คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

เปิด 5 กลยุทธ์เด็ดป้องกัน “กับดักหนี้” กลับมาหลอกหลอนซ้ำ

01/07/2024

บทความโดย "ศุทธวีร์ มงคลสินธุ์" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในช่วงปลายปี 2566 พบว่าหนี้สินครัวเรือนไทยมีมากถึง 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.9% ของ GDP สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหนี้สินที่รุมเร้าคนในสังคมไทย เมื่อตัดภาพมาในด้านการเงินส่วนบุคคล สำหรับหลายคนแล้ว การเริ่มต้นเป็นหนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความจำเป็นเพียงอย่างเดียวแต่กลับมี “อารมณ์ความรู้สึก” เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเห็นไลฟ์สไตล์ของคนอื่นหรือการถูกกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยแคมเปญทางการตลาด ตั้งแต่ “หนึ่งเดือนหนึ่ง” ไปจนถึง “สิบสองเดือนสิบสอง” แม้กระทั่งวาทกรรม “ของมันต้องมี”ที่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นค่านิยมที่ผลักดันการบริโภคของผู้คนในสังคมให้มากเกินพอดี เกินความจำเป็น อีกทั้งสิ่งของต่าง ๆ ยังสามารถใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% 10 เดือน บางครั้งใช้บัตรกดเงินสดผ่อน 0% ได้ถึง 36 เดือน แม้ยอดผ่อนเป็นเงินเล็กน้อยต่อเดือน แต่ถ้าผ่อนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้สถานการณ์ทางการเงินตึงตัว ยังไม่รวมรายจ่ายก้อนใหญ่ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งท้าทายที่ต้องรับมือให้ได้ และหากต้องการหลุดจากกับดักหนี้ ควรมี 5 กลยุทธ์เด็ด ดังนี้ทำความเข้าใจต้นตอของการเป็นหนี้เริ่มต้นจากการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของตัวเอง ด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่าย จะทำให้เห็นตัวเลขที่เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เพื่อนำข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมทางการเงินมาวิเคราะห์ว่ารายจ่ายใดเป็นจุดอ่อนที่ฉุดรั้งไม่ให้พ้นจากกับดักหนี้ หลังจากนั้นก็แบ่งประเภทรายจ่ายออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รายจ่าย “ความจำเป็น” และรายจ่ายที่เป็น “ความต้องการ” เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนจะซื้ออะไรใหม่ ด้วยการถามตัวเองว่า สิ่งที่จะซื้อ “จำเป็นหรือเพียงแค่อยากได้” “สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังพอใช้ได้อยู่หรือไม่” คำถามเหล่านี้จะช่วยเตือนสติการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นตั้งเป้าหมายปลดหนี้ที่ชัดเจนการตั้งเป้าปลดหนี้อาจเลือกใช้วิธีปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน โดยเฉพาะหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต เพื่อทำให้ประหยัดค่าดอกเบี้ย หรือเล็งเป้าหมายปลดหนี้ก้อนที่มีเงินต้นคงค้างเหลือน้อยที่สุด เปรียบเหมือนการ “ปลดล็อกกระแสเงินสด” เพื่อทำให้มีกระแสเงินสดในแต่ละเดือนมากขึ้นวางแผนจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพเลือกวิธีจัดการหนี้ที่เหมาะสม เช่น “วางแผนรีไฟแนนซ์” โดยหลักสำคัญ คือ การได้สินเชื่อใหม่มาแทนสินเชื่อเก่า โดยสินเชื่อใหม่นั้นต้องมีดอกเบี้ยต่ำกว่า ซึ่งมักจะใช้วิธีนี้กับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือใช้วิธีนี้กับการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่ามาปิดยอดหนี้บัตรเครดิต โดยอาจต้องใช้เวลาหาข้อมูลเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย พิจารณาค่าธรรมเนียม คำนวณความคุ้มค่า เพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุดหรือในกรณีที่ภาวะการเงินตึงตัวอาจเลือกวิธี “เจรจาลดหย่อนหนี้สิน” โดยเป็นการเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหนี้ถึงความจำเป็น ภาระ และสถานะทางการเงิน เพื่อเป็นการประนีประนอมกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ช่วยลูกหนี้ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ ซึ่งลูกหนี้อาจได้ปรับลดจำนวนเงินต้น ลดอัตราดอกเบี้ย หรือการขยายเวลาการผ่อนชำระออกไปเคล็ดไม่ลับสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นหนี้เรื้อรัง ควรเติมวินัยการเงินในช่วงเป็นหนี้ด้วย 3 เทคนิค  •  ซื้อของด้วยเงินสด หรือถ้าใช้บัตรเครดิตก็ให้จ่ายหนี้เต็มจำนวน ซึ่งเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใต้เงินที่มีอยู่ ไม่ใช้เงินในอนาคต เป็นการฝึกความอดทน ปรับเปลี่ยนนิสัยทางการเงินไม่ให้ใช้เงินแบบวู่วาม  •  ออมก่อนใช้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีรายได้เข้ามาในแต่ละเดือนให้ออมอย่างน้อย 5-10% ของรายได้ ถือว่าเป็นการสร้างเงินก้อนสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรมีเงินไว้ในรูปเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา จะได้มีเงินไว้ใช้ไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม  •  ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย ไม่ก่อหนี้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ วิถีชีวิตแบบนี้เป็นทางที่ยั่งยืนในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเอง และครอบครัวรู้เท่าทันภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางการเงินมีรูปแบบและวิธีการหลากหลาย การรู้เท่าทันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้อง หลีกเลี่ยงความสูญเสียทางการเงิน เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ หลอกลวงออนไลน์ตามช่องทางโซเชียลมีเดีย การโจรกรรมข้อมูลโดยแฝงเข้ามาในแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ หรือการลงทุนที่ผิดกฎหมาย แชร์ลูกโซ่ต่าง ๆ ที่มาหลอกล่อด้วยผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาสั้นดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพ ควรติดตามข่าวสารทางการเงิน อย่าหลงเชื่อ อย่ากด Link แปลก ๆ และมีสติทุกครั้งที่จะใช้เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร รอบคอบในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ไปค้ำประกันให้ใครง่าย ๆ เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังอาจเสียความสัมพันธ์ ทำให้ต้องมารับผิดชอบหนี้ที่ไม่ได้ก่อขึ้นมาแทนผู้อื่นอีกด้วยปัญหาเรื่องหนี้เป็นปัญหาที่ต้องบริหารจัดการทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมกัน การจัดการภายนอก คือ การแก้ปัญหาด้านข้อเท็จจริงที่ต้องทำตัวเลขออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ตัดสินใจ วางแผนดำเนินการอย่างเป็นระบบ ส่วนการจัดการภายใน คือ ต้องมีวิธีคิดที่เหมาะสม จัดการอารมณ์ที่ต้องไม่เครียด เนื่องจากความเครียดส่งผลอย่างยิ่งต่อการใช้จ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาเรื้อรังไม่มีที่สิ้นสุด พัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ ไม่หมกมุ่น ไม่คิดวน คิดแบบมองไปข้างหน้า คิดตัดสินใจเพื่อวางแผน แล้วลงมือทำตามแผนที่วางไว้ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ถ้าทำได้ ความสำเร็จในการปลดหนี้จะอยู่ไม่ไกลแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1597048#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

สุดช็อก! สาววัย 30 ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เผย มีสัญญาณเตือนแต่ไม่สนใจ

01/07/2024

ถือเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ของการที่ร่างกายพยายามส่งสัญญาณเตือนเพื่อบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เรากลับไม่สนใจหรือละเลยเพียงเพราะคิดว่าไม่เป็นอันตราย อย่างเช่นกรณีของสาวชาวไต้หวัน วัย 30 ปี ที่มาตรวจเจอมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ในเวลาที่เกือบจะสายเกินไปสื่อต่างประเทศรายงานข่าวอุทาหรณ์สาววัย 30 ปี ตรวจเจอมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร่างกายพยายามส่งสัญญาณเตือน แต่เธอกลับละเลย เรื่องราวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Tran Chung Nhac หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ระบบทางเดินหายใจและทรวงอก ที่เปิดเผยเรื่องราวของคนไข้หญิงวัย 30 ปี ที่เขาเคยทำการรักษาโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายคนไข้หญิงรายนี้เธอเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่ง จนเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว เธอเริ่มมีอาการหายใจถี่มากขึ้นขณะวิ่ง โดยช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเธอคิดว่าเกิดจากความอ่อนแอทางร่างกายของเธอ เธอจึงยังไม่ได้ไปพบแพทย์ แต่ทว่าอาการหายใจถี่ยังคงอยู่แม้ไม่ได้ออกกำลังกาย สามีของเธอจึงตัดสินใจพาเธอมาพบแพทย์ในที่สุดหลังแพทย์ทำการตรวจร่างกายของเธออย่างละเอียดนั้นก็พบว่าเธอกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดในระยะลุกลาม ซึ่งนั่นทำให้สาวคนดังกล่าวและสามีรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และแพทย์ได้ทำการส่งเธอเข้ารับการรักษาในทันที และถือเป็นเรื่องโชคดีที่ร่างกายของเธอตอบสนองได้ดีกับยาที่ใช้รักษา ก่อนที่เวลาต่อมาเชื้อมะเร็งของเธอกลับมาอยู่ในจุดที่แพทย์สามารถควบคุมได้ จนหายดีเป็นปกติ แต่อย่างไรก็ตามคนไข้รายนี้ยังคงต้องมาพบแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามอาการของโรคที่อาจกำเริบขึ้นมาได้อีกนายแพทย์ Tran Chung Nhac ยังกล่าวอีกว่า คนไข้รายนี้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดแม้แต่น้อย เช่น ประวัติครอบครัว การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือ การสัมผัสกับสารพิษ เช่น สารหนู นิกเกิล โครเมียม และ แร่ใยหิน แต่ความเสี่ยงของโรคนี้ยังเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในร่างกายที่อาจมีการกลายพันธุ์และเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาและเผยให้เห็นว่า DNA ที่มีความผิดปกติอาจส่งผลให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้แม้คนคนนั้นจะมีสุขภาพดีและไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งนักวิทยาศาสตร์กล่าวเสริมอีกว่า มะเร็งจำ 32 ชนิดที่ได้ทำการศึกษาพบว่า 66% เซลล์มะเร็งมีการกลายพันธุ์มากจากการทำ งานที่ผิดพลาดของ DNA 29% มาจากปัจจัยแวดล้อม และอีก 5% มาจากพันธุกรรม หรือกรรมพันธุ์ส่วนสัญญาณของโรตมะเร็งปอดนั้น นายแพทย์ Tran Chung Nhac มะเร็งปอดระยะเริ่มต้นแทบไม่มีอาการ ซึ่งกว่าที่จะมีการแสดงอาการนั้นก็เข้าสู่ระยะที่ 3 หรือ 4 ตรงจุดนี้อาจทำให้กระบวนการรักษานั้นมีประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้หากร่างกายมีอาการผิดปกติ เช่น ไอเป็นเลือด ไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์โดยไม่ทุเลา หายใจถี่ อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด หากเป็นมะเร็งจริงการตรวจพบได้เร็วก็มีโอกาสหายจากโรคได้ง่าย รวมถึงโรคอื่น ๆ เช่นเดียวกันขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : docnhanh.vnแหล่งที่มาข่าว อีจันhttps://www.ejan.co/world/1d3dba1doksc

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการภาพถ่าย Concrete in Life สะท้อนมุมสวยของคอนกรีตผ่านเลนส์

01/07/2024

สะท้อนความงามภายใต้ความแข็งแกร่งของสิ่งก่อสร้าง ที่มี “ปูนซีเมนต์และคอนกรีต” ผ่านงานศิลปะ สมาคมผู้ผลิตซีเมนต์และคอนกรีตโลก หรือ GCCA (Global Cement and Concrete Asso ciation) จัดโครงการ ‘Concrete in Life’ ประกวดภาพถ่ายประจำปี ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในปีนี้ภาพถ่ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้ถูกนำมาจัดแสดงนิทรรศการระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีต “GCCA CEO Gathering and Leader Conference 2024” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเป็นผลงานภาพถ่ายจากช่างภาพมืออาชีพ และผู้สนใจจากทั่วทุกมุมโลก ในหลากหลายมุมมอง ทั้งคอนกรีตกับเมือง (Urban Concrete) คอนกรีตกับโครงสร้างพื้นฐาน (Concrete Infrastructure) คอนกรีตกับชีวิตประจำวัน (Concrete in Daily Life) คอนกรีตกับความงามและการออกแบบ (Beauty and Design) ครอบคลุมไปถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งงานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูน ซีเมนต์ไทย (TCMA) และหนึ่งในคณะผู้บริหารสมาคมผู้ผลิตซีเมนต์และคอนกรีตโลก (GCCA) กล่าวว่า ปูนซีเมนต์เป็นส่วนผสมหลักของการผลิตคอนกรีต ปัจจุบันการพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และการออกแบบใช้งานโครงสร้างจากคอนกรีต พัฒนาไปไกลมาก สามารถตอบสนองทั้งประโยชน์การใช้งาน ความสวยงาม และที่สำคัญช่วยลดคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของอุตสาหกรรม ปูนซีเมนต์และคอนกรีตที่มุ่งสู่ Net Zero ในปี ค.ศ.2050 (2593) โครงการประกวดภาพถ่ายประจำปี ‘Concrete in Life’ โดย GCCA นับเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สะท้อนมุมมองจากผู้ใช้งานจริง การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคอนกรีตได้เป็นอย่างดี ร่วมเปิดมุมมองใหม่ต่อคอนกรีตที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน รวมถึงความแข็งแกร่ง ความทนทาน และความงาม จากการประกวดภาพถ่ายประจำปี ‘Concrete in Life’ด้าน พอล อะเดเลเก้ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ การสื่อสารและนโยบาย กล่าวว่า GCCA จัดการแข่งขัน ‘Concrete in Life’ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 และนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก จากที่ปีแรกมีภาพถ่ายส่งเข้าประกวดประมาณ 5,000 ผลงาน และปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 21,000 ผลงาน ทั้งคอนกรีตกับเมือง คอนกรีตกับโครงสร้างพื้นฐาน คอนกรีตกับชีวิตประจำวัน คอนกรีตกับความงามและการออกแบบ ครอบคลุมไปถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทำให้ได้เห็นอรรถประโยชน์ของคอนกรีตที่มีความหลากหลาย ผ่านภาพถ่ายในมุมมองต่างๆ ที่สะท้อนถึงความจำเป็นของคอนกรีต ที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก นอกจากนี้ ‘Concrete in Life’ จะเป็นตัวแทนการสื่อสารของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต ตามโรดแม็ป GCCA Con crete Future ในการมุ่งสู่ความยั่งยืนและการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ.2050 สามารถรับชมผลงานภาพถ่ายในโครงการ ‘Concrete in Life’ ได้ที่ https://gccassociation.org/concreteinlife2023/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2796283

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เมืองสวยน่าพักอาศัย กับ "10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก" ประจำปี 2024

01/07/2024

นอกจากสภาพแวดล้อมของเมืองที่สวยงามแล้ว การจะเป็นเมืองน่าอยู่ได้นั้นต้องมีอีกหลายปัจจัยร่วมด้วย และสำหรับในปี 2024 นี้ มีการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก โดยอันดับแรกได้แก่ เวียนนา ประเทศออสเตรีย ตามมาด้วย โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และ ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์รายการประจำปีจาก Economist Intelligence Unit (EIU) ได้รายงานผลการจัดอันดับ “เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก” จากจำนวนเมือง173 แห่งทั่วโลก ใช้ 30 ตัวชี้วัดใน 5 หมวดด้วยกัน ได้แก่ ความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ระบบสาธารณสุข วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานโคเปนเฮเกน (ภาพ : C1superstar from Pixabay)เมืองอันดับแรกที่ได้รับการจัดอันดับในครั้งนี้คือ “เวียนนา” เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เมืองนี้อยู่ในอันดับต้นๆ มาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับคะแนนยอดเยี่ยมเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีการจัดมหกรรมกีฬาขนาดใหญ่ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ “โคเปนเฮเกน” ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งอยุ่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และอันดับ 3 คือ “ซูริค” ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขยับขึ้นจากอันดับที่ 6 -ของปีที่แล้วมาอยู่ที่อันดับที่ 3 ของปีนี้สำหรับรายชื่อ 10 อันดับแรกเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ประจำปี 2024 มีดังนี้อันดับ 1 เวียนนา ประเทศออสเตรียอันดับ 2 โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กอันดับ 3 ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อันดับ 4 เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียอันดับ 5 (ร่วม) คัลการี ประเทศแคนาดาอันดับ 6 (ร่วม) เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อันดับ 7 (ร่วม) ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียอันดับ 8 (ร่วม) แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาอันดับ 9 (ร่วม) โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นอันดับ 10 (ร่วม) โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ซูริค (ภาพ : zuerich.com)ทางด้านภูมิภาคที่ได้คะแนนโดยรวมดีที่สุดคือ ยุโรป จากจำนวน 30 เมืองในยุโรปที่ได้คะแนนเฉลี่ย 92 จาก 100 คะแนน แต่ในรายงานได้ระบุว่าคะแนนดังกล่าวลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากมีการประท้วงและมีอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อคะแนนในด้านความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ส่วนอันดับที่ 2 คือภูมิภาคอเมริกาเหนือ ได้คะแนนเฉลี่ย 90.5 จากคะแนนเต็ม 100 โดยมีคะแนนสูงสุดในด้านการศึกษา แต่วิกฤตเรื่องที่อยู่อาศัยในแคนาดา ได้ฉุดคะแนนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้ตกลงมาโดยวิกฤตด้านที่อยู่อาศัยนี้ รายงานจาก EIU ระบุว่าส่งผลกระทบต่อหลายภูมิภาค แต่มีความน่ากังวลเป็นพิเศษในออสเตรเลียและแคนาดา ซึ่งความพร้อมของอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอยู่ในระดับต่ำตลอดเวลา และราคาซื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นก็ตามเมลเบิร์น (ภาพ : Wikipedia)นอกจากนี้ ดัชนีความน่าอยู่ของ EIU เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพยังคงมีอยู่ อัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงควบคู่กับอัตราดอกเบี้ยที่สูงและภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอื่นๆ ส่งผลให้เกิดการประท้วงบ่อยครั้งทั่วโลกอีกปีหนึ่ง รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบและการชุมนุมประท้วงมากขึ้นทั่วโลก เช่น การประท้วงในมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่าปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่น่าจะบรรเทาลงในเร็วๆ นี้และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ทิศทางที่สวนกันของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว โดยประเทศกำลังพัฒนา มีการปรับตัวที่ดีขึ้นในหลายเมือง จากการพัฒนาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและการศึกษา ส่วนประเทศพัฒนาแล้วกลับได้คะแนนลดลง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต และด้านโครงสร้างพื้นฐานโอซาก้า (ภาพ : Son Nguyen D?nh from Pixabay)เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในเอเชียสำหรับในเอเชีย เมืองต่างๆ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้านคะแนนความน่าอยู่ โดยเฉพาะ "ฮ่องกง" มีอัตราการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านการศึกษา รวมถึงด้านความมั่นคง และสาธารณะสุขส่วนในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิกนั้น "สิงคโปร์" เป็นเพียงเมืองเดียวจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่ติดอันดับท็อป 10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในเอเชีย โดยได้คะแนนเต็ม 100 ในด้านสาธารณสุขรายชื่อ 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในเอเชียเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย (อันดับ 4 ของโลก)ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 7 ของโลก)โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น (อันดับ 9 (ร่วม) ของโลก)โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ (อันดับ 9 (ร่วม) ของโลก)แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 11 ของโลก)โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 14 ของโลก)เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 15 ของโลก)บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 16 ของโลก)เวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ (อันดับที่ 20 ของโลก)สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ (อันดับที่ 26 ของโลก)สิงคโปร์เมืองที่น่าอยู่อาศัยน้อยที่สุดในโลกเมืองที่อยู่อันดับต่ำสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เมืองในแอฟริกาใต้ซาฮารา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ โดยดามัสกัส ประเทศซีเรีย และตริโปลี ประเทศลิเบีย เป็น 2 เมืองที่น่าอยู่อาศัยน้อยที่สุด หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เมืองเคียฟในยูเครนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่น้อยเป็นอันดับ 9 ของโลก จากการที่ยังอยู่ระหว่างการสู้รบที่ดุเดือดกับรัสเซียส่วน เทลอาวีฟ เมืองหลวงของอิสราเอล เป็นเมืองที่ตกอันดับอย่างรุนแรงที่สุด โดยตกลงมา 20 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 112 ของโลก เนื่องจากสงครามกับกลุ่มฮามาสยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000055771

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ เปิดตัวแคมเปญ “Rethink Healthy” มุ่งสร้างแรงบันดาลใจให้คนเอเชียมีสุขภาพที่ดีขึ้น

28/06/2024

กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “กรุ๊ป”) ประกาศเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “Rethink Healthy” ที่มีเป้าหมายเพื่อปรับทัศนคติแบบเหมารวมของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อด้านสุขภาพ รวมไปถึงการเปลี่ยนนิยามของคำว่า “สุขภาพดี” สำหรับผู้คนในเอเชีย โดยเอไอเอต้องการสร้างนิยามใหม่ของคำว่า “สุขภาพดี” พร้อมชวนให้ทุกคนมาลอง “ปรับความคิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนผู้คนจำนวนมากให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน“Rethink Healthy” เป็นแคมเปญที่ส่งเสริมแนวทางความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมและยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งครอบคลุม เกี่ยวข้อง และบรรลุผลได้สำหรับคนเอเชีย อีกทั้งยังนับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ขึ้น ภายในปี 2573แคมเปญ “Rethink Healthy” ริเริ่มขึ้นจากรายงานผลสำรวจด้านสุขภาพที่ได้รับในระดับภูมิภาคซึ่งจัดทำโดย เอไอเอ[1] พบว่าผู้บริโภคจำนวนมากในเอเชียเชื่อว่าการมีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินไปและไม่สามารถทำได้ โดยผลสำรวจจากรายงานวิจัยครั้งนี้พบว่า  •  ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เชื่อว่าตนเองมีสุขภาพดีในปัจจุบัน  •  ร้อยละ 57 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยังไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับเปลี่ยนสุขภาพของตนเอง  •  ผู้คนในเอเชียยังถูกครอบงำด้วยการมีสุขภาพและตารางการออกกำลังกายที่สมบูรณ์แบบ  •  ร้อยละ 63 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าการออกกำลังกายจะต้องทำอย่างเคร่งครัดและติดต่อกันเป็นระยะยาวนานเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งทำให้หลายคนท้อแท้จากการออกกำลังกาย  •  ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำให้สุขภาพกายดีขึ้นได้ แม้ว่าการวิจัย[2] จะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของก้าวเล็ก ๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพก็ตามนายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ เผยว่า “สถานการณ์ปัจจุบันของผู้คนในเอเชียคือ มั่งคั่งขึ้นแต่ไม่ได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผู้คนเหล่านั้นจะต้องการเปลี่ยนแปลงสุขภาพของตนเองก็ตาม ผลวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคต้องการการสนับสนุนในด้านสุขภาพ แคมเปญ 'Rethink Healthy' ของเอไอเอจึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เร่งด่วนนี้ได้ ด้วยการปรับเส้นทางสู่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น“เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพที่ดี และแสดงให้ทุกคนเห็นว่า วิธีการมีสุขภาพที่ดีของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน พร้อมช่วยให้ทุกคนเดินหน้าสู่การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในแบบฉบับของตนเอง แต่ละตลาดในเอเชียมีความหลากหลาย แต่ประเด็นปัญหาด้านสุขภาพล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน“เรามุ่งเดินหน้าภารกิจที่จะปรับทัศนคติ ความคิด พฤติกรรม และแสดงให้เห็นว่ามีสุขภาพดีเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แคมเปญนี้จะทำให้ผู้คนในเอเชียรู้สึกเข้าถึงและมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมเร่งเดินหน้าเพื่อพิชิตเป้าหมาย AIA One Billion ของเรา”เอไอเอ ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ได้จัดงานเปิดตัวแคมเปญ “Rethink Healthy” ณ อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ โดยมี นายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นางศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ ร่วมบอกเล่าถึงที่มาของแคมเปญ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางเอไอเอ ประเทศไทย จะจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนด้านสุขภาพให้แก่ลูกค้า รวมถึงพนักงาน โดยในปีนี้มีแผนมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพใจเป็นหลัก เพราะเอไอเอ เชื่อมั่นว่าการมีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมได้นั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการมีสุขภาพใจที่แข็งแรงนอกจากนี้ ยังได้เปิดตัววิดีโอ “Rethink Healthy” ซึ่งเป็นการตั้งคำถามถึงเรื่องสุขภาพ โดยมีเนื้อหาหลักที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของแคมเปญนี้ได้ดีขึ้น อย่างเช่น  •  ขยายมุมมองให้กว้างขึ้นเพื่อมองว่าสุขภาพเป็นความสมดุลระหว่างความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย จิตใจ การเงิน และสิ่งแวดล้อม แทนที่จะให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ที่คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นเครื่องหมายของการมีสุขภาพดี  •  เปลี่ยนวิธีพูดคุยและให้คำจำกัดความถึงวิถีชีวิตเพื่อการมีสุขภาพดี และทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนสามารถเดินไปถึงเป้าหมายของการมีสุขภาพดีและความเป็นอยู่ที่ดีในแบบของตนเอง   •  ขยายคำจำกัดความของกิจกรรม แนวทาง และทางเลือกต่าง ๆ ที่สามารถนำไปสู่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม  •  กำหนดนิยามใหม่ให้ทุกคนเข้าใจว่า เพียงการเคลื่อนไหวร่างกายและการรับประทานอาหารที่ดีขึ้นสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพได้อย่างไรบ้าง  •  แสดงให้เห็นว่าทุกก้าวเล็ก ๆ มีความหมาย และความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำและการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ยิ่งขึ้นได้ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลกิจกรรม และรับชมวิดีโอ “Rethink Healthy” ได้ทางสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page และ AIA Thailand YouTube Channel ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสามารถคลิกลิงก์ Rethink Healthy - เอไอเอชวนทุกคนมา #ปรับความคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น (youtube.com) เพื่อรับชมวิดีโอหมายเหตุ:[1] AIA & Kantar, Wellness Study – Regional Report [2] https://www.frontiersin.org/journals/psychology/articles/10.3389/fpsyg.2020.00560/full

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เช็กลิสต์ 10 เรื่อง “การเงิน“ น่ารู้ก่อนอายุ 30 ปี

27/06/2024

Finnomena แนะ 10 เรื่อง “การเงิน“ น่ารู้ก่อนอายุ 30 เพื่อโอกาสในการลงทุนที่เร็วขึ้น มีอะไรบ้าง เช็กเลยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงอายุ 20-30 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญของชีวิต เป็นช่วงที่จะได้พบเจอและลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น การเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวและเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง การได้เจอสังคมใหม่ ๆ สัมผัสแรงกดดันและความท้าทายจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯทั้งนี้จากบทความ Finnomena ได้รวบรวม 10 เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ควรทำก่อนอายุ 30 ปี เพื่อให้ได้ลองเช็กกันว่า มีอะไรบ้าง1. มีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินเงินสำรองฉุกเฉินคือเงินที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีเมื่อมีเหตุจำเป็น อย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน วันหนึ่งเราอาจตกงาน เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราไม่สามารถรู้อนาคตได้ ดังนั้นควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ประมาณ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพื่อไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 20,000 บาท เราควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ 120,000-240,000 บาท2. ทำประกันประกันมีหลายประเภท ทั้งประกันออมทรัพย์ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ลองพิจารณาดูว่าประกันแบบใดเหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเรา หรือหากใครยังไม่มีประกันสุขภาพก็ลองเลือกซื้อแผนที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าในอนาคตเราจะเจ็บป่วยเมื่อใด การซื้อประกันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในอนาคตได้อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทราบไว้ก่อนการซื้อประกันคือ “ยิ่งอายุเยอะ เบี้ยประกันยิ่งสูง” ดังนั้นควรทำประกันไว้ตั้งแต่อายุยังไม่มากจะดีที่สุด โดยควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขการรับประกันทุกครั้งก่อนซื้อประกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเราด้วย3. วางแผนค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนการวางแผนค่าใช้จ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน เพราะในแต่ละเดือนอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมา แนะนำว่าให้ลองเริ่มวางแผนกำหนดงบประมาณรายจ่ายในแต่ละหมวดเท่าที่สามารถทำได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโดฯ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าของใช้ส่วนตัว ฯลฯ จะช่วยให้เราประเมินและวางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ดียิ่งขึ้น4. มีเงินออมสำหรับเป้าหมายต่าง ๆบางคนอาจจะมีความฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถสปอร์ตคันหรูขับ มีเงินล้านแรกในชีวิต หรือได้ออกไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกความฝันนั้นต้องใช้เงิน ดังนั้นลองเอาความฝันของเรามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเป้าหมายและวินัยในการออมเงิน โดยอาจจะเริ่มออมจากจำนวนไม่มาก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ ทีละ 10% หรือ 20% ก็จะช่วยทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น5. ศึกษาและเริ่มลงทุนเพื่อต่อยอดเงินอย่างที่ทราบกันดีว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในยุคนี้ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแค่การฝากเงินอาจจะไม่เพียงพอ เราจึงต้องหาวิธีอื่นเพื่อต่อยอดเงินและทำให้เงินของเรางอกเงยได้ “การลงทุน” จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถต่อยอดเงินของเราได้ ทั้งนี้ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเรา เพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ โดยสิ่งที่สำคัญคือเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เสมอ6. วางแผนภาษีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป การวางแผนภาษีจะช่วยให้เราสามารถกำหนดแนวทางการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา นอกจากนี้ยังทำให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยในการประหยัดภาษี และมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย โดยการวางแผนเพื่อประหยัดภาษีสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการบริจาค การลงทุนในกองทุน SSF-RMF การซื้อประกัน ฯลฯ7. ซื้อ SSF-RMFสืบเนื่องจากข้อที่ 6 กองทุน SSF และ RMF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการวางแผนภาษี ซึ่งนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำศึกษาเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละกองทุนให้ดีก่อน ว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุด เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต8. จัดการหนี้ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโดฯ ซื้อรถไว้ แนะนำให้เริ่มบริหารจัดการหนี้ด้วยการรวบรวมหนี้ทั้งหมดที่เรามี โดยอาจจะบันทึกไว้ในสมุดสักเล่ม หรือบันทึกไว้ในโปรแกรม Excel/Google Sheet ก็จะทำให้เรารู้ว่าหนี้ทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้มีเท่าไร และช่วยให้สามารถวางแผนชำระหนี้ได้ดีขึ้น และหากได้เงินก้อนมา เช่น ได้โบนัสจากการทำงาน เราอาจนำเงินแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะหนี้เพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย9. เริ่มวางแผนเกษียณหลังจากที่เราทำงานมาอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าในวัยเกษียณเราก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่จะสร้างความสุขให้กับวัยเกษียณของเรา ดังนั้นเราควรเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าชะล่าใจคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนสูงอายุ เพราะอย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า ยิ่งเราเริ่มวางแผนเร็ว เราก็จะยิ่งได้เปรียบเพิ่มขึ้น10. ซื้อประสบการณ์ชีวิตประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เรามองเห็นโลกได้กว้างขึ้น ได้เห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากจุดที่ยืนอยู่ปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่จะได้รับกลับมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตและไม่มีสอนในห้องเรียนแน่นอน ดังนั้นลองออกไปใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำดูบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากประสบการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากก่อน เช่น การออกไปท่องเที่ยวในประเทศจังหวัดใกล้ ๆ การปีนเขา ล่องเรือ หรือการทำกิจกรรม Workshop ที่ใช้เวลาไม่นาน เช่น การวาดรูป จัดดอกไม้ ทำอาหาร ทำขนม เป็นต้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1576240

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันควบการลงทุน

เผยเทคนิค เลือกประกันแบบไหน ให้เหมาะกับช่วงวัย

27/06/2024

ปัจจุบันนี้การเลือกทำประกันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับหลาย ๆ คนที่จะช่วยวางแผนการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงานที่เป็นวัยเริ่มต้นแห่งการสร้างตัว และเริ่มเก็บออม แต่อย่างที่ทราบกันว่าประกันมีหลายแบบทำให้หลายคนไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับการไลฟ์สไตล์ของตัวเราเอง วันนี้ GEN HEALTHY LIFE ได้นำเทคนิคดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อประกันโดยแบ่งความเหมาะสมตามช่วงวัยเริ่มกันที่ “ช่วงวัยทำงานตอนต้น อายุ 21-30 ปี” เป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มมีรายได้ อยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งหลายคนเริ่มวางแผนการเงินด้วยการเก็บออมเงินสด แต่การเก็บออมเงินสดอย่างสม่ำเสมออาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะฉะนั้นหากอยากสร้างความยั่งยืนให้อนาคตทางการเงินจึงควรพิจารณา “ประกันแบบสะสมทรัพย์” เนื่องจากทำแล้วได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า และได้เงินคืนมากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป อีกทั้งยังช่วยสร้างวินัยในการออมและได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ทั้งบางแบบ ยังช่วยเรื่องการวางแผนลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท อีกด้วย นอกจากนี้อย่าลืมพิจารณา "ประกันอุบัติเหตุ" ควบคู่ไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่จะช่วยลดภาระค่ารักษา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับคนในครอบครัวหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นต่อมา “ช่วงวัยทำงานตอนกลาง อายุ 31 - 50 ปี” เป็นวัยที่มีหน้าที่การงานเริ่มมั่นคง และ เป็นวัยที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว จึงเหมาะกับ "ประกันในกลุ่ม Unit linked"  ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตควบคู่การลงทุน มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง และอีกหนึ่งประกันที่ควรมีติดไว้คือ "ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ"  เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจะเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นมีไว้อุ่นใจไร้กังวลแน่นอนและสุดท้าย “ช่วงวัยทำงานตอนปลาย อายุ 51 ปีขึ้นไป” ช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ และเป็นช่วงที่เตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณอายุในอนาคตข้างหน้า จึงเหมาะกับประกันชีวิต “ประกันชีวิตแบบบำนาญ” เพราะจะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน สามารถดูแลตนเองได้ในวัยเกษียณ และสามารถสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี  นอกจากนี้ “ประกันสุขภาพ” ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเรื่องสุขภาพไม่ควรมองข้าม อีกทั้งในอนาคตข้างหน้าหากเกิดโรคในกลุ่ม NCDs เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ อาจมีผลต่อการพิจารณารับประกันอีกด้วย และตัวสุดท้าย "ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ" ซึ่งเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองค่อนข้างสูง และคุ้มครองในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นหนึ่งในหลักประกันที่จะทำให้มั่นใจว่า แม้ในยามที่จากไปลูกหลานจะได้รับมรดกที่เราสร้างไว้ สามารถนำเงินไปต่อยอดธุรกิจ หรือนำไปดำเนินชีวิตในอนาคตได้อย่างสุขสบายการสร้างหลักประกัน และเสริมความมั่นคงให้กับด้านเงินของเราตั้งแต่อายุยังน้อย ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าหากใครกำลังมองหาประกันดี ๆ สักตัว แต่ยังมีความกังวลใจในเรื่องข้อมูล สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Gen Healthy Life เพราะเรามีข้อมูลดี ๆ มาให้ศึกษาตลอด 24 ชั่วโมง * อย่างไรก็ตามผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้งแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://www.siamrath.co.th/n/534280

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

"คาปักญัน : เส้นทางอินคาอันยิ่งใหญ่" นิทรรศการภาพถ่ายอันทรงคุณค่า

27/06/2024

สถานเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม ไอซีเอส และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำการรังสรรค์ประสบการณ์สุดพิเศษ และเป็นจุดหมายปลายทางศูนย์รวมของพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับโลก (Global Culture Destination) จัดงานนิทรรศการภาพถ่าย “Qhapaq Ñan (คาปักญัน): เส้นทางอินคาอันยิ่งใหญ่" โดยจะจัดแสดงระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน – 21 กรกฎาคม 2567 เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเปรูบนเส้นทางที่เต็มด้วยศิลปะวัฒนธรรมระดับโลก ณ ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยมนิทรรศการ “Qhapaq Ñan (คาปักญัน): เส้นทางอินคาอันยิ่งใหญ่" เป็นความร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรมของเปรู และโครงการ Qhapaq Ñan สำนักงานใหญ่แห่งชาติจัดแสดงภาพถ่ายที่ได้รวบรวมรูปภาพของเส้นทางต่างๆ เป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์ให้ผู้คนได้เห็นถึงคุณค่าของเส้นทางสายประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศเปรูและสถานเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทย ซึ่งผู้ที่สนใจเรื่องราวของประวัติศาสตร์ วิศวกรรม และวัฒนธรรมจะได้รับชมภาพความงดงามของเส้นทางและประเพณีอันน่าตื่นตาตื่นใจผ่านรูปภาพในมุมมองที่หลากหลายที่ทุกคนจะได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลกทอดตัวยาวพาดผ่าน 7 ประเทศ จากเวเนซุเอลา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินาสำหรับเรื่องราวของ Qhapaq Ñan (คาปักญัน) คือเส้นทางที่สร้างขึ้นโดยชาวอินคายุคโบราณ โดยเป็นสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ด้วยการนำจุดเด่นของภูมิประเทศ และความหลากหลายของระบบนิเวศที่อยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดีส จากการเชื่อมโยงเส้นทางจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้านที่อยู่ห่างกันคนละภูมิภาค ทั้งยังมีภูมิประเทศที่แตกต่างกันผ่านยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งมีความสูงกว่า 6,000 เมตร เป็นการเชื่อมโยงเส้นทางอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายฝั่งทะเล ป่าฝนร้อน หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ ทะเลทรายไว้ด้วยกัน Qhapaq Ñan (คาปักญัน) จึงเป็นเหมือนเส้นทางอันเป็นตัวกลางในการสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง เป็นเส้นทางการค้า ทั้งยังเป็นปราการสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของชาวอินคาเส้นทางสายประวัติศาสตร์สำคัญของโลก Qhapaq Ñan (คาปักญัน) ยังเป็นเส้นทางหลักในการเชื่อมโยงผู้คนในอาณาจักรตาวานตินซูโยหรือจักรวรรดิอินคากับศูนย์กลางการปกครองเมืองกุสโก อันเป็นศูนย์กลางของโลก ซึ่งเป็นถนนที่มีความยาวกว่า 30,000 กิโลเมตร โดยแยกเป็นเส้นทางออกไปยัง 4 ภูมิภาค รวมถึงเส้นทางระหว่างประเทศเชื่อมต่อเปรูสู่ประเทศอื่นๆ อย่าง เอกวาดอร์ โบลิเวีย โคลัมเบีย ชิลี และอาร์เจนตินา ถนนสายสำคัญนี้จึงไม่ได้เป็นเส้นทางการคมนาคม แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า ที่มีการแลกเปลี่ยนทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี การเมือง ความเชื่อ และได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโลกให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปีพ.ศ.2557นอกจากภาพถ่ายเส้นทางประวัติศาสตร์แล้ว สถานเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยยังเชิญชวนผู้สนใจร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อประบายสี “Retablo”หนึ่งในการแสดงออกทางศิลปะของประเทศเปรูที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม ศาสนา รวมถึงการแสดงออกในเรื่องต่างๆ โดยทุกคนสามารถสร้างสรรค์ลวดลายและสีสันในแบบฉบับของตัวเอง ในวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.00 – 16.00 น. จำกัดจำนวนเพียง 50  ท่าน ณ ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมกิจกรรมได้ทาง https://bitly.cx/peruvianretabloร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าระดับโลกไปกับเส้นทางสายประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ในงานนิทรรศการ “Qhapaq Ñan (คาปักญัน): เส้นทางอินคาอันยิ่งใหญ่" ได้ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน – 21 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448247/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เมืองมรดกโลกอิตาลีไม่ปลื้ม! นักท่องเที่ยวเล่น “ปาร์กัวร์” กระโดดจนอาคารพัง

27/06/2024

การกระโดดข้ามไปมาบนสิ่งก่อสร้างของเมืองโบราณอาจเป็นความฝันของบรรดานัก “ปาร์กัวร์” (Parkour) หรือ กีฬาประเภทฟรีรั่นนิ่ง (Free Running) แต่ตอนนี้เมืองมรดกโลกของอิตาลี ไม่ปลื้มกับนักกีฬาประเภทนี้ เพราะสามารถสร้างความเสียหายให้กับเมืองเก่าได้“ปาร์กัวร์” (Parkour) ภาษาฝรั่งเศส มีความหมายว่า “วิ่งทุกที่” เป็นกีฬาแนวเอกซ์ตรีมสตรีท รูปแบบคล้ายฟรีรันนิ่ง ที่วิ่ง เดิน กระโดด ข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ หรือข้ามตึกกีฬาดังกล่าว สามารถเล่นในสถานที่ปิด ที่จัดโดยเฉพาะ แต่ความท้าทายของเหล่านักปาร์กัวร์ ก็มักแสวงหาสถานที่ข้างนอกสวยๆ เพื่อความสนุกมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นส่งผลให้เมืองโบราณมรดกโลกอย่าง “มาเตรา” (Matera) ในอิตาลี ได้รับผลกระทบมีรายงานว่ากลุ่มปาร์กัวร์ในลอนดอนที่ใช้ชื่อว่า "Team Phat” ได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองโบราณของอิตาลี โดยวิ่ง ปีนป่าย กระโดดไปตามถนน และกระโดดข้ามสิ่งปลูกสร้างอันล้ำค่าของเมือง แล้วหนึ่งในนักวิ่งได้ทำให้ส่วนหนึ่งของอาคารประวัติศาสตร์ร่วงหล่นลงมาคลิปวิดีโอการแสดงผาดโผนแบบปาร์กัวร์ ในเมืองโบราณมาเตรา ถูกโพสต์โดย Team Phat ลงในโซเชียลมีเดียอย่างยูทูป ซึ่งมีจังหวะที่นักวิ่งอิสระรายหนึ่งกระโดดลงจากอาคารและสร้างความเสียหายเกิดขึ้นวิดีโอดังกล่าวเกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก พร้อมกับมีการเผยข้อมูลว่ากลุ่มดังกล่าวเคยถูกแบนจากเวนิส ในอิตาลีมาแล้วทั้งนี้ “มาเตรา” เป็นเมืองยุคหินเก่า ตั้งอยู่ในภูมิภาคบาซีลิกาตาทางตอนใต้ของอิตาลี ในปี ค.ศ.1993 ได้รับสถานะเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก และเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี ค.ศ.2019ภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง The Passion of the Christ (2004) และ เจมส์ บอนด์ ภาค No Time to Die (2021) ก็ใช้เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000054836

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง ไม่ต้องเสียภาษี ? รู้ไว้ในยุคธุรกิจปิดตัวเยอะ

26/06/2024

โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยยังมีความเสี่ยงปิดตัวอีกนับสิบ กลุ่มทำให้คาดว่ายังมีคนงานในภาคอุตสาหกรรมเสี่ยงตกงานอีกเพียบ ดังนั้น หากถูกเลิกจ้าง นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฏหมาย และล่าสุดครม.ปรับเกณฑ์ใหม่เพิ่มค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างนั้นเดิมทีกรมสรรพากรระบุว่า ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้าย และไม่เกิน 300,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี มีการอนุมัติหลักการ ปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างใหม่ เพิ่มเป็นค่าชดเชยเฉพาะส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างของการทำงาน 400 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 600,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป และผู้ที่เสียภาษีไปแล้วสามารถยืนปรับปรุงขอคืนได้ภายใน 3 ปีทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับเพราะเหตุเกษียณหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เพราะวัตถุประสงค์คือเพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ลูกจ้างหรือพนักงาน สำหรับค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างกรณีที่ถูกเลิกจ้าง (เช่น เหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ เป็นต้น) และเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ อัตรเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้นโดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เห็นว่าจะทำให้สูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละประมาณ 660 ล้านบาท แต่จะส่งผลให้ลูกจ้างและพนักงานที่เดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างได้รับการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับจากนายจ้างทั้งนี้ กรมสรรพากรอาจต้องมีการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ได้รับในปีภาษี 2566 ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปี 2567ถูกเลิกจ้างได้ค่าชดเชยเท่าไหร่?ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ค่าชดเชย หมายถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่น ซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง โดยลูกจ้างที่มีสิทธฺได้รับค่าชดเชยจะต้องทำงานครบ 120 วันเป็นอย่างน้อยหากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิดอัตราค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง  •  ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน  •  อายุงาน 1-3 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน  •  อายุงาน  3 ปี - 6 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน  •  อายุงาน  6 ปี - 10 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน  •  อายุงาน  10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน  •  อายุงาน 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 400 วันนอกจากนี้หากนายจ้างเลิกจ้างแบบกระทันหันไม่ได้บอกล่วงหน้า จะต้องมีการจ่ายค่าตกใจให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงาน 60 วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างสัญญาณร้าย..อุตสาหกรรมไทยยังเสี่ยงปิดตัวทั้งนี้ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 88.5 ปรับตัวลดลงจาก 90.3 ในเดือนเมษายน 2567 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีฯ พบว่า ปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ทั้งยอดขายโดยรวม ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ ทั้งนี้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบางทั้งนี้หากดูในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดัชนีลดลงจะพบว่ามีถึง 23 อุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น  อัญมณีและเครื่องประดับ, ปูนซีเมนต์, หลังคาและอุปกรณ์, แกรนิตและหินอ่อน, แก้วและกระจก, เซรามิก, โรงเลื่อยและโรงอบไม้ เป็นต้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ GDP ไทยจะอยู่ที่ 2.6%สำหรับแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยนั้นนางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้น้ำหนักกับ 3 ปัจจัยที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมในช่วงข้างหน้า ได้แก่1. ความไม่แน่นอนของการเบิกจ่ายภาครัฐ ที่จะกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้าง2.สินค้านำเข้าที่ไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้น จากผลของสงครามการค้า ซึ่งจะกระทบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเหล็ก3. ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นทั้งราคาน้ำมันดีเซลที่ภาครัฐทยอยลดการอุดหนุน และค่าแรงที่มีทิศทางสูงขึ้น จะกระทบต่อเอสเอ็มอีโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้นนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองเพิ่มเติมถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ว่า มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการส่งออกที่ขยายตัวเป็นบวกมากขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำในปี 2566  อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นข้างต้น การระบายสินค้าจากกำลังการผลิตส่วนเกินจากจีนมายังตลาดโลกรวมถึงไทย ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงมีผลให้ส่งออกไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ โดยสรุปภาพรวมทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 2.6%แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/66090

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X