ข่าวการเงิน
                    KBank Private Banking ชี้ “ผู้จัดการมรดก” 
คีย์แมนคนสำคัญต่อการบริหารทรัพย์สินครอบครัว 
เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว แจง “ทายาท-ผู้รับมรดก” 
จำเป็นต้องรู้บทบาท-หน้าที่ของผู้จัดการมรดก
วันที่ 15 มิถุนายน 2566 นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, 
Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group 
ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว 
หลังจากที่สมาชิกในครอบครัวต้องแจ้งการเสียชีวิตภายใน 24 
ชั่วโมงต่อสำนักเขต หรือที่ว่าการอำเภอเพื่อออกใบมรณบัตรแล้ว
อีกสิ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีทรัพย์สินมาก 
คือการตั้ง “ผู้จัดการมรดก” เพื่อดำเนินการ 4 
เรื่องสำคัญต่อทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิต ได้แก่
1) รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน : อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น 
บัญชีเงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ เช่น ทองคำ เครื่องประดับ
2) จัดการทรัพย์มรดก : ดูแล รักษา หรือจัดการทรัพย์มรดกตามที่จำเป็น หรือที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
3) จัดแบ่งทรัพย์มรดก : แบ่งสินสมรส (ถ้ามี) และแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท/ผู้รับพินัยกรรม
4) ยื่นภาษีเงินได้ : ในปีแรกที่เสียชีวิต ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามผู้ตาย 
และในปีถัดจากปีที่เสียชีวิต หากยังไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้ทายาท 
ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามกองมรดก (ต้องขอเลขผู้เสียภาษีต่างหาก)
ขั้นตอนในการตั้งผู้จัดการมรดก ให้ทายาท หรือผู้ร้อง 
(อาจเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้) 
ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ดำเนินการตั้งผู้จัดการมรดกโดยแบ่งออกเป็น 2 
กรณีคือ
1. กรณีที่ไม่มีพินัยกรรม อาจขอให้ตั้งทายาท/คู่สมรส คนใดคนหนึ่ง 
หรือร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก 
หรือตั้งบุคคลอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย
2. กรณีที่มีพินัยกรรมและมีการระบุผู้จัดการมรดกไว้แล้ว ให้ตั้งบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก
หลังจากศาลได้ประกาศเพื่อให้ทายาทคัดค้าน และไต่สวนคุณสมบัติผู้ร้อง 
หากไม่มีการคัดค้าน ศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้จัดการมรดก ภายในระยะเวลา 2-3 
เดือน จากนั้นผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน 
และต้องเสร็จภายใน 1 เดือน หรือตามระยะเวลาที่ศาลขยายให้ 
รวมทั้งจะต้องดำเนินการทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกภายใน 1 ปี
 หรือตามระยะเวลาที่ทายาท/ศาล กำหนดไว้ด้วย
หากผู้จัดการมรดกไม่ทำตามหน้าที่/ทุจริต ทายาท ผู้รับพินัยกรรม หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก สามารถดำเนินการกับผู้จัดการมรดกได้ เช่น
ถอนผู้จัดการมรดก
ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกสามารถยื่นร้องต่อศาลขอให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม
 และตั้งคนใหม่ได้ หากผู้จัดการมรดกไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น 
ไม่เริ่มทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน 
หรือไม่แบ่งทรัพย์สินให้ทายาทให้เสร็จสิ้น 
และไม่ทำรายงานบัญชีแบ่งทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน 
ตามที่กฎหมายกำหนด
ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก
มักเกิดขึ้นในกรณีที่ทายาทขอให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท 
แต่ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาทตามที่กฎหมายกำหนด เช่น 
อ้างว่าเป็นทรัพย์กงสีห้ามแบ่ง หรือผัดผ่อนการแบ่งไปเรื่อย ๆ 
หรือปฏิเสธไม่แบ่งด้วยเหตุผลอื่น ทายาทสามารถฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้
ฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก
ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกไม่เป็นไปตามราคาท้องตลาด 
ขายทรัพย์มรดกโดยไม่นำเงินมาแบ่งทายาท 
โอนทรัพย์มรดกให้บุคคลอื่นโดยไม่มีค่าตอบแทน 
รับโอนทรัพย์มรดกมาเป็นของตนเองคนเดียวไม่แบ่งทายาทคนอื่น
ดำเนินคดีอาญาความผิดฐานยักยอก
ในกรณีที่ผู้จัดการมรดก โอนทรัพย์มรดกให้ตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น 
หรือแสดงเจตนาว่าจะเอาทรัพย์มรดกไว้คนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น 
โอนทรัพย์มรดกให้ทายาทคนหนึ่ง แต่ไม่แบ่งให้คนอื่น ทั้งที่มีทายาทหลายคน 
จงใจขายทรัพย์มรดกในราคาที่ต่ำเกินสมควร ในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับผู้ซื้อ 
เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ 
ในกรณีนี้ต้องชัดเจนว่าผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริต 
ยักย้ายถ่ายเทหรือโอนทรัพย์มรดก ทำให้เกิความเสียหายแก่ทายาท 
ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องการกระทำความผิด 
และรู้ตัวผู้กระทำความผิด
“จะเห็นได้ว่าผู้จัดการมรดก มีหน้าที่ในการจัดการมรดกโดยทั่วไป 
ไม่ว่าจะเป็น การรวบรวมทรัพย์มรดก เพื่อแบ่งให้ทายาท 
ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ 
ทำบัญชีทรัพย์มรดกและรายการแสดงบัญชีการจัดการ 
ซึ่งหากผู้จัดการมรดกไม่ใช่ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรมของเจ้าของมรดก 
ผู้จัดการมรดกก็จะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก 
จึงถือว่าไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก” นายพีระพัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ หากผู้จัดการมรดกไม่ดำเนินการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 
หรือทำการทุจริตต่อทรัพย์มรดก อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายด้วย 
ผู้จัดการมรดกจึงถือเป็นคีย์แมน 
หรือบุคคลสำคัญในการบริหารจัดการและดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับมรดก 
ทั้งทรัพย์สินที่ต้องส่งต่อแก่ทายาท หรือการจัดการเรื่องหนี้สิน 
โดยหากเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้จัดการมรดกก็สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ 
ได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ต้องดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอน
“ดังนั้น 
การทำพินัยกรรมกำหนดผู้จัดการมรดกที่มีความเป็นกลางหรือที่ทายาททุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่ต้น
 อาจไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทก็ได้ อาจช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”
 นายพีระพัฒน์กล่าว

แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์