ข่าวการเงิน
                    เคลียร์หนี้เรื้อรัง ปูทางสู่การแก้หนี้อย่างยั่งยืน
                    
                 
                
                    
                        
                     
                    
                    
                                                
คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย
ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย
“จ่ายได้แค่ดอกเบี้ย เงินต้นแทบไม่ลด” เลยต้องผ่อนน้อย และผ่อนนาน 
เป็นอาการที่มีการพูดถึงกันมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งเราอาจเรียกง่าย ๆ 
ได้ว่าเป็น “หนี้เรื้อรัง”นั่นเอง
ปัญหาหนี้เรื้อรังเกิดจากการที่ลูกหนี้มีรายได้ หรือสภาพคล่องในมือน้อย 
เทียบกับภาระการผ่อนชำระหนี้ ส่งผลให้หนี้ลดช้า 
สภาพคล่องในมือของครัวเรือนที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวัน 
รวมถึงทุนเพื่อการประกอบอาชีพก็มีจำกัด 
เพราะต้องนำส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ไม่จบไม่สิ้น 
เกิดทั้งความเครียดและยังฉุดรั้ง
การขยายตัวทางเศรษฐกิจและอาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน 
ซึ่งนับเป็นหนึ่งใน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” สำคัญของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไข
ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้รับฟังความคิดเห็นทั้งจากหลากหลายเจ้าหนี้และลูกหนี้ 
เพื่อนำมาออกแบบมาตรการในการช่วยเหลือดูแลให้ตรงจุดและมีความสมดุล 
เพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้เกิดขึ้นได้จริง 
โดยไม่ส่งผลต่อความมั่นคงในภาพรวมของระบบสถาบันการเงิน 
ซึ่งภายใต้มาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม หรือ Responsible 
Lending ที่เคยเล่าสู่กันฟังไปแล้ว และได้ทยอยมีผลตั้งแต่ต้นปี 
มีมาตรการใหม่ของแบงก์ชาติที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังโดยเฉพาะ
 ซึ่งจะเริ่มในเดือนเมษายน 2567 นี้
มาตรการแก้หนี้เรื้อรังนี้ 
เปรียบเสมือนยารักษาผู้ป่วยที่สามวันดีสี่วันไข้มานานให้หายขาด 
เพราะจะเป็นการให้ “ทางเลือก” 
กับกลุ่มเปราะบางที่ยังติดอยู่ในวงจรหนี้ไม่เห็นทางออก ให้ปิดจบภาระหนี้ได้
 แล้วผู้ป่วยที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังมีอาการอย่างไร ?
อาการ “เรื้อรัง” แสดงว่าลูกหนี้ยังเป็นลูกหนี้ดีที่จ่ายหนี้อย่างสม่ำเสมอ 
จึงมีสถานะเป็นลูกหนี้ปกติ ไม่ได้เป็นหนี้เสีย หรือ NPL แต่อย่างใด 
เพียงแต่จ่ายน้อย ทำให้ส่วนที่จ่ายไปเป็นการชำระค่าดอกเบี้ยเป็นส่วนใหญ่ 
จึงตัดต้นได้น้อย ปิดจบหนี้ได้ยาก ต้องใช้เวลา 
เหมือนผู้ป่วยที่กินยาบรรเทาอาการมานาน แต่ยังไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ
การรักษาอาการหนี้เรื้อรังนี้ 
จะโฟกัสไปที่ลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. 
ที่มีวงเงินกู้ โดยมีกำหนดชำระตามรอบบิล 
ชำระแล้วก็อาจกู้ใหม่ได้อีกตามวงเงินที่เหลือ 
ทำให้ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องจ่ายกี่งวดจึงจะจบ เช่น สินเชื่อบัตรกดเงินสด 
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงจะติดกับดักหนี้เรื้อรังมากกว่ากลุ่มอื่น 
เพราะสามารถจ่ายขั้นต่ำไปได้เรื่อย ๆ 
โดยมาตรการนี้จะไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 
และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลและบัตรเครดิต 
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสจะเป็นหนี้เรื้อรังน้อยกว่า
การรักษาลูกหนี้เรื้อรัง จึงต้องให้ยาตามอาการ มีตั้งแต่ยาอ่อนไปจนถึงยาแรง
ลูกหนี้ที่เพิ่งเริ่มมีสัญญาณของหนี้เรื้อรัง 
สะท้อนจากการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นนานกว่า 3 ปีนั้น มาตรการจะเน้น 
“กระตุ้นเตือน กระตุกให้ปรับพฤติกรรม” 
โดยเจ้าหนี้จะต้องแจ้งเตือนลูกหนี้ผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการใช้สื่อสารกับลูกหนี้
 (เช่น จดหมาย อีเมล์ SMS แอปพลิเคชั่นธนาคาร และบัญชีทางการ LINE) 
พร้อมทั้งแนะนำให้จ่ายหนี้เพิ่มขึ้นตามกำลังและความสมัครใจ 
เพื่อลดภาระและเวลาในการผ่อนลง 
ที่สำคัญเจ้าหนี้ต้องให้ข้อมูลดอกเบี้ยที่จ่ายไปแล้ว 
รวมถึงเงินต้นและหนี้คงเหลือ เพื่อให้ลูกหนี้ใช้ตัดสินใจ 
และหากลูกหนี้อยากปิดหนี้เร็วขึ้น เจ้าหนี้ก็ต้องมีแนวทางช่วยเหลือให้ด้วย
สำหรับลูกหนี้ที่มีอาการหนี้เรื้อรังขั้นรุนแรง 
โดยมีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าต้นมาแล้วนานกว่า 5 ปี 
และเป็นลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ 
ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ที่มีรายได้น้อยกว่า
 20,000 บาทต่อเดือน และลูกหนี้น็อนแบงก์ที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 
บาทต่อเดือน เจ้าหนี้จะต้อง “เสนอทางออกผ่านการปรับโครงสร้างหนี้” 
ไปยังช่องทางที่ผู้ให้บริการใช้แจ้งข้อมูลกับลูกหนี้ 
พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่จำเป็น เช่น ผลเสียของการชำระหนี้ขั้นต่ำต่อเนื่อง 
คุณสมบัติของลูกหนี้ที่จะเข้าร่วม แนวทางการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข 
ช่องทางติดต่อขอรับคำปรึกษา 
โดยลูกหนี้มีสิทธิเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมมาตรการหรือไม่ ตามความสมัครใจ
ลูกหนี้ที่ตอบรับจะได้เข้าสู่กระบวนการเจรจา 
เพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระที่สอดคล้องกับความสามารถของตน 
พร้อมทั้งปรับเป็นสินเชื่อแบบผ่อนชำระเป็นงวดแทน เพื่อให้มีวันจบ 
และได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี (จากปกติไม่เกิน 25% 
ต่อปี) ทำให้เงินค่างวดที่ชำระในจำนวนเท่าเดิมสามารถลดเงินต้นได้มากขึ้น 
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มจนกว่าจะปิดจบหนี้แล้ว 
(ยกเว้นกรณีที่จำเป็น เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือตกงาน) 
เพื่อให้สามารถปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี
นอกจากนี้ จะมีมาตรการเสริมเชิงป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เรื้อรัง 
โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ 
สถาบันการเงินต้องตั้งค่าเริ่มต้นในการชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชั่นธนาคารให้เป็นการชำระเต็มจำนวนเท่านั้น
 
อีกทั้งจะต้องมีข้อความแจ้งเตือนให้คนที่ไม่ชำระเต็มจำนวนรู้ว่าจะทำให้มีภาระดอกเบี้ยสูงขึ้นด้วย
มาตรการแก้หนี้เรื้อรังให้กับกลุ่มเปราะบางนี้ 
เป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่เท่านั้น 
โดยยังมีจิ๊กซอว์สำคัญอีกหลายชิ้นที่จะทำให้ภาพของการแก้หนี้อย่างยั่งยืนมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
 ทั้งการเป็น “ลูกหนี้ที่มีวินัย” เป็นหนี้เท่าที่จำเป็น และจ่ายไหว
ขณะที่ผู้ให้บริการก็ต้องเป็น “เจ้าหนี้ที่มีความรับผิดชอบ” 
ให้สินเชื่อที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและความสามารถของลูกหนี้ ซึ่งในครั้งต่อ
 ๆ ไปจะขอนำมาตรการอื่น ๆ 
และแนวทางการกำกับดูแลเชิงรุกของแบงก์ชาติมาเล่าให้ฟัง แล้วพบกันใหม่ค่ะ
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1509190
                     
                 
             
            
         
     
        
X