ข่าวการเงิน
                    เปิดเทคนิค "7 ข้อควรรู้ก่อนลงทุนหุ้นกู้"
                    
                 
                
                    
                        
                     
                    
                    
                                                
“หุ้นกู้” 
เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการระดมทุนที่สำคัญทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมาก
 บางคนอาจไม่เคยลงทุนและมีคำถามมากมาย จึงขอสรุปออกมาเป็น “7 ข้อสำคัญ” 
ที่ผู้ลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกู้ควรรู้และควรเตรียมความพร้อมก่อนการลงทุน
สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน หากสนใจลงทุนอาจมีคำถามว่า 
ควรเตรียมตัวอย่างไร และจะต้องพิจารณาอะไรก่อนที่จะลงทุน 
รวมถึงเมื่อได้ลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นกู้แล้วจะต้องมีการติดตามและใช้สิทธิของตนเองอย่างไร
 จึงขอสรุปออกมาเป็น “7 ข้อสำคัญ” 
ที่ผู้ลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกู้ควรรู้และควรเตรียมความพร้อมก่อนการลงทุน
1. เตรียมตัวอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นกู้
“หุ้นกู้” 
เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการระดมทุนที่สำคัญของภาคธุรกิจและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมาก
 สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน หากสนใจลงทุนอาจมีคำถามว่า 
ควรเตรียมตัวอย่างไร ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง 
ผู้ลงทุนควรต้องศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลของหุ้นกู้นั้น ๆ 
โดยสามารถศึกษาข้อมูลได้จากจากหนังสือชี้ชวน แบบสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร 
(factsheet) ข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และงบการเงิน 
เพื่อให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นของหุ้นกู้ว่าบริษัทผู้ออกเป็นใคร 
อยู่ในอุตสาหกรรมใด หุ้นกู้ที่จะลงทุนมีลักษณะอย่างไร 
มีอายุและอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร มีหลักประกันหรือไม่ 
เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือไม่ 
เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด 
รวมถึงผู้ออกมีสถานะทางการเงินและอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร 
เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองกับหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวได้
 สามารถคลิกดูข้อมูลได้ที่ https://market.sec.or.th/public/idisc/th/Product/Filing หรือ แอปพลิเคชัน SEC Bond Check
2. ควรพิจารณาความเสี่ยงใดบ้างอะไรก่อนที่จะลงทุนในหุ้นกู้
(1) ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ เช่น 
อาจไม่ได้รับชำระดอกเบี้ย หรือเงินต้นคืน 
ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกไม่เป็นไปตามที่คาด เป็นต้น
(2) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เช่น ไม่สามารถขายหุ้นกู้ดังกล่าวก่อนครบกำหนด
 เนื่องจากการซื้อขายเปลี่ยนมือหุ้นกู้ในตลาดรองอาจมีไม่มาก 
หรือบางตัวแทบจะไม่มีสภาพคล่องเลยในตลาดรอง
(3) ความเสี่ยงด้านราคา ในกรณีที่มีการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดการไถ่ถอน 
อาจไม่สามารถขายได้ในราคาที่ต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น 
สภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และอายุของหุ้นกู้ เป็นต้น
3. เครื่องมือหรือปัจจัยที่ช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้นมีอะไรบ้าง  
ผู้ลงทุนแต่ละคนอาจมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน 
โดยเครื่องมือหรือปัจจัยที่จะช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้น
 ได้แก่
(1) อันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) : 
โดยหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตที่ดีหรืออยู่ในระดับ investment grade 
จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ส่วนหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตต่ำกว่าในระดับ 
investment grade ลงมาหรือหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต 
จะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่า 
แต่ก็มีการให้ผลตอบแทนสูงตามไปด้วย เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
(2) ประเภทของหุ้นกู้ : 
เนื่องจากหุ้นกู้แต่ละประเภทอาจมีความเสี่ยงและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน 
เช่น หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 
ซึ่งมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ 
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) 
ที่ไม่มีครบกำหนดไถ่ถอนและอาจต้องถือครองไปตลอดชีวิต 
รวมถึงตราสารด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ 
ซึ่งมีเงื่อนไขแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ลดมูลค่า หรือ ปลดหนี้ได้ ดังนั้น 
ผู้ลงทุนจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาลักษณะของหุ้นกู้ว่าเหมาะกับลักษณะการลงทุนของตนเองหรือไม่
 ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
(3) การประกอบธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ : 
นอกจากการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือและประเภทของหุ้นกู้แล้ว 
ผู้ลงทุนเองก็ควรที่จะพิจารณาในเรื่องการประกอบธุรกิจของผู้ออกด้วยเช่นเดียวกัน
 เช่น การพิจารณาว่าผู้ออกประกอบธุรกิจอะไร 
ธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต 
ธุรกิจดังกล่าวมีความเสี่ยงในเรื่องอะไร 
รวมถึงผู้ออกได้มีการออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการอะไรหรือทำอะไร
(4) ปัจจัยประกอบอื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ดังกล่าวมีหลักประกันหรือไม่ 
มีอายุหุ้นเท่าไร รวมถึงหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้หรือไม่ 
เป็นต้น
4. ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้คือใคร และมีหน้าที่อะไร
“ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นกู้ในแต่ละรุ่น 
ที่มีหน้าที่ติดตามให้ผู้ออกหุ้นกู้ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิหรือข้อตกลงระหว่างผู้ออกกับผู้ลงทุน
 โดยหากเกิดกรณีที่บริษัทผู้ออกไม่ชำระหนี้หรือผิดข้อกำหนดสิทธิอื่น ๆ 
ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ก็จะมีหน้าที่เรียกร้องให้บริษัทผู้ออกชี้แจงและแก้ไข 
เรียกร้องให้ชำระหนี้ บังคับหลักประกัน 
และเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ 
รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลต่าง ๆ กับผู้ลงทุนด้วย
5. เมื่อได้ลงทุนไปแล้ว ผู้ลงทุนควรมีการติดตามอย่างไร
ผู้ลงทุนควรจะต้องติดตามข้อมูลของบริษัทผู้ออกอย่างสม่ำเสมอ 
โดยเฉพาะในเรื่องผลการดำเนินงาน งบการเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ 
และการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ 
เพื่อประเมินความเสี่ยงว่ายังคงอยู่ในขอบเขตที่รับได้หรือไม่ 
หรือมีโอกาสที่บริษัทผู้ออกจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ 
โดยหากพิจารณาแล้วมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะรับได้อาจพิจารณาขายในตลาดรอง
 อีกทั้งหากพบว่าผู้ออกไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ 
หรือเกิดเหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ 
ผู้ลงทุนควรสอบถามหรือแจ้งให้ “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” ทราบ 
เพื่อให้ดำเนินการติดตามแก้ไขและรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุน
6. การใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการขอขยายอายุหุ้นกู้
ในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้เล็งเห็นว่าบริษัทอาจยังไม่สามารถชำระคืนหนี้หุ้นได้
 อาจมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น 
ในขั้นตอนนี้ผู้ลงทุนควรใช้สิทธิในการซักถามผู้ออกหรือ 
“ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” 
เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ 
โดยควรครอบคลุมในประเด็นดังนี้
(1) สาเหตุของการไม่สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ตามกำหนดเดิมได้ ข้อเสนอและเงื่อนไขในการขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น
(2) แผนการจัดหาแหล่งเงินเพื่อการชำระคืนหนี้ ระยะเวลาการดำเนินการ 
ความเป็นไปได้ของแผนที่วางไว้ และความเพียงพอที่จะรองรับการชำระหนี้
(3) ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบของการลงมติในแต่ละทางเลือก
(4) 
ขั้นตอนการดำเนินการตามข้อกำหนดสิทธิในการเรียกร้องให้บริษัทผู้ออกผู้ออกตราสารหนี้ชำระหนี้ทั้งหมด
 กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ลงมติไม่อนุมัติ
7. เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ผู้ลงทุนจะต้องดำเนินการอย่างไร
เมื่อเกิดกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมี 
“ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” ช่วยดำเนินการในการฟ้องร้องบังคับหลักประกัน 
บังคับชำระหนี้ให้แทนผู้ถือหุ้นกู้ทุกราย 
รวมถึงการเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ 
โดยในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” 
อาจจำเป็นจะต้องมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขออนุมัติในการดำเนินการ 
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นกู้ควรต้องใช้สิทธิเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วย
ทั้งนี้ ก.ล.ต. 
ขอให้ผู้ลงทุนหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลตอบแทน
 รวมถึงใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจ 
และจัดสรรเงินในการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่สามารถรับได้
โดย ทยากร จิตรกุลเดชา ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารหนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
*****************************************
หมายเหตุ : ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน 
ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์
https://www.posttoday.com/business/stockholder/689280  
                     
                 
             
            
         
     
        
X