ข่าวการเงิน
                    อาชีพไหน AI ไม่แย่ง 
                    
                 
                
                    
                         
                     
                    
                    
                                                
จิตต์สุภา ฉิน 
 
ประเด็นเรื่อง AI จะมาแย่งงานมนุษย์ไหม แย่งงานประเภทไหนบ้าง 
เป็นเรื่องที่พูดคุยถกเถียงกันมาหลายปีจนฉันเชื่อว่าหลายๆ 
คนก็คงรู้สึกเบื่อหรือด้านชาไปแล้ว  
 
แต่ไหนๆ ปีนี้ก็ดูเป็นปีที่ความนิยม AI พุ่งแรงมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา 
เพราะ AI ทำให้เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามันอยู่ใกล้เราแค่ไหน AI 
ได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของมันแบบที่เราไม่สามารถปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป 
 
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องมาสำรวจกันอีกสักครั้งว่าอาชีพหรืองานในแบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง 
 
รายงานจาก Goldman Sachs ที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2023 คาดประมาณว่า AI 
ที่สามารถสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ได้จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากถึง 1 ใน
 4 ของงานทั้งหมดที่มนุษย์ทำอยู่ในตอนนี้  
 
งานกว่า 300 ล้านตำแหน่งในยุโรปและสหรัฐอาจถูกยกให้ระบบอัตโนมัติรับไปทำแทน 
 
ความน่ากลัวก็คือ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนๆ ไป 
 
แต่อาจจะเป็นการเปลี่ยนใหม่แบบยกระบบและเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างกะทันหันด้วย 
 
ในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด 
 
เรื่องดีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตรงที่ AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ไปได้เสียหมดทุกประเภท 
 
ดังนั้น แทนที่เราจะไปโฟกัสว่าอาชีพไหนจะถูกแทนที่บ้าง 
วันนี้เราลองเปลี่ยนโฟกัสใหม่แล้วไปดูว่าอาชีพหรือทักษะไหนบ้างล่ะที่ AI 
ยังห่างชั้นจากเรานัก 
 
BBC บอกว่ามีหมวดหมู่อาชีพอยู่ 3 หมวดหมู่ที่มนุษย์น่าจะยังเก็บรักษาไว้ได้ 
 
หมวดหมู่แรกก็คือ อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ “ที่แท้จริ” 
 
อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อาชีพแรกๆ 
ที่เราก็มักจะนึกออกทันทีก็คืออาชีพอย่างเช่น นักวาดภาพ ศิลปิน จิตรกร 
หรือกราฟิกดีไซเนอร์ 
ซึ่งแม้จะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่กลับไม่ถูกรวมอยู่ในหมวดหมู่นี้
 และดีไม่ดีอาจจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกแย่งงานอีกต่างหาก 
 
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเราได้เห็นกันมาแล้วว่า AI 
สามารถสร้างภาพขึ้นมาได้แล้วทุกแบบ ทุกสไตล์ 
และยังทำได้ภายในเวลาอันน้อยนิด 
 
การสั่งงานให้ AI วาดภาพที่ต้องการให้ก็ง่ายดายเพียงแค่ป้อนคำสั่งเป็นข้อความเข้าไปเท่านั้น 
 
ถ้าเช่นนั้นแล้ว อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบไหนกันล่ะที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้ 
 
BBC บอกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ประเภทอื่นค่ะ ตัวอย่างเช่น 
การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ 
การแพทย์หรือกฎหมาย 
 
อาชีพที่จะต้องคิดค้นกลยุทธ์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน 
 
ในแง่มุมนี้อาชีพไหนก็ตามที่คนทำอาชีพใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในงาน 
สร้างสิ่งใหม่ คิดไอเดียใหม่ ไม่ทำซ้ำของเดิม 
ก็จะถูกควบรวมอยู่ในหมวดหมู่แรก 
ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ยังมีงานทำต่อไปได้อีกยาวๆ 
 
หมวดหมู่ที่สองคือ งานใดๆ 
ก็ตามที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างบุคคล อย่างเช่น พยาบาล 
ที่ปรึกษาบริษัท และนักข่าวสืบสวน เป็นต้น 
 
หมวดหมู่ที่สองครอบคลุมอาชีพใดๆ 
ก็ตามที่คนประกอบอาชีพต้องใช้ทักษะในการทำความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง 
มีปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน 
นี่ไม่ใช่ทักษะที่ AI สามารถลอกเลียนและเรียนรู้ได้ง่ายๆ 
 
มาถึงอาชีพปลอดภัยหมวดหมู่ที่สามคือ อาชีพใดๆ 
ก็ตามที่ต้องการความคล่องแคล่ว คล่องตัว 
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าภายใต้สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ 
 
อาชีพอย่างช่างประปา ช่างไฟ ช่างเชื่อม ซึ่งสถานการณ์หน้างานแตกต่างกันออกไปทุกครั้งจึงถูกรวมเข้าไปในหมวดหมู่นี้ 
 
ฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้ทำหน้าที่แทนช่างต่างๆ 
ที่ยกตัวอย่างมาได้มันจะต้องเป็นแบบไหนถ้าไม่ใช่หุ่นยนต์เก่งๆ 
ที่เราเห็นในหนังไซ-ไฟ 
 
ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงเรายังไม่สามารถพัฒนาหุ่นยนต์ที่เก่งกาจแบบนั้นขึ้นมาได้ 
 
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าไม่อยากให้เราย่ามใจว่าหากอาชีพของเราเข้าข่ายหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่งแล้วจะไม่มีทางถูก
 AI แย่งงานได้เลย 
เพราะความเป็นจริงก็คือเกือบทุกอาชีพไม่ว่าจะในแวดวงไหนก็ตามจะต้องถูกระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเข้ามาแย่งงาน
 “บางอย่าง” ไป อาจจะไม่ได้แย่งไปทั้งอาชีพ 
แต่มันจะแบ่งภาระหน้าที่บางอย่างของเราไปทำ  
 
อย่างอาชีพหมอที่ทุกวันนี้ AI สามารถตรวจจับวินิจฉัยโรคต่างๆ 
ซึ่งรวมถึงมะเร็งบางอย่างได้แม่นยำยิ่งกว่ามนุษย์ AI 
ก็จะแย่งหน้าที่ในการตรวจจับนั้นไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปตรวจคนไข้ 
พูดคุยกับคนไข้ หรือสั่งจ่ายยารักษาคนไข้แทน 
 
อาชีพหมอจะยังคงมีอยู่แต่หน้าที่ในการวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นมะเร็งหรือไม่อาจถูกถ่ายโอนไปให้ AI ที่แม่นยำกว่าทำแทน 
 
สิ่งที่เราต้องปรับตัวอาจจะไม่ใช่การเสิร์ชหางานใหม่ก่อนที่งานจะถูก AI 
แย่งไปทำ 
แต่เป็นการหาวิธีในการพัฒนาทักษะของมนุษย์ให้โดดเด่นขึ้นและปรับตัวให้ทำงานไปพร้อมๆ
 กับ AI ได้ 
 
ตัวอย่างหนึ่งที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงคือพนักงานธนาคารหรือเทลเลอร์ที่ครั้งหนึ่งรับหน้าที่นับเงินเป็นปึกๆ ให้ได้รวดเร็วและแม่นยำ 
 
เมื่อแมชชีนเข้ามารับหน้าที่การนับเงินไปทำแทนและทำได้เร็วกว่าชนิดที่มนุษย์ไม่ต้องคาดฝันว่าจะแข่งด้วย
 อาชีพพนักงานธนาคารก็ยังไม่ได้หายไปไหน 
 
ความเปลี่ยนแปลงก็คือพนักงานธนาคารไม่ต้องนับเงินเป็นปึกเองแล้วแต่หันไปสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและไปเสนอขายผลิตภัณฑ์กับบริการใหม่ๆ
 แทน 
 
เราอาจจะเข้าใจกันว่าอาชีพใช้แรงงานจะเป็นอาชีพที่ถูก AI แทนที่ได้ง่ายๆ แต่อันที่จริงแล้วอาชีพพนักงานออฟฟิศก็เสี่ยงไม่แตกต่างกัน 
 
แถมในบางกรณีอาจจะเสี่ยงกว่าด้วยเพราะการพัฒนาระบบอัตโนมัติมาแทนที่อาชีพใช้แรงงานหลายอย่างนั้นทำได้ยากกว่า 
 
ถ้าดูจากประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา 
เทคโนโลยีก็ได้ทำให้อาชีพบางอาชีพของมนุษย์หายไปมาแล้วไม่น้อย 
แต่มนุษย์ก็สามารถปรับตัวและผ่านมันมาได้ทุกครั้ง 
สำหรับครั้งนี้ข้อคิดสำคัญก็คือ การต้องสำรวจอาชีพตัวเองและหาแง่มุมที่ AI 
ทดแทนไม่ได้ 
แล้วพัฒนาจุดนั้นให้แข็งแรงขึ้นเพื่อให้เรายังเก็บงานของเราเอาไว้ได้ต่อไป 
 
จนถึงวันที่มันเก่งขึ้นกว่านี้มากหรือมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาก็ค่อยมาประเมินสถานการณ์กันอีกที 
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนสุดสัปดาห์ https://www.matichonweekly.com/column/article_673330?fbclid=IwAR1PbPIMTzUUKLAp_QI2UPAkxFgoMfxdsVE52hbx7tjVoqDzPaqiohaIPgY  
                     
                 
             
            
         
     
 
        
X