังนั้นแนวทางในการเตรียมพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ 
ควรให้ความสำคัญกับการพึ่งตัวเองด้วยการออม ทั้งกลุ่มเจน X เจน Y เจน Z 
โดยเฉพาะเจน Z นอกจากออมเงินแล้ว ก็มีการลงทุน ด้วยการลงทุนบิตคอยน์ 
ซึ่งค่อนข้างเสี่ยง เพราะมีเป้าหมายอยากเกษียณอายุเมื่ออายุ 45-50 ปี”
การพึ่งตัวเองสำคัญมาก แต่ตลาดการลงทุนต้องมีความปลอดภัยมากขึ้น 
และหน่วยงานของรัฐต้องมีการจัดการความเสี่ยง 
ควบคู่กับการคุ้มครองทางสังคมและมีระบบบำนาญ 
ต้องขยายให้ทั่วถึงมากที่สุดให้ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ 
เพราะคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทำอาชีพอิสระกันมากขึ้น เป็นโจทย์ใหญ่ต้องสานต่อ 
ทั้งตัวบุคคลเองและภาครัฐ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะมองอนาคตของตัวเอง 
และให้ความสำคัญมากขึ้น ในการจัดการเรื่องการเงิน และจัดการความเสี่ยง 
ซึ่งภาครัฐต้องโฟกัสไปตลาดการลงทุน ไม่ให้โตเองโดยธรรมชาติ 
ควรมีการกำกับดูแลให้ชัดเจน
กลุ่มเจน Z ก็น่าห่วง แต่อายุยังไม่มากยังมีเวลาเตรียมตัว แต่กลุ่มเจน X 
มีเวลาน้อยในการเตรียมตัวไม่ให้มีความเสี่ยงมากพอ 
ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง 
เพราะยังมีสัดส่วนมากพอสมควรในการแต่งงานและมีลูก แม้ทำงานมีรายได้สูง 
แต่ก็มีภาระทั้ง 2 ฝั่งในการเลี้ยงดูพ่อแม่ รวมถึงลูกของตัวเอง 
ซึ่งกลุ่มนี้ต้องเตรียมตัวให้กับตัวเอง 
และยังคิดว่าเมื่อแก่ตัวลงจะมีลูกคอยดูแล แต่อาจตรงกันข้ามกับลูกๆ 
ที่คิดว่ามีพ่อแม่คอยดูแลให้การสนับสนุน 

โควิดกระทบคนรายได้น้อย ยิ่งเพิ่มความเปราะบาง
“ทัศนคติการมีครอบครัวของเด็กรุ่นใหม่จะลดลงแน่ๆ 
อาจทำให้ความคิดเปลี่ยนไป และเชื่อว่ากลุ่มเจน X ตอนปลาย แม้มีลูก 
แต่อาจมีความคิดเปลี่ยนไปในการคิดถึงตัวเองมากขึ้น 
และไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเจนใด หากมีงานทำมีรายได้ 
ก็ไม่น่าห่วงเท่ากับกลุ่มวัยทำงานมีรายได้น้อย มีความเปราะบางมาก 
โดยเฉพาะช่วงโควิดระบาด ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มยากจนที่ได้รับผลกระทบ 
ยังมีกลุ่มใกล้ยากจน มีโอกาสสูงที่จะอยู่ภายใต้ความยากจน 
ซึ่งมีความเปราะบางค่อนข้างสูง รวมถึงคนทำกิจการเล็กๆ ต้องปิดกิจการไป”
ในช่วงโควิด มีแรงงานเป็นจำนวนมากอายุ 45 ปีขึ้นไป 
ตกงานจากการเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน 
ซึ่งกลุ่มนี้มีความยากลำบากจะกลับเข้ามาสู่ระบบการทำงาน 
หรือการจะเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ก็ยากลำบาก 
อาจกลายเป็นกลุ่มที่พึ่งภาครัฐมากขึ้น 
และหลังวิกฤติโควิดยังมีประเด็นปัญหาตามมาอีกมากมาย 
ยิ่งเพิ่มความเปราะบางมากขึ้น และการที่รัฐจะดูแลผู้สูงวัยและผู้สูงอายุ 
ขึ้นอยู่กับภาระทางการคลังว่าสามารถทำได้ครอบคลุมหรือไม่

อีกทั้งกองทุนประกันสังคม 
ก็มีความเปราะบางในการจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น ประเมินว่า 
10-20 ปี อาจมีเงินไม่พอจ่ายในกรณีชราภาพ สุดท้ายต้องพึ่งตัวเอง 
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่หากพ่อแม่เกิดในยุคเบบี้บูม 
ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อซื้อทรัพย์สินให้กับลูก 
กลายเป็นสินทรัพย์สร้างแหล่งรายได้ในอนาคตให้กับลูก 
และเมื่อลูกเข้าสู่วัยสูงอายุ อาจนำสินทรัพย์ที่ได้มา เช่น บ้าน 
มาดูแลตัวเองเมื่อไม่มีลูกดูแล
หรืออาจใช้วิธีขายบ้านล่วงหน้าให้กับธนาคาร ซึ่งเรียกว่า Reverse Mortgage 
หรือการจำนองแบบย้อนกลับ เหมือนในต่างประเทศ โดยสามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ 
และทางธนาคารต้องจ่ายเงินค่างวดทุกๆ เดือน จนกว่าจะเสียชีวิต 
และธนาคารก็ได้บ้านนำเอาไปขายทอดตลาด ซึ่งภาครัฐควรมีนโยบายนี้ 
เพื่อช่วยเหลือและเป็นทางเลือกให้กับผู้สูงอายุ.
ผู้เขียน : ปูรณิมา
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2607421