ข่าวการเงิน
                    ดร.นิเวศน์ : ชีวิต “นักเลือก-คิดก่อนทำ” และความสำเร็จเรื่องสุดท้ายที่ต้องการ ?
                    
                 
                
                    
                        
                     
                    
                    
                                                
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 
กูรูนักลงทุนวีไอ เผยมุมมองชีวิตในฐานะ “นักเลือก-คิดก่อนทำ” 
และความสำเร็จเรื่องเดียวที่ต้องการจริง ๆ นั่นคือ 
มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจให้ยาวที่สุด แม้ถึงวันนี้มีคนชวน 
“เล่นการเมือง”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า 
การเป็น ไนักลงทุนแบบ VI” ที่มุ่งมั่นและทุ่มเทของผมในวัยตั้งแต่ 44 
ปีมาจนถึงวันนี้ ชีวิตและความคิดของผมแทบทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป 
ผมยังเป็นคนที่มัธยัสถ์ 
มีความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ 
มีความรับผิดชอบและมีวินัยสูง และเป็นคนที่ “ชอบลงทุน” นั่นคือ 
เสียสละการบริโภคในวันนี้เพื่อสิ่งที่มากกว่าในวันข้างหน้า 
หรือลำบากวันนี้เพื่อที่จะสบายในวันข้างหน้า
แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนก็คือ การเปลี่ยนจาก “นักสู้” เป็น
 “นักเลือก” หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ เป็น “นักเลือก-ก่อนที่จะสู้”
 และนั่นนำมาสู่ภาคปฏิบัติที่สำคัญมากก็คือ ก่อนที่จะทำอะไร ผมจะ 
“คิดก่อนทำ” ไม่ใช่ “คิดก่อนว่าจะทำอย่างไร” แต่มักจะเป็น 
“คิดก่อนว่าจะทำหรือไม่”
เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้มีความหมายหรือเป็นประโยชน์อะไรในชีวิตเพียงพอที่จะทำ
 หรือทำแล้วก็ไม่รู้สึกว่าทำง่ายหรือสนุกที่จะทำ ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ 
ให้ไปสอนคอร์สเกี่ยวกับการทำธุรกิจหรือการลงทุนซึ่งจะต้องเตรียมการสอน 
ออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ และให้คะแนนกับนักศึกษาหรือคนที่เข้าอบรมที่ “จำเป็น”
 ต้องเข้ามาเรียนหรืออยากได้วุฒิ ในกรณีแบบนี้ในอดีตผมทำมามาก 
โดยเฉพาะในช่วงที่ยังเป็น “นักสู้” 
ที่นอกจากทำงานเป็นลูกจ้างประจำในบริษัทเอกชนแล้ว 
ก็ยังสอนหนังสือเป็นงานเสริม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ 
การจบปริญญาเอกทางการเงินมา ถ้าไม่สอนแล้วจะให้ทำอะไร 
แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ทำแล้ว
จริง ๆ แล้ว ช่วงที่เป็น VI ใหม่ ๆ 
ผมเองก็ยังต้องทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบทำและทำไปก็ไม่ทำให้ตนเองเก่งขึ้นหรือเป็นประโยชน์ในอนาคต
 แต่ต้องทำเพราะมันเป็น “อาชีพ” ที่หาเงินได้ดี และทำให้เรา 
“มีสถานะในสังคม” 
และทั้งสองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงที่เรายังไม่มี 
“อิสรภาพทางการเงิน” ดังนั้น 
การเป็นนักเลือกที่มีอิสระในการเลือกว่าจะทำอะไรก็ได้จริง ๆ นั้น 
ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความมั่งคั่งเพียงพอแค่ไหนด้วย
ในช่วงหลังจากที่ผมมีอิสรภาพทางการเงินสมบูรณ์และออกจากการทำงานประจำเมื่ออายุประมาณ
 50 ปีเศษ 
ผมก็เริ่มที่จะเข้มงวดขึ้นในการที่จะรับงานหรือทำงานอะไรที่ตนเองไม่ชอบ 
นอกจากนั้น งานที่มีความสนใจและอาจที่จะอยากทำ ผมก็จะ “คิดก่อนที่จะทำ” 
โดยเฉพาะถ้าเป็นการทำที่ใช้เวลาและเป็นเรื่องต่อเนื่องระยะยาว 
ผมจะคิดอย่างถี่ถ้วนว่าผมจะทำได้ดีหรือไม่ และผมจะ “ชนะ” ไหม ?
คำว่าชนะของผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเข้าไปต่อสู้หรือแข่งขันกับใครจริง ๆ 
คำว่า “ชนะ” ของผมนั้นแปลว่า 
ถ้าแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับคนอื่นส่วนใหญ่หรือในความรู้สึกของผมหรือคนอื่นที่ไม่ลำเอียง
 ผมจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ?
การที่จะทำได้ดีหรือเป็นผู้ชนะนั้น ผมจะเริ่มคิดจาก 
“ปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขัน” ของเรื่องนั้นก่อน ว่างานแบบนั้น 
อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เข้าแข่งได้เปรียบและถ้าทำได้ดีก็จะมีโอกาสเป็นผู้ชนะประสบความสำเร็จสูง
 ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นนักแสดง 
ความสำเร็จก็คงเป็นดารานำในแต่ละกลุ่มหรือบทบาท เช่น เป็นพระเอกนางเอก 
หรือเป็นตัวตลก หรือตัวประกอบที่โดดเด่น ก็ต้องดูว่าแต่ละกลุ่มนั้นคนที่จะ 
“ชนะ” มักจะมีคุณสมบัติพิเศษอะไร เช่น หน้าตาดี รูปร่างดี 
นอกเหนือไปจากการแสดงที่จะต้องมีความสามารถในระดับหนึ่ง เป็นต้น 
เช่นเดียวกับเรื่องของกีฬา ที่บางทีถ้าคุณ “ตัวเล็ก” 
ในหมู่นักกีฬาประเภทนั้น โอกาสชนะก็อาจจะยากมาก
หรืออย่างการทำงานเป็นลูกจ้างอย่างที่ตัวผมเองครั้งหนึ่งเคยทำงานเป็นวาณิชธนกิจของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง
 ซึ่งผมทำมานานพอสมควรแต่ประสบความสำเร็จน้อยมากหรือเป็น “ผู้แพ้” ทั้ง ๆ 
ที่ทุ่มเท “แทบตาย” 
และก็คิดว่าเราน่าจะมีความรู้มากพอเพราะเรียนจบปริญญาเอกทางการเงิน 
หลังจากออกมาจากวงการและคิดย้อนหลังกลับไปถึงได้รู้ว่า เรา 
ซึ่งหมายรวมถึงบริษัทและพนักงานรวมถึงตัวผมเองนั้น 
ไม่มีปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขันเพียงพอโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์ผู้นำทางด้าน
 IB หลายแห่ง
เช่น เราไม่มี “ผลงาน” ที่โดดเด่นพอที่จะไปขายให้กับลูกค้า 
คนของเรารวมถึงตัวผมเองนั้น ภาษาอังกฤษแย่มาก และในวงการนี้ 
ข้อเสนอหรือรายงานเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่อ่อนแอนั้น 
ไม่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งด้านผู้ขายหุ้นและนักลงทุน 
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงฐานลูกค้าที่เรามีน้อยมากเนื่องจากเพิ่งมาทำทีหลังนานมาก
 ผลก็คือ แข่งทีไรก็แพ้แทบทุกที 
และคนที่ชนะก็จะมีปัจจัยในการแข่งขันที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ 
และทำให้การแข่งขันต่อมาก็ชนะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็น 
“วงจรแห่งความรุ่งเรือง” 
ที่ทำให้ชนะและประสบความสำเร็จซึ่งก็รวมไปถึงคนที่เข้าไปทำงานทีหลังก็จะได้อานิสงส์จากความได้เปรียบของตัวบริษัท
และทั้งหมดนั้น 
ผมก็นำมาประยุกต์ใช้กับบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ฯที่เราเข้าไปเลือกซื้อหุ้นแบบ
 “VI” ในแบบ “ซูเปอร์สต๊อก” ที่บอกว่าเราต้องการเลือกหุ้น “ผู้ชนะ” 
ในราคาที่ไม่แพง วิธีการก็คือ ดูว่าในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของบริษัท 
อะไรคือปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน 
ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมก็จะไม่เหมือนกันแม้ว่าจะมีปัจจัยบางอย่างร่วมกันอยู่ 
ตัวอย่างเช่น เรื่องของขนาด 
ซึ่งบางอุตสาหกรรมขนาดอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญมาก แต่ในธุรกิจค้าปลีกนั้น
 ขนาดหรือเครือข่ายที่ใหญ่จะได้เปรียบค่อนข้างมาก และเมื่อใหญ่ถึงจุดหนึ่ง 
การแข่งขันก็มักจะแทบหมดไป รายใหญ่แทบจะชนะเสมอ
การวิเคราะห์ว่าใครหรืออะไรจะแพ้หรือชนะนั้น สำหรับผมแล้ว 
เป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับ “นักเลือก” โดยเฉพาะการเป็น 
“นักลงทุนระยะยาว” 
ที่ความสำเร็จหรือล้มเหลวแทบทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหุ้นหรือหลักทรัพย์ถูกตัวไหม
 และสิ่งที่จะต้องศึกษาและรู้จริงก็คือ 
อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันหรือในความสำเร็จของผู้เล่น 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้หรือเข้าใจได้เอง 
ส่วนมากแล้วก็จะมาจากการวิเคราะห์วิจัยของ “กูรู” 
ทางธุรกิจที่ได้เขียนหนังสือหรือแบบเรียนให้นักศึกษาเรียนรู้ 
การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรือกรณีศึกษาทางธุรกิจเองก็มีความสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจและนำมาใช้วิเคราะห์ได้เช่นเดียวกัน
 และนี่ก็คือเหตุผลที่นักลงทุนเอกของโลกทั้งหลายมักจะเป็น “นักอ่านตัวยง” 
ทั้งนั้น
การวิเคราะห์ว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้นั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ใช้เฉพาะในธุรกิจหรือหุ้นหรือการลงทุน
 
ที่จริงสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการวิเคราะห์ตัวเราเองว่าเราจะชนะหรือแพ้ในชีวิตและเราควรจะทำอะไรที่จะทำให้มีโอกาสชนะมากขึ้น
ส่วนตัวผมเองนั้น จนถึงอายุ 44 ปี ผมเลือก หรือที่จริงควรจะพูดว่า 
“ไม่ได้เลือก” ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ “ไม่มีสิทธิเลือก” 
ให้ต้องทำงานหรือทำสิ่งต่าง ๆ 
ที่ตนเองไม่มีปัจจัยในการแข่งขันหรือต่อสู้เพียงพอ ดังนั้น 
แม้ว่าจะต่อสู้เต็มที่แล้วก็ยังแพ้ แต่เมื่อเริ่มรู้จัก “เลือก” 
ที่จะเป็นนักลงทุน “ด้วยความจำเป็น” ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ผมก็พบว่า
 เรามีปัจจัยในการแข่งขันเต็มเปี่ยม 
เพราะการลงทุนนั้นแทบจะไม่ได้อาศัยอะไรทางด้านร่างกายหรือสถานะทางครอบครัวหรือสังคม
 สิ่งที่ต้องใช้ก็คือ ความรู้ทางธุรกิจ การคิดวิเคราะห์ 
และความเข้าใจในพฤติกรรมของคน 
ซึ่งทั้งหมดนั้นผมมีไม่น้อยกว่าใครในตลาดหุ้นไทยในยุควิกฤติและหลังจากนั้น 
ไม่ได้เก่งหรือมีความสามารถสูงกว่า แค่เป็นคนแรก ๆ ที่คิดเรื่องการลงทุนแบบ
 VI เท่านั้น
หลังจากประสบความสำเร็จในด้านของการลงทุน ถึงวันนี้มีคนชวนให้ทำโน่นนี่รวมถึง
 “เล่นการเมือง” ด้วย อาจจะคิดว่า “มีปัจจัยในการแข่งขัน” 
ซึ่งอาจจะหมายถึงการมีเงินพร้อม แต่ใจผมกลับคิดว่า อายุขนาดนี้แล้ว 
ความสำเร็จที่ผมต้องการจริง ๆ แทบจะเหลืออยู่เรื่องเดียวแล้ว นั่นคือ 
มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจให้ยาวที่สุด 
และนั่นก็คือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1110285  
                     
                 
             
            
         
     
        
X