คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

เทรนด์ใหม่ท่องเที่ยว เลือกของฝากที่ดีที่สุด

20/05/2025

ปัจจุบันนักเดินทางเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการซื้อของฝาก บางคนอาจมองว่าของฝากไม่จำเป็น แต่สำหรับคนที่ยังเลือกซื้อ ก็มักให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจและผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มาดูกันว่าเทรนด์ใหม่ท่องเที่ยว เลือกซื้อ ของฝากที่ดีที่สุด แนวคิดเรื่องของฝากเปลี่ยนไปอย่างไร และนักเดินทางยุคนี้เลือกซื้อของฝากอย่างไรให้มีความหมายของฝากจากการเดินทางมีที่มาอย่างไร?การเก็บของที่ระลึกจากการเดินทางมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น ในสมัยโรมัน นักเดินทางมักนำข้าวของจากดินแดนที่ไปเยือนกลับมาเป็นหลักฐานว่าพวกเขาเคยไปที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ หนังสัตว์ หรือของหายากต่าง ๆ ต่อมาในยุคอุตสาหกรรมและทุนนิยม การท่องเที่ยวเติบโตขึ้นพร้อมกับตลาดของฝากที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วการเลือกซื้อของฝากให้คุ้มค่านักเดินทางยุคใหม่ไม่ได้เลือกซื้อของฝากเพียงเพราะเป็นธรรมเนียม แต่จะคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้ได้ของฝากที่มีคุณค่าแท้จริง ทั้งต่อตัวเอง ผู้รับ และชุมชนที่ผลิตของฝากนั้น  •  ตั้งคำถามก่อนซื้อก่อนหยิบของฝากขึ้นมา ลองถามตัวเองว่าสินค้านี้ผลิตที่ไหน? ใครเป็นผู้ทำ? รายได้จากสินค้านี้จะกลับไปสู่ชุมชนจริงหรือไม่? มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร?  •  สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นแท้ ๆแทนที่จะซื้อสินค้าจากร้านขายของที่ระลึกที่มีแต่ของผลิตซ้ำ ควรมองหาร้านค้าท้องถิ่นหรือช่างฝีมือที่ทำสินค้าแบบดั้งเดิม เช่น เสื้อผ้าทอมือ เครื่องปั้นดินเผา หรือของใช้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น  •  เลือกของฝากที่ได้รับการรับรองบางประเทศมีสัญลักษณ์รับรองสินค้าแท้ เช่น GI (Geographical Indication) สำหรับสินค้าท้องถิ่นของอินเดีย หรือ Indigenous Art Code ของออสเตรเลียที่ช่วยแยกแยะงานศิลปะของชนพื้นเมืองแท้จากของลอกเลียนแบบ  •  ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าวัตถุบางครั้งของฝากที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นประสบการณ์ เช่น การเรียนทำอาหารท้องถิ่น การเข้าร่วมเวิร์กช็อปงานฝีมือ หรือการบันทึกความทรงจำผ่านไดอารี่และภาพถ่ายเปลี่ยนมุมมองของฝากการซื้อของฝากในยุคนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดซื้อ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีเลือกให้ดีขึ้น หากของฝากสามารถช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ส่งเสริมวัฒนธรรม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก็จะเป็นการเดินทางที่มีความหมายมากขึ้นดังนั้น ก่อนจะซื้อของฝากชิ้นต่อไป ลองหยุดคิดสักนิดว่าของชิ้นนั้นมีเรื่องราวเบื้องหลังอย่างไร และมันสามารถสร้างความทรงจำที่มีค่าให้กับคุณได้มากแค่ไหนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1452123/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

เปิด 5 เคล็ดลับ สร้างแผนประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้สูงอายุ

20/05/2025

บทความโดย "ณรงค์ศักดิ์ พิริยะพงษ์"นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยปัจจุบันคงต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะจากข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนธันวาคม 2566 พบว่าไทยมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศจำนวน 13,064,929 คน คิดเป็น 20.17% ของประชากรรวม และเมื่อระบุเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 8,901,145 คน จะคิดเป็น 14% ของประชากรรวมทำให้เรื่องของความเป็นอยู่ และการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีแผนการจัดการเป็นอันดับแรก ๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการป้องกันและรับมือกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะอายุที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมของสายตาที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินหรือการหยิบสิ่งของที่อาจเกิดความผิดพลาดได้ง่ายกว่าวัยหนุ่มสาวข้อมูลเพิ่มเติม จากกรมควบคุมโรค ในแต่ละปีจะพบอุบัติเหตุผู้สูงอายุหกล้มประมาณ 3 ล้านราย และบาดเจ็บต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 60,000 รายต่อปี โดยมีผู้เสียชีวิตจากการหกล้มเฉลี่ย วันละ 4 ราย และยังเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดความพิการ ส่งผลกระทบต่อจิตใจ หวาดกลัวการหกล้ม และต้องพึ่งพาผู้อื่น ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลการวางแผนประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้สูงอายุประกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ดังนี้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุสูงขึ้น เช่น การลื่นล้ม หรือการเกิดอุบัติเหตุในบ้าน เนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย ประกันอุบัติเหตุสามารถช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันการลดภาระทางการเงิน การรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุอาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุที่อาจต้องการการดูแลพิเศษ ประกันอุบัติเหตุช่วยลดภาระทางการเงินทั้งของผู้สูงอายุและครอบครัวการชดเชยรายได้ สำหรับผู้สูงอายุที่ยังทำงานหรือมีรายได้จากกิจกรรมต่าง ๆ หากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ประกันอุบัติเหตุที่มีค่าชดเชยรายวันจะช่วยชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปในช่วงที่พักฟื้นความสบายใจและความมั่นคง การมีประกันอุบัติเหตุทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เนื่องจากรู้ว่ามีความคุ้มครองที่สามารถช่วยเหลือได้ในยามฉุกเฉินการดูแลที่ครบถ้วน บางแผนประกันอุบัติเหตุอาจครอบคลุมถึงบริการดูแลพิเศษหลังการรักษา เช่น การฟื้นฟูสภาพ หรือการติดตามการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเพิ่มเติมหลังจากประสบอุบัติเหตุเคล็ดลับสำหรับการพิจารณาเลือกซื้อประกันอุบัติเหตุให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุอายุ ตรวจสอบช่วงอายุที่ประกันครอบคลุม โดยแต่ละบริษัทจะมีกำหนดช่วงอายุที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ บริษัทจะกำหนดช่วงอายุรับประกันไว้ถึง 70 ปี ในขณะที่บางบริษัทกำหนดถึง 99 ปี ซึ่งสามารถทราบข้อมูลจากเอกสาร ตัวแทนผู้นำเสนอขาย หรือรายละเอียดบนเว็บไซต์ความคุ้มครองที่เพียงพอเหมาะสมกับเบี้ยที่ชำระ การเลือกแบบประกันอุบัติเหตุ นอกเหนือจากการชดเชยจากการสูญเสียชีวิตหรืออวัยวะแล้ว ควรพิจารณาที่มีความคุ้มครองครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพร่างกาย และการดูแลหลังการรักษาเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย โดยควรพิจารณาให้เหมาะสมกับรายได้และความสามารถในการจ่ายของผู้สูงอายุพิจารณาเงื่อนไขกรมธรรม์และข้อยกเว้น การศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุมีความสำคัญ เนื่องจากมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ต้องทราบ เช่น ข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชย ความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุมทันที และขอบเขตของความคุ้มครอง ซึ่งสามารถพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ จากเอกสารเสนอขาย และเอกสารกรมธรรม์เช็กสิทธิค่ารักษาพยาบาลที่มีอยู่แล้ว ตรวจสอบสิทธิค่ารักษาพยาบาลอื่น ๆ เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือกรมธรรม์อื่น ๆ ที่เคยซื้อไว้ เพื่อนำมาพิจารณาตัดสินใจก่อนการซื้อประกันอุบัติเหตุผู้สูงอายุการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ เป็นตัวบ่งบอกถึงโอกาสเกิดอุบัติเหตุ หากผู้สูงอายุชอบทำกิจกรรม เช่น เดินไปตลาด หรืออยู่แต่บ้าน การเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงตามความต้องการทั้งนี้ การพิจารณาอาจทำเป็นตารางเปรียบเทียบเพื่อให้ง่ายต่อการทำข้อมูลให้อยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน โดยตัวอย่างเป็นการพิจารณาเลือกซื้อประกันอุบัติเหตุ ของคุณณรงค์ศักดิ์ อายุ 50 ปี เพศชาย ซึ่งมีความต้องการความคุ้มครองชีวิตอยู่ในวงเงินประมาณ 1,000,000 บาท และมีวงเงินค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ โดยเพิ่มเติมจากสิทธิการรักษาที่มีอยู่แล้วบ้างบางส่วน จึงหาข้อมูลมาเปรียบเทียบ ดังนี้ข้อมูลการเปรียบเทียบที่ได้ นำมาสรุปการพิจารณา ดังนี้บริษัท ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่สูง (100,000 บาท) ด้วยค่าเบี้ยประกันที่อยู่ในระดับปานกลาง (6,000 บาทต่อปี)บริษัท ข เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตสูงสุด (1,200,000 บาท) แต่ค่าเบี้ยประกันจะสูงกว่าบริษัทอื่น (7,500 บาทต่อปี)บริษัท ค เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค่าชดเชยรายวันสำหรับการนอนโรงพยาบาล (1,000 บาทต่อวัน) นอกเหนือจากความคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาลปกติ (7,000 บาทต่อปี)ทั้งนี้ การเลือกแผนประกันที่เหมาะสม ควรนำข้อมูลการเปรียบเทียบดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบกับเคล็ดลับการเลือกซื้อประกันอุบัติเหตุให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุข้างต้น เพื่อให้ได้แบบประกันที่ครอบคลุมเหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุดประกันอุบัติเหตุเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินจากการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและเงินเก็บไม่ให้รั่วไหลกับค่ารักษาพยาบาล ด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามอายุ การมีประกันอุบัติเหตุช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพร่างกาย หรือการชดเชยรายได้ในกรณีที่ไม่สามารถทำงานได้ในช่วงพักฟื้นนอกจากนี้ ประกันอุบัติเหตุยังช่วยลดภาระทางการเงินที่อาจตกอยู่กับครอบครัวเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน การวางแผนและมีประกันอุบัติเหตุเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิตช่วงบั้นปลาย ทำให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบายใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ความสำคัญของประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้สูงอายุจึงไม่ควรถูกมองข้าม เป็นการลงทุนที่มีค่าในอนาคตและความปลอดภัยของชีวิตแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1773849

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เมื่อความผิดเพี้ยนกลายเป็นศิลปะ ชวนสำรวจนิทรรศการสุดป๊อป “THE BOOTLEG SHOW” ที่ MOCA BANGKOK

20/05/2025

ชวนท่องเที่ยวในนิทรรศการ “THE BOOTLEG SHOW” โดย MRKREME หรือ แอนดี้ วรกันต์ จงธนพิพัฒน์ ศิลปินไทย-ฮ่องกง ผู้โด่งดังจากสไตล์ ป๊อป-เซอร์เรียล สีสันสดใส ที่ผสมผสานจินตนาการเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวได้อย่างลงตัว กับนิทรรศการเดี่ยวบนจักรวาล BOOTLEG พร้อมสำรวจโลกที่ความไม่สมบูรณ์แบบ ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความงามครั้งใหม่ได้ที่ MOCA BANGKOKสายอาร์ตและคนรักความคิดสร้างสรรค์ห้ามพลาด MOCA BANGKOK (พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย) เปิดพื้นที่ให้เราได้ตั้งคำถามกับคำว่า "ต้นฉบับ" กันอีกครั้ง กับนิทรรศการเดี่ยวสุดคูล “THE BOOTLEG SHOW: การสำรวจต้นฉบับและการบิดเบือน” แอนดี้ วรกันต์ จงธนพิพัฒน์ ศิลปินไทย-ฮ่องกง เจ้าของผลงาน MRKREMEผลงานจาก MRKREME หรือ แอนดี้ วรกันต์ จงธนพิพัฒน์ ศิลปินไทย-ฮ่องกง ผู้โด่งดังจากสไตล์ ป๊อป-เซอร์เรียล สีสันสดใส ที่ผสมผสานจินตนาการเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวได้อย่างลงตัว ที่จะชวนทุกคนไปสำรวจโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความงามครั้งใหม่ได้จุดเริ่มต้นของนิทรรศการสุดปั่นนี้มาจากคำถามที่เรียบง่ายแต่ท้าทายความคิดว่า “ความเป็นต้นฉบับคืออะไร?” เมื่อ MRKREME ออกแบบคาแรกเตอร์ Mushkin เพื่อทำเป็นอาร์ตทอย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากโรงงานกลับผิดเพี้ยนไปจากต้นแบบอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะท้อแท้ ความคลาดเคลื่อนนี้กลับจุดประกายให้ศิลปินตั้งคำถามและสำรวจว่า หรือแก่นแท้ของความคิดสร้างสรรค์อาจไม่ได้อยู่ที่ความเป๊ะปังตามแบบฉบับ แต่อยู่ที่การตีความ ความผิดพลาด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างทางต่างหากใน "THE BOOTLEG SHOW" MRKREME ไม่เพียงแต่จัดแสดงงาน แต่ยังพลิกบทบาทผู้ชมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์ ด้วยการชวนให้ทุกคนลองวาด Mushkin จากความทรงจำของตัวเองแล้วนำภาพวาดเหล่านั้นมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และวิดีโอ อินสตอลเลชัน ทำให้เส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง "ของแท้" กับ "ของปลอม" หรือ "ต้นฉบับ" กับ "ความบิดเบือน" ค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นบทสนทนาที่เปิดกว้างเกี่ยวกับเจตนาและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน ดินน้ำมัน ซึ่งเป็นวัสดุแรกที่ศิลปินใช้ปั้นต้นแบบ ก็ถูกนำกลับมาใช้เป็นสื่อหลัก สะท้อนถึงความไม่แน่นอน ลื่นไหล และความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งมาร่วมเปิดประสบการณ์และตีความ "ความเป็นต้นฉบับ" ในมุมมองใหม่ พร้อมค้นหาแรงบันดาลใจจากความไม่สมบูรณ์แบบในนิทรรศการ “THE BOOTLEG SHOW: การสำรวจต้นฉบับและการบิดเบือน” โดย MRKREME ได้แล้ววันนี้ได้ที่ห้องนิทรรศการหมุนเวียน 1, 2 และ 3 ชั้น G, MOCA BANGKOK (พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย) ตั้งแต่วันนี้ - 29 มิถุนายน 2568 ในวันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10:00 – 18:00 น. และปิดทุกวันจันทร์ นอกจากนี้ยังสามารถเข้าชมได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ - 11 เมษายน 2568 เท่านั้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/2852182

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ซากุระ บานสะพรั่งที่ “ทะเลสาบซอกชน” กรุงโซล

20/05/2025

“กรุงโซล” ประเทศเกาหลีใต้ นับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดนิยมของการชมซากุระ ดอกไม้ที่เปรียบดั่งสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่อย่างฤดูใบไม้ผลิภาพ: สำนักข่าวซินหัวทั้งนี้ “ซากุระ” (Cherry Blossom) ในภาษาเกาหลีเรียกว่า “พ็อดกด” ถือว่าเป็นดอกไม้ที่ผลิบานออกดอกสะพรั่งงดงามในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะผ่านไป ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเมษายนภาพ: สำนักข่าวซินหัวในเมืองหลวงของเกาหลีใต้อย่างกรุงโซลนั้น มีจุดชมซากุระหลายแห่ง โดยหนึ่งในสถานที่ยอดฮิต คือ ทะเลสาบซอกชน (Seokchon Lake) หรือ สวนสาธารณะทะเลสาบซอกชน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงโซลภาพ: สำนักข่าวซินหัวทะเลสาบแบ่งเป็น 2 ฝั่ง มีถนนคนเดินตรงกลาง รวมพื้นที่ทั้งหมดราว 136 ไร่ ในปลายเดือนมีนาคม-ต้นเมษายน ริมทะเลสาบซอกชน สะพรั่งบานไปด้วยมวลหมู่ดอกซากุระหรือพ็อดกด เป็นทัศนียภาพที่งดงามน่าประทับใจแก่ผู้มาเยือน นอกจากเดินเท้าชมดอกไม้แล้ว ยังสามารถชื่นชมทิวทัศน์ผ่านการปั่นจักรยาน และเรือถีบรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวโดยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทะเลสาบซอกชน ยังเป็นสถานที่จัดงานเทศกาล Seokchon Lake Cherry Blossom Festival ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000033836

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

รับมือแผ่นดินไหว ข้อเสนอด้านประกัน จากกูรูนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

20/05/2025

บทความโดย "อาจารย์ทอมมี่-พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนอกจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ต้องรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว รัฐบาลจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบที่ช่วยให้ทั้งประชาชนและธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวธุรกิจประกันภัย เสาหลักจัดการความเสี่ยงธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงและช่วยลดภาระทางการเงินของประชาชนและองค์กรเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวถือเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติที่สร้างความท้าทายอย่างยิ่งต่อธุรกิจประกันภัย เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นแบบสุ่มและยากต่อการคาดการณ์ในระยะยาว การบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยในกรณีนี้ จึงต้องพึ่งพา “คณิตศาสตร์ประกันภัย” ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการจัดการเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริงผลกระทบเมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บริษัทประกันภัยอาจต้องเผชิญกับการเรียกร้องสินไหมทดแทนจำนวนมหาศาล หากไม่มีการสำรองเงินทุนตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เพียงพอ หรือไม่มีการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับบริษัทประกันภัยระดับสากล ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในอุตสาหกรรมการปรับตัวของธุรกิจประกันภัยในระยะยาว ธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้ทันสมัย เช่น การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประเมินโอกาสเกิดเหตุการณ์และคำนวณเบี้ยประกันภัยได้อย่างแม่นยำบทบาทของรัฐในการสนับสนุนประกันภัยเนื่องจากธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยธรรมชาติ รัฐบาลสามารถเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมนี้ในหลายมิติ ดังนี้1. การสร้างกองทุนสำรองภัยพิบัติภาครัฐสามารถจัดตั้ง “กองทุนสำรองภัยพิบัติ” เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของบริษัทประกันภัยในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติรุนแรง โดยกองทุนนี้อาจถูกนำไปใช้เป็นเงินช่วยเหลือสำรองกรณีที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายสินไหมทดแทนจำนวนมาก2. การสนับสนุนการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)ภาครัฐอาจจัดตั้งโครงการที่ช่วยให้บริษัทประกันภัยในประเทศ สามารถเข้าถึงบริการประกันภัยต่อจากบริษัทระดับสากลได้ง่ายขึ้น เช่น การเจรจาเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างบริษัทประกันภัยในประเทศกับบริษัทต่างชาติ3. การกำกับดูแลและสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายและข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสำรองเงินทุน การออกแบบกรมธรรม์ หรือการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคงและโปร่งใส4. การส่งเสริมความรู้และความตระหนักในประกันภัยภาครัฐสามารถร่วมมือกับภาคธุรกิจประกันภัยในการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว เช่น ประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ หรือการคุ้มครองพิเศษสำหรับธุรกิจในพื้นที่เสี่ยงสูงการจัดการหลังเกิดเหตุการณ์นอกเหนือจากการป้องกันและส่งเสริมการทำประกันภัย รัฐยังมีบทบาทสำคัญในมาตรการช่วยเหลือหลังเหตุการณ์ ได้แก่+ การช่วยฟื้นฟูธุรกิจประกันภัยหลังวิกฤต โดยรัฐบาลอาจให้เงินสนับสนุนหรือมาตรการลดหย่อนภาษีแก่บริษัทประกันภัยที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของอุตสาหกรรม+ การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหาย การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัย จะช่วยให้การพิจารณาสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้นประกันแผ่นดินไหวมีหรือไม่สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดและใกล้ตัวเรา สามารถทำได้โดยเริ่มจากการเปิดกรมธรรม์ประกันภัยที่เรามีอยู่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นประกันบ้าน ประกันรถยนต์ รวมถึงประกันชีวิต แล้วเช็กให้แน่ใจว่า “ภัยแผ่นดินไหว” อยู่ในความคุ้มครองหรือยัง ถ้ามันเขียนว่าเป็นข้อยกเว้นหรือไม่คุ้มครอง ก็แปลว่าความเสี่ยงของความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวยังมีติดกับตัวเราอยู่ การจะผ่องถ่ายความเสี่ยงนี้ไปได้ก็สามารถทำได้โดยให้บริษัทประกันภัยรับไว้ โดยสามารถหาอ่านรายละเอียดหลักการคำนวณเบี้ยประกันภัยตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มเติมได้ที่ www.tommypichet.com/article“ประกันแผ่นดินไหวไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ โดยการบริหารความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลหรือธุรกิจ แต่ยังเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัยที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อให้ระบบประกันภัยของประเทศสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1782667

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

โครงการประกวดศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 14 สร้างสรรค์งานศิลปะผ่านแนวคิดสร้างสมดุลโลก

20/05/2025

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการประกวด “ศิลปกรรมช้างเผือก” ครั้งที่ 14 ในหัวข้อ “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” อันเนื่องมาจากความตระหนักถึงความสำคัญของน้ำ และผลกระทบของน้ำต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพื่อให้ศิลปินได้สร้างสรรค์และสื่อสารแนวคิดร่วมสร้างสมดุลโลกผ่านผลงานของศิลปินแต่ละราย โดยปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 458 ผลงาน และผลงานที่ได้รับ รางวัลช้างเผือก ได้แก่ “ตะเพี๊ยนตะเพียน” โดยนิรัชพร น่วมเจิม รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “Waterworld” โดยเญอรินดา แก้วสุวรรณ รับเงิน รางวัล 500,000 บาท รางวัลคุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ได้แก่ “ธาราแห่งความงอกงาม” โดยธีรพล สีสังข์ รับเงินรางวัล 400,000 บาท รางวัล CEO AWARD ได้แก่ “จุดเริ่มต้น- Genesis” โดยนารา วิบูลย์สันติพงศ์ รับเงินรางวัล 250,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลรองชนะเลิศ 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท และรางวัลชมเชยอีก 12 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 4,350,000 บาทนิติกร กรัยวิเชียร ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า การประกวดศิลปกรรมช้างเผือก เกิดจากความตั้งใจอันดีของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฟ้นหาศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่มีทักษะความสามารถทางศิลปะอันโดดเด่น ในการสร้างสรรค์ศิลปะแบบเหมือนจริง (Realistic) และศิลปะรูปลักษณ์ (Figurative Art) โดยยึดถือความเหมือนจริงเป็นแก่นสำคัญเพื่อให้ผลงานศิลปะเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจด้านศิลปะร่วมสมัยให้ขยายไปสู่การรับรู้ของสังคมในวงกว้าง การดำเนินการประกวดศิลปกรรมช้างเผือกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 และดำเนินงานต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นประจำทุกปี โดยในปี พ.ศ.2568 นับเป็นการจัดการประกวดครั้งที่ 14 “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” เพื่อให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้แสดงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ โดยตีความจากโจทย์ที่กำหนดให้ ซึ่งศิลปินที่เข้าร่วมประกวดแต่ละคน ก็ต่างสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจในรูปแบบและแนวทางที่แตกต่างได้อย่างน่าประทับใจ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีรางวัล CEO Awardพบกับนิทรรศการศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 14 จัดแสดงผลงาน “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” ณ ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ มหานคร ตั้งแต่วันนี้-11 พ.ค.68 โดยสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธาน เปิดงานแสดง และพระราชทานรางวัล ในวันที่ 7 พ.ค.68 นอกจากนี้ ผลงานบางส่วนนำไปจัดแสดงให้ชมอีกครั้งในงาน SX 2025 ระหว่างวันที่ 26 ก.ย.-5 ต.ค.68.รางวัลช้างเผือกรางวัลชนะเลิศรางวัลคุณหญิงวรรณาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/2851737?gallery_id=1

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

3 จุดชมซากุระไม่ควรพลาดจังหวัดฟุกุชิมะ งดงามเป็นเอกลักษณ์

20/05/2025

“ฟุกุชิมะ” เป็นจังหวัดใหญ่อันดับสามของประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่รู้จักในฐานะประตูสู่ภูมิภาคโทโฮคุ สามารถเดินทางด้วยชินคันเซ็นจาก “สถานีโตเกียว” มาลงที่ “สถานีโคริยามะ” ได้ในเวลา 90 นาทีฟุกุชิมะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีดอกซากุระบานสวยงามเป็นเอกลักษณ์ น่าเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง แม้อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยอย่างแพร่หลายและนี่ก็คือ 3 พิกัดชมดอกซากุระบานที่น่าสนใจไม่ควรพลาดของจังหวัดแห่งนี้1. ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง (Suzumigaoka Hachiman Shrine)ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง ตั้งอยู่ในเมืองโซมะ ซึ่งเป็นเมืองแนวชายฝั่งของจังหวัดฟุกุชิมะ ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในฐานะศาลเจ้าฮาชิมังกูเมื่อ 700 กว่าปีก่อน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงสำหรับไฮไลต์จุดชมซากุระที่ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง ได้แก่ บริเวณรอบ ๆ ประตูโทริอิ บ่อโฮโจจิ และสะพานจินโรวิธีการเดินทางจากสถานีเซ็นได : ขึ้นรถไฟ JR East Joban Line (ขบวนที่มุ่งหน้าไปยัง Haranomachi) และลงที่สถานีโซมะ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่จากสถานีโซมะไปประมาณ 10 นาที2. สวนชิคิโนะซาโตะ เรียวคุซุยเอ็น (Shiki no Sato Ryokusuien)สวนชิคิโนะซาโตะ เรียวคุซุยเอ็น เป็นสวนที่มีพื้นที่กว้างขวาง ภายในเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดให้ได้ชมกันตลอดทั้งปี โดยในช่วงกลางเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน จะเป็นช่วงเวลาที่ดอกซากุระและดอกท้อบานอย่างเต็มที่ ส่วนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมก็จะเป็นคราวของดอกซากุระสายพันธุ์ชิบะนอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีวิวของภูเขาอาดาตาระประกอบเป็นฉากหลังอันงดงามอีกด้วยวิธีการเดินทางจากสถานีโคริยามะ : นั่งรถไฟสาย Ban'etsusai ไปยังสถานี Kikuta จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่อไปประมาณ 10 นาที3. ต้นซากุระอิชิเบะ (Ishibe Cherry Blossom)ต้นซากุระอิชิเบะ มีอายุเก่าแก่กว่า 650 ปี ยืนต้นตระหง่านสง่างามท่ามกลางภูเขาและนาข้าวของเมืองไอสึวากามัตสึต้นซากุระอิชิเบะ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นจุดแวะที่เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชม “ปราสาทสึรุกะ” หนึ่งในแลนด์มาร์กชื่อดังที่ห้ามพลาดของจังหวัดฟุกุชิมะวิธีการเดินทางจากสถานีโคริยามะ :1.ขึ้นรถบัสด่วน “Iwaki/Koriyama ⇔ Aizuwakamatsu” จากป้ายรถประจำทางสถานี โคริยามะ แล้วลงที่ป้ายรถประจำทางสถานี Aizuwakamatsu2.จากป้ายรถประจำทางสถานี Aizuwakamatsu ให้เปลี่ยนไปขึ้นรถบัสสาย Akabe แล้วลงที่ป้าย Iimoriyama-shita จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงจุดหมายแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000028691

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

คปภ.เผยสถิติตัวแทนประกันชีวิต “ย้ายค่าย” พุ่ง หวั่นกระทบสิทธิ-เชื่อมั่น

20/05/2025

คปภ.เผยสถิติตัวแทนประกันชีวิต “ย้ายค่าย” ระหว่างบริษัทในอัตราที่สูงขึ้น อาจกระทบสิทธิ-ความเชื่อมั่นของผู้เอาประกัน-เสถียรภาพอุตสาหกรรมประกันภัย เล็งออกมาตรการเชิงรุกกำกับดูแล-ติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดนายอรรถพล พิบูลธนพัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงภาพรวมของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 ที่แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2567 จำนวนตัวแทนและนายหน้าประกันภัยบุคคลธรรมดา รวมทั้งสิ้น 573,218 ราย เพิ่มขึ้น 4.15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนในขณะที่จำนวนตัวแทนประกันชีวิตและตัวแทนประกันวินาศภัย มีจำนวนลดลงเล็กน้อย รวมทั้งสิ้น 232,799 ราย และ 20,895 ราย (ตามลำดับ) แต่จำนวนนายหน้าประกันชีวิต มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 131,022 ราย สำหรับนายหน้าประกันวินาศภัย ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 188,502 รายสำหรับกระบวนการขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 281,518 ราย แบ่งเป็นการออกใบอนุญาตใหม่ จำนวน 118,262 ราย เพิ่มขึ้น 2% และการต่ออายุใบอนุญาต จำนวน 163,256 ราย เพิ่มขึ้น 15.4% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและแนวโน้มการขยายตัวที่มั่นคงของธุรกิจประกันภัยในประเทศนายอรรถพลกล่าวว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ตัวแทนประกันชีวิตจะย้ายค่ายระหว่างบริษัทในอัตราที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัย รวมถึงเสถียรภาพของอุตสาหกรรมประกันภัย สำนักงาน คปภ.จึงออกมาตรการเชิงรุกในการกำกับดูแลและติดตามพฤติกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิดโดยกำชับให้บริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตัวแทนประกันชีวิตในสังกัด หากพบการย้ายค่ายบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือมีพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส หรือชักจูงให้ผู้เอาประกันภัยซื้อกรมธรรม์ใหม่โดยไม่พิจารณาความเสี่ยงที่แท้จริง บริษัทจะต้องชี้แจงและปรับปรุงแนวทาง บริหารทีมขายให้เหมาะสม พร้อมทั้งกำชับให้ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยนอกจากนี้ ยังได้นำระบบ e-Licensing มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี RPA (Robotic Process Automation) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้กระบวนการออกและต่ออายุใบอนุญาตเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบใบอนุญาตของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยผ่านแอปพลิเคชั่น “คนกลาง ForSure” หรือเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. โดยเลือกหัวข้อ “ตรวจสอบใบอนุญาต” ก่อนการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์“การดำเนินมาตรการเชิงรุกดังกล่าว เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการปกป้องสิทธิของผู้เอาประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการของคนกลางประกันภัย และส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในธุรกิจประกันภัย จึงขอเชิญชวนประชาชนติดตามข่าวสารและข้อมูลผ่านช่องทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัย” ผู้ช่วยเลขาธิการสายตรวจสอบคนกลางประกันภัยกล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1777434

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

พงษธัช อ่วยกลาง 'โคราช' ที่คิดถึง นิทรรศการภาพวาดเดี่ยวครั้งแรก

20/05/2025

  •  โด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง เป็นประติมากรชาวไทยผู้มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผลงานของเขาจัดแสดงอยู่ที่ The PARQ, ไอคอนสยาม, Cheval Blanc Randheli โรงแรมลักชัวรี่ของเครือธุรกิจ LVMH ที่มัลดีฟส์ เป็นอาทิ  •  ล่าสุด พงษธัช อ่วยกลาง จัดแสดงผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผืนผ้าใบเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อนิทรรศการ Shiny Airy Freely   •  ภาพจิตรกรรมที่บันทึกความทรงจำของ 'บ้านเกิด' โคราช เลือกมุมวาดจากความรู้สึกที่มองไปแล้วสุขใจ เป็นอิสระโด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง ศิลปินเจ้าของผลงานประติมากรรมร่วมสมัยสุดสร้างสรรค์ผู้ทลายกำแพงระหว่างงานศิลปะกับพื้นที่สาธารณะและสถาปัตยกรรมของอาคารทุกรูปแบบหากคุณเคยไป The PARQ, สยามพรีเมียมเอาท์เล็ต, ไอคอนสยาม, โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ, ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ, โรงแรมฮิลตัน พัทยา ฯลฯ แม้กระทั่ง Cheval Blanc Randheli โรงแรมลักชัวรี่ของเครือธุรกิจ LVMH ที่มัลดีฟส์ และโรงแรม W Muscat ประเทศโอมาน คุณอาจเดินผ่านผลงานประติมากรรมของ โด่ง - พงษธัช แล้วก็ได้พงษธัช อ่วยกลาง กับนิทรรศการ Shiny Airy Freelyล่าสุด โด่ง -พงษธัช จัดแสดงผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ นิทรรศการ Shiny Airy Freely ภาพวาดทิวทัศน์ที่ดูเหมือนลดทอนรายละเอียดชุดนี้ซ่อนความรู้สึกบางอย่างของประติมากรซึ่งงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ยอมรับในระดับสากลภาพวาดสีน้ำมันในนิทรรศการ Shiny Airy Freely“ผมเรียนศิลปะ ต้องถามว่าแยกกันที่ไหนว่าจะเขียนรูปไม่ได้ เราเรียนศิลปะ เรารู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพพิมพ์ ภาพวาด งานประติมากรรม งานเทคนิค อะไรก็ตามที่เราทำแล้วเป็นศิลปะ ผมเชื่อว่าเราทำได้” โด่ง พงษธัช ตอบคำถามที่ว่า ปกติทำงานประติมากรรม แต่ทำไมครั้งนี้แสดงงานภาพวาดหลังสำเร็จหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ด้านศิลปกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตนครราชสีมา พงษธัช อ่วยกลาง ได้เข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พ.ศ.2545)ทิวทัศน์ ‘โคราช’ บ้านเกิด โด่ง - พงษธัช อ่วยกลางภาพวาดในนิทรรศการ Shiny Airy Freely เป็นการรวมภาพวาดที่พงษธัชเขียนตั้งแต่เรียน ปวช. ปี 3 จนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่เปิดบริษัท Dong Dong Company Limited ในการรับงานด้านประติมากรรม“เราก็เป็นนักศึกษาศิลปะคนหนึ่งที่รู้จักโมเนต์ แวนโก๊ะ โกแกง ความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาเรื่อยๆ แม้กระทั่งเขียนแลนด์สเคปส่งอาจารย์ วิชาทิวทัศน์ เราก็เขียนประมาณนั้น”ทิวทัศน์จากความคิดถึงบ้านภาพวาดทิวทัศน์ของ โด่ง พงษธัช มีความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์แบบลดทอนรายละเอียด แต่ได้บันทึกธรรมชาติ ณ ช่วงเวลานั้นตามจริง รวมทั้งอารมณ์-ความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นด้วยเช่นกัน“พอผมเริ่มทำงาน มันก็เหนื่อยกับชีวิตในกรุงเทพฯ ปีใหม่กับสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุด ถ้าไม่ไปต่างประเทศ เราก็กลับบ้าน ช่วงเวลาที่เรากลับบ้าน 10-15 วัน ทำให้เราอยากมีช่วงเวลาคิดถึงบ้าน อยากมีรูปเกี่ยวกับบ้านเราไว้”บ้านที่คิดถึงของพงษธัช หมายถึง ‘บ้านเกิด’ ของเขาที่ โคราช พร้อมกับบอกว่ามุมทั้งหมดที่เขาวาดเกี่ยวกับบ้านเกิด ไม่พยายามทำให้ซับซ้อน แต่เลือกมุมวาดจากความรู้สึกที่มองไปแล้วสุขใจ เป็นอิสระ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล“ชิ้นนี้เป็นงานที่ผมเขียนสมัยไปช่วยอาจารย์ทำสวนที่วังน้ำเขียว เกิดไฟป่า พื้นทั้งหมดถูกไฟไหม้เป็นสีดำ หญ้าคาแตกหน่อออกมามีดอกสีแดง"  : โด่ง พงษธัช“ภาพวาดชุดนี้ที่เกิดขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ผมเริ่มบันทึกประสบการณ์ บันทึกมุมหลังบ้าน ทุ่งนา เกิดการบันทึกความทรงจำของตัวเอง พร้อมกับเยียวยาตัวเองพอเราเข้าใจว่าเราทำงานศิลปะ การวาดรูปโดยมีเงื่อนไขของอะไร เราไม่มีอิสระ ผมก็พยายามไม่ทำ แค่รู้สึกอยากวาดให้เหมือนมุมที่ผมเห็น โดยไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องพยายามมาก ให้มันออกมาจากสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เหลือแต่เงื่อนไขของความรู้สึกเรา ไม่มีเงื่อนไขของอะไรอื่นทั้งนั้นผมขับรถขึ้นไป จอดรถ เห็นมุมที่เรารู้สึกชอบ เราก็วาดขึ้นมา ขับรถเข้าไปกลางทุ่งนา มองกลับมาที่บ้านตัวเอง แล้วก็วาด แค่นั้นเลยครับ”พงษธัชกล่าวว่า ภาพวาดของเขาไม่มีนิยามเป็นงานสไตล์ใด แต่ธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลาจะบอกเราเองว่าลักษณะภาพวาดเป็นแบบไหน“ทำไมชิ้นนี้สีเขียวๆ เพราะเป็นช่วงที่มีฝน ใบไม้สีเขียว แต่เส้น ฟอร์ม เชฟ จะไม่ชัด เส้นสายท้องฟ้าดูเบลอๆ ฉ่ำๆ เมฆมีมวลตามธรรมชาติของมันเอง ผมลดทอนรายละเอียดลง เห็นแต่ความรู้สึก เห็นสิ่งที่เรารู้สึกกับภาพตรงหน้า ณ ตอนนั้นจริงๆ เป็นสีสันของช่วงเวลานั้นจริงๆ”พงษธัช อ่วยกลาง กับภาพวาดแปลงผักที่แม่ปลูกรอลูกชายทุกสิ้นปีถ้าขอให้เลือกภาพวาดในดวงใจมาสัก 1 ภาพ พงษธัชเลือก ภาพแปลงผักแม่ โดยเล่าเรื่องราวความรักเบื้องหลังภาพวาดนี้ว่า“ถ้าแม่รู้ว่าผมจะกลับบ้านปีใหม่ แม่จะเริ่มปลูกผักไว้รอ พอกลับบ้าน ผักพวกนี้กินได้พอดี กินกับน้ำพริกปลาทู น้ำพริกหมูที่แม่ทำ ผักของแม่ไม่ใส่ปุ๋ย มีแต่รดน้ำ ถ้ากินไม่ทัน แม่ก็ปล่อยให้ผักแก่แล้วเก็บเมล็ดไว้ ปีหน้าก็ปลูกใหม่ ภาพวาดมุมนี้ผมรู้สึกอยากเก็บแปลงผักแม่ไว้ในความทรงจำ ก็เขียนเลย เห็นอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ไม่ต้องหามุมหาองค์ประกอบให้ดูสวย”พงษธัชกล่าวด้วยว่า เขานำภาพวาดบ้านเกิดกลับมาแขวนไว้ที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ เพื่อเยียวยาจิตใจในวันที่รู้สึกเหนื่อยกับชีวิต“เวลาอยู่ในออฟฟิศ ผมจะนั่งดูมัน วันหนึ่งเราเหนื่อย เราคิดถึงบ้าน พลังลดลง เราก็จะวาร์ปเข้าไปในช่วงเวลาขณะที่เราเขียนรูปนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกติกา เป็นอิสระ ไม่มีอะไรกดดัน ความรู้สึกดีๆ ก็กลับมาใหม่”ภาพวาดแปลงผักที่แม่ปลูกรอลูกชายทุกสิ้นปีแฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น1 สยามพารากอนสุธี คุณาวิชยานนท์ กล่าวเปิดนิทรรศการฯ ให้ พงษธัช อ่วยกลางด้วยเหตุนี้ นิทรรศการจึงใช้ชื่อว่า Shiny (สีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา) Airy (สายลมที่สร้างบรรยากาศให้ทิวทัศน์ และอารมณ์ที่ไหลเวียนขณะเขียนภาพ) Freely (ตัวแทนอิสระในการมองเห็นและการแสดงออก)Shiny Airy Freely นิทรรศการภาพวาดแสดงเดี่ยวโดยประติมากร โด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง จำนวน 31 ชิ้น จัดแสดงที่ แฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น1 สยามพารากอน 3-31 มี.ค.2568 ภายในงานเปิดโอกาสให้ผู้สนใจและนักสะสมเป็นเจ้าของภาพวาดไปร่วมชมภาพวาดที่เต็มไปด้วยความสุขและเป็นอิสระแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับบกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1172381

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี ไฮไลต์ใหม่ในพังงา ตื่นตาสกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย

19/05/2025

“จุดชมวิวเสม็ดนางชี” หรือที่คนมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “เสม็ดนางชี” ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา ที่นี่เป็นจุดชมวิวและจุดเช็กอินต้องห้ามพลาดสำหรับผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวพังงาในปัจจุบันคำว่า “เสม็ดนางชี” มาจากเดิมบริเวณนี้เรียกว่าบ้าน “เหม็ดนางชี” ซึ่งมาจากตำนานเรื่องเล่า ว่า ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้ มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งอาศัยอยู่ที่ “เขาพระอาดเฒ่า” และพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ “เขาพระอาดหนุ่ม” โดยมีแม่ชีอาศัยอยู่ที่ใกล้ ๆ กับบริเวณจุดชมวิวแห่งนี้ ซึ่งมักจะเดินไปมาหาสู่กัน แต่จะต้องเดินผ่านลำคลองที่กั้นขวางในบริเวณนี้ทิวทัศน์บริเวณเสม็ดนางชี (ภาพ : ททท.)เมื่อแม่ชีเดินผ่านในลำคลองจะต้องพับชายผ้าขึ้นหรือถลกชายผ้าขึ้น ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “เหม็ดผ้า” ขึ้น เพื่อให้พ้นจากระดับน้ำ ไม่เช่นนั้นชายผ้าก็จะเปียกหมด นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “เหม็ดนางชี” และเพี้ยนมาเป็น “เสม็ดนางชี” ดังในปัจจุบันส่วนเขาพระอาดนั้นมาจากพระภิกษุเมื่อเห็นแม่ชีถลกผ้าข้ามคลองแล้วมีอาการกำหนัด ซึ่งภาษาถิ่นเรียกว่า “อาด” จึงเป็นที่มาของ "เขาพระอาด" ด้วยเช่นกัน“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)เสม็ดนางชี ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านท่าหินร่ม ตำบลคลองเคียน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จุดชมวิวแห่งนี้ได้แจ้งเกิดเป็นที่รู้จักตั้งแต่เมื่อราวปี พ.ศ. 2559หลังจากนั้นเสม็ดนางชีก็ได้รับความนิยมโด่งดังกลายเป็นจุดชมวิวยอดฮิตของจังหวัดพังงา ทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากที่นี่สามารถชมวิวทิวทัศน์อันสุดอเมซิ่งของอ่าวพังงาได้แบบพาโนรามา 180 องศา โดยมีป่าเกาะเป็นภูเขาหินปูนน้อย-ใหญ่ หลากหลายรูปแบบ ตั้งตระหง่านเรียงรายในน้ำทะเลริมชายฝั่งอย่างสวยงามกว้างไกล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)ปัจจุบันเสม็ดนางชีนอกจากจะเป็นจุดชมวิวและจุดเช็กอินสำคัญสำหรับผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวพังงาแล้ว บริเวณนี้ยังมีที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ ๆ รวมไปถึงไฮไลต์จุดใหม่คือ “บียอนด์ สกายวอล์ก” ของ “บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี” รีสอร์ตหรูบริเวณเสม็ดนางชี แห่งเครือ “กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย”“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี เป็นสะพานทางเดินชมวิวพื้นกระจกใสลอยฟ้าริมทะเลที่สูงที่สุดและยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2566“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)สะพานทางเดินกระจกแห่งนี้ สูงจากระดับน้ำทะเล 80 เมตร มีความยาว 180 เมตร เป็นพื้นกระจกสามชั้นหนา 30 มิลลิเมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร รองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 1,500 คนต่อรอบบียอนด์ สกายวอล์ก เป็นไฮไลต์ไม่ควรพลาดแห่งใหม่ของจังหวัดพังงาควบคู่ไปกับจุดชมวิวเสม็ดนางชี ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์หลักล้านอันงดงามของอ่าวพังงาแล้ว ยังได้ร่วมสนุกตื่นเต้นยามเมื่อเดินชมวิวอยู่บนสะพานชมวิวพื้นกระจกใสแห่งนี้อีกด้วยนายกฤษณกร เงินเปียนายกฤษณกร เงินเปีย ผู้จัดการทั่วไป บียอนด์ สกายวอล์ก นางชี กล่าวว่า ที่นี่มีห้องพักจำนวน 58 ห้อง หลากหลายแบบ มีทั้ง เต็นท์วิวทะเล (Seaview Tent), เต็นท์กลางป่า (Forest Tent) ที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลแบบพาโนราม่าหรือขุนเขาเขียวขจี, พาวิลเลี่ยนวิวทะเล (Seaview Pavilion) ห้องพักขนาด 30-31 ตารางเมตรตั้งอยู่ในอาคาร 2 ชั้นนอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราเหนือระดับที่มองเห็นความงดงามของวิวทิวทัศน์เสม็ดนางชีอย่างชัดเจน ในที่พักแบบ วิลล่า (Villa) และ พูลวิลล่า (Pool Villa)“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)รวมถึงมีห้องอาหารรับตะวันและห้องอาหาร Horizon และกานดาคาเฟ่ ในส่วนของราคาค่าบริการเที่ยวชมสกายวอล์ก ตั๋วราคา 700 บาทต่อคน ซึ่งสามารถนำเครดิต 200 บาทมารับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ได้ หรือนำไปเป็นส่วนลดในร้านอาหารและคาเฟ่ได้อีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000027630

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X