ภาษี
                    ไม่จ่ายภาษี โดนลงโทษอะไรบ้าง ?
                    
                 
                
                    
                        
                     
                    
                    
                                                
บทความโดย “ยุทธภูมิ เกียรติอุ้มสม”
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 
การวางแผนทางการเงินเป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินของแต่ละบุคคล
 
ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตและตอบสนองต่อความต้องการและเป้าหมายเฉพาะของแต่ละบุคคลได้
 ซึ่งประกอบไปด้วย แผนการลงทุน แผนการประกัน แผนเพื่อวัยเกษียณ 
และแผนทางภาษี
ภาษีถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของการประกอบกิจการ 
นอกจากการเพิ่มรายได้เพื่อให้มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นแล้ว 
การลดต้นทุนด้วยการวางแผนทางภาษีก็เป็นการเพิ่มรายได้สุทธิด้วยเช่นกัน 
ดังนั้นแผนทางภาษีจึงมีความสำคัญและการวางแผนภาษีได้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดจะช่วยลดภาระทางภาษีได้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
เป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากบุคคลธรรมดาโดยกรมสรรพากร 
ซึ่งรัฐบาลนำภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 
จัดบริการสาธารณะที่เอกชนไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
กระจายความมั่งคั่งอย่างยุติธรรม 
โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถูกจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 
มีนาคม ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ 91 และวันที่ 1 กรกฎาคมถึงวันที่ 30 
กันยายน ด้วยการยื่นแบบภ.ง.ด. 94 ของทุกปี 
หากผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร
 ย่อมทำให้เกิดความรับผิดทางแพ่งและทางอาญา กรณีต่าง ๆ ดังนี้
บทกำหนดโทษทางแพ่ง เป็นความรับผิดที่ต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้ 
กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน้าที่ของผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
 มีความรับผิดดังต่อไปนี้
1. กรณีผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้อง 
เจ้าพนักงานประเมินจะออกหมายเรียกมาไต่สวน หรือสั่งให้นำพยาน บัญชี เอกสาร 
หรือหลักฐานอื่นมาแสดงเพื่อตรวจสอบ 
และประเมินให้ถูกต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฎหรือประเมินตามที่รู้ว่าถูกต้อง
 
ซึ่งผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ
2. กรณีผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี 
เจ้าพนักงานประเมินจะออกหมายเรียกมาไต่สวน หรือสั่งให้นำพยาน บัญชี เอกสาร 
หรือหลักฐานอื่นมาแสดงเพื่อตรวจสอบ 
และประเมินให้ถูกต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฎหรือประเมินตามที่รู้ว่าถูกต้อง
 
ซึ่งผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ
 
นอกจากนี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในเวลาที่กำหนดไว้
3. นอกจากเบี้ยปรับตามแต่กรณีที่กล่าวมาแล้ว 
ผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 
ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินภาษีที่ต้องเสียโดยไม่รวมเบี้ยปรับ 
แต่เงินเพิ่มนั้นไม่เกินจำนวนภาษีทั้งหมดที่ต้องเสีย
ตัวอย่างเช่น ผู้ต้องเสียภาษีไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีภายในวันที่ 
31 มีนาคม 
เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบและมีหมายเรียกให้นำพยานหลักฐานต่าง ๆ 
มาแสดงเพื่อตรวจสอบ ณ วันที่ 15 มิถุนายน
และปรากฎว่ามีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องเสียจำนวน 100,000 บาท 
ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระจากการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจำนวน
 200,000 บาท และต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม โดยนับจากวันที่ 31 มีนาคม 
ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ต้องยื่นเสียภาษีประจำปีถึงวันที่ 15 มิถุนายน 
เป็นเวลา 2 เดือน กับอีก 15 วัน
ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน 
หรือเศษของเดือนจากภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย 100,000 บาท เป็นจำนวน 1,500 
บาทต่อเดือน รวมทั้งสิ้น 3 เดือน เป็นจำนวน 4,500 บาท 
และต้องระวางโทษปรับจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในกำหนดเวลาอีก 2,000 บาท
ดังนั้นผู้ต้องเสียภาษีต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับ 
เงินเพิ่มและค่าปรับจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในกำหนดเวลาจำนวนทั้งสิ้น 
306,500 บาท
บทกำหนดโทษทางอาญา 
เป็นความรับผิดที่มีลักษณะผูกพันต่อตัวบุคคลไม่ใช่ทรัพย์สิน ได้แก่ 
ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน 
กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน้าที่ของผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
 มีความรับผิดดังต่อไปนี้
1. กรณีจงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน 
หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน 
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังต่อไปนี้
1.1. เจ้าพนักงานประเมินเรียกให้มาชำระภาษีเงินได้ที่คงค้าง 
หรือเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี 
และเรียกให้นำพยาน บัญชี เอกสาร 
หรือหลักฐานอันจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเงินได้ที่คงค้าง 
ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน
1.2. เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีมาไต่สวน 
กรณียื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้อง และให้นำพยาน บัญชี เอกสาร 
หรือหลักฐานอื่นมาแสดง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน
1.3. เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีมาไต่สวน 
กรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีและให้นำพยาน บัญชี เอกสาร 
หรือหลักฐานอื่นมาแสดง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน
1.4. คณะกรรมการอุทธรณ์ออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีที่ทำการอุทธรณ์มาไต่สวน
 และให้นำพยานบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดง 
ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน
2. กรณีเจตนาแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ 
นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง หรือโดยฉ้อโกงหรืออุบาย 
หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน 
เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือขอคืนภาษีอากร 
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปีและปรับตั้งแต่สองพันถึงสองแสนบาท
3. กรณีเจตนาไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี 
เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงไม่แสดงรายการเสียภาษี 
หรือยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้องที่มีจำนวนตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขี้นไป
 รวมทั้งการขอคืนเงินภาษีอากรที่มีจำนวนตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป 
โดยกระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย 
และมีพฤติกรรมปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามประมวลรัษฎากร
 มาตรา 37 ตรี อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 8/2564 
มีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติดังกล่าวเพิ่มภาระและจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
 มาตรา 26 และมาตรา 37 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ดังนั้นประมวลรัษฎากรมาตรา 37 ตรี 
ที่ให้ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจึงไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป
การวางแผนภาษีมีความจำเป็นต่อการบริหารกระแสเงินสดและความมั่งคั่งของบุคคล 
เพื่อให้เกิดความมั่นคงและตอบสนองต่อความต้องการและเป้าหมายในชีวิต 
แต่อย่างไรก็ตามการวางแผนภาษีต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย 
ไม่วางแผนด้วยการหลบหลีก (Avoidance) คืออาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย 
หรือหลีกเลี่ยง (Evasion)
คือใช้วิธีที่ผิดกฎหมาย 
เพราะนอกจากจะมีบทลงโทษทางแพ่งด้วยการเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้ว 
ยังมีบทลงโทษทางอาญาที่มีโทษจำคุก 
ส่งผลต่อความมั่นคงและกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในชีวิตอย่างแน่นอน
 
ดังนั้นการวางแผนภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดจึงมีความสำคัญและเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 
                     
                 
             
            
         
     
        
X