การวางแผนทางการเงิน

วิธีการเอาชนะ ความโลภและ ความกลัว ในตลาดลงทุน


  •  ความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์หลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน และมักทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด
  •  ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดมาจาก อารมณ์, แรงกดดันจากสังคม, ข่าวสาร, ความผันผวนของตลาด, และการใช้เครื่องมือทางการเงินโดยไม่เข้าใจ 
ทุกคนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนบ้างไหม? 
  •  Overtrade เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดล้างพอร์ต เพราะเกิดจากความโลภ, ความมั่นใจเกินไป และการใช้อารมณ์ในการเทรด


วิธีการเอาชนะ ความโลภและ ความกลัว ในตลาดลงทุน คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Trader


ช่วงนี้หลายๆ คนอาจจะพบปัญหา การเทรดในสภาวะที่ตลาดผันผวนมาก วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับอารมณ์ในขณะเทรดกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง


ความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์หลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน และมักทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด เช่น ซื้อหุ้นในราคาสูงเพราะกลัวพลาดโอกาส (FOMO) หรือขายขาดทุนเพราะตื่นตระหนกในภาวะตลาดขาลง การเอาชนะสองอารมณ์นี้ต้องอาศัยการฝึกฝนวินัยและการมีระบบในการลงทุน


วิธีเอาชนะ ความโลภ (Greed)


1. ตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน


  •  กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามอย่างมีวินัย
  •  อย่าโลภเกินไปจนรอให้ราคาขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแผน


2. ใช้กลยุทธ์การทยอยขาย


  •  ขายบางส่วนเมื่อได้กำไรตามเป้า เพื่อลดความเสี่ยง
  •  วิธีนี้ช่วยให้คุณล็อกกำไรบางส่วน และยังสามารถถือครองส่วนที่เหลือต่อไปได้


3. หลีกเลี่ยง FOMO (Fear of Missing Out)


  •  อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะราคากำลังขึ้นแรงหรือมีข่าวดี
  •  ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุนเสมอ


4. มีแผนการลงทุนระยะยาว


  •  นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผน
  •  อย่าตัดสินใจจากอารมณ์เพียงชั่วขณะ




วิธีเอาชนะ ความกลัว (Fear)


1. ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)


  •  กำหนดระดับขาดทุนที่รับได้ และขายออกเมื่อถึงจุดนั้น
  •  ช่วยลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นขาดทุนเป็นเวลานาน


2. มองตลาดในระยะยาว


  •  ความผันผวนเป็นเรื่องปกติของตลาด
  •  อย่าตื่นตระหนกกับการปรับฐานในระยะสั้น หากพื้นฐานของสินทรัพย์ยังดี


3. กระจายความเสี่ยง (Diversification)


  •  ไม่ลงเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
  •  การกระจายพอร์ตช่วยลดโอกาสขาดทุนหนักจากการผิดพลาดเพียงครั้งเดียว


4. ใช้ข้อมูลแทนอารมณ์


  •  ตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูล เช่น งบการเงิน, ข่าวเศรษฐกิจ, และแนวโน้มอุตสาหกรรม
  •  หลีกเลี่ยงการซื้อ-ขายจากข่าวลือหรืออารมณ์ตลาด


5. ฝึกความมั่นคงทางอารมณ์


  •  การฝึกสมาธิ, การออกกำลังกาย, หรือการมีที่ปรึกษาการลงทุนที่ดี สามารถช่วยให้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น




สรุปข้างต้น


  •  ควบคุมความโลภด้วยการตั้งเป้าหมายกำไร, ใช้กลยุทธ์ทยอยขาย, และหลีกเลี่ยงการลงทุนตามกระแส
  •  ควบคุมความกลัวด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน, มองตลาดในระยะยาว, กระจายพอร์ต, และใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
  •  มีระบบการลงทุนที่ชัดเจนและทำตามแผนอย่างมีวินัย เพื่อให้สามารถรับมือกับอารมณ์ทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพ




สำหรับนักลงทุน อะไรที่เป็นปัจจัยกดดันการตัดสินใจผิดพลาด  


แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ และ ควบคุมไม่ได้

 

ปัจจัยภายใน (มาจากตัวนักลงทุนเอง) ควบคุมได้


1. อารมณ์ความรู้สึก (Emotional Bias)


  •  ความโลภ (Greed): ทำให้ไล่ซื้อตามกระแส (FOMO) หรือถือสินทรัพย์ไว้นานเกินไปแม้เริ่มมีสัญญาณว่าควรขาย
  •  ความกลัว (Fear): ทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีโอกาสเพราะกลัวขาดทุน
  •  ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence): คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด นำไปสู่การลงทุนโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ


2. การยึดติดกับต้นทุนเดิม (Anchoring Bias)


  •  นักลงทุนมักยึดติดกับราคาที่เคยซื้อ เช่น ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท แล้วมันตกลงเหลือ 80 บาท อาจปฏิเสธที่จะขายเพราะไม่อยากขาดทุน ทั้งที่แนวโน้มอาจแย่ลงอีก


3. การยืนยันความเชื่อเดิม (Confirmation Bias)


  •  เลือกหาข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของตัวเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
  •  ทำให้เกิดการมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง


4. การตัดสินใจตามคนส่วนใหญ่ (Herd Mentality)


  •  ซื้อหุ้นเพราะเห็นคนอื่นซื้อ หรือขายเพราะคนอื่นขาย โดยไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง


5. ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO - Fear of Missing Out)


  •  ทำให้รีบเข้าซื้อสินทรัพย์ที่กำลังขึ้นแรง โดยไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นที่พุ่งแรงเพราะข่าวลือ


ปัจจัยภายนอก (มาจากสภาพตลาดและสิ่งแวดล้อม) ควบคุมไม่ได้


1. ข่าวสารและสื่อ (News & Media Influence)


  •  นักลงทุนบางคนรับข่าวสารมากเกินไป จนทำให้เกิดความกังวลหรือเปลี่ยนแผนการลงทุนบ่อยเกินไป
  •  ข่าวเชิงลบอาจทำให้ตื่นตระหนกและขายหุ้นทั้งที่ยังไม่มีสัญญาณวิกฤตจริง


2. ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)


  •  ตลาดหุ้นสามารถผันผวนได้ตามปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve), วิกฤตเศรษฐกิจ, หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น สงครามหรือโรคระบาด)
  •  ักลงทุนที่ไม่เตรียมตัวอาจตัดสินใจผิดพลาด เช่น เทขายตอนตลาดตกแรง ทั้งที่อาจเป็นโอกาสซื้อ


3. ดอกเบี้ยและสภาพคล่อง (Interest Rates & Liquidity)


  •  อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นถูกขายออก
  •  สภาพคล่องในตลาดต่ำอาจทำให้การซื้อ-ขายทำได้ยาก และต้องยอมขายในราคาที่ต่ำ


4. แรงกดดันทางสังคม (Social & Peer Pressure)


  •  นักลงทุนมือใหม่มักได้รับคำแนะนำจากเพื่อนหรือกลุ่มในโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
  •  ความต้องการให้คนอื่นยอมรับ อาจทำให้ตัดสินใจตามกลุ่มมากกว่าตามเหตุผล


5. การใช้เครื่องมือการลงทุนผิดพลาด


  •  การใช้ Leverage หรือการกู้เงินเพื่อเทรดโดยไม่มีแผนสำรอง อาจนำไปสู่การขาดทุนหนัก
  •  การไม่เข้าใจผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น Options หรือ Futures อาจทำให้เสี่ยงเกินไป


สรุป


ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดมาจาก อารมณ์, แรงกดดันจากสังคม, ข่าวสาร, ความผันผวนของตลาด, และการใช้เครื่องมือทางการเงินโดยไม่เข้าใจ วิธีป้องกันคือ มีแผนการลงทุนที่ดี, ควบคุมอารมณ์, ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ และกระจายความเสี่ยง


ทุกคนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนบ้างไหม?


อีกข้อนึงที่เป็นกันบ่อยๆ Overtrade


การเทรดแบบ Overtrade คืออะไร?
Overtrade หมายถึงการซื้อขายสินทรัพย์มากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินทุนที่มีอยู่ หรือการเข้าเทรดถี่เกินไปโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนและการหมดตัวเร็วกว่าปกติ


สาเหตุของ Overtrade


1. ความโลภ (Greed)


  •  ต้องการทำกำไรเร็วขึ้น หรืออยากเอาคืนหลังจากขาดทุน
  •  ใช้ Leverage สูงเกินไป เพื่อเพิ่มผลตอบแทน


2. ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence Bias)


  •  คิดว่าตัวเองเก่งกว่าตลาด หรือสามารถจับจังหวะได้แม่นยำ
  •  มั่นใจในสัญญาณทางเทคนิคหรือกลยุทธ์จนละเลยความเสี่ยง


3. การแก้แค้นตลาด (Revenge Trading)


  •  เทรดหนักขึ้นหลังจากขาดทุน เพื่อพยายามเอาทุนคืน
  •  มักทำให้ขาดทุนมากขึ้นเพราะเทรดโดยใช้อารมณ์


4. ความเครียดและอารมณ์ (Emotional Trading)


  •  เทรดเพราะรู้สึกกดดัน หรือไม่อยากพลาดโอกาส (FOMO)
  •  ทำให้เข้าออเดอร์มากเกินไปโดยไม่มีแผนรองรับ


5. การใช้ Leverage สูงเกินไป


  •  ใช้ Margin เยอะเพื่อเปิดสถานะมากขึ้นโดยหวังผลกำไรมากขึ้น
  •  เสี่ยงต่อการถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call)


6. การเข้าใจผิดเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด


  •  เทรดมากขึ้นเพราะคิดว่าตลาดมีโอกาสทำกำไรสูง โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง

 

ผลเสียของ Overtrade


1. หมดตัวเร็วขึ้น


  •  การเทรดบ่อย ๆ โดยไม่มีแผนทำให้พอร์ตลดลงเร็วขึ้น


2. ความเครียดและความกดดันสูง


  •  เทรดมากเกินไปทำให้เกิดความเครียด และอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด


3. ค่าธรรมเนียมการเทรดเพิ่มขึ้น


  •  ค่าคอมมิชชั่น, Spread, และค่า Swap อาจกินกำไรไปมากกว่าที่คิด


4. การตัดสินใจแย่ลง


  •  เมื่อเทรดมากไป อาจพลาดการวิเคราะห์ตลาดที่ดี และเลือกจังหวะเข้าออกที่แย่


5. ขาดทุนสะสมโดยไม่รู้ตัว


เคยมั้ยเมื่อเทรดบ่อยเกินไป อาจไม่ได้สังเกตว่ากำลังเสียเงินเรื่อย ๆ วันนี้มีทริคมาแบ่งปันค่ะ มองหาวิธีป้องกันความเสี่ยง


วิธีป้องกัน Overtrade


1. มีแผนการเทรด (Trading Plan)


  •  กำหนดจำนวนครั้งในการเทรดต่อวันหรือต่อสัปดาห์
  •  มีเป้าหมายกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)


2. ใช้ความเสี่ยงที่เหมาะสม (Risk Management)


  •  ลงทุนแต่พอดี เช่น ใช้ความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อออเดอร์
  •  อย่าใช้ Leverage เกินตัว


3. ควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)


  •  ฝึกมีวินัย ไม่เทรดเพราะอารมณ์หรือความโลภ
  •  ถ้ารู้สึกเครียดหรือกดดัน ให้หยุดพักก่อนตัดสินใจเทรด


4. ลดจำนวนการเทรดลง


  •  เลือกเฉพาะออเดอร์ที่มีโอกาสดีจริง ๆ เท่านั้น
  •  อย่าเทรดแค่เพราะอยาก "ทำอะไรสักอย่าง"


5. บันทึกการเทรด (Trading Journal)


  •  จดบันทึกทุกออเดอร์ เพื่อดูว่าทำไมได้กำไรหรือขาดทุน
  •  ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมและปรับปรุงกลยุทธ์

 

สรุป


Overtrade เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักเทรดล้างพอร์ต เพราะเกิดจากความโลภ, ความมั่นใจเกินไป และการใช้อารมณ์ในการเทรด วิธีแก้ไขคือต้องมี วินัย, แผนการเทรดที่ดี, การบริหารความเสี่ยง, และการควบคุมอารมณ์


สุดท้ายต้องย้อนกลับมามองที่จุดเริ่มต้นเสมอ นั่นคือ Trade Setup เนื้อหาครั้งถัดไปจะมาพูดถึงประเด็นการสร้าง Trade Setup กันค่ะ


แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจ
https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/super-trader/629218
X