Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
TTB จับมือ MOCA BANGKOK เปิดพื้นที่จัดนิทรรศการแสดงผลงานเด็กไฟ-ฟ้าครั้งแรก! หวังต่อยอดทักษะ Art & Life Skills ของเยาวชน ดันศิลปะเข้าถึงคนรุ่นใหม่นางประภาศิริ โฆษิตธนากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านทรัพยากรบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เผยว่า โครงการไฟ-ฟ้า เป็นกิจกรรมหลักของมูลนิธิทีทีบี ภายใต้ปรัชญา “Make REAL Change” มีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบโอกาสและปลูกฝังให้เยาวชนอายุ 12-17 ปี รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงศิลปะและพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อนำสิ่งที่ได้เรียนรู้คืนสู่ชุมชน และเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยธนาคารมุ่งมั่นที่จะจุดประกาย ปลุกพลังในตัวเด็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าแนวทางการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ดำเนินมาถูกทางแล้วการร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย หรือ MOCA BANGKOK นำเสนอผลงานที่โดดเด่นของเด็กไฟ-ฟ้า คลาสศิลปะ กว่า 50 ผลงาน ที่ได้รับการจุดประกายจากศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า โดย ทีทีบี เพื่อนำมาจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “เด็กธรรมดา...คือสิ่งสวยงาม” ซึ่งเป็นการต่อยอดกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี คือ fai-fah art fest ที่เนรมิตทีทีบี แบงก์กิ้ง ฮอลล์ เป็นพื้นที่โชว์เคสผลงานและการแสดงของเด็กไฟ-ฟ้า ให้ผู้บริหาร บุคลากร และลูกค้าของธนาคาร การนำผลงานของเด็ก ๆ มาจัดนิทรรศการบนหอจัดแสดงชื่อดังอย่าง MOCA BANGKOK จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้บุคคลทั่วไปได้เห็นถึงพลังและศักยภาพของเด็กไฟ-ฟ้า รวมถึงสร้างความภูมิใจให้กับเด็ก ๆ ว่าผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น“ไฟ-ฟ้า โดย ทีทีบี มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เด็ก ๆ เชื่อมั่นว่าจากความสามารถที่มีอยู่ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่ย่อท้อ ประกอบการได้รับการจุดประกายจากศิลปินและดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น ครูปาน สมนึก คลังนอก, พี่หมู ไตรภัค สุภวัฒนา และพี่เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการศิลปะและออกแบบ ได้สร้างแรงบันดาลใจ และจะช่วยขยายศักยภาพเด็ก ๆ ถือเป็นโอกาสดีที่เราได้พันธมิตรอย่าง MOCA BANGKOK มาร่วมสนับสนุนผลักดันผลงานของเด็กไฟ-ฟ้า คลาสศิลปะ ให้ไปไกลกว่ากิจกรรม fai-fah art fest ตอกย้ำว่าแนวทางการให้โอกาสและการจุดประกายเด็กไฟ-ฟ้านั้น เป็นการส่งต่อการให้ที่แท้จริงอย่างยั่งยืน สะท้อนจากเด็กหลาย ๆ คนที่ได้รับโอกาสศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า โดยมีพี่ไฟ-ฟ้าและคุณครูอาสาสมัคร คอยดูแลช่วยเหลือและให้คำแนะนำ เพื่อให้น้อง ๆ สามารถนำทักษะด้าน Art & Life Skills ไปต่อยอดการใช้ชีวิต กล้าทำสิ่งใหม่ ๆ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันชุมชนไปในทิศทางที่ดีขึ้น”ด้านนายคณชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) กล่าวเสริมว่า “MOCA BANGKOK มีเป้าหมายเปิดโอกาสให้คนไทยสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะที่หลากหลาย ทั้งศิลปินไทยและศิลปินต่างชาติ จึงพยายามจัดนิทรรศการศิลปะให้มีความน่าสนใจในธีมต่าง ๆ และมุมมองใหม่ ๆ ที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจัดกิจกรรมให้หลากหลายทำให้ศิลปะเป็นเรื่องเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรง เป็นอีกครั้งที่ MOCA BANGKOK เปิดพื้นที่ให้เยาวชนนำเสนอผลงานศิลปะผ่านนิทรรศการ ซึ่งเป็นผลงานที่มีความโดดเด่นของเด็กไฟ-ฟ้า ที่ได้รับการจุดประกายทางด้านศิลปะจากศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า โดย ทีทีบี ที่นำมาจัดแสดงพร้อมนำเสนอในรูปแบบผสมผสานเทคนิคพิเศษ ด้วยมัลติมีเดีย เพื่อมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้ชม ให้ได้สัมผัสจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด พร้อมด้วยการแสดงผลงาน Characters การ์ตูนสุดน่ารัก และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์สุดเก๋ เชื่อว่า หากน้อง ๆ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและไม่หยุดเรียนรู้จะได้ผลลัพธ์ตอบแทนที่งดงามในวันข้างหน้า ตอกย้ำให้เห็นว่าวงการศิลปะกำลังพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเชื่อว่านิทรรศการนี้จะจุดพลังความเป็นเด็กในตัวของผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี”ขณะที่ นายเย็นใจประชารักษ์ สมสนุก ตัวแทนเด็กศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า จันทน์ คลาสศิลปะ กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ๆ มีความฝันอยากนำผลงานไปจัดแสดงในงานนิทรรศการ และเมื่อทราบว่าการมาเรียนที่ศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะสามารถเติมเต็มโอกาสเหล่านั้นได้ จึงไม่ลังเลที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเด็กไฟ-ฟ้า และตั้งใจผลิตผลงานทุกชิ้นเพื่อให้ผ่านการคัดเลือก เมื่อผลงานถูกนำไปจัดแสดงที่งาน fai-fah art fest ที่ทีทีบี สำนักงานใหญ่ ถือว่าผมประสบความสำเร็จแล้ว และเมื่อทราบว่าได้รับคัดเลือกอีกครั้งเพื่อไปจัดแสดงที่ MOCA BANGKOK เป็นเหมือนความฝันที่ผมและกลุ่มเพื่อนที่รักในงานศิลปะจะมีโอกาสมากมายขนาดนี้ ซึ่งยิ่งทำให้มีกำลังใจในการผลิตผลงานในทุกชิ้นต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์https://www.posttoday.com/smart-life/704615
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
กรุงเทพฯ, 30 มกราคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ International Peace Foundation จัดงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ในหัวข้อ “Personalized Medicine Revolution: Are We Going to Cure All Diseases and at What Price?” โดย ศาสตราจารย์อารอน ชีชาโนเวอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมี ปี 2547 จากผลงานการศึกษาการทำงานของ “ยูบิควิติน” (Ubiquitin) โปรตีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลไลการควบคุมวงจรการเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลง และการตายของเซลล์ โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการควบคุมการเกิดโรคมะเร็ง ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยาและการรักษาโรคต่าง ๆ โดยการบรรยายพิเศษในครั้งนี้ นับเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ระดับโลก เพื่อต่อยอดสู่การวางแผนด้านสุขภาพที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแคมเปญ ‘Living to 100’ ที่เอไอเอมุ่งมั่นสนับสนุนให้คนไทยเริ่มต้นวางแผนสุขภาพและการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อพร้อมสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ในงานได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิในหลากหลายสาขาเข้าร่วมงาน อาทิ นายอูเว โมราเวทซ์ ประธานคณะกรรมการ International Peace Foundation ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ดร. วิกรม คุ้มไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารจากโรงพยาบาลชั้นนำ ร่วมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทเอไอเอ นำโดย นายการ์ธ โจนส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค และ ดร. เคลวิน โลห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเฮลธ์แคร์ และ ดร. ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย และคณะผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งงานจัดขึ้น ณ ห้องบันยัน บอลรูม โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพนายนิคฮิค แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “งานในวันนี้ถือเป็นการต่อยอดพันธกิจของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573 ด้วยความมุ่งมั่นของเรานี้เอง จึงทำให้เราตั้งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกคนในสังคม ทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ การวางแผนทางการเงิน รวมไปถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดเราได้เปิดตัวแคมเปญ ‘Living to 100’ สนับสนุนให้คนไทยเริ่มต้นวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อชีวิตที่ยืนยาวขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อการบรรยายในวันนี้ เพราะชีวิตคนเราอาจมีอายุที่ยืนยาวเพิ่มขึ้นถึง 100 ปี ด้วยนวัตกรรมของยาและการแพทย์ อย่างไรก็ดี โรคบางชนิด เช่น มะเร็ง พาร์คินสัน หรือโรคสมองเสื่อมมีความสัมพันธ์กับอายุที่ยืนยาวขึ้น แนวทางการรักษาด้วย “ยาเฉพาะบุคคล” (Personalized Medicine) ซึ่งมีที่มาจากการศึกษาของศาสตราจารย์ ชีชาโนเวอร์ จึงนับได้ว่าเป็นแนวทางและความหวังใหม่ให้มะเร็งเป็นโรคที่รักษาได้ นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีตลอดอายุขัย”ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของการบรรยายโดย ศาสตราจารย์อารอน ชีชาโนเวอร์ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาเคมี ปี 2547 ได้อธิบายว่า “กระบวนการรักษาโรคต่าง ๆ กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่สามารถปรับให้เหมาะสมตามข้อมูลระดับโมเลกุล และจีโนม หรือข้อมูลทางพันธุกรรม (DNA) ของผู้ป่วยได้ สืบเนื่องจากการศึกษาซึ่งพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคคล้ายกัน เช่น โรคมะเร็งเต้านม มีการตอบสนองต่อยาและการรักษาที่แตกต่างกัน ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่าพื้นฐานทางกลไกของโมเลกุลของสิ่งที่เราคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แท้ที่จริงแล้วมันมีความแตกต่างกัน ดังนั้นความพยายามควบคุมระบบยูบิควิติน เพื่อช่วยระงับการเกิดเนื้องอก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มีส่วนในการช่วยรักษาโรคมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งมีความต้องการสารอาหารสูง เราจึงกำลังพัฒนายาเพื่อปรับแต่งระบบยูบิควิติน เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต เพื่อให้ระบบหยุดให้สารอาหารแก่เซลล์มะเร็ง"ศาสตราจารย์อารอน ชีชาโนเวอร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ในศตวรรษที่ 21 วิธีใหม่ในการพัฒนายาเกิดขึ้นได้โดยการเรียงลำดับจีโนมแต่ละตัว และการพัฒนาเทคโนโลยีในการแก้ไขยีน ซึ่งนับว่าเป็นยุคใหม่ของการแพทย์ที่แม่นยำ โดยการรักษาโรคสามารถปรับให้เหมาะสมตามลักษณะระดับโมเลกุลและการกลายพันธุ์ของผู้ป่วย เช่น กรุ๊ปเลือดหรือพันธุกรรม ไม่ใช่แนวทาง "One Size Fits All" อีกต่อไป นอกจากนี้ การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างยาและวิธีที่ยาตอบสนองต่อเป้าหมายจะช่วยผลักดันการพัฒนายาใหม่ ๆ อย่าง “ยาเฉพาะบุคคล” (Personalized Medicine) รวมถึงทำนายโรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นอนาคตของการดูแลสุขภาพ และเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้นจนถึงอายุ 100 ปี หรือมากกว่านั้น”สำหรับงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ AIA Total Health Solution โซลูชั่นด้านสุขภาพที่เอไอเอพร้อมสนับสนุนให้คนไทยได้เตรียมวางแผนสุขภาพเพื่ออนาคตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน และหากคนไทยมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวไปถึง 100 ปี เอไอเอ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยคนไทยวางแผนทั้งในด้านสุขภาพและด้านการเงิน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในแบบที่ต้องการ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/campaigns/living-to-100
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากยุคโบราณที่ยังคงตระหง่านงามเหนือกาลเวลา ต้องยกให้ “กลุ่มพีระมิดแห่งกิซ่า” ประเทศอียิปต์ ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ หรือ ฟาโรห์ เพื่อการคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ตามความเชื่อของในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณภาพ: สำนักข่าวซินหัว (24 มกราคม 2567)ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์จะไปสู่ชีวิตหลังความตายในฐานะพระเจ้ารอการกลับมาคืนชีพ ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตหลังความตายโดยสั่งให้สร้างสุสาน นั่นคือ พีระมิดขนาดใหญ่สำหรับตนเอง และยังเป็นสถานที่เก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พวกเขาต้องการในโลกหน้าภาพ: สำนักข่าวซินหัว (24 มกราคม 2567)พีระมิดแห่งแรกมีขนาดใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ที่สุดกว่า 4,500 ปี คือ พีระมิดแห่งคูฟู (หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า The Great Pyramids) ที่เริ่มสร้างตั้งแต่ 2,550 ปีก่อนคริสตกาลภาพ: สำนักข่าวซินหัว (24 มกราคม 2567)ต่อมาอีกราว 30 ปี โอรสของพระองค์ทรงสร้างพีระมิดแห่งคาเฟร (Khafre) อยู่เคียงข้างกัน ซึ่งสันนิษฐานว่า “สฟิงซ์” (The Great Sphinx of Giza) ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฝ้าสุสานของพระองค์ ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับ สฟิงซ์ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นสิงโต มีศีรษะเป็นมนุษย์ เสมือนผู้พิทักษ์ฝ่ายวิญญาณ ส่วนมหาสฟิงซ์แห่งกีซา เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเฝ้าสมบัติภายในพีระมิด และขจัดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารบกวน หรือวุ่นวายกับพระศพของฟาโรห์ส่วนพีระมิดสำคัญลำดับที่สาม คือ พีระมิดแห่งเมนคาอูเร (Menkaure) ซึ่งพีระมิดทั้งสาม รวมกับรูปปั้นสฟิงซ์ เป็นสิ่งที่เรียกรวมกันในชื่อ “กลุ่มพีระมิดแห่งกิซ่า” นั่นเองภาพ: สำนักข่าวซินหัว (24 มกราคม 2567)นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าในการสร้างต้องใช้แรงงานไม่น้อยกว่าหมื่นคนในระยะเวลา 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิดทั้งสาม โดยภายหลังมีการสันนิษฐานเพิ่มเติมว่า เป็นแรงงานจากภาคเกษตรกรรมที่มาทำงานในช่วงที่แม่น้ำไนล์ไหลหลาก อาจไม่ใช่แรงงานทาสตามการสันนิษฐานเบื้องต้นภาพ: สำนักข่าวซินหัว (24 มกราคม 2567)แม้ว่าพีระมิดถูกสร้างมานับพันปี แต่ความลับของสิ่งก่อสร้างสุดมหัศจรรย์ของโลก ก็ยังถูกค้นพบเสมอ โดยเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา มีการค้นพบทางเดินลับภายในพีระมิดคูฟู ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดามหาพีระมิดแห่งกิซา ทางเดินดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์ตรวจพบผ่านการถ่ายภาพรังสีด้วยรังสีคอสมิกมิวออน ก่อนบันทึกภาพโดยการสอดกล้องเอนโดสโคป 6 มม. จากญี่ปุ่นผ่านรอยต่อเล็กๆ ในหินของพีระมิดจนพบว่าเป็นทางเดินความยาว 9 เมตร กว้าง 2.1 เมตร ในบริเวณใกล้กับทางเข้าหลักของมหาพีระมิด เหนือขึ้นไปเพียง 7 เมตร โดยเพดานหน้าจั่วของอุโมงค์ลับบ่งบอกว่า สร้างขึ้นเพื่อรองรับโครงสร้างพีระมิด แต่ก็มีคำถามที่น่าสนใจ คือ ทางเดินนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดน้ำหนักที่ทางเข้าหลัก หรือแบ่งเบาภาระในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครค้นพบPhoto: Ministry of Tourism and Antiquitiesแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000008557
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
29/04/2024
บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังเริ่มพ่นพิษช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ นักช็อปอเมริกันเสี่ยงหาเงินมาชำระหนี้ไม่ทันกำหนด ด้านนักเศรษฐศาสตร์กุมขมับหวั่นเป็นระเบิดเวลา การซื้อสินค้าแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now, Pay Later ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้วงการค้าปลีกสหรัฐในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมากำลังกลายเป็นปัญหา เมื่อเหล่านักช็อปอาจไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าสินค้าได้ นักช็อปเริ่มชอร์ต ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยกำลังประสบปัญหากับการหาเงินมาจ่ายค่าของขวัญคริสต์มาส-ปีใหม่ที่ตนซื้อมาด้วยวิธีซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ในช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่ต้องจ่ายทั้งค่าสินค้า ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าบ้าน ค่าสตรีมมิ่ง ฯลฯ พร้อม ๆ กัน โดยสำนักข่าวสหรัฐเดินสายสัมภาษณ์ผู้บริโภคหลายราย ถึงสถานการณ์การจ่ายเงินค่าสินค้าที่ซื้อมาแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หนึ่งในนั้นคือ เคลลี่ แอนเดอร์เซ่น นักเขียนโฆษณาอิสระ อายุ 31 ปี จากลอสแองเจลิส ที่ยอมรับว่าเริ่มไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายเงินงวดปลายเดือนมกราคมนี้ได้หรือไม่ เคลลี่ แอนเดอร์เซ่น อธิบายว่า ช่วงสิ้นปีที่แล้วตนใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังช็อปสินค้าหลายรายการ โดยเลือกแบ่งชำระแบบรายสัปดาห์ เพื่อให้ยอดจ่ายครั้งแรกเหลือประมาณ 1 ใน 4 ของราคาเต็ม ซึ่งการชำระในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีปัญหา แต่งวดที่ 4 ซึ่งตรงกับปลายเดือนนั้น มีรายจ่ายประจำอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มกับยอดหนี้ที่มีกว่า 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 60,000 หมื่นบาท “หนี้ก้อนนี้เป็นเรื่องน่ากังวล ซึ่งการหาเงินมาจ่ายอาจจำเป็นจะต้องยอมขายของที่มีอยู่อย่างเสื้อผ้า กระเป๋า หรือรองเท้า ออกไป” เคลลี่กล่าว สถานการณ์นี้สอดคล้องกับความเห็นของ อไลนา ฟินกัล ที่ปรึกษาทางการเงินในเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งระบุว่าช่วงต้นเดือนมกราคมมีอีเมล์ขอคำปรึกษาเรื่องหนี้จากการใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง เข้ามา 20-25 ฉบับ โดยตัวเลขนี้มากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ๆ ถึง 4-5 เท่า อไลนา ฟินกัล กล่าวว่า ลูกค้าเหล่านี้มีปัญหาคล้ายกัน คือมักใช้บัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน แล้วจึงหันมาพึ่งการซื้อก่อนจ่ายทีหลังเพื่อซื้อสินค้าเพิ่มอีก ทำให้เกิดปัญหาเมื่อหนี้เหล่านี้ถึงกำหนดชำระพร้อม ๆ กัน นักเศรษฐศาสตร์กุมขมับ การผิดนัดชำระหนี้จากการซื้อก่อนผ่อนทีหลัง อาจไม่หยุดเพียงปัญหารายบุคคล แต่อาจลามไปยังภาพร่วม เนื่องจากปลายปี 2023 การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังในสหรัฐเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยจากสถิติการจับจ่ายช่วง 1 พฤศจิกายน-31 ธันวาคม 2023 นั้น การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังมีผู้ใช้งานเยอะเป็นประวัติการณ์ ด้วยการเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 คิดเป็นมูลค่าการช็อปออนไลน์ถึง 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การเพิ่มนี้ต่อเนื่องจากช่วงไซเบอร์มันเดย์ ที่การใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 43% ความนิยมบริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังยังเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่หนี้บัตรเครดิตของสหรัฐกำลังพุ่งสูง และจำนวนการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า โดยตามข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐขณะนี้ ผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตนานเกิน 30 วัน สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 แล้ว นอกจากนี้ ซื้อก่อนจ่ายทีหลังยังมีลักษณ์พิเศษที่ไม่มีหน่วยงานกลางมาเก็บข้อมูล และไม่ต้องรายงานข้อมูลกับบริษัทเครดิตรายหลัก ๆ ในวงการการเงิน ทำให้ไม่มีการเปิดเผยอัตราการผิดนัดชำระหนี้ นำไปสู่ปัญหา Phantom Debt หรือการที่ครัวเรือนในสหรัฐมีหนี้แฝงสูงกว่าตัวเลขที่หน่วยงานรัฐรายงานออกมา ส่งผลให้ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและเศรษฐกิจต้องกุมขมับ เพราะไม่สามารถประเมินผลกระทบที่แท้จริงจากการใช้งานบริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1488337
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
29/04/2024
“ยังไม่รับดีกว่า” “พี่ทำไปแล้ว ไม่ค่อยได้นอนโรงพยาบาล” “ลืมซื้อเพิ่ม” ประโยคตัวอย่างที่หลายๆ คน บอกปัดเมื่อต้องซื้อประกัน แต่เมื่อเกิดเหตุและต้องนอน โรงพยาบาล อาจจะบอกว่า “รู้งี้ ซื้อประกันดีกว่า”“การเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียโอกาสต่างๆ ขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะยังไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับอาชีพอิสระหรือ ฟรีแลนซ์ อาชีพค้าขาย หรือได้รับค่าจ้างรายวัน ถ้าไม่ได้ทำงานก็อาจทำให้รายได้หดหาย”คำนิยาม “สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน” (HB: HOSPITAL BENEFIT) บางบริษัทประกัน ใช้คำว่า “สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายได้” “สัญญาเพิ่มเติมวงเงินแน่นอน” โดยหลัก คือ จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย เข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยสามารถเคลมค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ทำไว้ คูณกับจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่นทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 5 วันเคลมได้ = 15,000 บาททำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 5,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 10 วันเคลมได้ = 50,000 บาท“โดยแต่ละบริษัทจะมีเพดานกำหนดจำนวนวันสูงสุดที่สามารถเคลมได้ต่อครั้งต่อโรค แตกต่างกันไป เช่น 180 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้น”หลายคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ อาจคิดว่ามีสิทธิรักษาเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำประกันค่าชดเชยรายวัน เพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่จะป่วยจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาล หรือหากป่วยก็ไม่น่าจะนอนโรงพยาบาลนาน เกิน 1 หรือ 2 วัน จึงไม่ส่งผลกระทบกับรายได้มากนัก“อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์กับตัวเองจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนานๆ ซึ่งส่งผลกระทบกับฐานะทางการเงินของตัวเองและครอบครัวได้” กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้ การวางแผนทุนประกันค่าชดเชยรายวันที่เหมาะสม คำนวณจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เพื่อให้เพียงพอต่อสถานการณ์จริง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนต้องนอนโรงพยาบาล เช่น มีค่าใช้จ่าย = 30,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท ก็ควรที่จะทำประกันค่าชดเชยรายวัน ด้วยทุนประกันอย่างน้อยวันละ 1,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งหากเป็นเสาหลักของครอบครัว หรือเสาหลักของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว มีภาระค่าใช้จ่าย = 100,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 3 พันกว่าบาท ก็ควรวางแผนทำทุนประกันค่าชดเชย อย่างน้อย วันละ 3,000 บาท ขึ้นไป เป็นต้นตัวอย่าง เบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม ค่าชดเชยรายวัน *เพศชาย อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =432 บาทเพศชาย อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =486 บาทเพศชาย อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =567 บาทเพศหญิง อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =432 บาทเพศหญิง อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =486 บาทเพศหญิง อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =567 บาท“เบี้ยประกันข้างต้น สามารถวางแผนทำเป็นโหมด รายสามเดือน รายหกเดือน หรือรายปี ได้”สาเหตุที่ไม่ได้ซื้อประกันชดเชยรายได้เอาไว้ให้เพียงพอ มาจากเหตุผลประกันค่าชดเชยรายวันจะเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อแนบกับประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก เมื่อไม่ได้คิดจะทำประกันชีวิตหรือไม่ได้รับการนำเสนอจากตัวแทน จึงไม่ทราบว่ามีประกันแบบนี้ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน บางบริษัทประกัน มีประกันค่าชดเชยรายวัน ขายโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิตก่อน“อีกสาเหตุหนึ่งมองว่า เบี้ยประกันที่ชำระจะเป็นเบี้ยสูญเปล่า ยังไม่เห็นความจำเป็น หรือบางคนทำประกันนี้ แต่อาจจะทำทุนประกันที่น้อยกว่า ความเหมาะสมที่แท้จริง เพราะเสียดายเบี้ยประกัน”เงื่อนไขการพิจารณารับประกันของแต่ละบริษัทประกัน ก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางบริษัท มีเพดานกำหนดซื้อค่าชดเชยรายวันสูงสุดตามทุนประกันชีวิต (สัญญาหลัก), บางบริษัทดูรายได้ของผู้ขอเอาประกัน หากทำทุนประกันต่อวันที่สูง เช่น ทำแผนค่าชดเชยรายวัน วันละ 10,000 บาท ว่าสอดคล้องกับรายได้หรือไม่ ซึ่งในอดีต มีกรณีศึกษาการฉ้อฉลเอาประกัน โดยทำประกันค่าชดเชยรายวันสูงๆ หรือทำหลายบริษัท มีการเคลมสินไหมครั้งหนึ่ง หลายแสนบาท หรือป่วยเล็กน้อยแล้วขอนอนโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้หลายบริษัทประกัน พิจารณารับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพและประวัติการรักษาในอดีต หรือข้อมูลทางการเงินของผู้ขอเอาประกันภัย เป็นต้น “มาถึงตรงนี้ หลายคนเห็นความสำคัญและสนใจอยากจะ ‘ทำประกัน’ แต่กังวลเรื่องสุขภาพว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะต้องตรวจสุขภาพหรือเปล่า ควรติดต่อสอบถาม ‘ตัวแทนประกัน’ หรือ ‘ที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ’ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนประกันที่เหมาะสม เพราะบางกรณีอาจไม่อยู่ในเกณฑ์ หรืออายุเกินเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนดเอาไว้”ดังนั้น หากตอนนี้ สุขภาพแข็งแรง อายุยังอยู่ในเกณฑ์รับพิจารณา จึงไม่ควรรีรอให้สายเกินไปที่จะวางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมถึงประกันค่าชดเชยรายวัน เพื่อตัวเอง และคนที่เรารักที่มา*บมจ เมืองไทยประกันชีวิต ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ประกอบอาชีพค้าขาย ขายของ ตลาดนัดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/20544
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ชวนสัมผัสกรุงเทพฯ มุมใหม่ ใน “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567” ที่จัดขึ้นในวันที่ 27 ม.ค.-4 ก.พ.67 ภายใต้ธีม “Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี” ภายในงานพบกับงานออกแบบสุดครีเอตและกิจกรรมน่าสนใจต่าง ๆ ใน 15 พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯกลับมาอีกครั้งสำหรับ “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ” หรือ “Bangkok Design Week” อีกหนึ่งอีเวนต์ใหญ่แห่งปี ที่จัดขึ้นโดย “สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)” หรือ CEA และพันธมิตร เพื่อผลักดันกรุงเทพมหานครให้เติบโตและโดดเด่นในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก (UNESCO Creative City Network: UCCN) สาขาการออกแบบ (Bangkok City of Design)นายกฯร่วมงานวันเปิด Bangkok Design Week 2024สำหรับ “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567” หรือ “Bangkok Design Week 2024” (BKKDW2024) ปีนี้ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้แนวคิด “Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี” ภายในงานพบกับงานออกแบบสุดครีเอตใน 15 พื้นที่หลักทั่วกรุงเทพฯ โดยมีกิจกรรมน่าสนใจต่าง ๆ รวมกว่า 500 โปรแกรมนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ในปีที่ 7 นี้ ทำให้เราได้เห็นภาพของการใช้เทศกาลงานออกแบบสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้เติบโตและขยายไปสู่ต่างประเทศ อันจะช่วยสนับสนุนกระบวนการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ทำให้ผู้บริโภคในตลาดโลกมีความสนใจและต้องการซื้อสินค้าและบริการสร้างสรรค์ของไทยมากขึ้น ฉะนั้นงานนี้จะเป็นพลังให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไปสีสัน Siam piwat ไปรษณีย์กลาง (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ทำหน้าที่เป็น 'แพลตฟอร์ม' ที่สื่อสารเรื่อง ‘คน ธุรกิจ ย่าน และเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่ 'อีเวนต์' ที่จัดขึ้นแล้วจบไป แต่มีการนำเสนอความคิดและการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยรวมไอเดียจากนักสร้างสรรค์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้ CEA ได้พัฒนาขึ้นร่วมกับกรุงเทพมหานคร กับการมอบโจทย์จริง ‘HACK BKK’ เพื่อให้กลุ่มนักสร้างสรรค์ได้ทดลองออกไอเดียแก้ปัญหาเมืองจากโจทย์ที่มีอยู่จริง โดยหวังว่าแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้จะถูกนำไปต่อยอดและปรับใช้งานจริงในเมืองต่อไปสำหรับไฮไลต์เด่น ๆ ในพื้นที่จัดงานทั้ง 15 แห่งมีดังนี้งานออกแบบย่านพระนคร (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)1. “เจริญกรุง – ตลาดน้อย” ปีนี้มีการเปิดพื้นที่ให้ผลงานใหม่ได้เข้ามาจัดแสดง อย่างเช่น Pocket Oasis Garden งานออกแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดเล็ก และ Street Furniture ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับพื้นที่ย่านที่มีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างน้อย และโปรเจ็กต์ที่ตอบโจทย์ HACK BKK เช่น ระบบป้ายนำทางจักรยานและจุดจอดที่อาจจะนำมาสู่โมเดลทดลองที่ถูกนำไปมาใช้งานจริงในอนาคต2. “พระนคร” ผสานความเก่าเข้ากับความล้ำสมัย เพื่อสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของย่านเมืองเก่า อย่างเช่น การเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและการเดินทางในพื้นที่สาธารณะ นอกจากนี้ย่านยังนำเสนอกิจกรรม Projection Mapping และ Moving Image ที่จะมาสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์งานออกแบบย่านปากคลองตลาด (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)3. “ปากคลองตลาด” ต่อยอดอัตลักษณ์ “ตลาดดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ผ่านการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยงานออกแบบ เช่น ต้นแบบขยายพื้นที่ Display หน้าร้านของแม่ค้าปากคลองฯ บนทางเท้าให้ดูมีเสน่ห์น่าเดิน การปรับอาคารเก่าที่เป็นโรงงานน้ำตาลปี๊บ ‘โล้วเฮียบเส็ง’ ให้กลายเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ เป็นต้น4. “นางเลิ้ง” ต่อยอดภูมิปัญญาในย่านวัฒนธรรมมีชีวิต ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมกับนักออกแบบผู้ย้ายเข้ามาใหม่ ที่สื่อสารความเป็นนางเลิ้งในมุมมองใหม่ผ่านงานออกแบบ ให้นางเลิ้งเป็นย่านที่ ‘บันเทิงทุกวัน’ ย่านมีพื้นที่จัดแสดงหลักคือ ‘โรงเรียนสตรีจุลนาค’ และ ‘บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี’ (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)กิจกรรมที่ย่านนางเลิ้ง (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)5. “เยาวราช” สานต่อตำนานย่านสตรีทฟู้ดระดับโลกที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมจีนจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมขยายเรื่องราวไปสู่เจเนอเรชันที่หลากหลาย ร่วมด้วยโปรเจ็กต์ Go Go Bus! ที่พัฒนาระบบขนส่งขนาดเล็กเพื่อเชื่อมต่อย่าน และเพื่อลดภาระของการจราจรบนถนนเส้นหลัก จากโจทย์ HACK BKK ที่มีแผนจะปรับใช้กับพื้นที่ของทางกรุงเทพมหานคร6. “หัวลำโพง” มีโครงการ ‘Made in Hua Lamphong’ ที่สร้าง Branding ภาพจำใหม่ของหัวลำโพง โปรแกรมทัวร์สำรวจย่าน และนิทรรศการปาจื้อ: คน/ดวง/เมือง การสื่อสารเรื่องธาตุประจำตัวจากโหราศาสตร์จีน เพื่อให้เกิดการรับรู้ของผู้ชมและทดลองสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ฯลฯงานออกแบบสร้างสีสันให้อาคาร (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)7. “อารีย์ – ประดิพัทธ์” ถักทอสายสัมพันธ์ในย่าน ผ่านพื้นที่สาธารณะที่ทําให้ผู้คนได้มาอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออารี8. “บางโพ – เกียกกาย” สร้างคุณค่าใหม่ให้ถนนสายไม้กลายเป็นย่านสร้างสรรค์ ผ่านการออกแบบและไอเดียของคนในพื้นที่ พร้อมขยายพื้นที่ไปยัง ‘เกียกกาย’ โดยทดลองเปิดพื้นที่กองทัพบกให้เป็นพื้นที่สันทนาการและจำหน่ายสินค้าสำหรับชุมชน9. “วงเวียนใหญ่ - ตลาดพลู” เชื่อมโยงคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่เพื่อต่อยอดวัฒนธรรมฝั่งธนฯ บนพื้นที่สองย่านที่เชื่อมโยงกันโดยเส้นทางรถไฟ พร้อมนำสินทรัพย์ในพื้นที่มานำเสนอในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทั้งการจัดแสดง ทัวร์ลงรถไฟ เป็นต้นงานออกหลากสีสัน (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week10. “เกษตรฯ – บางบัว” มีการสร้างสรรค์ย่านให้น่าอยู่และเป็นมิตรต่อคนทุกกลุ่ม นอกจากนี้พื้นที่บริเวณคลองบางบัวและริมถนนพหลโยธิน จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทดลองสำหรับฉายภาพยนตร์ ตลาด การแสดงดนตรี Projection Mapping ฯลฯ11. “พร้อมพงษ์” พัฒนาย่านเศรษฐกิจใจกลางเมืองให้กลายเป็นพื้นที่ที่ดีต่อกายดีต่อใจ สําหรับผู้มาอยู่และผู้มาเยือน โดยในซอยสุขุมวิท 26 ที่เป็นแหล่งรวมนักสร้างสรรค์สาขาสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน บริษัทเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุ แบบครบวงจร โดยมีไฮไลต์เป็น ‘บ้านนก บ้านกระรอก’ ส่วนหนึ่งของระบบนิเวศบนต้นไม้ริมทาง ที่นักออกแบบในย่านต้องการให้เกิดความรื่นรมย์ในระหว่างการเดินเท้างานออกแบบสร้างสีสันให้อาคาร (ภาพ : เพจ Bangkok Design Week)12. “สยาม – ราชเทวี” เปิดประตูสู่การรับรู้เรื่องราวของชุมชนประวัติศาสตร์สร้างสรรค์ที่ถูกซุกซ่อนไว้ใจกลางกรุงเทพฯ ผ่านการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารในชุมชนบ้านครัว ชุมชนมุสลิมเก่าแก่ โดยนักสร้างสรรค์นำเสนอเรื่องราวผ่านสำรับอาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ13. “บางกอกใหญ่ – วังเดิม” มีการหยิบต้นทุนทางวัฒนธรรมเดิมมาเพิ่มเติมความหมายใหม่ เพื่อฟื้นคืนชีวิตให้พื้นที่ประวัติศาสตร์ริมคลองบางกอกใหญ่ เช่น แลนด์มาร์กสำคัญอย่างวัดอรุณและชุมชนรอบด้านงานออกแบบโมเดล14. “พระโขนง – บางนา” ผสานความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ผ่านการรวมกลุ่มของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และสตูดิโอนักสร้างสรรค์ในพื้นที่ โปรแกรมที่น่าสนใจ เช่น การทดลองพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะภายในย่านให้เป็น ‘สวนเคลื่อนที่’ (Pop-Up Park) และแหล่งการเรียนรู้15. “บางมด” นำเสนอเรื่องราวการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลของธรรมชาติ ผู้คน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่ไหลไปพร้อมกับกระแสน้ำของคลองบางมดจุดจอดจักรยานนอกจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ที่ ‘คน’ ในย่านได้เริ่มลงมือ ‘ทำ’เพื่อสร้างสรรค์ให้เมืองยิ่งดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศรีนครรินทร์ - ห้างซีคอนสแควร์ ที่ร่วมกับหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) และ Happening เปิดพื้นที่สำหรับการแสดงและตลาดนัดศิลปะ และบางกะปิ ซอยโยธินพัฒนา ที่เริ่มต้นรวมกลุ่มผู้ประกอบการด้านคอนเทนต์ โดยมีทีวีบูรพาเป็นผู้ริเริ่ม ฯลฯแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000008244
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
ฟรีวีซ่าไทย-จีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป คนไทยและชาวจีนสามารถเดินทางเข้าประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า โดยสามารถพำนักในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นเวลาไม่เกิน 30 วันการยกเว้นวีซ่าระหว่างไทยและจีนมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยคาดว่าจะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศเดินทางเข้าเยี่ยมชมกันมากขึ้น ซึ่งมาตรการนี้ ประกาศใช้อย่างแน่ชัดเมื่อ นายหวัง อี้ (Wang Yi) สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 26 - 29 มกราคม 2567 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ อาทิ การค้า การลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกันหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการเยือนประเทศครั้งนี้ คือการลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย - จีน ถาวร กระชับสัมพันธ์ 50 ปี การยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการโดยความตกลงดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไปเงื่อนไขฟรีวีซ่าไทยจีนอยู่ได้กี่วันเงื่อนไขฟรีวีซ่าไทย-จีน ที่จะเริ่มเปิดใช้ในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป นั้นมีเงื่อนไขสำหรับประเทศไทยมีสิทธิ์เดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าไปยังประเทศจีนนาน 30 วัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางกึ่งราชการ และกำหนดด้วยว่า ระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน โดยภายในช่วงเวลา 180 วัน สามารถพำนักรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วันเท่านั้น มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 นี้จีนประกาศให้ฟรีวีซ่าประเทศไหนบ้างช่วงปี 2566 จีนได้ประกาศทดลองใช้การเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า ขยายไปถึงพลเมืองจากฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจากประเทศเหล่านี้สามารถดำเนินธุรกิจหรือสำรวจจีนได้โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า โดยสามารถพำนักได้สูงสุด 15 วันทั้งนี้ บางประเทศมีสิทธิ์เดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าไปยังประเทศจีน สำหรับพลเมืองที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา พลเมืองจากประเทศเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังประเทศจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้นานถึง 30 วัน เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยว การเดินทาง ธุรกิจ และการเยี่ยมครอบครัวหรือเพื่อนประโยชน์ของฟรีวีซ่าไทย-จีน • ส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยและจีน • กระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ • ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนฟรีวีซ่าไทย-จีน ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยและจีน โดยคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446731/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
29/04/2024
เปิด 8 ประเภทกองทุนรวม แบบไหนเหมาะกับเรา ในระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากที่สุด วันที่ 25 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงทุนมีหลากหลายประเภทให้นักลงทุนที่สนใจได้เลือกลงทุนกัน ทั้งลงทุนในหุ้น ทอง อสังหาริมทรัพย์ และกองทุน ซึ่งหลายคนที่สนใจจะลงทุนในกองทุนแต่ไม่รู้ว่าเหมาะกับกองทุนประเภทไหน จึงควรรู้จัก “ประเภทของกองทุน” ก่อนเริ่มต้นลงทุน เพื่อเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสม สอดคล้องกับสไตล์การลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง โดย “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวม ประเภทของกองทุนรวม ข้อมูลจาก SET invest now ที่จะไล่ลำดับจาก ระดับความเสี่ยงต่ำไปจนถึงเสี่ยงสูง ดังนี้ กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ โดยจะลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ มีสภาพคล่อง มีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลงทุน ซึ่งจะมีความผันผวนด้านราคาที่ต่ำ จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยง และต้องการความคล่องตัวในการถอนเงินลงทุนคืน นอกจากนี้ ยังเหมาะเป็นที่พักเงินลงทุนของนักลงทุนที่ยังไม่แน่ใจและต้องการรอดูทิศทางการลงทุนให้แน่นอนก่อน กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงิน รวมถึงตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี โดยจะลงทุนในต่างประเทศ จึงทำให้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นมา เหมาะกับคนที่ต้องการพักเงินและรับความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้ กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 1 ปีขึ้นไป จึงมีความผันผวนมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน เหมาะกับคนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงมาก และไม่ได้หวังผลตอบแทนที่สูง กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตั๋วเงินคลัง และหุ้นกู้เอกชน ซึ่งมีทั้งกองที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี) และตราสารหนี้ระยะยาว (อายุเฉลี่ยมากกว่า 1 ปี) เหมาะกับผู้ที่ลงทุนได้ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก คาดหวังผลตอบแทนที่แน่นอน สม่ำเสมอ รวมถึงผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน กองทุนรวมผสม เป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น หรืออื่น ๆ ซึ่งสัดส่วนการลงทุนจะลงทุนในอะไรมากกว่ากัน ก็ต้องไปดูในนโยบายการลงทุนของกองทุน เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง และผู้ที่ไม่มีเวลาในการปรับสัดส่วนกองทุนหรือหุ้น หากตลาดมีความผันผวนมาก กองทุนรวมตราสารทุน เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกองทุนประเภทนี้หมายความรวมไปถึงกองทุน SSF และ RMF ที่เราคุ้นเคยกันดีด้วย เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้สูง หรือผู้ที่ชอบการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาบริหารการลงทุน กองทุนรวมตามหมวดอุตสาหกรรม เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น แต่เจาะจงอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น หุ้นธนาคาร หุ้นสื่อสาร หุ้นโรงพยาบาล ฯลฯ แต่กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตราสารทุนทั่วไป เนื่องจากมีการลงทุนแบบกระจุกตัว จึงเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และมีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ อย่างดี กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในทางเลือกอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม แต่อาจต้องศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1487193
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการถ่ายภาพสัตว์ป่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งความงดงามโดยธรรมชาติของสัตว์ มุมมองที่น่าสนใจของช่างภาพ และเสริมด้วยกล้องและเลนส์คุณภาพเยี่ยมที่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพถ่าย ทั้งความคมชัด แสง สี กระทั่งอารมณ์ที่แฝงอยู่ในโมเมนต์นั้นได้อย่างครบถ้วน เพื่อถ่ายทอดช่วงเวลาอันเงียบสงบของสัตว์ป่าท่ามกลางธรรมชาติ ให้ออกมาเป็นภาพถ่ายที่เรียบง่ายทว่างดงามและทรงพลังจนไม่อาจละสายตา แคนนอน ร่วมสนับสนุนการจัดนิทรรศการ 'ง่าย-งาม: Simply the Best' รวบรวมผลงานภาพถ่ายอันน่าทึ่งที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิตในธรรมชาติผ่านสายตาของช่างภาพฝีมือดี โดยร่วมสนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพและภาพพิมพ์คุณภาพสูงที่ช่วยสะท้อนอารมณ์และมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละช็อตได้อย่างสมบูรณ์พาส่องผลงานสุดปังของ 4 ช่างภาพมากฝีมือผ่านกล้องและเลนส์แคนนอนจอมทัพ เจริญลาภนำชัย เยาวชนรุ่นใหม่กับการถ่ายทอดธรรมชาติในมุมที่แปลกใหม่จอมทัพเป็นนักเรียนชั้นม.3 ผู้หลงใหลความงามของสัตว์ป่าและการดูแมลงตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้เริ่มถ่ายภาพตามผืนป่าอนุรักษ์มาจนถึงปัจจุบัน จอมทัพ กล่าวว่า "ผมชอบการดูและถ่ายภาพนกมาก และก็โชคดีที่ได้เพื่อน ๆ พี่ๆ ช่างภาพมาช่วยให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ในการถ่ายภาพสิ่งรอบตัวให้ออกมาสวยและแปลกใหม่" ส่วนหนึ่งของผลงานพิเศษของจอมทัพในนิทรรศการ “ง่าย-งาม” ได้แก่ ภาพ "ลิงกับไฟ" (ถ่ายด้วย Canon EOS R6 เลนส์ RF 400mm f/2.8L IS USM) ที่แสดงการปรับตัวของลิงท่ามกลางเสียงรถราที่สัญจรไปมาและไฟเมืองที่ส่องสว่างทั้งคืน โดยจอมทัพเล่าว่า "ปกติเวลานี้ฝูงลิงจะซุกตัวนอนบนต้นไม้ แต่ลิงในเมืองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเมือง ต้องนอนให้น้อยลงและออกไปเที่ยวช่วงกลางคืนมากขึ้น เหมือนกับคน" ส่วนภาพ "นกยาง" (ถ่ายด้วย Canon EOS R6 เลนส์ RF 100-500mm f/4.5-7.1L IS USM) ภาพนกยางสีขาวที่กลมกลืนไปกับเมฆขาว "ผมคิดว่าถ้าถ่ายนกยางสีขาวในฉากสีขาวคงจะแปลกน่าดู วันนั้นผมคลานเข้าบังไพรลอยน้ำ ทุกอย่างเงียบมาก เหมือนมีแค่ผมกับมันในโลก กลายเป็นรูปนกยางที่ผมชอบที่สุดเลย"ภาพซ้าย-ขวา: ลิงกับไฟ และ นกยาง ด้วยกล้อง Canon EOS R6 โดย นายจอมทัพ เจริญลาภนำชัยธรรมบุญ อุยยานนวาระ ช่างภาพวัย 16 ปีกับผลงานอันเรียบง่ายทรงพลังธรรมบุญชื่นชอบการถ่ายภาพธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก "ผมเริ่มดูนกตอน 8 ขวบและเริ่มถ่ายรูปตอน 9 ขวบ ตอนนี้ผมถ่ายทุกอย่างในธรรมชาติ เพราะความงามของธรรมชาติมันซุกซ่อนอยู่ในทุกที่ของผืนป่า" ผลงานไฮไลต์ที่จัดแสดงที่งานครั้งนี้ของธรรมบุญ รวมถึง "Headless Heron" (ถ่ายด้วย Canon EOS R5 เลนส์ RF 400mm f/2.8L IS USM) ที่ได้รับรางวัล WildArt Young Photographer of the Year ในหัวข้อ “Light” โดยความไม่เต็มตัวในภาพนี้นอกจากจะแปลกตาแล้วยังมีเรื่องราวซ่อนอยู่ "ปกตินกกระสานวลเป็นนกที่ตกใจง่าย แต่การที่ผมได้เห็นมันใกล้ขนาดนี้ที่บึงริมถนนพร้อมฉากหลังที่มีไฟเป็นดวง ๆ ก็นับว่าสุดยอดมากครับ" อีกหนึ่งภาพไฮไลต์ของนิทรรศการนี้ คือ “Time Line” (ถ่ายด้วย Canon EOS R5 เลนส์ EF 100-400mm f/4.5-5.6L IS USM) จับภาพนกนางนวลที่บินด้วยความเร็วสูงบนฉากหลังที่เป็นเส้นอันโดดเด่น "ตอนเด็ก ๆ ผมจินตนาการว่าถ้าเราเดินทางด้วยความเร็วมาก ๆ จะสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ ซึ่งภาพนี้สะท้อนสิ่งที่ผมคิดไว้ตอนนั้นเลยครับ"ภาพซ้าย-ขวา: Headless Heron และ Time Line ด้วยกล้อง Canon EOS R5 โดย นายธรรมบุญ อุยยานนวาระกตัญญู วุฒิชัยธนากร เยาวชนไทยคนเก่งกับภาพวาฬชื่อดังระดับโลกกตัญญู ผู้หลงใหลความงดงามของธรรมชาติและเริ่มศึกษาชีวิตสัตว์มาตั้งแต่เด็ก เคยได้รางวัลจากการประกวดภาพถ่ายสัตว์ป่ามากมาย ทั้งยังเป็นเยาวชนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Young Grand Title Winner จากเวที Wildlife Photographer of the Year จากภาพ "The Beauty of Baleen" (ถ่ายด้วย Canon EOS 90D) ที่นำมาจัดแสดงที่งานนี้ด้วย ภาพนี้เก็บรายละเอียดที่คมชัดของปลากะตักที่ติดอยู่บนบาลีน โดยกตัญญูเล่าว่า "ในปากของวาฬมีสิ่งที่เรียกว่า 'บาลีน' ซึ่งคนไม่ค่อยรู้จัก มันช่วยกรองอาหารออกจากน้ำทะเล เป็นภาพที่ดูธรรมดาแต่น่าค้นหา และได้นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลกมาแล้วครับ” อีกหนึ่งภาพถ่ายพิเศษคือ "Reflection - ภาพสะท้อน" (ถ่ายด้วย Canon EOS R7 เลนส์ RF 70-200mm f/4L IS USM) ภาพนี้เก็บโมเมนต์ที่นกนางนวลบินดิ่งลงจับลูกปลา "เย็นวันนั้นผิวน้ำเรียบใสเหมือนกระจกเงาสะท้อนเห็นนกนางนวลบนผืนน้ำ กลายเป็นภาพที่เหมือนนกสองตัวพุ่งเข้าหากัน" กตัญญู เล่าถึงภาพภาพซ้าย-ขวา: The Beauty of Baleen ด้วยกล้อง Canon EOS 90D และ Reflection - ภาพสะท้อน ด้วยกล้อง Canon EOS R7โดย นายกตัญญู วุฒิชัยธนากรณรงค์สุวรรณรงค์ กับช่วงเวลาในป่าที่สะกดทุกสายตาช่างภาพจากจังหวัดสกลนครผู้เริ่มอาชีพวิศวกรพร้อมกับออกเดินทางท่องธรรมชาติ และสร้างสรรค์งานเพื่อให้เรารู้จักและเข้าใจชีวิตป่ามากขึ้นกับผลงานอย่าง "สบตา" (ถ่ายด้วย Canon EOS 5D mark II เลนส์ EF 70-200mm f/4L IS USM) ภาพนี้ถ่ายในระยะ 10 เมตร เสียงกลไกของกล้องทำให้แมวลายหินอ่อนหยุดชะงักแล้วมองมาที่กล้องอย่างนิ่งงันเสมือนได้สบตากับมันอยู่ครู่หนึ่ง "ตอนนั้นแมวกำลังไล่ล่าไก่ฟ้า แล้วมุมที่ผมยืนอยู่มันแคบมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกจึงกดชัตเตอร์ถ่าย มันได้ยินเสียงกลไกของกล้องก็หันมามอง เราทั้งคู่สบตากันและได้เป็นภาพนี้ออกมา เป็นหนึ่งในภาพที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต" ส่วนภาพ "หยินหยางในสวนเซน" (ถ่ายด้วย Canon EOS R6 เลนส์ EF 300mm f/2.8L IS II USM) ถ่ายทอดความโดดเด่นของสมเสร็จที่มีลวดลายสีขาวดำ ตัดกับฉากหลังสวนหินราวกับว่าเหมือนมีหยินหยางอยู่ในสวนเซนแห่งนี้ ณรงค์เล่าถึงภาพนี้ว่า "จริง ๆ ผมเจอสมเสร็จหลายครั้งแล้วแต่ไม่ค่อยเห็นในสวนหินนี้ จนบ่ายวันหนึ่งมันก็เดินเข้ามา ท่าทางของมันสบายๆ ในสวน ผมเลยเก็บภาพช็อตนี้ได้"ภาพซ้าย-ขวา: สบตา ด้วยกล้อง Canon EOS 5D mark II และ หยินหยางในสวนเซน ด้วยกล้อง Canon EOS R6โดย นายณรงค์ สุวรรณรงค์นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพถ่ายที่เรียบง่ายแต่งดงามที่จะสร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ได้สัมผัส แคนนอน ชวนชมนิทรรศการง่าย-งาม: Simply the Best ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายภาพที่งานจะนำไปมอบให้แก่ มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก มูลนิธิไทยรักษ์ป่า และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าเมืองไทยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊คทางการของงานนิทรรศการ: ง่าย-งาม : Simply the Best Wildlife Photography Exhibition. หรือติดตามชมผลงานได้ที่ Instagram: simplythebestexhibitionแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446683/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
อัปเดต ดอยหัวหมด 2567 ในช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ นักท่องเที่ยวคึกคัก เดินทางไปชม ทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเริ่มตั้งแต่ตี 5 นักท่องเที่ยว เดินทางไปที่ ดอยหัวหมด อ.อุ้มผาง จ.ตาก เพื่อขึ้นดอยไปเฝ้ารอชม ทะเลหมอก และชมแสงแรกของเช้าวันใหม่ เป็นช่วงฤดู ปลายฝนต้นหนาว นักท่องเที่ยวก็เริ่มเยอะ มากคึกคัก คาดว่า ช่วงวันหยุดนี้ มีนักท่องเที่ยวมาจำนวนมากแน่นอนซึ่งในวันนี้ เป็นนักท่องเที่ยว จาก. จังหวัดปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สุพรรณบุรี พิษณุโลก ชัยนาท นครสวรรค์ เชียงราย และนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดตากนางสาวธมลวรรณ เจริญวงศ์พิสิฐ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานตาก กล่าวว่า ดอยหัวหมดเป็น 1 ใน 10 จุดชมทะเลหมอกที่สวยงามของจังหวัดตาก ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องห้ามพลาด โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม (ขึ้นอยู่กับปริมาณฝนในแต่ละปี) ก็จะพบกันทุ่งดอกเทียนปีกผีเสื้อสีชมพูสวยงาม และในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ก็จะพบกับพันธุ์ไม้แปลกตา "พิศวงตานกฮูก หรือพิศวงไทยทอง"ช่วงต้นฤดูหนาวนี้ ผมขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่าน มาร่วมสนุก มาหาความสุข มาเติมเต็มประสบการณ์กันที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก กันนะครับ "#มาเที่ยวจังหวัดตาก #ยากที่จะจากลา • รู้จัก "ดอยหัวหมด" ที่เที่ยวกำลังเป็นประเด็นจากช่อง Cullen HateBerryสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ ดอยหัวหมด จ.ตาก เพิ่มเติมได้ที่ • ททท.สำนักงานตาก : 193 ถ.ตากสิน ต.หนองหลวง อ.เมือง จ.ตาก 63000 • โทรศัพท์ 055-514-3413 • อีเมล์ tattak@tat.or.th • FB taktravelแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1423549/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
31/07/2024
30/04/2024
18/06/2024
30/04/2024
14/06/2024