การวางแผนทางการเงิน

ย้อนคำแนะนำนักการเงิน วางแผนอย่างไรในวันที่อะไร ๆ ไม่แน่นอน


ย้อนคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ วางแผนการเงินอย่างไรในวันที่สถานการณ์โลก ในประเทศ และเงินในกระเป๋าตังไม่แน่นอน


ผ่านไตรมาสแรกมาไม่ทันไร สถานการณ์โลกและเศรษฐกิจกลับผันผวนและน่าตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ทั้งสงครามตะวันออกกลาง สงครามการค้าสหรัฐ และเหตุการณ์บ้านเมือง กลายเป็นว่า คนไทยต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนอย่างหนัก ทั้งในแง่ของสภาพแวดล้อม และสถานะการเงิน


ประชาชาติธุรกิจ หยิบคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่ใช้ได้ทั้งในวันที่มั่นคง และไม่แน่นอน


เริ่มต้นที่โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมากว่า 20 ปี เคยให้คำแนะนำไว้ว่า ในความจริงคนเราควรมีเงินสดอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะช่วงเศรษฐกิจผันผวน หากเป็นธรรมดาทั่วไปก็ควรมีเงินสำรองรูปแบบเงินสด หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง 3-6 เดือน


สำรองเงินสด ตลอดเวลา


เขายกตัวอย่างความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การที่รายได้หาย “ถ้าวันนี้คุณทำงานอยู่แล้วถูกลดเงินเดือน หรือโดนให้ออกจากงานตอนนี้ หลายคนน่าจะสะเทือนอยู่” เป็นเหตุผลที่ควรพิจารณาความน่ากังวลของสินทรัพย์ในกระเป๋าผ่าน 3 ปัจจัย ดังนี้


1. สถานการณ์ที่ทำงาน หากบริษัทที่ทำงานอยู่ประกอบธุรกิจในประเทศ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ก็อาจน้อยกว่า แสดงว่า รายได้ยังมีความมั่นใจ และสบายใจได้ระดับหนึ่ง


2. รายรับ-จ่ายจ่าย กลับมาดูที่รายรับรายจ่ายของตัวเองว่า มีเงินเหลือทุกเดือนพอที่จะเก็บออม หรือเอาไปลงทุนได้แบบไร้กังวล หรือมีเงินเพียงพอต่อการจ่ายภาระต่าง ๆ โดยไม่เดือดร้อน ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ลดความกังวลได้ แต่หากเงินเหลือปริ่มน้ำตลอดทุกเดือน อาจจะต้องมองหาการปรับเงื่อนไขการผ่อนให้เบาลง หรือหารายได้ช่องทางอื่นเพิ่มมากขึ้น


3. เงินสำรอง 3-6 เดือน หากมีครบประกอบกับการงานมั่นคงดี มีรายรับ-จ่ายที่ควบคุมได้ เราถึงจะสามารถมองหาช่องทางการลงทุนจากเงินส่วนที่เหลืออยู่ได้


วางแผนการเงินรับมือทุกสถานการณ์


ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกอบการเริ่มต้นของสงครามการค้าที่เพิ่งเริ่มต้นนายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ออกมาแนะนำให้คนไทยวางแผนการเงินเพื่อรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้มากขึ้น แต่ไม่ใช่แค่เพราะว่าเพิ่งมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่เท่านั้น


หากพิจารณาในช่วงเกือบ 5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน ซึ่งคำแนะนำของสมาคม คือ ตามหลักการแล้ว หากเป็นมนุษย์เงินเดือนควรมีการสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน แต่หากเป็นกลุ่มฟรีแลนซ์ ก็ต้องสำรองเงินจำนวน 12 เดือน ของค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติการสำรองเงินฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น


ประกอบกับข้อมูลจาก Make By Bank ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินจึงแนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน หรือให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายไปอีก 3-6 เดือน


ยกตัวอย่าง หากมีรายได้อยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน และมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12,000 บาทต่อเดือน ก็ควรที่จะมีเงินเก็บอยู่ที่ 36,000-72,000 บาท


นอกจากนี้ ยังแบ่งเป็นกลุ่มอาชีพได้ดังนี้


1. กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน พนักงานเอกชนส่วนใหญ่มีรายได้ประจำที่แน่นอน แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะตกงานได้หากบริษัทประสบปัญหา หรือเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น เงินสำรองฉุกเฉินจึงควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน


2. กลุ่มอาชีพข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีรายได้ประจำที่มั่นคงและมีโอกาสตกงานน้อย ดังนั้น เงินสำรองฉุกเฉินจึงอาจไม่ต้องมีมากเท่ากับกลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินแนะนำว่า อาจเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 2-4 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน


3. กลุ่มอาชีพอิสระ เป็นอาชีพที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่แน่นอน เมื่อเทียบกับกลุ่มพนักงานประจำหรือข้าราชการ ดังนั้น จึงมีโอกาสตกงานหรือมีรายได้ลดลงได้สูง เงินสำรองฉุกเฉินจึงควรมีอย่างน้อย 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน


อย่างไรก็ตาม เงินสำรองฉุกเฉินจะสามารถมีน้อยกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งเกณฑ์ไว้ได้ แต่ข้อจำกัดของการมีเงินสำรองฉุกเฉินมากหรือน้อยเกินไปก็อาจส่งผลเสีย เช่น หากมีมากเกินไปอาจเสียโอกาสในการหาผลตอบแทนจากการลงทุน หรือน้อยเกินไปก็อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น


ดังนั้น การกำหนดเงินสำรองฉุกเฉินจึงควรพิจารณาตามเงื่อนไขในชีวิตและปัจจัยต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล เช่น ความมั่นคงทางรายได้ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน และสินทรัพย์อื่นที่มี


แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1831416
X