ข่าวการเงิน
                    "เรียนไม่จบ แต่รวยกว่าคน ป.ตรี" เจาะเทรนด์ "วัยรุ่นสร้างตัว" ไม่สนวุฒิ-เน้นรายได้-อวดว่อนโซเชียลฯ 
                    
                 
                
                    
                         
                     
                    
                    
                                                
สะท้อนใจเทรนด์ฮิต!!  “วัยรุ่นสร้างตัว”  ต้องรีบมีชีวิตดี เติบโตตามสังคมที่กดดัน ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่นเผยตั้งรับการสื่อสารในโลกโซเชียลฯ ก่อนจะสายเกินแก้!! 
 
ยุคสร้างภาพ-ปลดปล่อยตัวตนบนโซเชียลฯ!!?  
 
 “มันเกิดขึ้นจากกระแสของโซเชียลมีเดีย
 เวลามีโซเชียลมีเดียที่เอามาเปรียบเทียบกัน 
ลองสังเกตประชากรคนไทยใช้โซเชียลมีเดียสูงมาก หมอเข้าใจว่าน่าจะเป็น Top 
ของโลกเลย 
 
แค่เราไปเที่ยวตรงไหน ที่ไหน อย่างไรมา เราก็เอามาลงหมดเลย 
ส่วนคนที่ขยันทำงานกันอยู่ เมื่อนั่งดูก็มีความรู้สึกจิตตกเหมือนกัน 
ตัวเองไม่ได้เที่ยว ซึ่งก็มีวุฒิภาวะที่เบรกตัวเองได้  
 
แล้วมาเจอเด็กกันเองที่ใช้โซเชียลมีเดียในการที่จะเอามาโอ้อวดกัน 
เอามาโชว์กัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ก็เป็นหมดเลย ทั้ง facebook, twitter, 
instagram มันไปในกระแสแบบนั้นหมดเลย” 
[รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี]  
รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี   กุมารแพทย์ด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เจ้าของแฟนเพจ   “บันทึกหมอเดว”  ให้ความเห็นแก่ ทีมข่าว MGR Live   หลังจากมีกระแสเทรนด์วัยรุ่นสร้างตัว ต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย จนในขณะนี้มีการพูดถึงในโลกโซเชียลฯ เป็นจำนวนมาก 
ล่าสุดกลายเป็นดรามาชวนชาวโซเชียลสงสัยต่อเหตุการณ์วัยรุ่นคนหนึ่งถ่ายรถป้ายแดง
 ประกาศเรียนไม่จบ แต่ได้รับเงินเดือน 5 หมื่น 
พร้อมทั้งเทียบกับคนจบปริญญาตรี เงินเดือนแค่ 15,000 บาท 
 
อย่างไรก็ดี เมื่อถูกแชร์ออกไป นำมาซึ่งความคิดเห็นไปทางเดียวกัน 
คือความผิดปกติของโพสต์ดังกล่าว บวกกับความหมั่นไส้นิดๆ 
ที่ดูอวดชีวิตดีจนเกินไป ทำให้ทัวร์มาลงวัยรุ่นรายนี้ 
ต้องรีบลบโพสต์ดังกล่าวออกไป 
 
“คนจบปริญญาบางคน ทำงานได้เงินเดือน 15,000 บางคนเรียนจบไม่สูงอ่านออกเขียนไม่ได้ แต่เงินเดือน 50,000 มันคือเรื่องจริง”  
 
 
ผ่านสายตาของคุณหมอเดวมองว่าในยุคที่เราเห็นความสำเร็จของคนอื่นได้ง่าย การเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองก็เลยเกิดขึ้นได้ง่าย 
 
“จริงๆ ณ ขณะนี้มันเป็นกระแส คือหมอมองว่าเราอยู่ในยุคของ fast life กระแสของดิจิทัล เด็กทุกคนที่เกิดมาอยู่ในระบบดิจิทัลหมด  
 
การใช้ระบบดิจิทัลมันเป็น fast life หมด 
แล้วกระแสของโซเชียลมีเดียมันก็กดดันกันเอง 
เพราะแนวคิดที่เป็นทุนนิยมที่จะต้องการรวยเร็ว รวยทางลัด 
ทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว 
มันเป็นแนวคิดใหม่ของคนรุ่นใหม่หมดเลย  
 
การที่จะต้องมาคอยการรักและผูกพันในองค์กร พวกนี้ร่อยหรอหมด 
ก็บวกกับชีวิตที่เปลี่ยนไปด้วย เพราะวิถีชีวิตทั้งในบ้าน ทั้งในชุนชน 
และรั้วสถาบันการศึกษา 
ก็ถูกเร่งรัดเราจะสังเกตเห็นเลยว่าเขาใช้ระบบเร่งรัดเรียน 
ฉะนั้นในรั้วเองก็ไม่ได้ทำให้ slow life ขึ้น แต่เป็น fast life 
หนักขึ้นไปอีก และมีการเปรียบเทียบไปอีก คนที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น 
และเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหลื่อมล้ำทั้งในรูปแบบของการศึกษา 
ซึ่งเป็นผลกระทบหมดเลยที่ทำให้เกิดทัศนคติใหม่ เขาเรียกว่า mindset 
ของเด็กรุ่นใหม่ครับ” 
 
 ตั้งรับความอ่อนแอ “เครียด-คิดสั้น”  
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการที่เห็นการสร้างคำถามถึงการประสบความสำเร็จ
 อยากได้ อยากมีบนโลกออนไลน์ หากแต่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นการสร้างความกดดันให้ชีวิตของตัวเอง 
รุนแรงไปถึงเกิดภาวะตึงเครียด คิดสั้น 
 
“เวลาเราดำเนินชีวิตอย่างรวดเร็ว และต้องการกดดันขึ้นมา มันจะนำมาสู่ความตึงเครียด ความคาดหวัง แล้วจะนำมาสู่ภาวะทางจิตที่อ่อนแอ  
 
บางคนอาจจะอ่อนแอต้องไปพึ่งยาเสพติด บางคนอาจจะอ่อนแอถึงขั้นโรคจิต 
อย่างเช่น ภาวะความตึงเครียดจะนำมาสู่ซึมเศร้า วัยรุ่นฆ่าตัวตายสำเร็จ 2 
รายต่อวัน ยังไม่นับที่พยายามฆ่าตัวตาย 20 เท่า 
ซึ่งจะเห็นเลยว่าจำนวนอย่างนี้ เป็นจำนวนที่เยอะมาก และมันกำลังมากขึ้น 
เพราะโดนแรงกดดัน โดนแรงเปรียบเทียบ 
ตั้งความคาดหวังตัวเองก็สูงมีกลไกที่ทำให้เขาต้อง slow life 
ความรู้สึกตั้งสติได้ มันอ่อนไปด้วย ซึ่งเป็นงานวิจัยทุนชีวิตของหมอเอง 
ที่จะเห็นว่าครอบครัวก็อ่อนแอลง หลังคาบ้านมีแค่อาศัยอยู่แค่นั้น 
หรือแม้กระทั่งรั้วโรงเรียนก็อ่อนแอลง ชุมชนก็อ่อนแอลง กลไกตัวนี้อ่อนแอ 
บวกกับปฏิกิริยาถูกเร่งอย่างแรง มันก็เลยเกิดผลลัพธ์แบบนี้” 
 
 
ทว่า ในขณะที่สังคมบีบบังคับให้เติบโต 
ความเครียดจากการเป็นผู้ใหญ่ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องการเงิน การงาน 
รวมทั้งความสัมพันธ์ต่างๆ มาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ 
 
คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่นได้ทิ้งท้ายไว้ว่า 
ควรให้ความสำคัญถึงการปลูกฝังพลังบวกให้แก่บุตรหลาน 
เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้เติบโตขึ้นมามีพลังบวกเป็นเกราะป้องกันจิตใจ 
รวมถึงการตั้งรับการสื่อสารในโลกโซเชียลฯ ที่กลายเป็นหนึ่งในชีวิตไปแล้ว 
 
 
 
 
“ถอยกันมาตั้งหลัก สื่อสารดีๆ สื่อสารด้วยพลังบวก ใช้สติ ไม่ใช้อารมณ์ 
 อีกเรื่องที่หมอรู้สึกว่าสำคัญมาก คือ ภารกิจเปลี่ยนแปลงอินเนอร์จากข้างใน
 โดยเลือกมา 1 พฤติกรรม และเกิดการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ในบ้าน ชุมชน 
โรงเรียน ซึ่งเป็นกลไกหลักของเด็กๆ ที่ใช้ชีวิตกันอยู่ 
ก็ทำให้ช่วยเยียวยาสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตนี้ลงไปได้ 
 
เพราะสังคมกลายเป็นสังคมดิจิทัล เราก็ไม่ได้ปฏิเสธดิจิทัล 
แม้แต่เรื่องคุณธรรมเราก็ทำในรูปแบบของที่สามารถวัดได้แล้ว 
คุณธรรมสัมผัสได้ แล้วคุณธรรมกินได้ 
ทั้งหมดนี้เรากลายมาให้เป็นประเด็นที่สามารถจับต้องได้ 
 
มันเป็นพฤติกรรมที่ดีครับ เพราะฉะนั้นถ้าพฤติกรรมที่ดี 
มันจะทำให้สิ่งที่น้องตั้งคำถามมา 
มันจะช่วยเยียวยาสภาวะทางจิตใจของประชาชนได้ 
เราเชื่อว่านี่เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ลดทอนความวิกฤตที่มันเป็นอยู่ครับ” 
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live 
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ 
https://mgronline.com/live/detail/9650000120714   
                     
                 
             
            
         
     
 
        
X