คลังความรู้

Everyday knowledge for you

การดำเนินชีวิต

กฎ 1% กับ กฎ 5/25 เพื่อชีวิตดีขึ้น

21/11/2025

กฎ 1% มีความหมายว่า "ชีวิตเราไม่ต้องทำอะไรพิเศษมาก แค่ทำตัวให้ดีเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเป็น 37.78 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียว"หากถามว่า “คนชาติไหนมีคุณภาพมากที่สุด?” คำตอบก็คงหลากหลาย แต่เชื่อนะว่าคำตอบหนึ่งที่คนตอบกันเยอะ คือ “คนญี่ปุ่น” เพราะไม่ว่าการฟื้นตัวจากภาวะสงคราม จากภัยธรรมชาติ รวมถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีต่างๆ อีกทั้งคนที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่น ต่างก็ประทับใจในความสะอาด ความมีระเบียบเรียบร้อย การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเดินทาง ฯลฯ หลายคนถึงบอกว่า “เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวเองก็ได้ ปลอดภัย”สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ “อะไรคือเหตุผลของความมีคุณภาพของคนญี่ปุ่น?” คำตอบหนึ่งก็น่าจะเป็น “การอบรมสั่งสอน” เราจึงมักได้ยินปรัชญาการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นมากมาย เช่น  •  Oubaitori (โอบาอิโทริ) – การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ถ้าอยากทำให้ตัวเองมีความสุขอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น และตั้งจุดมุ่งหมายหนึ่งอย่างให้ตัวเราเพื่อให้โฟกัสในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่เอาสิ่งนั้นไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  •  Kaizen (ไคเซ็น) – พัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกอย่างดีขึ้นได้ในทุกๆ วัน ค่อยๆ เชื่อในการเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละนิดจนกลายเป็นสิ่งที่มั่นคงและถาวร  •  Mottainai (มต-ไต-น่าย) – ไม่มีใครหรืออะไรที่ไร้ค่า มองข้อดีของสิ่งรอบตัว ทุกอย่างล้วนมีข้อดี ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าบนโลกนี้ นาฬิกาตายแต่ก็ยังบอกเวลาได้ตรงถึงสองครั้งต่อวัน ดังนั้น จงมองเห็นข้อดีที่แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่อยู่รอบตัวเราจะช่วยพัฒนาจิตใจเราได้  •  Wabi-Sabi (วาบิ ซาบิ) – ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ทุกคนในโลกไม่มีใครที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ ให้ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตและเอาเวลาไปคิดปรับปรุงส่วนอื่นเพื่อให้เรามีคุณค่า  •  Kintsugi (คินสึงิ) – ซ่อมรอยร้าวด้วยทอง ความงดงามของบาดแผลในชีวิตเกิดขึ้นจากประสบการณ์ และสุดท้ายความผิดพลาดต่างๆ ในชีวิตจะทำให้เราสวยงามขึ้นเอง เหมือนการใช้ทองคำมาซ่อมแซมรอยร้าวของแจกันทำให้กลับมาสวยงามได้อีกครั้ง  •  Gaman (กะ-มัง) – ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตัวเอง เมื่อถึงวันที่เราลำบาก ท้อแท้ หมดกำลัง ให้เชื่อว่าเรามีศักดิ์ศรีและเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราสามารถทำสิ่งที่เป็นไม่ได้ให้เป็นไปได้ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม  •  Yuugen (ยูเก็น) – มองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ ให้เรามองถึงคุณค่าที่อยู่ภายในตัวเอง ด้วยการฝึกสัมผัส ชื่นชม และเห็นความงดงามในตัวเรา คนรอบข้าง และธรรมชาติรอบตัว  •  Ikigai (อิคิไก) – หาเหตุผลของการตื่นขึ้นมาในทุกเช้า การตื่นขึ้นมาและรู้ว่าเราต้องทำอะไรในทุกๆ วัน เพื่อให้มีความสุข และมีความสุขในทุกๆ อย่างที่เราทำในแต่ละวัน  •  Shikata ga nai (ชิกะตะกาไน่) – ยอมรับและปล่อยวางกับบางเรื่อง บางเรื่องที่เกิดขึ้นก็ควบคุมไม่ได้ หรือหมดปัญญาหาทางแก้ไข ก็ให้ปล่อยวางและก้าวต่อไป  •  Omoiyari (โอะโมยยะริ) – ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ใจเขาใจเรา ให้เกียรติกับทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา มีความห่วงใยใส่ใจกับคนรอบข้างอีกหนึ่งปรัชญาที่น่าสนใจ คือ กฎ 1% กฎนี้มีความหมายว่า “ชีวิตเราไม่ต้องทำอะไรพิเศษมาก แค่ทำตัวให้ดีเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเป็น 37.78 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียว ในทางกลับกัน เพียงเราทำตัวแย่ลงแค่วันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเหลือเพียง 0.03 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียวเช่นกันนั่นคือ ชีวิตเราจะ “ดีขึ้น” หรือ “แย่ลง” ขึ้นอยู่กับคำเพียง 2 คำ คือ“เลือก” เราเลือกทางไหน ถ้าเราเลือกทางที่ดี ทางที่ถูกต้อง สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็จะดี“มีวินัย” ลำพังแค่ “เลือก” แต่ไม่ทำ ก็เหมือนการ “นิ่ง” ไม่ก้าวเดิน แม้จะหันหน้าถูกทิศ แต่ถ้าไม่เดิน เราก็ไม่มีทางสำเร็จตามที่หวัง เหมือนหลายคนอยากเป็นคนเก่ง ซื้อหนังสือ How to มาอ่านจนเต็มบ้าน แต่ไม่เคยทำตามหนังสือเลย ความรู้ที่มีก็มีประโยชน์แค่ไว้คุยเท่านั้น การจะสำเร็จได้ต้องทำ และทำอย่างต่อเนื่องด้วย ความสำเร็จทำได้ยาก หากขาดวินัยที่จะทำอย่างต่อเนื่อง เราก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จกฎหนึ่งที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน คือ กฎ 5/25 ของ Warren Buffett ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า“กฎ 5/25 คือกุญแจสู่ความสำเร็จของเขา ซึ่งเริ่มต้นจากการทำอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างเคร่งครัด เพื่อสะสม ‘ความรู้’ ทีละเล็กทีละน้อย เสมือนกับดอกเบี้ยทบต้น แล้วสิ่งเหล่านี้เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอมันจะกลายเป็นข้อได้เปรียบของชีวิต!”กฎ 5/25 คือเครื่องมือที่เราจะต้องระบุ 25 สิ่งที่สำคัญที่สุด โดยทำออกมาเป็น Checklist ง่ายๆ แล้วจัดลำดับความสำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่ 5 อันดับแรกที่สำคัญที่สุด! เทคนิคนี้จะช่วยให้เราโฟกัสไปที่เรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะในชีวิตจริง เรามักจะมีเป้าหมายมากมาย ทั้งเป้าหมายที่สำคัญ กับเป้าหมายที่อยากทำ ของฟรีไม่มีในโลก หากเราเสียเวลา เสียทรัพยากรไปกับเป้าหมายที่ไม่สำคัญ เรากำลังเสียสละเวลา ทรัพยากรที่ควรใช้กับเป้าหมายที่สำคัญเสมอการเลือกเป้าหมายที่สำคัญ 5 อย่างจะช่วยให้เรากลั่นกรองเป้าหมายให้เหลือแต่ที่สำคัญจริง ช่วยให้เราจดจ่อ มีสมาธิ และจัดสรรเวลา ทรัพยากรเพื่อเป้าหมายนั้นได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เป้าหมายในชีวิตประสบความสำเร็จกับก้าวเล็กๆ ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่วันนี้ เราลองมาทำ checklist ดูนะว่า ทุกวันนี้ เราเสียเวลาไปกับสิ่งที่ควรเสียหรือเปล่า?แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับthairathhttps://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2876055

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

กลยุทธ์ ‘เงินต่อเงิน’ จ่าย 50 ล้าน ได้ทุนประกัน 7 พันล้าน จริงหรือ ?

21/11/2025

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่)ผมทำประกันไว้ ถ้าเป็นอะไรไปครอบครัวจะได้ความคุ้มครอง 150 เท่า ซึ่งประโยคนี้ของ คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express ที่ได้พูดบนเวที Bitkub Summit 2025 ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันเยอะมากในธุรกิจประกันชีวิตในช่วงนี้Premium Financing คืออะไรในมุมของบริษัทประกันชีวิต เราเรียกวิธีนี้ว่า Premium Financing ซึ่งก็เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฮ่องกงหรือสิงคโปร์แนวคิด “เงินต่อเงิน” นี้นำมาจากแนวคิดของวงการอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดฯ ที่ผู้กู้วางเงินดาวน์บางส่วนและใช้ตัวสินทรัพย์ที่ได้มานี้เป็นหลักค้ำประกัน โดยวงเงินกู้ที่ได้ขึ้นอยู่กับราคาประเมินของสินทรัพย์และความสามารถชำระหนี้ของผู้กู้ และปัจจัยที่สำคัญก็คือดอกเบี้ยของ “สินทรัพย์” นั้นจะสูงหรือจะต่ำ ก็ขึ้นกับประเภทของสินทรัพย์นั้น ที่คิดว่าจะ “สร้างมูลค่า” หรือ “เสื่อมค่า” มากกว่ากันเราจึงเห็นกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ในการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เน้น “สร้างมูลค่า” แต่กลยุทธ์นี้มันจะไม่ได้ผลกับการกู้ซื้อรถยนต์ หรือสินทรัพย์ที่เสื่อมมูลค่าการประยุกต์ใช้กับกรมธรรม์ประกันชีวิตถ้าเรานำกลยุทธ์นี้มาประยุกต์กับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เป็นสินทรัพย์สร้างมูลค่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ได้เช่นเดียวกัน โดยหลักคิดเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้กับ “กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยครั้งเดียวแต่คุ้มครองตลอดชีวิต (Single Premium Whole Life)” โดยผ่านเทคนิค “Premium Financing” ที่มีธนาคารเป็นตัวกลางทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ตัวอย่างของ คมสันต์ แซ่ลี คือชำระเบี้ยบางส่วน และกู้เงินจากธนาคารเพื่อจ่ายส่วนที่เหลือ โดยนำ “มูลค่าเวนคืนเงินสด” ของกรมธรรม์มาค้ำประกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 35 ปี ซื้อกรมธรรม์ทุนประกัน 7,000 ล้านบาท เบี้ยประกัน 500 ล้านบาท แต่กู้ได้ถึง 90% หรือประมาณ 450 ล้านบาท ใช้เงินสดเพียง 50 ล้านบาท ก็ถือกรมธรรม์มูลค่าหลายพันล้านได้เงื่อนไขของ Premium Financingแนวคิดนี้เหมาะกับผู้มีฐานะทางการเงินที่มีเงินเย็น และไม่ต้องมีสภาพคล่อง- กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตจะมีมูลค่าตั้งแต่วันแรก และนำไปเดินเรื่องกับธนาคารเพื่อขอค้ำกู้ได้ก่อนที่จะซื้อ ซึ่งกระบวนการก็เหมือนกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ต้องคุยกับธนาคารก่อนแล้วค่อยไปซื้อ- ธนาคารยอมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยใช้กรมธรรม์เป็นหลักประกัน ซึ่งแปลว่าผู้กู้ก็ยังคงต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับธนาคารอยู่ดี- ถ้าผู้กู้นำเงินกู้ก้อนนั้นมาลงทุนกับสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ให้ดอกเบี้ยระยะยาว ก็กลายเป็นว่าผู้กู้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย หนำซ้ำในแต่ละปีก็จะได้ส่วนต่างของดอกเบี้ยมาอีกด้วยทำไมฮ่องกงหรือสิงคโปร์จึงทำให้เงื่อนไขของ Premium Financing มันลงตัวได้ต่อที่ 1 – สภาพแวดล้อมในการออกแบบเบี้ยประกันต้นทุนเบี้ยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตนั้นต่ำ เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลักคือ อัตรามรณะที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน (สมมติว่าคนตายน้อย) และอัตราการลงทุนที่กระจายถึงทั่วโลก ทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและสูงกว่าเพื่อนบ้าน (บริษัทประกันสร้างผลตอบแทนจากเงินของเรา ให้เงินทำงานให้เราได้เยอะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บเบี้ยมาก)นอกเหนือจากนี้ เพราะมันเป็นกรมธรรม์ที่เก็บเงินก้อนมาครั้งเดียวตอนแรก และกว่าจะจ่ายเงินให้ก็ตอนที่ตาย จึงทำให้ระยะเวลาในการลงทุนนั้นนานมาก ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นมีกำลังสูงมากที่สุดในโครงสร้างกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 30-35 ปี จะได้ความคุ้มครองสูงถึง 15 เท่าของเบี้ยในกรมธรรม์ลักษณะนี้ (และถ้า Leverage เงินกู้ได้อีก ก็จะทำให้ทุนคุ้มครองสูงถึง 150 เท่า)อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำในทางตรงข้ามกับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เข้าถึงการลงทุนในอัตราดอกเบี้ยทั้งสูงและทั้งยาวได้ ในขาของการกู้ยืมเงิน กลับมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวที่ต่ำ และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำกรมธรรม์ประกันชีวิตมาค้ำประกันก็ยิ่งทำให้ต่ำเข้าไปอีก เพราะถ้าผู้กู้จ่ายเงินต้นหรือจ่ายดอกเบี้ยให้ไม่ได้ ธนาคารก็สามารถยึดกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือรอเอาทุนประกันชีวิตจากการตายของผู้กู้มาชดใช้ได้ ซึ่งกลไกของแนวคิดนี้ก็ไม่ต่างกับการปล่อยสินเชื่อบ้านนั่นเองผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวเมื่อได้เงินกู้แล้ว เลือกที่จะเอาเงินกู้กลับไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่สูง เพื่อมากลบกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายให้ธนาคารอีกได้ ยิ่งถ้าใครชอบความเสี่ยงต่ำ ก็ไปซื้อพันธบัตรระยะยาว ซึ่งในฮ่องกงและสิงคโปร์ก็มีพันธบัตรระยะยาวให้เลือก และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าเราได้เงินกู้มาฟรี ๆ แต่ก็ต้องยอมแลกกับ “สภาพคล่อง”ตัวอย่างการทำ Premium Financingเพื่อให้เห็นภาพจริงมากขึ้น ขอสมมติเป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไปตัวอย่างที่หนึ่ง เช่น มีเงิน 3-5 ล้านบาทก็ติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็คอยทำหน้าที่จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารทุกปีตัวอย่างที่สอง คือมีเงิน 30 ล้านบาทไว้จ่ายเบี้ย แต่ไม่อยากใช้เงินตัวเอง ก็เลยติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็จะมีเงินเหลือนำไปลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ก็เท่ากับว่าเงิน 30 ล้านบาทนั้นเอาเงินมาต่อเงินได้อีกทีสรุปกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นไม่ต่างอะไรกับกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นั่นเพราะสินทรัพย์ทั้งสองชนิดนี้เป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าและไม่เสื่อมราคา ทำให้ธนาคารปล่อยกู้ได้ง่าย แต่ทั้งนี้ จะคุ้มค่าแค่ไหนก็ต้องขึ้นกับปัจจัยสภาพแวดล้อมของประเทศนั้น ๆ และก็ต้องแลกมาด้วยสภาพคล่องในการจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1922293

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน” แหล่งท่องเที่ยว-เรียนรู้เรื่องโขนชั้นดี เปิดให้ชมฟรีตลอดเดือน พ.ย. 68

21/11/2025

“อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง” เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดเดือนพฤศจิกายน 2568อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เรื่อง “โขน” ชั้นเยี่ยมของเมืองไทย ที่นี่จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราว ความเป็นมาเกี่ยวกับโขนของไทยใต้พระบารมีสมเด็จพระพันปีหลวงภายในมีสิ่งน่าสนใจอาทิ องค์ความรู้เรื่องโขน งานศิลปกรรมและประณีตศิลป์ที่ใช้ประกอบการแสดงโขน เช่น หัวโขน พัสตราภรณ์หรือเครื่องแต่งกาย กำไล สร้อย ผ้ายกเนินธัมมัง เป็นต้นห้องจัดแสดงหัวโขนตัวละครต่าง ๆนอกจากนี้ยังมีไฮไลต์ห้ามพลาด คือ เครื่องประกอบฉาก และฉากต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงโขนพระราชทาน หรือ โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ อันงดงามอลังการ ซึ่งมีการจัดแสดงครั้งแรกที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2550 ด้วยชุด “ศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ” ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ (2568) ในตอน “สัตยาพาลี”ฉากของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เป็นการผสมผสานงานศิลปกรรม 3 แขนงหลัก คือ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ออกมาอย่างวิจิตรตระการตาด้วยฝีมือของ อาจารย์ “สุดสาคร ชายเสม” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ - เครื่องประกอบฉาก) กับทีมงานและลูกศิษย์อาจารย์สุดสาคร ชายเสม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ – เครื่องประกอบฉาก) หัวหน้าทีมผู้ออกแบบและสร้างสรรค์ฉากต่าง ๆ ในการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯหลายฉากสามารถเคลื่อนไหว ส่องแสง หรือสร้างเซอร์ไพร์สให้กับผู้ชมได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ฉากเรือสำเภาหลวงลงกากับนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร, ฉากท้องพระโรงกรุงลงกา, ฉากหนุมานอมพลับพลา และฉากหนุมานเนรมิตกาย เป็นต้นอาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน ตั้งอยู่ในศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดวันพุธ-อาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร) เวลา 09.30-16.00 น. เพื่อเป็นการถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระพันปีหลวง อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีตลาดเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้หมายเหตุ : วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน 2568อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน ปิดทำการชุดโขนตัวละครเอกในรามเกียรติ์ฉากหนุมานอมพลับพลา อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขนหัวโขนตัวละครต่าง ๆ ในรามเกียรติ์เครื่องประดับที่ใช้ในการแสดงโขนฉากหนุมานเนรมิตกายประติมากรรมนูนสูงฉากหนุมานเนรมิตกายฉากอันงดงามวิจิตรที่ออกแบบและสร้างสรรค์โดย อาจารย์สุดสาคร ชายเสม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ – เครื่องประกอบฉาก) กับทีมงานประติมากรรมบริเวณด้านหน้าทางเข้า อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000107882

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“คยองจู” (Gyeongju) อาณาจักรโบราณ เมืองมรดกโลกแห่งเกาหลีใต้

21/11/2025

รู้จักเมืองคยองจู (Gyeongju) ในประเทศเกาหลีใต้ ดินแดนที่เคยเป็นราชธานีของ “อาณาจักรชิลลา” (Silla) ซึ่งมีอายุยาวนานถึง 992 ปีภาพ: สำนักข่าวซินหัวประวัติศาสตร์ของคยองจู หรือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ซอราโบล (Seorabeol) จึงเปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ของอาณาจักรชิลลาอันรุ่งเรืองที่ดำรงมากว่าพันปีภาพ: สำนักข่าวซินหัวคยองจูเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เด่นทั้ง พุทธศิลป์ วิทยาการ และวัฒนธรรมอันงดงามของยุคโบราณ ที่ผลิบานขึ้นจากความสามารถด้านศิลปะของชาวชิลลา รวมถึงจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า ฮวารังโด (Hwarangdo) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวมสามอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวด้วยเหตุนี้ “คยองจู” จึงได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การรักษาไว้เพื่อมวลมนุษยชาติ โดยจิตวิญญาณอมตะแห่งชิลลา ยังคงสืบทอดอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานเกือบหนึ่งศตวรรษ และด้วยพลังแห่งประวัติศาสตร์นั้นเอง คยองจูจึงเป็นเมืองที่มีแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมากที่สุดในเกาหลีใต้ และได้รับการขนานนามให้เป็น “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง”ภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000109724

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ยกระดับการดูแลลูกค้าผ่านโครงการ “AIA Smart Network” พร้อมส่งแคมเปญเพิ่มความคุ้มครองแก่ลูกค้าเอไอเอตลอดทั้งปี

19/11/2025

เอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงานเปิดตัวโครงการ “AIA Smart Network” เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการยกระดับการดูแลสุขภาพ และช่วยให้คนไทยเข้าสู่บริการด้านสุขภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ผ่านความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำกว่า 150 แห่ง ลูกค้าอุ่นใจได้ทุกครั้งเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใต้โครงการ AIA Smart Network โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการให้การดูแลรักษา[1] พร้อมช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนเกิน และลดปัญหาการเคลม[2]นอกจากนี้ ลูกค้าเอไอเอ จะยังได้รับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายเพิ่มขึ้นสูงสุด 20% และขยายวันเข้าพักรักษาตัวได้นานสูงสุดถึง 365 วัน ในแคมเปญพิเศษ “เพิ่มความคุ้มครองที่ AIA Smart Network” ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ถึง 17 พฤศจิกายน 2569 โดยไม่ต้องลงทะเบียน หากเจ็บป่วยและจำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ลูกค้าเลือกเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network เท่านั้น นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ มีพันธกิจสำคัญในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการมีประกันชีวิตและสุขภาพที่เพียงพอและเหมาะสม โครงการ AIA Smart Network เป็นกลยุทธ์สำคัญของเอไอเอร่วมกับโรงพยาบาลที่มีวิสัยทัศน์ตรงกัน ที่จะสร้างความสมดุลและยั่งยืนให้กับระบบประกันสุขภาพ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดี ตามมาตรฐานการแพทย์ ด้วยราคาและเบี้ยประกันภัยในระดับที่เหมาะสม ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนเกิน และนอกจากนี้ยังลดปัญหาการเคลมอีกด้วย และในอนาคตกลยุทธ์นี้ยังจะสามารถช่วยให้ เอไอเอ ดูแลกลุ่มลูกค้าที่อาจจะเข้าถึงประกันสุขภาพได้น้อย เช่น ผู้สูงอายุ ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย”นอกจากนี้ นางสาวจิราภรณ์ กนิษฐรัต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมพูดคุยถึงแนวทางการนำ AIA Smart Network มาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันกลุ่ม โดยกล่าวว่า“เอไอเอ ได้เริ่มมีการให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันสำหรับพนักงานเมื่อใช้บริการของโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network เช่น พนักงานอาจจะต้องร่วมจ่ายค่ารักษาบางส่วนเมื่อใช้บริการในโรงพยาบาลนอกโครงการ แต่จะได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนเมื่อใช้บริการของโรงพยาบาลใน AIA Smart Network โดยลูกค้าสามารถดูรายชื่อโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network  ได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/aia-smart-network ซึ่งประกันในรูปแบบใหม่นี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริหารองค์กรหลายแห่ง”ด้าน นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กล่าวว่า “แคมเปญพิเศษ “เพิ่มความคุ้มครองที่ AIA Smart Network” นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเอไอเอ ในการดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network ที่พร้อมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประเทศไทยไปด้วยกัน โดยเอไอเอจะมอบความคุ้มครองเพิ่มเติมพิเศษให้แก่ลูกค้าปัจจุบันที่ถือประกันสุขภาพของเอไอเอเกือบทุกผลิตภัณฑ์[3] เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ในโครงการ AIA Smart Network เช่น เพิ่มความคุ้มครองต่อรอบปีกรมธรรม์สำหรับการประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย[4] สูงสุดถึง 20% และเพิ่มจำนวนวันเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในรวมค่าห้อง และค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลประจำวัน เพิ่มขึ้นเป็น 365 วันต่อการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง[5] ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/aia-smart-network/campaign และสามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลเอกชนในโครงการ AIA Smart Network ได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/aia-smart-network หรือสอบถามตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ”หมายเหตุ:[1] สถานพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network คือ สถานพยาบาลที่มีความร่วมมือกับเอไอเอในการให้บริการแก่ผู้ถือกรมธรรม์ โดยผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลอยู่นอกกลุ่มและการบริหารงานของเอไอเอ ซึ่งเอไอเอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านสุขภาพของสถานพยาบาล หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการบริการ ข้อเสนอ หรือแพทย์ที่ให้บริการ กรุณาติดต่อสถานพยาบาลโดยตรง [2] ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาจ่ายสินไหมเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ [3] สัญญาเพิ่มเติมค่ารักษาพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้แก่ เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้, เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้  – UDR, เอไอเอ เอช แอนด์ เอส พลัส โกลด์, เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์, เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ – UDR, เอไอเอ เอช แอนด์ เอส เอ็กซ์ตร้า, เอไอเอ เอช แอนด์ เอส เอ็กซ์ตร้า (แบบมาตรฐานใหม่), เอไอเอ เอช แอนด์ เอส (แบบมาตรฐานใหม่), เอไอเอ เอช แอนด์ เอส และสัญญาเพิ่มเติมผลประโยชน์อันพึงได้รับจากการรักษาในโรงพยาบาลและศัลยกรรม (แบบ 1959T, แบบ 1959T-UDR, แบบ 1960, แบบ 7000, แบบ 7002) ที่ยังมีผลบังคับ [4] ค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายในบางรายการตามที่ระบุในกรมธรรม์ [5] ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของแต่ละหมวดและแต่ละสัญญาเพิ่มเติม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

เปิดเส้นทางราชินีบิตคอยน์ ฉ้อโกงตั้งแต่จีนถึงลอนดอน

18/11/2025

เรื่องราวการฉ้อโกงมีมากมายหลายรูปแบบ เฉียน จื้อหมิน ราชินีบิตคอยน์ เป็นอีกคนหนึ่งที่หลอกคนจีนลงทุนแล้วเชิดเงินหนีไปใช้ชีวิตหรูหราในยุโรปนานหลายปี สุดท้ายต้องถูกจับกุมเว็บไซต์แชนเนลนิวส์ เอเชียรายงานว่า หลังฉ้อโกงเงินออมทั้งชีวิตของเหยื่อหลายพันราย เฉียน จื้อหมิน แปลงเงินเหล่านั้นเป็นคริปโทเคอร์เรนซี เธอเปลี่ยนชื่อปิดบังตัวตนแท้จริงใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปมาได้หลายปี แต่แล้วโลกสองใบของเฉียนต้องพังทลายลงในปี 2024 เมื่อตำรวจตามร่องรอยบนดิจิทัลมุ่งตรงไปที่บ้านของเธอในเมืองยอร์กทางตอนเหนือของอังกฤษเมื่อวันอังคาร (11 พ.ย.68) ศาลสหราชอาณาจักรพิพากษาจำคุก เฉียน หญิงจีนวัย 47 ปี เป็นเวลา 11 ปี 8 เดือน ในความผิดคดีฟอกเงิน บนเส้นทางการฉ้อโกงนี้เฉียนได้ครอบครองบิตคอยน์ 61,000 เหรียญ มูลค่าปัจจุบัน 5 พันล้านปอนด์  •  กลโกงแชร์ลูกโซ่อาณาจักรอาชญากรของเฉียนเริ่มต้นในประเทศจีน ที่เธอ และผู้สมรู้ร่วมคิดชาวจีนอีกหลายคนเปิดวงแชร์ลูกโซ่ผ่านบริษัทหลั่นเถียนเก่อรุ่ย ในปี 2014 ให้คำมั่นกับผู้ลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนมากถึง 300%เอกสารของศาลระบุว่า ระหว่างปี 2014-2017 ประชาชนราว 128,000 คนนำเงินมาลงทุนกว่า 4.6 พันล้านปอนด์มีทั้งเงินออมทั้งชีวิต และเงินบำนาญ มีการปันผลให้บางส่วนเพื่อสร้างภาพ แต่เงินจำนวนมหาศาลตกอยู่ในมือเฉียน และพรรคพวก หลายคนถูกดำเนินคดี และต้องโทษในจีนส่วนเฉียนแปลงเงินลงทุนราว 20.2 ล้านปอนด์ไปเป็นเงินสด เพชรนิลจินดา และบิตคอยน์ในปี 2014 เฉียนใช้ชื่อพรรคพวกคนหนึ่งเปิดบัญชีในหัวปี่ ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีในจีนแล้วโอนเงินที่นักลงทุนให้มาเข้าบัญชีนี้เปลี่ยนเป็นบิตคอยน์ จากนั้นใช้เงินลงทุนซื้อบิตคอยน์เพิ่มโดยเป็นการซื้อตรงจากผู้ขายตอนที่ตำรวจจีนเริ่มสอบสวน บิตคอยน์กว่า 70,000 เหรียญ ถูกโอนย้ายเข้าสู่กระเป๋าเงินคริปโทเคอร์เรนซีบนแล็ปท็อปตัวหนึ่ง  •  ชีวิตในลอนดอนเฉียนหนีไปอยู่สหราชอาณาจักรในปี 2017 โดยใช้หนังสือเดินทางปลอมของเซนต์คิสแอนด์เนวิส ในชื่อจาง ยาตี้ ส่วนแล็ปท็อปตัวนั้นเหวิน เจี้ยน เพื่อนร่วมขบวนการนำมาเก็บไว้ในประเทศไทยในปีเดียวกันเฉียนเช่าคฤหาสน์หรูในแฮมปสเตด ย่านคนรวยทางตอนเหนือของลอนดอน ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่นี่ ผ่านไปหลายเดือนเฉียนใช้ชีวิตหรูหราเดินทางไปหลายที่ เหวินไปด้วยหลายครั้งแต่เลือกไปประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีนพวกเขาพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนมูลค่า 4.5 ล้านปอนด์, 23.5 ล้านปอนด์ และ 12.5 ล้านปอนด์แต่ติดขัดที่กฎระเบียบฟอกเงินจึงซื้อไม่ได้เดือนต.ค.2018 ตำรวจสหราชอาณาจักรรู้จักเฉียนในชื่อจาง หลังเธอพยายามซื้อบ้านหลังหนึ่ง เดือนเดียวกันตำรวจบุกคฤหาสน์ของเฉียนในแฮมป์สเตดแต่ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงการค้นตู้เซฟในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่พบแล็ปท็อปตัวหนึ่งที่ลักลอบนำออกมาจากจีนภายในมีบิตคอยน์ 4,741.36 เหรียญ มูลค่า 25.2 ล้านปอนด์ ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนยังพบโน้ตบันทึกความใฝ่ฝันของเฉียน ระบุ “พบดยุก” และ “กลายเป็นราชินีแห่งลิเบอร์แลนด์” ประเทศเล็กๆ จากการประกาศตั้งตัวเองบนเกาะแห่งหนึ่งที่โครเอเชีย และเซอร์เบียต่างอ้างกรรมสิทธิ์  •  หลบหนีลอยนวลแม้ถูกยึดทรัพย์ไปมากมาย เฉียนรอดพ้นเงื้อมมือตำรวจได้ถึงห้าปี เธอยังคงเดินหน้าฟอกคริปโทเคอร์เรนซีที่ยังเข้าถึงได้ขณะเดียวกันเหวินไปเยือนเซนต์คิสแอนด์เนวิส เพื่อสำรวจลู่ทางการลงทุน เธอไปดูไบด้วยซึ่งสุดท้ายแล้วสามารถซื้ออสังหาฯ ได้สองหลังแล้วปล่อยเช่าทันที และขายออกได้ภายในหนึ่งปีเหวินถูกจับกุมในปี 2022 และถูกดำเนินคดีฟอกเงินในปีที่ผ่านมา ต้องโทษจำคุกเกือบหกปีแปดเดือน  •  จับกุมดำเนินคดีหลังจากนั้นเฉียนพบผู้สมรู้ร่วมคิดรายใหม่ “ลิง เซียงฮก” ชาวมาเลเซีย วัย 47 ปี เขาเปลี่ยนบิตคอยน์เป็นเงินสด เช่าบ้าน จ้างพนักงาน โดยทำสัญญาว่าจะเพิ่มค่าจ้างให้สองเท่าถ้าถูกจับหรือเนรเทศ หลิงพยายามหาหนังสือเดินทางปลอมของมาเลเซียหรือฮ่องกงให้เฉียน โดยใช้ภาพลิเดีย ซัม อดีตนักแสดงฮ่องกงผู้ล่วงลับทว่า ตำรวจสอดแนมหลิงจนนำไปสู่การจับกุมพวกเขาได้ในที่สุด จุดจบการหลบหนีของเฉียนมาจากธุรกรรมบิตคอยน์เล็กๆ ธุรกรรมหนึ่ง มีการย้ายบิตคอยน์ 8.2 เหรียญ จากกระเป๋าเงินที่ไม่ได้ใช้ของเฉียนไปเข้าบัญชีในชื่อของหลิงเมื่อเดือนก.พ.2024 ตำรวจนครบาลลอนดอนจึงตามรอยดิจิทัลจนเจอสองเดือนต่อมา ตำรวจจับกุมเฉียนได้ที่ยอร์ก และจับหลิงได้ที่ลีดส์ เฉียนว่าจ้างชาวต่างชาติสี่คนมาคอยดูแลการใช้ชีวิตประจำวัน โดยทำสัญญาว่าต้องปกปิดตัวตน และสถานที่อยู่ของเธอตำรวจยึดกระเป๋าเงินคริปโทเคอร์เรนซีสี่ใบ มูลค่ากว่า 62 ล้านปอนด์ หนังสือเดินทางปลอมสองเล่ม และเงินสดก้อนโตระหว่างการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาแซลลี แอนน์ เฮลส์ เรียกเฉียนว่า เป็นผู้บงการอาชญากรรมนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ“แรงจูงใจของคุณมาจากความโลภล้วนๆ คุณออกจากจีนโดยไม่ได้คำนึงถึงคนที่คุณขโมยเงินลงทุนเขามา แล้วเริงร่ากับชีวิตหรูหรา”ในที่สุดตำรวจก็สามารถยึดบิตคอยน์คืนจากเฉียนได้มากกว่า 61,000 เหรียญ ปัจจุบันมีมูลค่าราว 5 พันล้านปอนด์ ขณะนี้กระบวนการทางแพ่งเพื่อเรียกคืนบิตคอยน์ยังคงดำเนินต่อไปพิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/world/1207655?utm_source=taboola&utm_medium=organic_content_recirculation

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชมฟรี งานศิลป์ชิ้นเยี่ยม-ของประหลาดหายากของโลก ที่ “ท่าพิพิธภัณฑ์” ท่าช้าง กทม.

18/11/2025

TAAC จัดงาน “Cabinet of Curiosities” นิทรรศการและการประมูลครั้งสำคัญแห่งปี ตั้งแต่วันนี้–30 พ.ย. 68 ณ ท่าพิพิธภัณฑ์ ท่างช้าง วังหลวง ภายในงานพบกับผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมจากศิลปินนามอุโฆษ อาทิ ศิลป์ พีระศรี, ถวัลย์ ดัชนี, อังคาร กัลป์ยาณพงศ์, ทวี รัชนีกร, จักรพันธุ์ โปษยกฤต, ประเทือง เอมเจริญ, ชาติชาย ปุยเปีย ฯลฯ ร่วมด้วยของแปลกประหลาดและวัตถุหายากจากทั่วโลกที่นำมาจัดแสดงควบคู่กัน อย่างเช่น เต่า 2 หัว, ปากแมมมอธ, เขากระทิงกินวัว, เสือเขี้ยวดาบ, ตุ่นปากเป็ด, ฟอสซิลโครงกระดูกไดโนเสาร์คอยาวขนาดยักษ์และฟอสซิลเขากรูปรีอายุนับล้านปี เป็นต้น โดยงานนี้เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรี“พิริยะ วัชจิตพันธ์” ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center (TAAC) บริษัทประมูลศิลปะอันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นนิทรรศการ “คั่น” ก่อนที่จะจัดนิทรรศการหมุนเวียนใหญ่ (3 เดือน) ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568 โดยงานนี้จัดขึ้นในชื่อ “Cabinet of Curiosities” ที่ถือเป็นธีมของงาน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากชาวยุโรปสมัยโบราณที่นิยมหาของแปลก ของหายาก ของวิเศษ รวมถึงงานศิลปะ มาเก็บสะสมไว้ใน Cabinet (ตู้หรือห้อง) ก่อนที่จะมีพิพิธภัณฑ์ภายในนิทรรศการ Cabinet of Curiosities แบ่งออกเป็น 3 ชั้น นำเสนอผลงานศิลปะคัดสรร 136 ชิ้น ของศิลปินนามอุโฆษทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งล้วนบรรจุเรื่องราว มุมมองและความหมายที่แตกต่าง ให้ผู้ชมได้เลือกตีความกัน โดยมีผลงานไฮไลต์สำคัญ อาทิ- UNTITLED (2511) โดย ถวัลย์ ดัชนี : ผลงานภาพวาดขนาดใหญ่ชิ้นนี้สร้างสรรค์ขึ้นในยุคที่ถวัลย์ ดัชนี เพิ่งเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งเขาได้หลอมรวมอิทธิพลตะวันตกเข้ากับปรัชญาตะวันออก จนเกิดเป็นภาษาทางศิลปะที่ทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์ ภาพชายผู้หลุดพ้นจากเปลือกดั่งผู้ตื่นรู้ ขณะที่อีกร่างหนึ่งยังคงติดอยู่ภายใน- PRISON / คุก (2565) โดย ทวี รัชนีกร : ผลงานสื่อผสมสามมิติที่มีกลิ่นอายการสร้างศิลปะแบบรูปลักษณ์ และการเมืองอย่างชัดเจนจัดจ้าน ซึ่งเป็นแนวทางที่ศิลปินยึดถือมาตลอดเส้นทางงานสร้างสรรค์- ดอกบัว (2509) โดย จักรพันธุ์ โปษยกฤต : จิตรกรรมสีน้ำมันชิ้นสำคัญที่แสดงถึงความลึกซึ้งในการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านภาพหุ่นนิ่ง โดดเด่นด้วยการให้ชีวิตจิตใจกับดอกบัวผ่านพู่กันอันอ่อนช้อย และการจัดองค์ประกอบสีที่บ่งบอกตัวตนชัดเจน- UNTITLED (2554) โดย ชาติชาย ปุยเปีย : ผลงานชิ้นนี้โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใบหน้าขนาดใหญ่ที่กำลังยิ้มกว้างตาถลึงในจุดกึ่งกลางของภาพ ดอกไม้ ผีเสื้อ และตัวหนังสือที่บรรจงลงในผลงาน ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองแนวคิดในการเสียดสีสังคมอย่างมีชั้นเชิงและนัยยะ ลายมือและตัวอักษรที่ปรากฏ คือร่องรอยของประสบการณ์และความหมายที่เราเองต้องหยุดเพื่อรับฟัง ผลงานชิ้นนี้จึงไม่ใช่แค่ภาพบุคคล หากแต่เป็นการสำรวจอารมณ์มนุษย์ที่ทั้งขบขัน ขบถ และน่าครุ่นคิดในเวลาเดียวกัน- POWER OF HOPE (2563) โดย ก้องกาน - กันตภณ เมธีกุล : ผลงานบันทึกความรู้สึกในช่วงโควิด-19 ผ่านภาพทะเลทรายสีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง และ “ประตูมิติ” ที่เป็นลายเซ็นของศิลปินนอกจากนี้ก็ยังมีผลงานน่าสนใจของศิลปินคนอื่น ๆ อีก อาทิ ศิลป์ พีระศรี-ประติมากรรมต้นแบบพระพุทธรูปปางลีลาพุทธมณฑล (2500), ประเทือง เอมเจริญ- เพลงดวงตะวัน 1 (2550), อวบ สาณะเสน-UNTITLED (2538), อังคาร กัลป์ยาณพงศ์-UNTITLED (2537), ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์-ชุด เหรียญอนุสรณ์ศิลป์ พีระศรีชลดา พรลิขิต-รุ่งอรุณแห่งฟีนิกซ์ (2568), พงศธร มณีประพันธ์-BLAZE OF THE TIGER/เพลิงพยัคฆ์ (2568), ธรรมธัช สายทอง (KARMS)-MIZARU (2565),สุเชาว์ ศิษย์คเณศ-DREAM OF THE HOMELESS/ความฝันของคนไร้บ้าน (2524), พไรวา ไรวา-ประติมากรรมเรื่องเล็ก ๆ (2552) เป็นต้นทั้งนี้ผลงานศิลปะส่วนใหญ่จะเปิดให้ผู้สนใจประมูลในวันสุดท้ายของการจัดงาน (30 พ.ย. 68)นอกจากนี้งานนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ ของแปลกประหลาดและวัตถุหายากจากทั่วโลกที่นำมาจัดแสดงควบคู่ไปกับงานศิลปะ อาทิ เต่า 2 หัว, ปากแมมมอธ, เขากระทิงกินวัว, เสือเขี้ยวดาบ, ตุ่นปากเป็ด, ฟอสซิลโครงกระดูกไดโนเสาร์คอยาวขนาดยักษ์, ฟอสซิลเขากรูปรีอายุนับล้านปี กรามช้างโบราณ เขาสมัน เขาควายป่า และอุกกาบาตจากนอกโลก เป็นต้นนิทรรศการ Cabinet of Curiosities ยังมี โครงการประมูลการกุศล “Rebirth: การเกิดใหม่” ซึ่งทาง TAAC ได้ร่วมกับ มูลนิธิออทิสติกไทย และ “ก้องกาน - กันตภณ เมธีกุล” ศิลปินไทยผู้มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งเป็นที่รู้จักจากภาพ Teleport หรือหลุมดำ ได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น เพื่อคืนชีวิตชีวาให้กับสนามบาสเกตบอลที่ชำรุดทรุดโทรมของโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน)โดย ก้องกานและศิลปิน 10 คนจาก Artstory By Autistic Thai ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนลูกบาสเกตบอล 10 ลูก ถ่ายทอดมุมมองของ “การเกิดใหม่” ในแบบเฉพาะของตัวเองผ่านลวดลายและสีสันหลากหลายเพื่อนำออกประมูลการประมูลนี้ ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียม รายได้ทั้งหมด (โดยไม่หักค่าใช้จ่าย) จะมอบให้มูลนิธิออทิสติกไทยเพื่อปรับปรุงสนามบาสเกตบอล โดยผู้ชนะการประมูลสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่าพิริยะ เปิดเผยว่า รายได้จากโครงการนี้จะถูกนำไปซ่อมแซมและปรับปรุงสนามบาสเกตบอลโรงเรียนวัดน้อยใน โดยศิลปินก้องกานจะไปวาดรูปบนสนามบาสแห่งนี้โดยไม่คิดค่าตัว ซึ่งเมื่อวาดเสร็จแล้วสนามบาสเกตบอลโรงเรียนวัดน้อยในนอกจากจะเป็นสถานที่เล่นกีฬาแล้ว ยังจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็กอินแห่งในอนาคตเนื่องจากมีเป็นสนามบาสที่มีความสวยงามจากฝีมือการสร้างสรรค์ของศิลปิน สำหรับนิทรรศการ “Cabinet of Curiosities” จัดขึ้น ณ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ท่าช้าง วังหลวง กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 15–30 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00–18.00 น. ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากนี้ยังมีการประมูลผลงานศิลปะในวันสุดท้าย 30 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไปแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000110250

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

งานเข้า อินฟลูดังโดนเสนอเพิกถอนพาสปอร์ต-ห้ามเข้าญี่ปุ่นถาวร หลังทำถ่อยที่ หน้าร้าน LAWSON

18/11/2025

งานเข้า อินฟลูดัง มีผู้โพสต์ถึง อธิบดีกรมการกงสุล เสนอเพิกถอนหนังสือเดินทาง ระบุ กระทำการน่ารังเกียจ น่าอับอายและเสื่อมเสียต่อประชาชนคนไทยและประเทศไทย โดยมีชาวเน็ตเข้ามาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีชาวเน็ตไทยจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเพจสถานทูตญี่ปุ่น ให้ทำการระงับวีซ่า และห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่นอย่างถาวร พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นเร่งดำเนินการตามกฎหมายกับอินฟลูคนดังกล่าวอีกด้วยจากกรณี “แจ็ก แปปโฮ” อินฟลูชื่อดังชาวไทย ได้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วยการ ถอดเสื้อปีนขึ้นไปบนหลังคารถแล้วเต้น บริเวณหน้าร้าน LAWSON สาขาดัง ที่เมืองยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นดราม่าร้อนแรงทั้งในประเทศไทยและที่ญี่ปุ่นอย่างไรก็ดีจากดราม่าดังกล่าว ทาง “แจ็ก แปปโฮ” ได้โพสต์ ประกาศจุดยืนว่า ตนไม่ลบคลิป เต้นบนหลังคารถ ชี้เป็นการผิดพลาดที่ต้องยอมรับเพื่อแก้ไข และ “น้อมรับทุกคำด่า” ที่เกิดขึ้นขณะที่ความคิดเห็นของชาวเน็ตไทยจำนวนมากบนโลกโซเชียล ต่างตำหนิถึงการกระทำดังกล่าวว่า ไม่เหมาะสม น่ารังเกียจ โดยชาวเน็ตบางคนถึงกับระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ “ถ่อย” เลยทีเดียวนอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นที่น่าสนในของ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่ได้โพสต์ถึงอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงต่างประเทศ เสนอให้เพิกถอนหนังสือเดินทางอินฟลูคนดังกล่าว โดยระบุว่า ได้กระทำการน่ารังเกียจ น่าอับอายและเสื่อมเสียต่อประชาชนคนไทยและประเทศไทยทั้งนี้ผู้ที่เสนอแนวคิดให้เพิกถอนหนังสือเดินทางอินฟลูที่ทำคนไทยอับอายไปทั่วโลก ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่าเรียน อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงต่างประเทศเรื่อง เพิกถอนหนังสือเดินทางตามที่ปรากฏข่าวว่ามีผู้ถือหนังสือเดินทางไทย ได้กระทำการน่ารังเกียจ น่าอับอายและเสื่อมเสียต่อประชาชนคนไทยและประเทศไทย ณ ประเทศญี่ปุ่น ขอความกรุณาท่านได้โปรดพิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทางของบุคคลดังกล่าวและงดออกหนังสือเดินทางแทนเด็ดขาด เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป และเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ถือหนังสือเดินทาง ตามอำนาจซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2520 ซึ่งกำหนดอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถสั่ง เพิกถอนหรือยึดหนังสือเดินทาง ได้หากพบว่าผู้ถือหนังสือเดินทางกระทำความผิดในต่างแดนและต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือมีพฤติกรรมอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีจึงเรียนมาเพื่อโปรดได้พิจารณาและปฎิบัติเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทยต่อไปขอแสดงความนับถือหลังแนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็ได้มีชาวเน็ตเข้ามาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวกันเป็นจำนวนมากขณะที่เพจ Embassy of Japan in Thailand/สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้มีชาวเน็ตไทยจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าว โดยส่วนใหญ่ต่างฝากให้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นตรวจสอบบุคคลดังกล่าว รวมถึงทำการระงับวีซ่า และห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่นอย่างถาวร พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นเร่งดำเนินการตามกฎหมายกับอินฟลูคนดังกล่าวอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการแแนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000109927

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย พลิกโฉม AIA Vitality ใหม่! มาพร้อมไวทัลลิตี้ โบนัส และรางวัลจุก ๆ ทุกเดือน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพ พร้อมชวน “หมาก ปริญ” ร่วมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ให้คุณมีสุขภาพดีได้มากกว่า

18/11/2025

กรุงเทพฯ, 17 พฤศจิกายน 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัว “AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพ” และร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 10 ปี AIA Vitality ในประเทศไทย ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบ ‘ไวทัลลิตี้ โบนัส’ ให้โบนัสเงินคืนตามสถานะไวทัลลิตี้ สูงสุดถึง 20% ของเบี้ยประกันภัยมาตรฐานในแต่ละปีกรมธรรม์[1] เริ่มตั้งแต่ปีกรมธรรม์แรกโดยไม่ต้องรอสะสมคะแนน อีกทั้งยังมากับแรงจูงใจที่อยากให้สมาชิกดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องด้วยของรางวัลประจำเดือน[2] (Monthly Reward) ที่ยกขบวนความฟินมาเสิร์ฟให้สมาชิกแบบจุก ๆ ทุกเดือน ทั้งบัตรชมภาพยนตร์ สตรีมมิ่งออนไลน์ บริการนวด กาแฟ สมูทตี้ผักผลไม้ และอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งสมาชิกสามารถเลือกรับของรางวัลได้ทุกเดือน รวมถึงสิทธิประโยชน์จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำต่าง ๆ อีกมากมาย ตอกย้ำถึงพันธกิจที่เอไอเอมุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’นอกจากนี้ ยังได้ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” AIA Vitality Ambassador มาร่วมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่มากับรูปแบบใหม่ของ AIA Vitality ให้สมาชิกได้สนุกมากขึ้นกับการดูแลสุขภาพเพื่อรับไวทัลลิตี้ โบนัส และของรางวัลทุกเดือน ยิ่งสะสมคะแนนได้สูง ยิ่งเลือกของรางวัลได้มาก พร้อมชวนคนไทยมาเปลี่ยนสถานะ (AIA Vitality Status) ไปด้วยกัน เพื่อสุขภาพที่ดีในแบบที่คุณชอบทำนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษนับตั้งแต่เราเปิดตัว AIA Vitality ในประเทศไทย พันธกิจของเรายังคงชัดเจนเสมอมา นั่นคือเราต้องการส่งมอบโครงการสุขภาพที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้สนุกกับการดูแลสุขภาพ โดยมีเอไอเอคอยอยู่เคียงข้างและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายในการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น จนทำให้ปัจจุบัน AIA Vitality เป็นโครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีสมาชิกมากกว่า 900,000 คนทั่วประเทศ[3] ความสำเร็จของ AIA Vitality ไม่ได้เกิดจากเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากความร่วมมือที่ดีจากพันธมิตรของเรา ซึ่งช่วยกันสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ครอบคลุมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และจากที่เรามีสมาชิกเป็นจำนวนมาก เราจึงเข้าใจดีถึงความหลากหลาย ซึ่งสมาชิกแต่ละคนมีความสนใจด้านสุขภาพและแนวทางในการดูแลตัวเองแตกต่างกัน ฉะนั้นแรงจูงใจที่เราจะชวนให้เขาเริ่มต้นดูแลสุขภาพและสร้างนิสัยสุขภาพดีจึงต้องหลากหลายด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของ AIA Vitality รูปแบบใหม่ ที่เราได้ปรับสิทธิประโยชน์ให้เหมาะและสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสุขภาพของแต่ละคน อีกทั้งยังสอดรับกับแนวคิด ‘Rethink Healthy’ ที่เอไอเอมุ่งส่งเสริมให้ผู้คนเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เรามั่นใจว่า AIA Vitality รูปแบบใหม่นี้จะสามารถเข้าถึงทุกคน และกลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านสุขภาพที่จะช่วยสนับสนุนในสมาชิกทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน”นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “AIA Vitality นับเป็น Game Changer ในตลาดประกันสุขภาพของประเทศไทย นับตั้งแต่เอไอเอเปิดตัว AIA Vitality เมื่อปี 2559 เราถือเป็นประกันชีวิตเจ้าแรกที่ให้ส่วนลดเบี้ยประกันจากการดูแลสุขภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งเน้นการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ผ่านการสนับสนุนให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบยั่งยืน และจนถึงวันนี้เราได้พัฒนาโปรแกรมมาเรื่อย ๆ ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์ม รวมถึงสิทธิประโยชน์และของรางวัล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่เราได้มาเป็นที่พอใจอยากยิ่ง จากดัชนีชี้วัดค่าสุขภาพที่ดีขึ้นของสมาชิกไวทัลลิตี้[4] ตัวอย่างเช่น สมาชิกที่มีการดูแลสุขภาพในโครงการ 2 ปีขึ้นไปมีดัชนี BMI (Body Mass Index) ดีขึ้น 22% ความดัน ดีขึ้น 49% คอเรสเตอรอล ลดลง 28% และระดับน้ำตาล ลดลงถึง 65% นอกจากนี้ สถิติที่น่าทึ่งของสมาชิกไวทัลลิตี้ที่เราพบคือ สมาชิกของเราตรวจสุขภาพและรับวัคซีนรวมแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง ใช้เวลาในการออกกำลังกายแล้วกว่า 17.5 ล้านชั่วโมง เดินรวมกันแล้วกว่า 122 พันล้านก้าว ซึ่งเท่ากับประมาณ 98 ล้านกิโลเมตรเทียบเท่ากับการเดินรอบโลกมากกว่า 2,400 รอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรม AIA Vitality ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านสุขภาพให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมากได้อย่างแท้จริง“และในปีนี้เป็นโอกาสพิเศษครบรอบ 10 ปีของ AIA Vitality เราจึงมีการปรับรูปแบบสิทธิประโยชน์ของลูกค้าให้ง่าย เร็ว และมากขึ้น โดยลูกค้าที่สุขภาพดีจะมีเงินคืนตั้งแต่ปีแรกในรูปแบบ ‘ไวทัลลิตี้ โบนัส’ สูงสุด 20% สำหรับแบบประกันโรคร้ายแรง และสูงสุด 15% สำหรับแบบประกันสุขภาพ นอกจากนี้ยังสร้างจูงใจให้ลูกค้าดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องด้วย ‘ของรางวัลรายเดือน’ ที่สามารถกดรับได้เองทุกเดือนผ่านแอป AIA+ ยิ่งมีคะแนนสูง ยิ่งเลือกของรางวัลได้มาก ซึ่งเราจัดของรางวัลจากพันธมิตรชั้นนำมาให้อย่างหลากหลาย  เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกในแบบที่ใช่สำหรับตัวเอง “สำหรับเอไอเอ ในฐานะผู้นำตลาดประกันชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง เรามั่นใจว่า AIA Vitality รูปแบบใหม่นี้ นับเป็นครั้งแรกอีกครั้งสำหรับตลาดประกันสุขภาพของไทยที่ลูกค้าได้รับโบนัสเงินคืนจากการมีสุขภาพดี ตอกย้ำถึงเป้าหมายของเอไอเอ ในการมุ่งสนับสนุนให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ด้านการประชาสัมพันธ์ไปสู่ลูกค้าทั่วประเทศ เอไอเอ ได้ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ยังคงได้ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” AIA Vitality Ambassador กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันอัพเกรด โดย นางสาว รพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โฆษณาชุดนี้เราต้องการสื่อสารให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด ให้เห็นเลยว่าวันนี้ AIA Vitality รูปแบบใหม่ มีอะไรที่ใหม่ และมากกว่าเดิมบ้าง ลูกค้าดูแล้วจะเข้าใจได้เลยว่าได้อะไรที่มากขึ้นและเป็นสิ่งที่จับต้องได้กับสิทธิประโยชน์ที่เราเตรียมไว้ให้แบบเยอะมาก ๆ ทั้งไวทัลลิตี้ โบนัส และของรางวัลรายเดือนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ให้ลูกค้าเลือกรับของรางวัลได้ทุกเดือนตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และแน่นอนว่าเห็นโฆษณา AIA Vitality ต้องเห็นคุณหมาก ปริญ ซึ่งทุกวันนี้คุณหมากเป็นมากกว่า Brand Ambassador แต่เป็น AIA Vitality Partner เพราะเป็นลูกค้าตัวจริงและอยู่กับเรามานานกว่า 8 ปีแล้ว ดังนั้นไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าคุณหมากที่จะถ่ายทอดเรื่องราวให้ทุกคนสนุกไปกับ AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพในแบบที่คุณชอบทำ เช่น บางคนชอบออกไปวิ่งในสวนสาธารณะ บางคนชอบทำอาหารสุขภาพทานเอง บางคนชอบแค่คาร์ดิโออยู่ที่บ้าน หรือแม้แต่ชอบนอนหลับพักผ่อน ทุกกิจกรรมล้วนดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคะแนนไวทัลลิตี้ ให้ทุกคนได้เลื่อนสถานะเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นอีกด้วย“สำหรับโฆษณาชุดใหม่นี้ ทุกคนจะได้เห็นทั้งในโทรทัศน์ บนสื่อออนไลน์ และสื่อ Out of Home ทั่วประเทศ อีกทั้งเรายังเน้นสื่อบนรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เนื่องจากเราอยากให้ AIA Vitality ได้อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ตื่นเช้ามาเดินทางไปทำงาน ไปทำธุระต่าง ๆ ก็จะได้เห็นคุณหมาก ปริญ ไปกับคุณด้วยทุกวัน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนเริ่มต้นดูแลสุขภาพ โดยเริ่มวันละนิด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตวันละหน่อย เชื่อได้ว่าทุกคนจะสามารถสร้างผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นแบบยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”ติดตามรับชมภาพยนตร์โฆษณา “AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพ” ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ผ่านช่องทางออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ หรือคลิกลิงก์ https://youtu.be/eayDsmdecIA สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ AIA Vitality รูปแบบใหม่ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.aia.co.th/th/health-wellness/vitalityหมายเหตุ: [1] สิทธิประโยชน์กรมธรรม์และเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแบบประกันที่เข้าร่วมโครงการ AIA Vitality หากไม่มีการเคลม[2]บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และมูลค่าของรางวัลต่อรอบกิจกรรม ทั้งนี้บริษัทจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 30 วันผ่านทางแอปพลิเคชัน AIA+ หรือช่องทางสื่อสารของบริษัท [3] ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568[4] ข้อมูลจากการตรวจสุขภาพของสมาชิก AIA Vitality ที่อยู่ในโปรแกรมมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

หุ้น

เจ้าพ่อชอร์ตหุ้น ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ยอมแพ้! ปิดฉากกองทุนเฮดจ์ฟันด์

14/11/2025

‘ไมเคิล เบอร์รี’ เจ้าของตำนาน The Big Short ประกาศปิดฉากกองทุน Scion Asset Management มูลค่า 155 ล้านดอลลาร์ ถอนตัวจาก 'เกมที่ถูกจัดฉาก' วิจารณ์บิ๊กเทค AI 'ตกแต่งตัวเลขกำไร'“ไมเคิล เบอร์รี” (Michael Burry) นักลงทุนผู้โด่งดังจากการทำนาย และเดิมพันการล่มสลายของตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ ในปี 2551 เจ้าของเรื่องราวภาพยนตร์ดังเรื่อง "The Big Short" ได้ตัดสินใจยุติบทบาทการบริหารกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) ของตัวเองอย่าง Scion Asset Managementรอยเตอร์รายงานว่าเบอร์รีได้แจ้งต่อนักลงทุนในจดหมายลงวันที่ 27 ต.ค.68 ว่า จะทำการขายกองทุน และคืนเงินลงทุนคืนแก่ลูกค้าทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ โดยให้เหตุผลว่า “การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของผมไม่สอดคล้องกับตลาดทั้งในปัจจุบัน และระยะเวลาหนึ่ง”  •  เบื้องหลังการปิดกองทุน  155 ล้านดอลลาร์การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง และสอดคล้องกับสถานะการจดทะเบียนของ Scion ในฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (ก.ล.ต.) ที่ระบุว่า "ยุติ" (Terminated) ณ วันที่ 10 พ.ย.68 Scion Asset Management ซึ่งเคยบริหารสินทรัพย์มูลค่า 155 ล้านดอลลาร์ ณ เดือนมี.ค. ถูกจับตามองมาโดยตลอดในฐานะสัญญาณเตือนถึงภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อาจเกิดขึ้นนักวิเคราะห์มองว่า การตัดสินใจของเบอร์รีครั้งนี้ "ไม่ใช่การเลิกเล่น แต่เป็นการก้าวถอยห่างจากเกมที่เขาเชื่อว่าถูกจัดฉากขึ้นมากกว่า"  จากโครงสร้างพื้นฐาน และ วิธีการทำบัญชี/การประเมินมูลค่า ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม AI นั้น ผิดปกติหรือบิดเบือนไปจากความเป็นจริงนอกจากนี้ แทนที่จะบริหารเงินของนักลงทุนรายอื่นผ่านกองทุน Hedge Fund ที่ต้องเปิดเผยข้อมูล และปฏิบัติตามกฎของ ก.ล.ต. อย่างเข้มงวด เบอร์รีจะเปลี่ยนไปบริหารจัดการในรูปแบบของ สำนักงานครอบครัว (Family Office)  •  เดินหน้าวิจารณ์เทคยักษ์ใหญ่ ‘ตกแต่งตัวเลขกำไร’ก่อนหน้านี้ เบอร์รีได้วิพากษ์วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI เช่น Nvidia และ Palantir Technologiesเบอร์รีสงสัยว่าบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และ AI อย่างมหาศาล กำลัง "ตกแต่งตัวเลขกำไร" ให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ด้วยการใช้เทคนิคทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ "ค่าเสื่อมราคา"บริษัทเหล่านี้ทั้ง Microsoft, Google, Meta และอื่นๆ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการซื้อคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และชิป เช่น จาก Nvidia เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคลาวด์ และ AIตามหลักการบัญชี การซื้อของที่ใช้ได้นานหลายปีเหล่านี้เรียกว่า "สินทรัพย์" เมื่อเวลาผ่านไป สินทรัพย์จะเสื่อมค่าลง และระบุในบัญชีว่าเป็น “ค่าเสื่อมราคา”Burry กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ "ขยาย" ช่วงอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ของสินทรัพย์เหล่านี้ออกไปอย่างเงียบ ๆ เช่น จากเดิมคิดว่าใช้ได้ 5 ปี ก็เปลี่ยนเป็น 7 ปี หรือ 10 ปี ดังนั้น เมื่อขยายอายุการใช้งานออกไป ค่าเสื่อมราคาต่อปีก็จะลดลงผลลัพธ์คือ กำไรสุทธิที่บริษัทรายงานก็จะสูงขึ้น ทำให้ตัวเลขผลประกอบการดูดี และน่าสนใจสำหรับนักลงทุน แม้ว่าในความเป็นจริงสินทรัพย์เหล่านั้นอาจจะเสื่อมสภาพหรือต้องเปลี่ยนใหม่เร็วกว่าที่ระบุในทางบัญชีไมเคิล เบอร์รี ใช้เงิน 9.2 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ "ออปชันขาย" (Put Options) ของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี AI อย่าง Palantir Technologies โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรหากราคาหุ้นของ Palantir ลดลง โดยเดิมพันที่ระดับ 50 ดอลลาร์ภายในปี 2570 แสดงถึงมุมมองเชิงลบอย่างรุนแรงของเบอร์รีต่อมูลค่าในอนาคตของบริษัท AI อย่าง Palantirพิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์  แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/world/1207618

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X