ข่าวการเงิน
                    บทความโดย “กชจุฑา เพียรวนิช”
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
“น่าเสียดายตายแล้ว ยังใช้เงินไม่หมด น่าสลดเงินหมดแล้ว ยังไม่ตาย” 
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคดังกล่าว 
และก็คงไม่มีใครอยากให้คำพูดนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือคนที่เรารัก 
และเพื่อไม่ให้เงินที่ตั้งใจเก็บเพื่อไว้ใช้หลังเกษียณหมดก่อนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
 ต้องเตรียมตัวรับมือก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้น
1. ความเสี่ยงเก็บเงินไม่พอใช้ ในวัยเกษียณ
หลายคนอาจจะคิดว่าตอนเกษียณต้องใช้จ่ายน้อยกว่าตอนทำงาน อาจไม่จริงเสมอไป 
ลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายวันธรรมดากับวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุด 
วันไหนใช้เงินมากกว่ากัน ถ้าคำตอบ คือ เสาร์อาทิตย์ 
แสดงว่ามีแนวโน้มที่ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจะมากกว่าก่อนเกษียณ
เนื่องจากในวันธรรมดาอาจมีแค่ค่าใช้จ่ายจำเป็น ค่าเดินทาง ค่าข้าว 
ค่าน้ำชากาแฟหรือขนม แต่ในวันเสาร์อาทิตย์มีแนวโน้มที่จะทานข้าวนอกบ้าน 
เดินทางท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง คำถามต่อมา คือ 
ควรเก็บเงินเท่าไหร่เพื่อให้เพียงพอเกษียณคำตอบ คือ ไม่มีสูตรตายตัว 
อาจใช้หลักการง่าย ๆ คือ เลือกระหว่างจะเก็บเงินให้เท่ากับ
1. รายได้หลังเกษียณเท่ากับรายได้ปัจจุบัน
2. รายได้หลังเกษียณเท่ากับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น

ตัวอย่าง 1. ปัจจุบันอายุ 35 ปี มีรายได้ 50,000 บาท 
และคิดว่าหลังเกษียณตั้งใจมีรายได้เดือนละ 50,000 บาทใช้จ่ายไปจนอายุ 90 
ปีและต้องการเกษียณ 60 ปี 
คำนวณตัวเลขเงินเก็บที่ต้องมีเพื่อใช้จ่ายตั้งแต่อายุ 60 – 90 ปี 
ต้องมีเงินจำนวน 15.6 ล้านบาท เพื่อให้มีเงินใช้ปีละ 600,000 บาท 
หรือเดือนละ 50,000 บาท และเงินก้อนนี้ต้องลงทุน (หลังเกษียณ) 
ให้ได้อย่างน้อย 1% ต่อปี
วิธีคำนวณ หาเงินที่ต้อง ณ อายุ 60 ปี (PV) เท่ากับเท่าไหร่?
ถอนเงินปีละ (PMT) = 600,000
ผลตอบแทน (Rate) 1% ต่อปี  
ระยะเวลาใช้เงิน (Period) 30 ปี

ตัวอย่าง 2. ปัจจุบันอายุ 35 ปี มีรายได้ 50,000 บาท 
วางแผนเก็บเงินก้อนให้มีรายได้หลังเกษียณ 30,000 บาททุกเดือนไปจนอายุ 90 ปี
 ต้องมีเงินก้อนจำนวน 9.38 ล้านบาท เพื่อให้มีเงินใช้ปีละ 360,000 บาท 
หรือเดือนละ 30,000 บาท และเงินก้อนนี้ต้องลงทุน (หลังเกษียณ) 
ให้ได้อย่างน้อย 1% ต่อปี
วิธีคำนวณ หาเงินที่ต้อง ณ อายุ 60 ปี (PV) เท่ากับเท่าไหร่?
ถอนเงินปีละ (PMT) = 360,000
ผลตอบแทน (Rate) 1% ต่อปี  
ระยะเวลาใช้เงิน (Period) 30 ปี
จำนวนเงินที่เก็บนี้ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพและค่าพยาบาลอื่น
 ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเงินเกษียณอย่างแน่นอน)
2. ความเสี่ยงอายุยืนกว่าที่คาดไว้
หลายคน มักคาดว่าตัวเองอายุไม่ยืนยาวมากนัก แต่ความจริง คือ สิ่งไม่แน่นอน 
เพราะข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่าตลอด 6 
ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี 
ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี 
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยที่เกิดในปี 2559 
จะมีอายุยืนถึง 80 – 98 ปี หรือเกือบ 100 ปี
ดังนั้น ต้องเตรียมเงินให้เพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณอย่างน้อยถึงอายุ 80 
ปี 
หรือดูจากอายุขัยเฉลี่ยของปู่ย่าตายายของตัวเองยืนแค่ไหนและเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่
 จากนั้นคาดการณ์อายุตัวเองที่คิดว่าน่าจะเสียชีวิตบวกเพิ่มไปอีก 5 ปี เช่น
 ปัจจุบันปู่ย่าอายุยืนถึง 90 ปี หมายความว่าอาจจะมีแนวโน้มอายุยืนเช่นกัน 
ดังนั้น ควรเตรียมเงินให้สามารถใช้ได้ถึงอายุ 95 ปี
3.ความเสี่ยงเงินเฟ้อ
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท แต่ปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวชามละ 60 
–80 บาท พูดง่าย ๆ เงิน 100 บาทที่เคยกินก๋วยเตี๋ยวได้ 2 ชาม 
ปัจจุบันกินได้แค่ 1 ชาม โดยผลกระทบจากเงินเฟ้อทำให้อำนาจการซื้อลดลง และ 
เงิน 100 บาทอีก 10 ปีข้างหน้า อาจไม่สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เลย
สำหรับอัตราเงินเฟ้อในไทยเฉลี่ย 3% ต่อปี ดังนั้น เงิน 50,000 
บาทต่อเดือนที่ใช้ในปัจจุบัน อีก 20 ปีจะกลายเป็น 90,305 บาท 
ถ้าเก็บเงินเกษียณ จำเป็นต้องนำเงินเฟ้อมาคำนวณในแผนเกษียณด้วย นอกจากนี้ 
ต้องศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนเพื่อสามารถนำเงินไปลงทุนและให้ผลตอบแทนเท่ากับเงินฟ้อ
 3% ต่อปี เพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอตอนเกษียณ
4. ความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาล
สุขภาพถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด จึงมีโอกาสกระทบกับเงินเกษียณ 
เพราะเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดหลังเกษียณ 
โดยประเมินว่าค่ารักษาพยาบาลในไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 5% – 7% ต่อปี 
นอกการนี้รายงานจากทีดีอาร์ไอในหัวข้อการเตรียมความพร้อม 
ด้านการเงินและสุขภาพ ในสังคมอายุยืน พบว่าคนไทยเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น 
อาจจะเริ่มช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เนื่องจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น 
โรคเส้นเลือด สมองตีบ แตก ตัน โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน 
โรคความดันโลหิตสูง หรืออุบัติเหตุ เป็นต้น 
ซึ่งโรคเหล่านี้ต้องใช้เงินรักษาในระดับสูง
ดังนั้น ควรเตรียมตัวดูแลสุขภาพ 
รวมถึงพิจารณาทำประกันสุขภาพและกันเก็บเงินอีกส่วนแยกจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
 เพื่อเตรียมไว้ใช้กรณีเกิดเจ็บป่วยเมื่อเกษียณ
5. ใช้จ่ายมากเกินไปหลังเกษียณ
ปัญหาส่วนใหญ่ของคนเกษียณ คือ 
ไม่สามารถบริหารเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับหลังจากเกษียณได้ เช่น 
เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเงินบำเหน็จที่ได้รับเมื่อออกจากข้าราชการ 
เพราะปกติก่อนเกษียณได้รับเงินรายเดือน 
ทำให้เมื่อได้เงินก้อนมาจึงไม่รู้จะเอาไปลงทุนตรงไหน นำไปใช้จ่ายซื้อรถ 
ซื้อบ้านใหม่ หรือให้ลูกหลานยืม
ดังนั้น 
ถ้ารู้ตัวเองว่ามีแนวโน้มไม่สามารถบริหารเงินก้อนใหญ่ได้ควรกระจายเงินไปลงทุนไปในทรัพย์สินที่สร้างรายได้ประจำเป็นรายเดือนให้เราได้ในอนาคต
 เช่น ทำประกันบำนาญเพื่อรอรับเงินคืนเป็นรายเดือนหรือรายปี 
ซื้ออสังหาเพื่อเก็บค่าเช่า แบ่งเงินลงทุนในหุ้นปันผล 
หรือนำเงินก้อนไปลงทุนกับกองทุนส่วนบุคคล 
เพื่อให้ผู้ที่เชี่ยวชาญบริหารเงินแทน
สรุป 
จงเตรียมตัววางแผนเก็บเงินเกษียณและนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้ออย่างน้อย
 3% ต่อปี รวมถึงดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี 
เพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง 
วางแผนเตรียมเงินสำรองให้พร้อมสำหรับค่ารักษาพยาบาล 
และที่สำคัญที่สุดศึกษาหาความรู้และเรียนรู้เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้เราสามารถบริหารเงินก้อนให้พอใช้หลังเกษียณ
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาติธุรกิจออนไลน์
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    23/04/2024