คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

เทคนิคการออมเงิน แบบไม่รู้ตัว

25/06/2025

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)เมื่อพูดถึงนิสัยการออมเงิน หลายคนอาจจะนึกถึงความจำเป็นต้องมีวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด หรือบังคับตัวเองให้หักเงินออมทุกเดือน อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งแนวทางการออมที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “การออมเงินแบบไม่รู้ตัว” โดยอาศัยหลักจิตวิทยาและจิตใต้สำนึกที่จะสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยที่การออมนั้นยังคงประสิทธิภาพไว้เช่นเดิมวิธีการออมเงินแบบไม่รู้ตัวแนวคิดนี้เริ่มต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง ที่ผมจะแบ่งเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันออกเป็น 3 ชั้น ซึ่งทำให้ผมพบว่าวิธีนี้สามารถที่จะช่วยเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ชั้นที่ 1 : ให้ทุกคนจินตนาการถึงกระเป๋าเงินนะครับ ชั้นแรกของกระเป๋าสตางค์ของผมนั้นจะอยู่ข้างในที่สุด ลึกที่สุด เพื่อที่ผมจะเก็บแบงก์ใหญ่ ๆ เอาไว้ เช่น แบงก์ 1,000 หรือแบงก์ 500 เอาไว้ในกระเป๋าเงินของตัวเอง เอาไว้เผื่อต้องจ่ายอะไรที่ฉุกเฉินต่าง ๆชั้นที่ 2 : ชั้นนี้ผมขอเรียกว่าชั้นกลาง หรือเป็นช่องที่เราจะเอามาหยิบจับใช้บ่อยที่สุด ซึ่งกระเป๋าส่วนนี้ผมจะเอาไว้เก็บแบงก์ย่อย เช่น แบงก์ 100 หรือแบงก์ 20 ซึ่งจะถูกจัดเก็บอยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมเองชั้นที่ 3 : จะเป็นชั้นที่เอาไว้เก็บเศษเหรียญ หรือเหรียญจากเงินทอน เช่น เหรียญ 10 บาท เหรียญ 5 บาท เป็นต้นวิธีนี้ทำให้ควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยปกติแล้ว ในชีวิตประจำวันผมจะใช้เงินในชั้นที่ 2 หรือชั้นกลาง (แบงก์ย่อย) เป็นหลักในการใช้จ่าย ซึ่งสิ่งที่สำคัญในชั้นที่ 2 หรือชั้นกลางนี้คือเราจะรู้จำนวนเงินในชั้นอยู่เสมอ ว่ามีเงินประมาณเท่าไหร่ในกระเป๋าของเรา เมื่อเราเริ่มที่จะใช้เงิน จิตใต้สำนึกของเราก็จะคอยคิดว่าเราใช้ไปเท่าไหร่ เหลืออยู่เท่าไหร่ ซึ่งทำให้เราเข้าใจการใช้จ่ายในแต่ละวันได้อย่างไม่รู้ตัวแต่ถ้าหากวันนั้นเงินในชั้นกลางไม่พอ เราจะรู้สึกว่าอาจจะต้อง “ยืม” เงินจากชั้นที่ 1 (กระเป๋าเงินหรือแบงก์ใหญ่) เพื่อมาใช้จ่ายต่อไป ซึ่งจะทำให้เริ่มรู้สึกและจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “วันนี้ใช้เงินเยอะไปหรือเปล่า ?” เหมือนกับว่ากำลังยืมเงินจากตัวเองเพื่อที่จะรักษาความสมดุลในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการใช้เงินแบบที่ผมได้กล่าวไปจะทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับส่วนชั้นที่ 3 หรือช่องเก็บเหรียญ ที่มาจากเงินทอนหรือเหรียญที่เราเก็บอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว ผมแนะนำให้เก็บเหรียญเหล่านี้อย่างดี และนำกลับบ้านไปใส่กระปุกเก็บไว้ เพราะเหรียญเหล่านี้สามารถกลายเป็นเงินเก็บจำนวนมากได้ในอนาคต หากพิจารณาตามตัวอย่างต่อไปนี้ ในหนึ่งวัน เวลาที่คุณใช้จ่ายมักจะมีเหรียญทอนกลับมาบ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ถ้าคุณเก็บเหรียญเหล่านี้ทุกวัน อย่างเช่น ประมาณ 20 บาท ต่อวัน แล้วหยอดกระปุกทุกวัน วันหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี คุณอาจจะมีเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เพียงแค่เก็บเหรียญเหล่านี้ไว้ทุกวัน โดยที่ไม่ไปแตะต้องเงินในช่องนี้เลย การออมเงินในรูปแบบนี้อาจจะดูไม่เยอะ แต่หากสะสมไปเรื่อย ๆ ทุกวัน จะกลายเป็นกองทุนใหญ่ที่สร้างเงินเก็บได้โดยไม่รู้ตัวครับสรุปส่งท้ายการแบ่งเงินออกเป็น 3 ชั้นช่วยให้เราสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีระเบียบ โดยชั้นที่ 1 จะเป็นเหมือนทุนสำรองที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ชั้นที่ 2 คือเงินสำหรับใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งหากเหลือก็สามารถนำไปสะสมใช้ในวันถัดไปได้ส่วนชั้นที่ 3 คือเศษเหรียญที่ได้จากการทอนหรือการใช้จ่ายในแต่ละวัน เราสามารถนำเหรียญเหล่านี้ไปออมเพื่อสร้างเป็นเงินเก็บอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ซึ่งการแบ่งเงินแบบนี้จะช่วยให้ไม่รู้สึกกดดันในการควบคุมค่าใช้จ่าย เพราะทุกอย่างจะเป็นการทำตามนิสัยและธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องคิดหรือคำนวณมากเกินไป ทั้งยังช่วยให้มีการเก็บออมเงินอย่างไม่รู้ตัว โดยไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถจัดการกับเงินได้ดีขึ้น และสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติครับหากคุณออมเงินในรูปแบบของการลงทุน เช่น หุ้นหรือกิจการ การเข้าใจมูลค่ายุติธรรมจะช่วยให้คุณวางแผนทางการเงินระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.abs-valuation.com/tfrs9-fair-valueแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1818482

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

ภาวะ "หัวใจเต้นผิดจังหวะ" โรคของคนยุคใหม่ที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิก

25/06/2025

หลายปีที่ผ่านมา “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” ถูกกล่าวถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังขาดความตระหนักและความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วภาวะดังกล่าวใกล้ตัวและร้ายแรงกว่าที่คิด ซึ่งในขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิกของชาวมิลเลนเนียลที่ถูกกระตุ้นด้วยสังคมผู้สูงอายุ เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณะสุข ทั้งด้านการเงินและความเป็นอยู่ของผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอย่างไร ?หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นระริก หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอเอฟ” (AF: Atrial Fibrillation) คือการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ ส่วนมากหัวใจจะเต้นเร็วเกินไป มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ปกติจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที) จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อของหัวใจห้องบนทั้งสองห้องไม่สัมพันธ์กันจากรายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019)* พบว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึง 5-6 เท่า หลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2593 มีการคาดเดาว่าจำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียจะมีมากถึง 72 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีผู้ป่วยมากเป็น 2 เท่าของจำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือรวมกันปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอ.นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จริง ๆ แล้วมีเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นภาวะนี้คือ อายุ และเนื่องด้วยสังคมปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นตามไปด้วยส่วนปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไขมันสูง และผู้ที่เคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอาการโดยทั่วไปของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ  •  เหนื่อยง่าย  •  อ่อนเพลีย  •  ใจสั่น  •  หายใจติดขัด  •  แน่นหน้าอกซึ่งมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยออกกำลังกายได้น้อยลงอย่างไรก็ตาม อ.นพ.ธัชพงศ์ กล่าวว่า “เนื่องจากอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้งไม่ชัดเจนเหมือนโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่คิดว่านั่นคือความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มาหาหมอครั้งแรกด้วยอาการอัมพาต บ้างมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจากภาวะน้ำท่วมปอด” ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฯ ที่พบว่า 15-46% ของผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกไม่มีอาการ และผู้ป่วย 10.7% มีอาการเรื้อรังขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผลกระทบต่อชีวิตนอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังก่อให้เกิดภาระในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านการเงิน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต จากรายงานข้างต้น ผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นถึง 1.8-5.6 เท่าในทุก ๆ 10 ปี และมากถึง 57% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตถูกบั่นทอน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวและใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5 ถึง 12.5 วันต่อปีในโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อปีกว่า 2,400 เหรียญสหรัฐในไต้หวัน (ประมาณ 73,000 บาท) 3,600 เหรียญสหรัฐในไทย (ประมาณ 109,000 บาท) และเกือบ 9,000 เหรียญสหรัฐในเกาหลี (ประมาณ 273,000 บาท)ศาสตราจารย์ภิชาน นพ.กุลวี เนตรมณี อาจารย์พิเศษ ฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และอายุรแพทย์โรคหัวใจ และหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีการติดตามและร่วมการศึกษากับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกเพื่อติดตามการรักษาและสถานการณ์ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมจากภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจในไทยนั้นค่อนข้างจำกัด โอกาสต่อยอดและการฝึกฝนจึงมีน้อยตามไปด้วย ทำให้แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการรักษาในไทยมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย”การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก การรักษามี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่1. การใช้ยา เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอย่างยาละลายลิ่มเลือดควบคู่กับการควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป หรือการใช้ยาเพื่อให้หัวใจเต้นเป็นปกติตลอดเวลา กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ร่างกายจะไม่ตอบสนองกับยากลุ่มหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นยาทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อรักษาอาการให้หายขาด ยังคงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเป็นอัมพฤตอัมพาตและโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาอยู่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ก่อให้เกิดปัญหาด้านค่าใช้จ่าย2. การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency Catheter Ablation) นับเป็นวิทยาการล่าสุดและมีวิธีกระบวนการรักษาที่ต่างกันออกไปแล้วแต่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น นพ.กุลวี อธิบายถึงการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยวิธีที่ท่านกำลังใช้อยู่ว่า “เป็นการรักษาด้วยการจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุผนวกกับการจำลองภาพ 3 มิติของหัวใจ 2 ห้องบนพร้อมประมวลผลและแสดงความซับซ้อนของคลื่นไฟฟ้าในหัวใจโดยใช้สีเพื่อจำลองหัวใจผู้ป่วยให้เสมือนจริงมากที่สุด ทำให้การหาตำแหน่งและจี้ทำลายจุดที่ก่อให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะชัดเจนและแม่นยำขึ้น เป็นการรักษาที่ต้นเหตุโดยตรง ทำให้การฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น” งานวิจัยของ นพ.กุลวี ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยบางรายที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถหายขาดได้ อายุยืนขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีโอกาสน้อยกว่า 3-4% ที่อาการจะกลับมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยด้วย คุณหมอทั้งสองท่านกล่าวเหมือนกันว่า เราควรตรวจดูชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ เพราะหากตรวจเจอเร็วก็จะสามารถรักษาได้แต่เนิ่น ๆ เปอร์เซ็นต์การหายขาดก็จะเพิ่มขึ้นตาม แต่ที่สำคัญที่สุดเราควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง ป้องกันกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีก็จะตามมา *รายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019) คือรายงานสถิติที่ถูกรวมรวบโดย Biosense Webster ผู้นำระดับสากลด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินัจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สถิติและข้อมูลในรายงานถูกรวบรวมจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์และการค้นคว้าทางคลินิก ทั้งนี้ ข้อมูลด้านความแพร่หลายและค่ารักษาพยาบาลถูกรวบรวมจากงานวิจัยที่ถูกจัดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตัวเลขจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/health/18811/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

รู้จัก 'สุทธิภา คำแย้ม' ผ่านบทสนทนาระหว่าง เส้น แสง และเสียง

25/06/2025

ทำความรู้จักกับ ‘สุทธิภา คำแย้ม’ ผ่านบทสนทนาระหว่างเส้น แสง และเสียง ใน นิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipaสัมผัสพื้นที่ปลอดภัยของ เตย - สุทธิภา คำแย้ม นักวาดภาพประกอบ เจ้าของรางวัล Designer of the Year 2021 ท่ามกลางภาพวาดลายเส้นของธรรมชาติ ที่ผสานไปด้วยการออกแบบแสงและเสียงดนตรีที่นำพาเราไปยังดินแดนที่สงบนิ่ง จนได้ยินเสียงของตัวเอง“สวยมากเลยค่ะ เชิญเข้าไปดูนะคะ” เสียงของสตรีชาวต่างชาติที่เดินออกมาจากห้องจัดแสดงบอกกับเราด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแม้จะได้เห็นภาพผลงานของ เตย - สุทธิภา คำแย้ม มาบ้างแล้ว แต่พอได้มาเห็นผลงานในห้องนิทรรศการจริงแล้วยิ่งเพิ่มความรู้สึกที่หลากหลาย เพราะมีทั้งการจัดแสงที่ทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในราวป่า เห็นแสงเงาที่ลอดออกมาจากใบไม้ ได้ยินเสียงดนตรีที่ทำให้รู้สึกสงบเย็นใจภาพวาดลายเส้น การจัดแสงในห้องนิทรรศการ และเสียงเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ได้ทำหน้าที่ผสานกันได้อย่างสมบูรณ์ศิลปิน เตย - สุทธิภา คำแย้ม และภัณฑารักษ์ ฟ้า - กัณหรัตน์ เลี่ยมทอง“เราอยากจะบอกว่าศิลปะแต่ละแขนงนั้นสื่อถึงกัน” ฟ้า - กัณหรัตน์ เลี่ยมทอง หัวหน้าฝ่าย Multidisciplinary Art  หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และภัณฑารักษ์ของนิทรรศการDialogue Through The Sanctuary of Suthipa บอกกับเราพร้อมกับอธิบายถึงที่มาของ นิทรรศการ ครั้งนี้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ Dialogue with The Master ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยปีนี้เป็นธีมชื่อว่า Borderless“อ้างอิงมาจากคอนเซ็ปต์ปีนี้ทั้งปีของ bacc (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) คือ borderlessผลงานของเตยมีภาพสะท้อนตัวตนของเขาอยู่ในนั้น งานกับชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่แยกขาดจากกัน ลายเส้นของเตยพาเราเดินทางไปกับเขา ในขณะเดียวกันในภาพวาดของดอกไม้และสัตว์ต่าง ๆ จะมีลายเส้นซึ่งเป็นจินตนาการของเขาเองด้วยในนิทรรศการนี้ เราไม่ได้อยากให้ผู้ชมมาฟังไดอาล็อกแค่จากปากของเตย แต่เราอยากนำเสนอผลงานที่สื่อให้เห็นตัวตนของเตยอย่างชัดเจน เราจึงเชิญศิลปิน 3 คน ได้แก่ อภิสิทธิ์ วงศ์โชติ (นักออกแบบเสียงและผู้ประพันธ์ดนตรี) วินัย สัตตะรุจาวงษ์ (ผู้ถ่ายทำสารคดี) และพรพรรณ อารยะวีรสิทธิ์ (Scenography Designer) มาร่วมงานแล้วตีความว่าอะไร คือ sanctuary ของเตย”ภัณฑารักษ์ กล่าวถึงการออกแบบนิทรรศการที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ที่เริ่มต้นด้วยการจัดแสดงผลงานลายเส้นในมุมมองที่ชวนให้ผู้ชมได้ก้มลงพิจารณารายละเอียดของภาพได้อย่างใกล้ชิดห้องจัดแสดงในส่วนแรกที่เปิดให้ชมผลงานในมุมมองที่ใกล้ชิด ท่ามกลางแสงที่ชวนให้นึกถึงการเดินอยู่ในราวป่า“อยากให้คนมองแบบใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นน้ำหนักของเส้นดินสอกดที่เตยวาด ไล่เรียงกันไปโดยที่ปลายทางจะเป็นผลงานอีกเทคนิคหนึ่งซึ่งจะเป็นลายเส้นที่วาดด้วยปลายไม้ไผ่จุ่มกับหมึกสีดำเพื่อนำไปสู่ผลงานในห้องที่ 2 ซึ่งเป็นผลงานของเตยที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ เรานำภาพมาขยายให้ใหญ่ขึ้นเป็นงาน 18 ชิ้น ความยาว 18 เมตรในส่วนนี้เป็นการสื่อถึงพื้นที่ปลอดภัยของศิลปินที่เขารู้สึกสงบและอบอุ่น”ภาพลายเส้นที่สะท้อนลงบนผืนน้ำในห้องจัดแสดงส่วนที่สองภาพลายเส้นของต้นไม้ที่ขยายเต็มพื้นที่บนผนัง รวมทั้งภาพสะท้อนบนผืนน้ำที่นักออกแบบสร้างสรรค์ผืนน้ำเป็นเส้นโค้งที่นำพาผู้ชมเข้าไปชมผลงานได้อย่างใกล้ชิดอย่างมีจังหวะ เสียงดนตรีที่โอบอุ้มบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเย็นใจในขณะเดียวกันที่อีกมุมหนึ่งมีวิดีโอฉายให้เห็นภาพธรรมชาติที่ศิลปินบันทึกไว้ระหว่างเดินทาง ภาพการทำงาน ตลอดจนความคิดของศิลปินที่ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเธอมากยิ่งขึ้น“งานของเตยไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย เป็นงานซื่อ ๆ ไม่หวือหวา แต่ทำให้เราได้เห็นความเพียร ความมีระเบียบ ฟ้าคิดว่าเป็นความตรงไปตรงมาที่น่าทึ่งในวันที่โลกหมุนเร็วไปไหนแล้วก็ไม่รู้” ภัณฑารักษ์กล่าวทิ้งท้ายได้อย่างน่าฟังเตย - สุทธิภา คำแย้มได้รู้จักเตยผ่านมุมมองของภัณฑารักษ์แล้ว เรามาทำความรู้จักกับ เตย – สุทธิภา จากเจ้าตัวกันบ้าง เตยเล่าให้ฟังว่าเพิ่งมาหัดวาดเส้นหลังจากเรียนจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย“เรียนจบแล้วมาทำงานด้านกราฟฟิกดีไซน์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นไปเรียนต่อที่สวีเดน ด้าน Individual Specialization คือ เรียนอะไรก็ได้ที่เราสนใจ ตอนไปถึงที่นั่นรู้สึกประทับใจกับธรรมชาติ ทำให้อยากวาดภาพ หัดดรออิ้ง เพราะตอนทำงานกราฟฟิกไม่เคยวาดภาพเลย เริ่มวาดไลเคนที่เกาะตามต้นไม้ โดยใช้ดินสอกดเพราะเป็นอุปกรณ์แรกที่หยิบมาใช้แล้วตรงใจภาพสิ่งมีชีวิตที่เตยวาดมันเหมือน realistic แต่มันไม่ใช่เพราะในรายละเอียดมีการประดิษฐ์ลายเส้นขึ้นมาตามที่เราอยากให้เป็น” เตยอธิบาย พลางยกตัวอย่างภาพของนก Puffinsภาพนก Puffins ที่วาดขึ้นจากเรื่องเล่า และจินตนาการ“ตอนอยู่สวีเดน เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีนกตัวหนึ่งอยู่แถวบ้านแต่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว เตยจึงวาดรูปนกตัวกลมๆตามคำบอกเล่าบวกกับไปดูนกสตัฟฟ์ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งความจริงแล้วเป็นนกที่มีชื่อว่า Puffins ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพนกที่เกิดจากเรื่องเล่า เรื่องจริง ผสมกับจินตนาการของเรา”ภาพดอกศรีมาลาที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากจินตนาการจากภาพสัตว์ และดอกไม้ที่มีรายละเอียดน่าชมที่วาดด้วยดินสอกด มาสู่ผลงานวาดเส้นที่เปลี่ยนจากดินสอกดมาเป็นปลายไม้ไผ่จุ่มหมึกดำวาดลงบนกระดาษไม้ไผ่ที่สะท้อนภาพธรรมชาติในรูปแบบที่ต่างออกไปจากเดิม“เมื่อเทคนิคเปลี่ยนไปสไตล์ของภาพก็เปลี่ยนไป จะเป็นภาพที่มีความนุ่ม ๆ ฟู ๆ ด้วยพื้นผิวของกระดาษไม้ไผ่ด้วย เป็นงานวาดเส้นที่คุมยากกว่าใช้ดินสอกดแต่ให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระและเป็นธรรมชาติกว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเป็นผู้นำได้ทั้งหมด หรือคอนโทรลได้ระดับนึง แต่ระหว่างการทำงานมันก็พาเราไปพบกับเส้นทางใหม่ ๆเช่น เราคิดว่าจะวาดภาพป่า พอวาดไปเรื่อย ๆภาพจะเป็นต้นไม้ หรืออาจเป็นแค่เศษเปลือกไม้ หรือลายดอกดวงบนหิน บางทีเป็นแลนด์สเคป ภูเขา ก้อนเมฆ ทำงานด้วยความรู้สึกว่าธรรมชาติทุกอย่างอยู่ด้วยกัน ภาพที่ออกมาจึงไม่เหมือนภาพป่าที่คิดในตอนแรก แต่ก็ปล่อยไปตามใจที่อยากทำ” เตยยกตัวอย่างภาพดอกไม้วาดด้วยปลายไม้ไผ่จุ่มหมึกเสน่ห์ของลายเส้นที่เกิดจากปลายไม้ไผ่จุ่มหมึกสำหรับ นิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipa ที่มีศิลปินแขนงต่าง ๆ เข้ามาช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้กับ 'พื้นที่ปลอดภัย'  ของเตยได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนั้น“นอกจากความรู้สึกสงบแล้ว สิ่งที่เตยชอบมากที่สุด คือการทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกบางอย่าง อาจจะไม่ใช่ความรู้สึกกับผลงานก็ได้ แต่เป็นโมเม้นต์ที่เขาได้ใช้พื้นที่ตรงนี้อยู่กับตัวเอง มีผู้ชมคนหนึ่งบอกกับเตยว่าเขามองผลงานศิลปะอยู่ก็จริง แต่สิ่งที่เขาเห็นคือตัวเขาเอง”น่าเสียดายที่นิทรรศการ Dialogue through the sanctuary of Suthipa  จัดแสดงในวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ห้องสตูดิโอ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเป็นวันสุดท้ายแล้ว แต่เราสามารถติดตามผลงานของ เตย - สุทธิภา คำแย้ม ได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/suthipakamyamและ วิดีโอ Exhibition : Dialogue through the sanctuary of Suthipa (2025)https://www.youtube.com/watch?v=7JYfgMF4LO4ภาพโดย : อนุตรา อึ้งสุประเสริฐแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1185892

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ข่าวเศร้านักผจญภัย นักท่องเที่ยวบราซิลเสียชีวิตจากเหตุพลัดตกภูเขาไฟรินจานี แหล่งท่องเที่ยวดังของอินโดนีเซีย

25/06/2025

ยืนยันทางการ พบร่างนักท่องเที่ยวชาวบราซิลที่พลัดตกจากสันเขาภูเขาไฟรินจานี ภูเขาไฟชื่อดังด้านการท่องเที่ยวของประเทศอินโดนีเซียรัฐบาลบราซิลยืนยันแล้วเมื่อวานนี้ว่าพบร่างของ “จูเลียนา มารินส์” นักท่องเที่ยวสาวชาวบราซิลวัย 26 ปี เสียชีวิตหลังพลัดตกจากแนวสันเขาของภูเขาไฟรินจานี (Mount Rinjani) บนเกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย โดยตกลงไปลึกถึง 600 เมตร และติดอยู่ในพื้นที่อันตรายเป็นเวลานานเกือบ 4 วันจูเลียนาเริ่มออกเดินเขาพร้อมไกด์และนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 5 คนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก่อนเกิดเหตุพลัดตกขณะปีนเขา ทางการอินโดนีเซียระบุว่าทีมกู้ภัยพบร่างของเธอข้างปากปล่องภูเขาไฟโดยใช้โดรนจับความร้อน ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เลวร้ายซึ่งเป็นอุปสรรคในการค้นหาและลำเลียงศพครอบครัวของจูเลียนาในบราซิลยืนยันการเสียชีวิต และกล่าวขอบคุณชาวบราซิลจำนวนมากที่ร่วมส่งกำลังใจและภาวนาให้ลูกสาวปลอดภัย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศบราซิลระบุว่าเป็นโศกนาฏกรรม และยืนยันว่าได้ประสานงานช่วยเหลือกับสถานทูตในจาการ์ตาอย่างใกล้ชิดสำหรับภูเขาไฟรินจานี เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ และมีความสูงเป็นอันดับ 2 ของอินโดนีเซีย ที่ 3,726 เมตร ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของนักปีนเขา รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคน ก็เคยไปพิชิตเส้นทางนี้มาแล้ว โดยความงดงามของภูเขาไฟแห่งนี้ได้รับสมญาว่า “ราชินีแห่งลอมบอก”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000059701?tbref=hp

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

วิธีการเอาชนะ ความโลภและ ความกลัว ในตลาดลงทุน

25/06/2025

  •  ความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์หลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน และมักทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด  •  ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดมาจาก อารมณ์, แรงกดดันจากสังคม, ข่าวสาร, ความผันผวนของตลาด, และการใช้เครื่องมือทางการเงินโดยไม่เข้าใจ ทุกคนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนบ้างไหม?   •  Overtrade เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดล้างพอร์ต เพราะเกิดจากความโลภ, ความมั่นใจเกินไป และการใช้อารมณ์ในการเทรดวิธีการเอาชนะ ความโลภและ ความกลัว ในตลาดลงทุน คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Traderช่วงนี้หลายๆ คนอาจจะพบปัญหา การเทรดในสภาวะที่ตลาดผันผวนมาก วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับอารมณ์ในขณะเทรดกันนะคะว่ามีอะไรบ้างความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์หลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน และมักทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด เช่น ซื้อหุ้นในราคาสูงเพราะกลัวพลาดโอกาส (FOMO) หรือขายขาดทุนเพราะตื่นตระหนกในภาวะตลาดขาลง การเอาชนะสองอารมณ์นี้ต้องอาศัยการฝึกฝนวินัยและการมีระบบในการลงทุนวิธีเอาชนะ ความโลภ (Greed)1. ตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน  •  กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามอย่างมีวินัย  •  อย่าโลภเกินไปจนรอให้ราคาขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแผน2. ใช้กลยุทธ์การทยอยขาย  •  ขายบางส่วนเมื่อได้กำไรตามเป้า เพื่อลดความเสี่ยง  •  วิธีนี้ช่วยให้คุณล็อกกำไรบางส่วน และยังสามารถถือครองส่วนที่เหลือต่อไปได้3. หลีกเลี่ยง FOMO (Fear of Missing Out)  •  อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะราคากำลังขึ้นแรงหรือมีข่าวดี  •  ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุนเสมอ4. มีแผนการลงทุนระยะยาว  •  นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผน  •  อย่าตัดสินใจจากอารมณ์เพียงชั่วขณะวิธีเอาชนะ ความกลัว (Fear)1. ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)  •  กำหนดระดับขาดทุนที่รับได้ และขายออกเมื่อถึงจุดนั้น  •  ช่วยลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นขาดทุนเป็นเวลานาน2. มองตลาดในระยะยาว  •  ความผันผวนเป็นเรื่องปกติของตลาด  •  อย่าตื่นตระหนกกับการปรับฐานในระยะสั้น หากพื้นฐานของสินทรัพย์ยังดี3. กระจายความเสี่ยง (Diversification)  •  ไม่ลงเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว  •  การกระจายพอร์ตช่วยลดโอกาสขาดทุนหนักจากการผิดพลาดเพียงครั้งเดียว4. ใช้ข้อมูลแทนอารมณ์  •  ตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูล เช่น งบการเงิน, ข่าวเศรษฐกิจ, และแนวโน้มอุตสาหกรรม  •  หลีกเลี่ยงการซื้อ-ขายจากข่าวลือหรืออารมณ์ตลาด5. ฝึกความมั่นคงทางอารมณ์  •  การฝึกสมาธิ, การออกกำลังกาย, หรือการมีที่ปรึกษาการลงทุนที่ดี สามารถช่วยให้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้นสรุปข้างต้น  •  ควบคุมความโลภด้วยการตั้งเป้าหมายกำไร, ใช้กลยุทธ์ทยอยขาย, และหลีกเลี่ยงการลงทุนตามกระแส  •  ควบคุมความกลัวด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน, มองตลาดในระยะยาว, กระจายพอร์ต, และใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ  •  มีระบบการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผนอย่างมีวินัย เพื่อให้สามารถรับมือกับอารมณ์ทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับนักลงทุน อะไรที่เป็นปัจจัยกดดันการตัดสินใจผิดพลาด  แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ และ ควบคุมไม่ได้ ปัจจัยภายใน (มาจากตัวนักลงทุนเอง) ควบคุมได้1. อารมณ์ความรู้สึก (Emotional Bias)  •  ความโลภ (Greed): ทำให้ไล่ซื้อตามกระแส (FOMO) หรือถือสินทรัพย์ไว้นานเกินไปแม้เริ่มมีสัญญาณว่าควรขาย  •  ความกลัว (Fear): ทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีโอกาสเพราะกลัวขาดทุน  •  ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence): คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด นำไปสู่การลงทุนโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ2. การยึดติดกับต้นทุนเดิม (Anchoring Bias)  •  นักลงทุนมักยึดติดกับราคาที่เคยซื้อ เช่น ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท แล้วมันตกลงเหลือ 80 บาท อาจปฏิเสธที่จะขายเพราะไม่อยากขาดทุน ทั้งที่แนวโน้มอาจแย่ลงอีก3. การยืนยันความเชื่อเดิม (Confirmation Bias)  •  เลือกหาข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของตัวเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกัน  •  ทำให้เกิดการมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง4. การตัดสินใจตามคนส่วนใหญ่ (Herd Mentality)  •  ซื้อหุ้นเพราะเห็นคนอื่นซื้อ หรือขายเพราะคนอื่นขาย โดยไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง5. ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO - Fear of Missing Out)  •  ทำให้รีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่กำลังขึ้นแรง โดยไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นที่พุ่งแรงเพราะข่าวลือปัจจัยภายนอก (มาจากสภาพตลาดและสิ่งแวดล้อม) ควบคุมไม่ได้1. ข่าวสารและสื่อ (News & Media Influence)  •  นักลงทุนบางคนรับข่าวสารมากเกินไป จนทำให้เกิดความกังวลหรือเปลี่ยนแผนการลงทุนบ่อยเกินไป  •  ข่าวเชิงลบอาจทำให้ตื่นตระหนกและขายหุ้นทั้งที่ยังไม่มีสัญญาณวิกฤตจริง2. ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)  •  ตลาดหุ้นสามารถผันผวนได้ตามปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve), วิกฤตเศรษฐกิจ, หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น สงครามหรือโรคระบาด)  •  ักลงทุนที่ไม่เตรียมตัวอาจตัดสินใจผิดพลาด เช่น เทขายตอนตลาดตกแรง ทั้งที่อาจเป็นโอกาสซื้อ3. ดอกเบี้ยและสภาพคล่อง (Interest Rates & Liquidity)  •  อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นถูกขายออก  •  สภาพคล่องในตลาดต่ำอาจทำให้การซื้อ-ขายทำได้ยาก และต้องยอมขายในราคาที่ต่ำ4. แรงกดดันทางสังคม (Social & Peer Pressure)  •  นักลงทุนมือใหม่มักได้รับคำแนะนำจากเพื่อนหรือกลุ่มในโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป  •  ความต้องการให้คนอื่นยอมรับ อาจทำให้ตัดสินใจตามกลุ่มมากกว่าตามเหตุผล5. การใช้เครื่องมือการลงทุนผิดพลาด  •  การใช้ Leverage หรือการกู้เงินเพื่อเทรดโดยไม่มีแผนสำรอง อาจนำไปสู่การขาดทุนหนัก  •  การไม่เข้าใจผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น Options หรือ Futures อาจทำให้เสี่ยงเกินไปสรุปปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดมาจาก อารมณ์, แรงกดดันจากสังคม, ข่าวสาร, ความผันผวนของตลาด, และการใช้เครื่องมือทางการเงินโดยไม่เข้าใจ วิธีป้องกันคือ มีแผนการลงทุนที่ดี, ควบคุมอารมณ์, ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ และกระจายความเสี่ยงทุกคนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนบ้างไหม?อีกข้อนึงที่เป็นกันบ่อยๆ Overtradeการเทรดแบบ Overtrade คืออะไร?Overtrade หมายถึงการซื้อขายสินทรัพย์มากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินทุนที่มีอยู่ หรือการเข้าเทรดถี่เกินไปโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนและการหมดตัวเร็วกว่าปกติสาเหตุของ Overtrade1. ความโลภ (Greed)  •  ต้องการทำกำไรเร็วขึ้น หรืออยากเอาคืนหลังจากขาดทุน  •  ใช้ Leverage สูงเกินไป เพื่อเพิ่มผลตอบแทน2. ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence Bias)  •  คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด หรือสามารถจับจังหวะได้แม่นยำ  •  มั่นใจในสัญญาณทางเทคนิคหรือกลยุทธ์จนละเลยความเสี่ยง3. การแก้แค้นตลาด (Revenge Trading)  •  เทรดหนักขึ้นหลังจากขาดทุน เพื่อพยายามเอาทุนคืน  •  มักทำให้ขาดทุนมากขึ้นเพราะเทรดโดยใช้อารมณ์4. ความเครียดและอารมณ์ (Emotional Trading)  •  เทรดเพราะรู้สึกกดดัน หรือไม่อยากพลาดโอกาส (FOMO)  •  ทำให้เข้าออเดอร์มากเกินไปโดยไม่มีแผนรองรับ5. การใช้ Leverage สูงเกินไป  •  ใช้ Margin เยอะเพื่อเปิดสถานะมากขึ้นโดยหวังผลกำไรมากขึ้น  •  เสี่ยงต่อการถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call)6. การเข้าใจผิดเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด  •  เทรดมากขึ้นเพราะคิดว่าตลาดมีโอกาสทำกำไรสูง โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง ผลเสียของ Overtrade1. หมดตัวเร็วขึ้น  •  การเทรดบ่อย ๆ โดยไม่มีแผนทำให้พอร์ตลดลงเร็วขึ้น2. ความเครียดและความกดดันสูง  •  เทรดมากเกินไปทำให้เกิดความเครียด และอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด3. ค่าธรรมเนียมการเทรดเพิ่มขึ้น  •  ค่าคอมมิชชั่น, Spread, และค่า Swap อาจกินกำไรไปมากกว่าที่คิด4. การตัดสินใจแย่ลง  •  เมื่อเทรดมากไป อาจพลาดการวิเคราะห์ตลาดที่ดี และเลือกจังหวะเข้าออกที่แย่5. ขาดทุนสะสมโดยไม่รู้ตัวเคยมั้ยเมื่อเทรดบ่อยเกินไป อาจไม่ได้สังเกตว่ากำลังเสียเงินเรื่อย ๆ วันนี้มีทริคมาแบ่งปันค่ะ มองหาวิธีป้องกันความเสี่ยงวิธีป้องกัน Overtrade1. มีแผนการเทรด (Trading Plan)  •  กำหนดจำนวนครั้งในการเทรดต่อวันหรือต่อสัปดาห์  •  มีเป้าหมายกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)2. ใช้ความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk Management)  •  ลงทุนแต่พอดี เช่น ใช้ความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อออเดอร์  •  อย่าใช้ Leverage เกินตัว3. ควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)  •  ฝึกมีวินัย ไม่เทรดเพราะอารมณ์หรือความโลภ  •  ถ้ารู้สึกเครียดหรือกดดัน ให้หยุดพักก่อนตัดสินใจเทรด4. ลดจำนวนการเทรดลง  •  เลือกเฉพาะออเดอร์ที่มีโอกาสดีจริง ๆ เท่านั้น  •  อย่าเทรดแค่เพราะอยาก "ทำอะไรสักอย่าง"5. บันทึกการเทรด (Trading Journal)  •  จดบันทึกทุกออเดอร์ เพื่อดูว่าทำไมได้กำไรหรือขาดทุน  •  ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมและปรับปรุงกลยุทธ์ สรุปOvertrade เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดล้างพอร์ต เพราะเกิดจากความโลภ, ความมั่นใจเกินไป และการใช้อารมณ์ในการเทรด วิธีแก้ไขคือต้องมี วินัย, แผนการเทรดที่ดี, การบริหารความเสี่ยง, และการควบคุมอารมณ์สุดท้ายต้องย้อนกลับมามองที่จุดเริ่มต้นเสมอ นั่นคือ Trade Setup เนื้อหาครั้งถัดไปจะมาพูดถึงประเด็นการสร้าง Trade Setup กันค่ะแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/blogs/columnist/super-trader/629218

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

“3 รู้”...ก่อนซื้อ “ประกันสุขภาพ” !!!

24/06/2025

หากเอ่ยถึง “ประกันสุขภาพ” หลายคนซื้อประกันสุขภาพไว้แล้ว ขณะที่ยังมีอีกหลายคนที่กำลังวางแผนซื้อ ซึ่งในกระบวนการวางแผนซื้อประกันสุขภาพ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ขั้นตอนของการวางแผน และสิ่งที่ต้องพิจารณาทุกครั้งก่อนซื้อประกันสุขภาพ มีดังนี้1. รู้จักโรค : หลายคนอาจจะรู้จักโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคที่ร้ายแรงน้อยลงมาหน่อย เช่น โรคกระเพาะ, นิ่ว เราต่างเคยได้ยินโรคเหล่านี้ แต่รู้หรือไม่ว่าโรคเหล่านี้มีกระบวนการรักษาอย่างไรเช่น โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย การทำงานของสมองหยุดชะงัก ซึ่งอาจจะต้องทำกายภาพบำบัดเป็นระยะเวลานานนับปี“ดังนั้น ถ้ารู้รายละเอียดการรักษาแต่ละโรค ก็จะทำให้เลือกแบบประกันที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ นี้ได้”2. รู้จักแบบประกัน : ประเภทของประกันสุขภาพแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม2.1 ประกันสุขภาพ ทั้งแบบ แพคเกจ และ เหมาจ่าย โดยสัญญาเพิ่มเติมตัวนี้ จะทำหน้าที่ในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามการรักษาจริง ตามมาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่ (New Health Standard) 13 หมวด และมียังความคุ้มครองเพิ่มเติม ที่แตกต่างกันอีกในแต่ละแบบประกันของแต่ละบริษัท2.2 ประกันชดเชยรายได้ ในกรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล ตัวนี้ตามชื่อเลยคือเมื่อเรารับการรักษาที่โรงพยาบาลแบบผู้ป่วยใน เราจะได้เงินชดเชยรายได้ต่อวันตามวงเงินที่เราซื้อไว้ แต่เงื่อนไขการรับประกันต้องไม่เกินรายได้ประจำวันที่ผู้เอาประกันได้รับจริง2.3 ประกันโรคร้ายแรง จะได้รับเงินค่าสินไหมต่อเมื่อเราป่วยเป็นโรคที่กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองเท่านั้น“ในหลายกรณีประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายไม่สามารถคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้ทั้งหมด อาจจะใช้ประกันชดเชยรายได้ + ประกันโรคร้ายแรง ในการดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือได้ หรือในกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้นอาจจะไม่สามารถกลับไปทำงานได้อย่างปกติ ประกันโรคร้ายแรงก็จะเป็นเงินทุนในการปรับตัวของผู้เอาประกันได้ด้วย”3. รู้บริษัทประกันหรือตัวแทน : สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่าง 2 ช่องทางนี้คือ ช่องทางที่ “มีตัวแทนบริการ” และ “ไม่มีตัวแทนบริการ” โดยวิธีประเมินอาจจะต้องลองจินตนาการไปในตอนที่ป่วย ถ้ามีปัญหาการเรียกร้องสินไหมกับบริษัทประกัน สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นด้วยตนเองได้หรือไม่ หรือการมีตัวแทนคอยช่วยจัดการปัญหาลักษณะนี้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น“ประกันสุขภาพ” เป็นสัญญาประกันชีวิตระยะยาว การปรับความคุ้มครองระหว่างทางก็สามารถทำได้ แต่มีความซับซ้อนตามแต่สุขภาพของผู้ทำประกันที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้งก่อนทำประกันชีวิตทุกฉบับแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/25134

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Stitch ยักษ์ 7 เมตร บุกไอคอนสยาม! Disney Wisher Series ครั้งแรกในไทย

24/06/2025

ไอคอนสยาม ชวนขอพรจากดวงดาวในงาน “Wisher: Where Miracles Happen” พบ Wisher Stitch ยักษ์ 7 เมตร และ Art Toy Disney Wisher Series ครั้งแรกในไทย พร้อมของสะสมลิมิเต็ดมากมายไอคอนสยาม ร่วมกับ URDU แบรนด์สร้างสรรค์งานศิลปะและ Art Toy ชั้นนำจากฮ่องกง ซึ่งนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท บีบีทอยส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ภายใต้ชื่อแบรนด์ BBKidult ร่วมกันเนรมิตดินแดนมหัศจรรย์แห่งการอธิษฐาน หรือ Wisher: Where Miracles Happen เปิด URDU WISHER Pop-up Store เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พิธีเปิดบริเวณหน้า URDU WISHER Pop-up Storeพิธีเปิดงานจัดขึ้นอย่างคึกคักเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเหล่าเซเลบริตี้และแฟนดิสนีย์ตัวยงเข้าร่วมงานคับคั่ง พร้อมให้การต้อนรับ Mickey Mouse, Donald Duck และ Stitch จากคอลเลคชั่น URDU Disney Wisher Series อย่างอบอุ่น โดยเฉพาะการปรากฏตัวของนักแสดงหนุ่มชื่อดัง วิน - เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร ที่มาร่วมอธิษฐานกับตัวละครดิสนีย์ที่ชื่นชอบวิน - เมธวิน กับคาแรคเตอร์ Stitch สูง 7 เมตร ท่าประสานมือขอพรงานนี้นับเป็นครั้งแรกที่ URDU และ BBKidult เปิด URDU WISHER Pop-up Store ในประเทศไทย พร้อมยกขบวนคาแรคเตอร์ดิสนีย์ในซีรีส์ Disney Wisher Series ประกอบด้วย Mickey Mouse, Donald Duck และ Stitch ใน ท่าประสานมือขอพร ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกและเป็นคอลเลคชั่นไฮไลต์เอ็กซ์คลูซีฟ รุ่นลิมิเต็ดคาแรคเตอร์ดิสนีย์ท่าประสานมือขอพรร่วมด้วย ของสะสมสุดพิเศษ สินค้าลิขสิทธ์แท้ในคอลเลคชั่นพิเศษกว่าหนึ่งร้อยรายการมาให้แฟนดิสนีย์ได้เลือกซื้อเก็บสะสมไม่ว่าจะเป็น URDU Fukuheya Series แมวกวักและตุ๊กตาดารูมะในเวอร์ชั่น Mickey Mouse, Donald Duck และ Stitch การ์ดสะสมจาก Stitch, ฟิกเกอร์คาแรคเตอร์ยอดฮิต รวมถึง Art Toy รุ่นลิมิเต็ดอีกมากมายคาแรคเตอร์ Stitch ภายใน WISHER Pop-up Storeคาแรคเตอร์ Stitch และ Mickey Mouse ให้ถ่ายรูปคู่ภายใน WISHER Pop-up Storeนอกจากนี้ “Wisher: Where Miracles Happen” ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ขอพรจากดวงดาวในโซน Wishing Tree ต้นไม้แห่งคำอธิษฐาน ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ เวทมนตร์แห่งปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นจริงในวันหนึ่งอีกทั้งยังมีมุมถ่ายภาพให้ได้เก็บภาพความประทับใจกับ Mickey Mouse และ Stitch ขนาดใหญ่ภายใน WISHER Pop-up Store อีกด้วยWisher Stitch สูง 7 เมตร ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่พลาดไม่ได้คือการขอพรกับ Wisher Stitch ขนาดยักษ์สูง 7 เมตร ที่ยืนเด่นเป็นไฮไลต์อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาขณะเดียวกันก็ยังกิจกรรมและโปรโมชั่นสุดพิเศษอีกมากมาย อาทิ  •  รับสิทธิ์แลกซื้อกระเป๋าผ้า URDU Disney Wisher SERIES WASHED FABRIC DRAWSTRING BAG – STITCH ในราคา 499 บาท เมื่อซื้อสินค้าใดก็ได้ภายในงาน (สินค้ามีจำนวนจำกัด)  •  รับเพิ่ม Voucher มูลค่า 500 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายในงานครบ 10,000 บาท/ใบเสร็จ  •  กิจกรรมถ่ายรูปกับ Stitch เพียงโพสท่า "Wish Pose" คู่กับ Stitch แล้วแชร์รูปลงโซเชียลมีเดีย พร้อมติดตาม @URDU @BBKidult และใส่แฮชแท็ก #URDUWisher #URDU #BBKidult รับทันที! พวงกุญแจดาวเรืองแสง Wishing Star Glow in the Dark 1 ชิ้น (ของมีจำนวนจำกัดในแต่ละวันจนกว่าของจะหมด)   •  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ณ เคาน์เตอร์ Wisher ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยามอาร์ตทอย Chip 'n Dale ในแบบแมวกวักอาร์ตทอย Stitch ขนาด 7 นิ้วอย่างไรก็ตาม URDU WISHER Pop-up Store ได้ขอบคุณทุกท่านสำหรับการสนับสนุน คอลเลคชั่น URDU Disney Wisher Series –MICKEY MOUSE และ DONALD DUCK ที่เปิดตัวครั้งแรกและ sold out หมดแล้วสำหรับ Soft Opening 3 วันที่ผ่านมา ด้วยกระแสตอบรับที่ล้นหลาม ทีมงานจึง restock สินค้า Disney Wisher Series- MICKEY MOUSE และ DONAL DUCK แบบอีเวนต์เอ็กคลูชีฟ แบบละ 100 ชิ้น เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับ Wisher STITCH และ 7 Inch Standing -Stitch (Movie Version) ครั้งแรกในไทยกล่องสุ่ม Donald Duck & Scrooge McDuck ซีรีส์ 4คาแรคเตอร์ดิสนีย์ในรูปแบบแมวกวักการจับมือของไอคอนสยามกับ URDU และ BBKidult ในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด “Global Experiential Destination” ที่ไอคอนสยามยึดมั่นเสมอมา ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์กิจกรรมระดับโลกที่มอบประสบการณ์แปลกใหม่ น่าจดจำ และสามารถเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำบทบาทของไอคอนสยามในฐานะจุดหมายปลายทางด้านประสบการณ์ระดับโลกภายใน URDU WISHER Pop-up Storeร่วมสัมผัสพลังอันงดงามแห่งคำอธิษฐานและการขอพรจากดวงดาวกับเหล่าคาแรคเตอร์ระดับตำนานของดิสนีย์ใน “Wisher: Where Miracles Happen” ดินแดนมหัศจรรย์ที่จะสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการอธิษฐาน ได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2568 ณ ริเวอร์ พาร์ค ชั้น G ไอคอนสยามแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1184347

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

สะพรั่งเต็มทุ่ง "ดอกกระเจียว" ที่อช.ไทรทอง บานแล้ว 70%

24/06/2025

อช.ไทรทอง เผยภาพล่าสุดของทุ่งดอกกระเจียวทุ่งบัวสวรรค์ 1 ที่ตอนนี้บานแล้ว 70% โดยคาดว่าช่วงปลายเดือน มิ.ย. 68เฟซบุ๊กเพจอุทยานแห่งชาติไทรทอง sai thong national park ได้โพสต์ภาพล่าสุดของ “ทุ่งดอกกระเจียว” บริเวณทุ่งบัวสวรรค์ 1 โดยระบุข้อความว่า "คือสวยจึ้งมากค้าาาแตะ 70% แล้ว อุทยานแห่งชาติไทรทอง ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ทุ่งบัวสวรรค์ 1 เข้าฝั่งทางด่านซับมงคลเดินแค่ 300 เมตรเองสำหรับลานกางเต็นท์ผาพ่อเมือง/ผาหำหด เข้าฝั่งที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรทองทั้ง 2 ฝั่งสามารถเดินเชื่อมกันได้ สอบถามเพิ่มเติม 089-2823437"สำหรับอุทยานแห่งชาติไทรทอง อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เป็น 1 ใน 2 แหล่งชมทุ่งดอกกระเจียวเลื่องชื่อของเมืองไทย โดยทุ่งดอกกระเจียว อช.ไทรทอง มี 5 ทุ่งใหญ่ ๆ ให้เดินชมกันท่ามกลางบรรยากาศผืนป่าเขียวขจี กับทุ่งดอกกระเจียวสีม่วงอมชมพูเข้มที่พากันออกดอกชูช่อเด่นหราตัดกับท้องทุ่งหญ้าสีเขียว ดูงดงามน่าประทับใจแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000059325

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

ย้อนคำแนะนำนักการเงิน วางแผนอย่างไรในวันที่อะไร ๆ ไม่แน่นอน

23/06/2025

ย้อนคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ วางแผนการเงินอย่างไรในวันที่สถานการณ์โลก ในประเทศ และเงินในกระเป๋าตังไม่แน่นอนผ่านไตรมาสแรกมาไม่ทันไร สถานการณ์โลกและเศรษฐกิจกลับผันผวนและน่าตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ทั้งสงครามตะวันออกกลาง สงครามการค้าสหรัฐ และเหตุการณ์บ้านเมือง กลายเป็นว่า คนไทยต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนอย่างหนัก ทั้งในแง่ของสภาพแวดล้อม และสถานะการเงินประชาชาติธุรกิจ หยิบคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่ใช้ได้ทั้งในวันที่มั่นคง และไม่แน่นอนเริ่มต้นที่โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมากว่า 20 ปี เคยให้คำแนะนำไว้ว่า ในความจริงคนเราควรมีเงินสดอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะช่วงเศรษฐกิจผันผวน หากเป็นธรรมดาทั่วไปก็ควรมีเงินสำรองรูปแบบเงินสด หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง 3-6 เดือนสำรองเงินสด ตลอดเวลาเขายกตัวอย่างความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การที่รายได้หาย “ถ้าวันนี้คุณทำงานอยู่แล้วถูกลดเงินเดือน หรือโดนให้ออกจากงานตอนนี้ หลายคนน่าจะสะเทือนอยู่” เป็นเหตุผลที่ควรพิจารณาความน่ากังวลของสินทรัพย์ในกระเป๋าผ่าน 3 ปัจจัย ดังนี้1. สถานการณ์ที่ทำงาน หากบริษัทที่ทำงานอยู่ประกอบธุรกิจในประเทศ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ก็อาจน้อยกว่า แสดงว่า รายได้ยังมีความมั่นใจ และสบายใจได้ระดับหนึ่ง2. รายรับ-จ่ายจ่าย กลับมาดูที่รายรับรายจ่ายของตัวเองว่า มีเงินเหลือทุกเดือนพอที่จะเก็บออม หรือเอาไปลงทุนได้แบบไร้กังวล หรือมีเงินเพียงพอต่อการจ่ายภาระต่าง ๆ โดยไม่เดือดร้อน ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ลดความกังวลได้ แต่หากเงินเหลือปริ่มน้ำตลอดทุกเดือน อาจจะต้องมองหาการปรับเงื่อนไขการผ่อนให้เบาลง หรือหารายได้ช่องทางอื่นเพิ่มมากขึ้น3. เงินสำรอง 3-6 เดือน หากมีครบประกอบกับการงานมั่นคงดี มีรายรับ-จ่ายที่ควบคุมได้ เราถึงจะสามารถมองหาช่องทางการลงทุนจากเงินส่วนที่เหลืออยู่ได้วางแผนการเงินรับมือทุกสถานการณ์ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกอบการเริ่มต้นของสงครามการค้าที่เพิ่งเริ่มต้นนายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ออกมาแนะนำให้คนไทยวางแผนการเงินเพื่อรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้มากขึ้น แต่ไม่ใช่แค่เพราะว่าเพิ่งมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่เท่านั้นหากพิจารณาในช่วงเกือบ 5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน ซึ่งคำแนะนำของสมาคม คือ ตามหลักการแล้ว หากเป็นมนุษย์เงินเดือนควรมีการสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน แต่หากเป็นกลุ่มฟรีแลนซ์ ก็ต้องสำรองเงินจำนวน 12 เดือน ของค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติการสำรองเงินฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นประกอบกับข้อมูลจาก Make By Bank ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินจึงแนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน หรือให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายไปอีก 3-6 เดือนยกตัวอย่าง หากมีรายได้อยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน และมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12,000 บาทต่อเดือน ก็ควรที่จะมีเงินเก็บอยู่ที่ 36,000-72,000 บาทนอกจากนี้ ยังแบ่งเป็นกลุ่มอาชีพได้ดังนี้1. กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน พนักงานเอกชนส่วนใหญ่มีรายได้ประจำที่แน่นอน แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะตกงานได้หากบริษัทประสบปัญหา หรือเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น เงินสำรองฉุกเฉินจึงควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน2. กลุ่มอาชีพข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีรายได้ประจำที่มั่นคงและมีโอกาสตกงานน้อย ดังนั้น เงินสำรองฉุกเฉินจึงอาจไม่ต้องมีมากเท่ากับกลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินแนะนำว่า อาจเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 2-4 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน3. กลุ่มอาชีพอิสระ เป็นอาชีพที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่แน่นอน เมื่อเทียบกับกลุ่มพนักงานประจำหรือข้าราชการ ดังนั้น จึงมีโอกาสตกงานหรือมีรายได้ลดลงได้สูง เงินสำรองฉุกเฉินจึงควรมีอย่างน้อย 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนอย่างไรก็ตาม เงินสำรองฉุกเฉินจะสามารถมีน้อยกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งเกณฑ์ไว้ได้ แต่ข้อจำกัดของการมีเงินสำรองฉุกเฉินมากหรือน้อยเกินไปก็อาจส่งผลเสีย เช่น หากมีมากเกินไปอาจเสียโอกาสในการหาผลตอบแทนจากการลงทุน หรือน้อยเกินไปก็อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นดังนั้น การกำหนดเงินสำรองฉุกเฉินจึงควรพิจารณาตามเงื่อนไขในชีวิตและปัจจัยต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล เช่น ความมั่นคงทางรายได้ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน และสินทรัพย์อื่นที่มีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1831416

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

หมอหมี เล่าเคสคนไข้ สิทธิประกันสังคม อาการอ่อนแรง ปวดร้าวลงแขน-ขา แต่ต้องรอทำ MRI 2 ปี

23/06/2025

หมอหมี เล่าเคสคนไข้ สิทธิประกันสังคม มีอาการอ่อนแรง ปวดร้าวลงแขนลงขา แต่ต้องรอทำ MRI 2 ปี วอนดูแลสุขภาพลูกจ้าง ที่ต้องโดนหักเงินจ่ายสมทบทุกเดือนดร.นพ.จตุพล คงถาวรสกุล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โพสต์คลิปผ่านทางติ๊กต็อก doctormhormhee ด็อกเตอร์หมอหมี โดยเขียนข้อความระบุว่า ฝากดูแลลูกจ้าง ถึง “สำนักงานประกันสังคม” คนไข้อ่อนแรง!!! รอทำ MRI 2 ปี คืออะไร?โดยในคลิป หมอหมี เล่าเรื่องราวคนไข้ใชสิทธิประกันสังคมในการรักษา ความว่า คนไข้ผมเป็นคนไข้ประกันสังคม จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน คนไข้มีอาการอ่อนแรง ปวดร้าวลงแขนลงขา ไปโรงพยาบาลเขาบอกให้รอทำ MRI 2 ปี ตอนนี้อ่อนแรงแล้ว อีก 2 ปี คงเดินไม่ได้ก่อนมั้ง คืออันนี้ต้องทำยังไงดีขอร้องวิงวอนกับสำนักงานประกันสังคม ดูแลสุขภาพลูกจ้าง เรียกว่าลูกจ้างเพราะว่าตามกฎหมาย คนที่เป็นลูกจ้างต้องโดนหักเงินจ่ายสมทบสำนักงานประกันสังคม แต่พอเราป่วย รอ 2 ปี บอกให้เดือนธันวาคมไปเอาใบแล้วอีก 2 ปีค่อยไปทำ MRI ถามว่าขนาดทำ MRI รอ 2 ปี สมมติถ้าต้องผ่าตัดจะต้องรอกี่ปีเพราะฉะนั้นฝากถึงสำนักงานประกันสังคม การทำ MRI ที่มีความจำเป็น อาจจะต้องช่วยให้เขาได้ทำเร็วขึ้นหน่อย แล้วก็ฝากโรงพยาบาลดูแลคนไข้ประกันสังคมเปรียบเสมือนญาติ อย่างที่เราได้เขียนไว้ในสโลแกนโรงพยาบาลทั้งนี้คลิปดังกล่าวมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก พร้อมกับแชร์ประสบการณ์การรับบริการทางการแพทย์ของตน อาทิเช่น  •  เบื่อจริงสิทธิประกันสังคมเมื่อไรจะพัฒนาเหมือนตอนหักเงินเราอย่างไว  •  ปวดหลังร้าวลงขาไม่แม้แต่X-rayให้ค่ะ ไปมาต้องหลายรอบ บทสุดท้ายไม่หายไปเสียเงินจ่ายเอง แต่จ่ายประกันสังคมทุกเดือน เขาทำกับเราเป็นคนประเภท2 ประเภท3ไปเลย  •  ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลค่ะ บางทีคิวนานมาก ต้องจ่ายเงินทำ MRI เอง แล้วเอาผลมาให้ทางโรงพยาบาลเพื่อวิเคราะห์และรักษาต่อแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9816539

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X