การวางแผนทางการเงิน
                    เปิด 10 ศัพท์การลงทุนที่ควรรู้ ในช่วงตลาดหุ้นร่วง-วิกฤต 
                    
                 
                
                    
                         
                     
                    
                    
                                                
อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิด 10 ศัพท์การลงทุนที่ควรรู้ ในช่วงตลาดหุ้นร่วง-วิกฤต 
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนวเสท์ เอกซ์ (InnovestX) รายงานว่า ในโลกของการลงทุน เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนหรือเผชิญกับวิกฤตได้ การรู้จักศัพท์เฉพาะในช่วงเวลาเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์และตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่ามีคำศัพท์อะไรบ้างที่คุณควรรู้ 
1. ตลาดหมี (Bear Market) 
ตลาดหมีคือภาวะที่ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ มีแนวโน้มราคาลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยทั่วไปจะหมายถึงการลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด 
ลักษณะสำคัญของตลาดหมี: – ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง – ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ำ – อาจเกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย, วิกฤติการเงิน, หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นๆ 
การรับมือกับตลาดหมี: – ประเมินพอร์ตการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ – พิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล – มองหาโอกาสในการลงทุนระยะยาวในราคาที่ถูกลง 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ลดลงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุด เข้าสู่ภาวะตลาดหมีที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 
2. การเทขาย (Panic Selling) 
การเทขายคือภาวะที่นักลงทุนจำนวนมากรีบขายหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ พร้อมกันอย่างรวดเร็วเนื่องจากความกลัวหรือความตื่นตระหนก ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงในระยะเวลาอันสั้น 
สาเหตุของการเทขาย: – ข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจหรือการเมือง – การขาดความเชื่อมั่นในตลาด – การเกิดวิกฤติการณ์ที่ไม่คาดคิด 
ผลกระทบของการเทขาย: – ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง – สภาพคล่องในตลาดลดลง – อาจนำไปสู่การหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker) 
วิธีรับมือกับการเทขาย: – รักษาสติและไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ – ประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย – มองหาโอกาสในการลงทุนเมื่อราคาลดลงมาก (ถ้ามีเงินสดพร้อม) 
ตัวอย่าง: ในช่วงต้นของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2020 เกิดการเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ดัชนี SET ของไทยลดลงกว่า 10% ในวันเดียว 
3. Circuit Breaker 
Circuit Breaker คือมาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราวในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อดัชนีตลาดลดลงเกินกว่าระดับที่กำหนด เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาทบทวนสถานการณ์และลดความผันผวนของตลาด 
การทำงานของ Circuit Breaker: – มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การลดลงของดัชนี – เมื่อถึงระดับที่กำหนด ตลาดจะหยุดการซื้อขายตามระยะเวลาที่กำหนด – หากดัชนียังคงลดลงต่อเนื่อง อาจมีการใช้ Circuit Breaker ในระดับถัดไป 
ประโยชน์ของ Circuit Breaker: – ลดความตื่นตระหนกของนักลงทุน – ให้เวลานักลงทุนประเมินสถานการณ์ – ป้องกันการลดลงของตลาดอย่างรุนแรงเกินไป 
ตัวอย่าง: ในวันที่ 13 มีนาคม 2020 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้มาตรการ Circuit Breaker เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี เมื่อดัชนี SET ลดลงเกิน 10% จากวันก่อนหน้า 
4. Volatility (ความผันผวน) 
Volatility หรือความผันผวน คือการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งความผันผวนสูง แสดงว่าราคามีการเปลี่ยนแปลงมากและรวดเร็ว 
ลักษณะของ Volatility: – วัดโดยใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน – มักสูงในช่วงวิกฤติหรือตลาดร่วง – สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของการลงทุน 
ดัชนีที่ใช้วัด Volatility: – VIX Index (CBOE Volatility Index) สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ – Thailand VIX สำหรับตลาดหุ้นไทย 
การรับมือกับ Volatility สูง: – กระจายการลงทุนให้มากขึ้น – พิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล – ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบทยอยซื้อ (Dollar-Cost Averaging) 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ดัชนี VIX พุ่งสูงถึงระดับ 82.69 จุดในวันที่ 16 มีนาคม 2020 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความผันผวนที่สูงมากในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
5. Flight to Quality 
Flight to Quality หรือการหนีไปสู่คุณภาพ คือพฤติกรรมของนักลงทุนที่ย้ายเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง 
สินทรัพย์ที่มักได้รับความนิยมในช่วง Flight to Quality: – พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเสถียรภาพสูง เช่น สหรัฐฯ, เยอรมนี – ทองคำ – เงินสดในสกุลเงินที่แข็งค่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, เยน 
ผลกระทบของ Flight to Quality: – ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น (ผลตอบแทนลดลง) – ราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น, สินทรัพย์ดิจิทัล ลดลง – ค่าเงินของประเทศเกิดใหม่อ่อนค่าลง 
การรับมือกับ Flight to Quality: – ประเมินความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน – พิจารณาเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย – เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในการลงทุนเมื่อตลาดกลับมาปกติ 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 นักลงทุนทั่วโลกแห่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก 
6. Margin Call 
Margin Call คือการเรียกให้นักลงทุนนำเงินมาเพิ่มในบัญชี Margin (บัญชีที่ใช้เงินกู้ยืมในการลงทุน) เมื่อมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดร่วงอย่างรุนแรง 
สาเหตุของ Margin Call: – ราคาหลักทรัพย์ที่ซื้อด้วยเงินกู้ลดลงมาก – มูลค่าหลักประกันต่ำกว่าเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด 
ผลกระทบของ Margin Call: – นักลงทุนต้องนำเงินมาเพิ่มในบัญชี – หากไม่นำเงินมาเพิ่ม โบรกเกอร์อาจขายหลักทรัพย์บางส่วนเพื่อรักษาระดับหลักประกัน – อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรงหากไม่สามารถจัดการได้ทัน 
วิธีรับมือกับ Margin Call: – หลีกเลี่ยงการใช้ Margin มากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน – เตรียมเงินสดสำรองไว้เผื่อกรณี Margin Call – พิจารณาปิดสถานะการลงทุนบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ปี 2020 นักลงทุนหลายรายเผชิญกับ Margin Call เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้ต้องขายหุ้นในราคาต่ำเพื่อรักษาระดับหลักประกัน 
7. Dead Cat Bounce 
Dead Cat Bounce หรือ “การเด้งของแมวตาย” เป็นสำนวนที่ใช้อธิบายการฟื้นตัวชั่วคราวของราคาสินทรัพย์หลังจากที่ลดลงอย่างรุนแรง ก่อนที่จะกลับมาลดลงอีกครั้ง เปรียบเสมือนแมวที่ตกจากที่สูงแล้วเด้งขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิท 
ลักษณะของ Dead Cat Bounce: – การฟื้นตัวระยะสั้นของราคาสินทรัพย์ – มักเกิดขึ้นหลังจากการลดลงอย่างรุนแรง – ไม่ใช่การกลับตัวของแนวโน้มตลาดในระยะยาว 
สาเหตุที่อาจทำให้เกิด Dead Cat Bounce: – การปิดสถานะ Short ของนักเก็งกำไร – การเข้าซื้อของนักลงทุนที่คิดว่าราคาลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว – ข่าวดีชั่วคราวที่กระตุ้นการซื้อระยะสั้น 
การรับมือกับ Dead Cat Bounce: – ไม่รีบร้อนซื้อสินทรัพย์ทันทีที่เห็นการฟื้นตัว – ประเมินปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มตลาดในระยะยาว – ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจ 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ดัชนี S&P 500 มีการฟื้นตัวหลายครั้งระหว่างทางที่ลดลง แต่ก็เป็นเพียงการฟื้นตัวชั่วคราวก่อนที่จะลดลงต่อเนื่องจนถึงจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2009 
8. Black Swan Event 
Black Swan Event หรือ “เหตุการณ์หงส์ดำ” คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ยากที่จะทำนาย และส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจ คำนี้ถูกนำมาใช้โดย Nassim Nicholas Taleb ในหนังสือ “The Black Swan” ของเขา 
ลักษณะของ Black Swan Event: – เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากและไม่คาดคิด – มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดและเศรษฐกิจ – มักถูกอธิบายว่า “น่าจะเกิดขึ้นได้” หลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว 
ตัวอย่างของ Black Swan Event: – วิกฤติการเงินโลกปี 2008 – เหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา – การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 
การรับมือกับ Black Swan Event: – กระจายการลงทุนให้หลากหลาย – มีแผนรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน – รักษาสภาพคล่องและเงินสำรองให้เพียงพอ 
ตัวอย่าง: การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 เป็น Black Swan Event ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลก ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ในหลายประเทศและตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรง 
9. Recession (ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ) 
Recession หรือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ คือช่วงเวลาที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปนิยามว่าเป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส 
ลักษณะของ Recession: – การเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ – อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น – การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจลดลง 
ผลกระทบของ Recession ต่อการลงทุน: – ตลาดหุ้นมักปรับตัวลดลง – บริษัทหลายแห่งอาจมีผลประกอบการแย่ลงหรือขาดทุน – อัตราดอกเบี้ยมักลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 
การรับมือกับ Recession: – เน้นลงทุนในบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง – พิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล – มองหาโอกาสลงทุนในราคาที่ถูกลงสำหรับการลงทุนระยะยาว 
ตัวอย่าง: ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008-2009 เกิด Recession ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “The Great Recession” ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหดตัวอย่างรุนแรง และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงมากกว่า 50% 
10. Deflation (ภาวะเงินฝืด) 
Deflation หรือภาวะเงินฝืด คือสภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะยาว 
ลักษณะของ Deflation: – ราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง – อำนาจซื้อของเงินเพิ่มขึ้น – การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัวเนื่องจากคาดว่าราคาจะลดลงอีกในอนาคต 
ผลกระทบของ Deflation ต่อการลงทุน: – มูลค่าของหนี้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นในแง่ของอำนาจซื้อ – ผลตอบแทนจากการลงทุนอาจลดลงเมื่อเทียบกับอำนาจซื้อที่เพิ่มขึ้น – บริษัทอาจมีกำไรลดลงเนื่องจากราคาขายลดลง 
การรับมือกับ Deflation: – พิจารณาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว – ระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีหนี้สินสูง – มองหาบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา 
ตัวอย่าง: ประเทศญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะ Deflation ยาวนานนับทศวรรษตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีผลตอบแทนต่ำเป็นเวลานาน 
การเรียนรู้ศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์ตลาดในช่วงวิกฤตได้ดียิ่งขึ้น!  อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงตลาดผันผวนหรือวิกฤติมีความเสี่ยงสูง คุณควรศึกษาข้อมูลให้ดีและพิจารณาความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ 
                     
                 
             
            
         
     
 
        
X