ข่าวทั่วไป
                    8 เทรนด์เปลี่ยนโลกทำงาน 2025 จากวิกฤติความเครียด สู่ยุค AI จะเปลี่ยนทุกอย่าง เตรียมรับมืออย่างไร 
                    
                 
                
                    
                         
                     
                    
                    
                                                
“เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ปี 2025 ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยี ตลอดจนเรื่องของเศรษฐกิจล้วนส่งผลต่อสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อีกทั้งยังส่งผลให้มีความท้าทายที่ทั้งนายจ้างและพนักงานต้องเผชิญ“ 
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ปี 2025 ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยี ตลอดจนเรื่องของเศรษฐกิจล้วนส่งผลต่อสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อีกทั้งยังส่งผลให้มีความท้าทายที่ทั้งนายจ้างและพนักงานต้องเผชิญ 
โดย 77% ของคนทำงานกำลังเผชิญกับความเครียดจากการจัดการระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็วจนหลายคนแทบตั้งตัวไม่ทัน การเตรียมพร้อมสำหรับปี 2025 จึงไม่ใช่แค่การรู้เท่าทันเทรนด์ แต่รวมถึงการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้ฉลาดขึ้น 
Jon Cooper, ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Overalls แพลตฟอร์มสวัสดิการสำหรับพนักงาน ได้แบ่งปัน 8 แนวโน้มสำคัญที่เขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนโฉมสถานที่ทำงานในปี 2025 ดังนี้ 
1. เศรษฐกิจจะเติบโต ทำตลาดแรงงานแข่งขันสูงขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ จะเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด มีการแข่งขันกันจ้างงานคนเก่ง ซึ่งสิ่งนี้ผลักดันให้นายจ้างต้องปรับปรุงสวัสดิการ เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน และให้ความสำคัญกับนโยบายต่าง ๆ ที่ครอบคลุมในหลายด้าน เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ 
2. ออกสวัสดิการที่เหมาะสมกับพนักงานทุกคน  รูปแบบสวัสดิการแบบ “One Size Fits All” กำลังกลายเป็นอดีต บริษัทจะต้องออกแบบสวัสดิการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของทีมงานที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้พนักงานทุกคนรู้สึกว่าตนได้รับการสนับสนุนและมีคุณค่าในองค์กร 
3. AI จะมาช่วยงาน ไม่ใช่มาแทนที่  องค์กรต่าง ๆ จะมองหาและปรับใช้งานเทคโนโลยี AI ในแง่มุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจะนำมาใช้เพื่อเสริมศักยภาพของพนักงานในองค์กรมากกว่าที่จะนำมาใช้งานแทนที่มนุษย์ ซึ่ง AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนการตัดสินใจโดยไม่ลดทอนความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ลง 
4. ปรับปรุงสวัสดิการด้านสุขภาพ โฟกัสเรื่องสุขภาพจิต  ในหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายด้านสุขภาพ ส่งผลให้บริษัทต้องปรับปรุงรูปแบบสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ออกแบบแนวทางใหม่ อย่างเช่น แผนสุขภาพส่วนบุคคล การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ 
5. การทำงานระยะไกลจะยังคงเป็นที่นิยม  การเติบโตของเศรษฐกิจและการแข่งขันในการจ้างงานจะทำให้การทำงานระยะไกลกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยบริษัทที่เปิดรับการทำงานแบบยืดหยุ่นจะมีความได้เปรียบในการดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลก 
6. บริษัทจะมีดีลควบรวมกิจการและ IPO มากขึ้น  ด้วยเศรษฐกิจที่ถูกมองว่าจะดีขึ้น จะส่งผลให้องค์กรมีสถานการณ์ทางการเงินมีเสถียรภาพ และสิ่งที่ตามมาคือ M&A หรือการควบรวมกิจการและการ IPO จะกลับมาบูมอีกครั้ง และสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ 
7. องค์กรจะมีโปรแกรมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพิ่มขึ้น  ในโลกที่ไม่แน่นอน องค์กรจะมองหาวิธีรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะกระทบต่อธุรกิจ โดยจะมีการลงทุนในระบบสนับสนุนพนักงาน อย่างเช่น ระบบการจัดการวิกฤติ โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ ตลอดจนแนวทางการรับมือและจัดการกับสุขภาพจิตของพนักงานในองค์กร 
8. การเพิ่มทักษะใหม่เพื่อรับมือกับ AI  การพัฒนา AI จะผลักดันให้องค์กรหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มทักษะใหม่ให้พนักงานในองค์กร เพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและรักษาความยืดหยุ่นขององค์กรไว้ได้ 
ภาพรวมการทำงานในปี 2025 นี้จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และความคาดหวังของพนักงาน การปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรและพนักงานมีความพร้อมต่อความเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนาตัวเองและองค์กรได้อย่างมั่นคงในอนาคต 
ที่มา: Forbes 
                     
                 
             
            
         
     
 
        
X