ประกันชีวิต

กลยุทธ์ ‘เงินต่อเงิน’ จ่าย 50 ล้าน ได้ทุนประกัน 7 พันล้าน จริงหรือ ?


คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน
ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่)


ผมทำประกันไว้ ถ้าเป็นอะไรไปครอบครัวจะได้ความคุ้มครอง 150 เท่า ซึ่งประโยคนี้ของ คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express ที่ได้พูดบนเวที Bitkub Summit 2025 ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันเยอะมากในธุรกิจประกันชีวิตในช่วงนี้


Premium Financing คืออะไร


ในมุมของบริษัทประกันชีวิต เราเรียกวิธีนี้ว่า Premium Financing ซึ่งก็เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฮ่องกงหรือสิงคโปร์


แนวคิด “เงินต่อเงิน” นี้นำมาจากแนวคิดของวงการอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดฯ ที่ผู้กู้วางเงินดาวน์บางส่วนและใช้ตัวสินทรัพย์ที่ได้มานี้เป็นหลักค้ำประกัน โดยวงเงินกู้ที่ได้ขึ้นอยู่กับราคาประเมินของสินทรัพย์และความสามารถชำระหนี้ของผู้กู้ และปัจจัยที่สำคัญก็คือดอกเบี้ยของ “สินทรัพย์” นั้นจะสูงหรือจะต่ำ ก็ขึ้นกับประเภทของสินทรัพย์นั้น ที่คิดว่าจะ “สร้างมูลค่า” หรือ “เสื่อมค่า” มากกว่ากัน


เราจึงเห็นกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ในการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เน้น “สร้างมูลค่า” แต่กลยุทธ์นี้มันจะไม่ได้ผลกับการกู้ซื้อรถยนต์ หรือสินทรัพย์ที่เสื่อมมูลค่า


การประยุกต์ใช้กับกรมธรรม์ประกันชีวิต


ถ้าเรานำกลยุทธ์นี้มาประยุกต์กับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เป็นสินทรัพย์สร้างมูลค่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ได้เช่นเดียวกัน โดยหลักคิดเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้กับ “กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยครั้งเดียวแต่คุ้มครองตลอดชีวิต (Single Premium Whole Life)” โดยผ่านเทคนิค “Premium Financing” ที่มีธนาคารเป็นตัวกลางทำให้มันเกิดขึ้นมาได้


ตัวอย่างของ คมสันต์ แซ่ลี คือชำระเบี้ยบางส่วน และกู้เงินจากธนาคารเพื่อจ่ายส่วนที่เหลือ โดยนำ “มูลค่าเวนคืนเงินสด” ของกรมธรรม์มาค้ำประกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 35 ปี ซื้อกรมธรรม์ทุนประกัน 7,000 ล้านบาท เบี้ยประกัน 500 ล้านบาท แต่กู้ได้ถึง 90% หรือประมาณ 450 ล้านบาท ใช้เงินสดเพียง 50 ล้านบาท ก็ถือกรมธรรม์มูลค่าหลายพันล้านได้


เงื่อนไขของ Premium Financing


แนวคิดนี้เหมาะกับผู้มีฐานะทางการเงินที่มีเงินเย็น และไม่ต้องมีสภาพคล่อง


- กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตจะมีมูลค่าตั้งแต่วันแรก และนำไปเดินเรื่องกับธนาคารเพื่อขอค้ำกู้ได้ก่อนที่จะซื้อ ซึ่งกระบวนการก็เหมือนกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ต้องคุยกับธนาคารก่อนแล้วค่อยไปซื้อ


- ธนาคารยอมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยใช้กรมธรรม์เป็นหลักประกัน ซึ่งแปลว่าผู้กู้ก็ยังคงต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับธนาคารอยู่ดี


- ถ้าผู้กู้นำเงินกู้ก้อนนั้นมาลงทุนกับสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ให้ดอกเบี้ยระยะยาว ก็กลายเป็นว่าผู้กู้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย หนำซ้ำในแต่ละปีก็จะได้ส่วนต่างของดอกเบี้ยมาอีกด้วย


ทำไมฮ่องกงหรือสิงคโปร์จึงทำให้เงื่อนไขของ Premium Financing มันลงตัวได้


ต่อที่ 1 – สภาพแวดล้อมในการออกแบบเบี้ยประกัน


ต้นทุนเบี้ยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตนั้นต่ำ เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลักคือ อัตรามรณะที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน (สมมติว่าคนตายน้อย) และอัตราการลงทุนที่กระจายถึงทั่วโลก ทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและสูงกว่าเพื่อนบ้าน (บริษัทประกันสร้างผลตอบแทนจากเงินของเรา ให้เงินทำงานให้เราได้เยอะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บเบี้ยมาก)


นอกเหนือจากนี้ เพราะมันเป็นกรมธรรม์ที่เก็บเงินก้อนมาครั้งเดียวตอนแรก และกว่าจะจ่ายเงินให้ก็ตอนที่ตาย จึงทำให้ระยะเวลาในการลงทุนนั้นนานมาก ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นมีกำลังสูงมากที่สุดในโครงสร้างกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 30-35 ปี จะได้ความคุ้มครองสูงถึง 15 เท่าของเบี้ยในกรมธรรม์ลักษณะนี้ (และถ้า Leverage เงินกู้ได้อีก ก็จะทำให้ทุนคุ้มครองสูงถึง 150 เท่า)


อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ


ในทางตรงข้ามกับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เข้าถึงการลงทุนในอัตราดอกเบี้ยทั้งสูงและทั้งยาวได้ ในขาของการกู้ยืมเงิน กลับมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวที่ต่ำ และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำกรมธรรม์ประกันชีวิตมาค้ำประกันก็ยิ่งทำให้ต่ำเข้าไปอีก เพราะถ้าผู้กู้จ่ายเงินต้นหรือจ่ายดอกเบี้ยให้ไม่ได้ ธนาคารก็สามารถยึดกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือรอเอาทุนประกันชีวิตจากการตายของผู้กู้มาชดใช้ได้ ซึ่งกลไกของแนวคิดนี้ก็ไม่ต่างกับการปล่อยสินเชื่อบ้านนั่นเอง


ผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว


เมื่อได้เงินกู้แล้ว เลือกที่จะเอาเงินกู้กลับไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่สูง เพื่อมากลบกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายให้ธนาคารอีกได้ ยิ่งถ้าใครชอบความเสี่ยงต่ำ ก็ไปซื้อพันธบัตรระยะยาว ซึ่งในฮ่องกงและสิงคโปร์ก็มีพันธบัตรระยะยาวให้เลือก และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าเราได้เงินกู้มาฟรี ๆ แต่ก็ต้องยอมแลกกับ “สภาพคล่อง”


ตัวอย่างการทำ Premium Financing


เพื่อให้เห็นภาพจริงมากขึ้น ขอสมมติเป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไป


ตัวอย่างที่หนึ่ง เช่น มีเงิน 3-5 ล้านบาทก็ติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็คอยทำหน้าที่จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารทุกปี


ตัวอย่างที่สอง คือมีเงิน 30 ล้านบาทไว้จ่ายเบี้ย แต่ไม่อยากใช้เงินตัวเอง ก็เลยติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็จะมีเงินเหลือนำไปลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ก็เท่ากับว่าเงิน 30 ล้านบาทนั้นเอาเงินมาต่อเงินได้อีกที


สรุป


กลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นไม่ต่างอะไรกับกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นั่นเพราะสินทรัพย์ทั้งสองชนิดนี้เป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าและไม่เสื่อมราคา ทำให้ธนาคารปล่อยกู้ได้ง่าย แต่ทั้งนี้ จะคุ้มค่าแค่ไหนก็ต้องขึ้นกับปัจจัยสภาพแวดล้อมของประเทศนั้น ๆ และก็ต้องแลกมาด้วยสภาพคล่องในการจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนระยะยาว


แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1922293
X