ธุรกิจ
แผนสำรองธุรกิจ ที่ไม่ใช่เพียงแค่อยู่รอด
คอลัมน์ : Smart SMEs
ผู้เขียน : ดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ กรุงศรี SME
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ทำลายตลาดเดิม พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ไปจนถึงวิกฤตที่ไม่คาดคิดอย่างโควิด-19 หรือสงครามการค้า ธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่เริ่มเรียนรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวรับมือ โดยมีแผนสำรองเตรียมไว้
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ยังคงมีธุรกิจหลายแห่งที่ต้องปิดตัวลงทั้งที่มีแผนสำรองอยู่ แต่เหตุใดแผนเหล่านั้นจึงกลับไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ ในขณะที่บางแห่งไม่เพียงรอดพ้น แต่ยังเติบโตได้ หลังจากได้คุยกับเจ้าของธุรกิจหลายคน เริ่มเข้าใจว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวางแผน แต่อยู่ที่วิธีคิดและการตัดสินใจของเราเองในช่วงที่กดดัน การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ในยามวิกฤตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
สิ่งแรกที่ทำให้แผนสำรองไม่ได้ผลคือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมองแต่ข้อมูลที่ดู “ปกติ” เวลายอดขายเริ่มลดลง จะบอกตัวเองว่าเป็นเพราะช่วงฝนตก หรือคู่แข่งลดราคา
แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าตลาดกำลังเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “การหาเหตุผลสนับสนุนความคิดเดิม” ธุรกิจที่รอดได้มักจะทำสิ่งที่ดูแปลก ๆ คือให้คนที่ไม่ใช่เจ้าของมาดูแผนธุรกิจ เช่น เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งให้ลูกค้าประจำมาแนะนำว่าควรปรับอะไรบ้าง
ผลก็คือเปลี่ยนจากร้านกาแฟธรรมดา เป็นร้านที่ขายเมล็ดกาแฟและอุปกรณ์ชงกาแฟด้วย พอโควิดมาร้านปิด แต่ขายออนไลน์ได้ เพราะมีสินค้าที่คนอยากซื้อไปชงที่บ้าน ซึ่งการเปิดรับเสียงจากภายนอก ช่วยให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนกว่าการมองด้วยสายตาของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว เป็นต้น
ปัญหาที่สองคือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมาก่อนมักจะคิดว่าตัวเองจัดการได้เสมอ ซึ่งบางครั้งก็อันตราย ความมั่นใจเกินจริงนี้ทำให้มองข้ามสัญญาณเตือนและปฏิเสธที่จะปรับเปลี่ยนแผน เคยอ่านเรื่องบริษัทใหญ่ ๆ มีทีมที่ทำหน้าที่ “โจมตี” แผนของตัวเอง เพื่อหาจุดอ่อนที่อาจมองไม่เห็น ซึ่ง SMEs เราอาจทำไม่ได้ขนาดนั้น แต่ทำได้โดยการหาเพื่อนที่เป็นผู้ประกอบการด้วยกันมาช่วยกันดู
โดยให้แต่ละคนมาท้าทายแผนของอีกคน เคยเห็นกลุ่มผู้ประกอบการใน Coworking Space แห่งหนึ่งทำแบบนี้ ผลก็คือหลายคนเจอจุดอ่อนที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน การมีคนที่คิดต่างมาช่วยดูจะทำให้เราเห็นมุมอื่นที่ปกติมองไม่เห็น
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หลายคนมองข้ามคือ การเตรียมตัวสำหรับเรื่องที่ “คาดไม่ถึง” เราชอบวางแผนสำหรับปัญหาที่คิดว่าจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำลายธุรกิจจริง ๆ มักเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดถึง เหมือนโควิด หรือสงครามการค้า
มีงานเขียนหลายชิ้นที่กล่าวถึงหลักคิดนี้ว่า แทนที่จะเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรทำให้ธุรกิจ “ยืดหยุ่น” มากกว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Netflix ตอนช่วงที่โรงภาพยนตร์ปิด กลับได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น หรือบริษัทขนส่งที่เปลี่ยนมาส่งอาหารแทน หลักคิดคือ ทำให้ธุรกิจสามารถ “แยกชิ้นส่วน” และ “ประกอบใหม่” ได้ง่าย เช่น ร้านอาหารที่ครัวทำได้หลายเมนู ก็สามารถเปลี่ยนจากร้านอาหารไทยเป็นร้านขายอาหารข้าวกล่องได้ ประเด็นคือการสร้างโครงสร้างธุรกิจที่ “ปรับตัวได้” มากกว่าการเตรียมแผนสำหรับทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้
อีกเรื่องที่สำคัญแต่คนมักลืม คือจิตใจของทีมงาน ช่วงวิกฤตคนจะเครียด กลัว และทำงานไม่เต็มที่ หลายธุรกิจที่รอดมาได้เพราะทีมงานเป็นหนึ่งเดียว วิธีที่เขาทำคือ เปิดใจคุยกันทุกเช้า แบ่งปันข่าวดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้แต่เรื่องที่ลูกค้าชมอาหารอร่อย หรือมีออร์เดอร์เข้ามา บอกความจริงแม้ว่าจะไม่ดี
เพราะการไม่รู้จะทำให้คนกลัวมากกว่าความจริงที่แย่ และสำคัญที่สุดคือ อย่าไปตำหนิใครเวลาเกิดปัญหา แต่ให้ช่วยกันหาทางแก้ไข
การเตรียมตัวรับความไม่แน่นอน ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การมีแผนสำรองบนกระดาษ แต่เป็นการสร้าง “วิธีคิดและนิสัยการปรับตัว” ของทั้งทีม เป็นการฝึกให้ตัวเองและคนรอบข้างคิดแบบ “ถ้าเกิด…จะทำยังไง” เป็นประจำ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าพูดความจริง และกล้าทดลองแนวทางใหม่
แม้จะยังไม่รู้ผลลัพธ์ แต่เป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมเปลี่ยนแปลงเมื่อจำเป็น มากกว่าการเตรียมแผนสำหรับสถานการณ์ที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้น
ในท้ายที่สุด ธุรกิจที่อยู่รอดและเติบโตได้ในยุคนี้ ไม่ใช่ธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดและดีที่สุด การลงทุนในการสร้างความยืดหยุ่นและการเรียนรู้จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน
X