การวางแผนทางการเงิน
                    "ทองคำ" ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังสงคราม 
เริ่มย่อตัวลงหลังรับข่าวไปพอสมควร ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ 
ยังคงสนับสนุนราคาต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงนี้มีโอกาสจะแกว่งตัวผันผวน
นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนที่สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสปะทุขึ้น ราคาทองคำในตลาดโลกดีดตัวขึ้นราว 10% และเริ่มทรงตัว การลงทุนในทองคำช่วงนี้อาจไม่ง่ายนัก เมื่อสงครามยังไม่ยุติ ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อทองคำยังคงผันผวน
การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนประเภท 
Structured Fund 
จะสามารถช่วยลดโอกาสการขาดทุนเงินต้นพร้อมกับเปิดโอกาสรับผลตอบแทนทั้งกรณีราคาทองคำปรับตัวขึ้นและปรับตัวลงได้
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักนึกถึงเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือสงคราม ซึ่งข้อมูลในอดีตสะท้อนว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นราว
 5-10% ในช่วง 1 เดือนก่อนสงคราม 
แม้สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในรอบนี้จะต่างจากในอดีตเล็กน้อยที่ไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นสัญญาณเตือนถึงสงครามล่วงหน้า
 แต่ราคาทองคำดีดตัวขึ้นเช่นเดียวกันราว 10% ซึ่งใกล้เคียงกับในอดีต อย่างไรก็ตาม สถิติในอดีตชี้ว่า สงครามเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้นที่ผลักดันราคาทองคำ
ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ จะมีผลต่อราคาทองคำมากกว่าหลังรับข่าวสงคราม 
โดยเฉพาะในมุมของความต้องการทองคำ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว
โดย World Gold Council รายงานว่า ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อสะสมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
โดยปริมาณการซื้อทองคำในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
 และปริมาณการซื้อทองคำในช่วงไตรมาส 3/2023 เพิ่มขึ้นถึง 120% 
เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2023 
หากนับรวมตั้งแต่ต้นปีธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิราว 800 ตัน 
สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2022 ราว 14%
ส่วนนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางจะมีผลกับราคาทองคำเช่นกัน 
โดยพบว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ +/-5% หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) 
หยุดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ธนาคารกลางสหรัฐ
 (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน 2 รอบการประชุม
และตลาด (CME FedWatch Tool) ประเมิณว่ามีโอกาสถึง 97.4% ที่ Fed 
จะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบหน้า (เดือนธ.ค.) ซึ่งหาก 
Fed ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 
นั่นหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบันที่ 5.25-5.50% 
มีโอกาสเป็นอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุดแล้ว 
และราคาทองคำมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ +/-5%

นอกจากนั้น ข้อมูลจาก TISCO ESU พบว่า 
ปัจจัยทางด้านอัตราเงินเฟ้อ มีผลกับราคาทองคำเช่นกัน 
โดยทองคำจะให้ผลตอบแทบเฉลี่ย 8% ในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 2-5% ซึ่ง 
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ล่าสุดอยู่ที่ 3.2% ปัจจัยเหล่านี้ 
ชี้ว่าราคาทองคำที่ตอบรับประเด็นสงครามไปในช่วงที่ผ่านมา 
มีโอกาสปรับขึ้นค่อนข้างจำกัด 
ในขณะที่ต้นทุนของทองคำ ณ ปัจจุบัน 
เมื่อรวมต้นทุนหน้าเหมืองและส่วนต่างของราคาทองคำแล้ว จะอยู่ที่ประมาณ 
1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ 
ทำให้ความเสี่ยงที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวค่อนข้างจำกัดเช่นกัน
ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังสงคราม 
เริ่มย่อตัวลงหลังรับข่าวไปพอสมควรแล้ว ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ 
ยังคงสนับสนุนราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง 
ทำให้ราคาทองคำในช่วงนี้นับจากนี้มีโอกาสจะแกว่งตัวผันผวน
การลงทุนในทองคำในสถานการณ์นี้สามารถใช้ความได้เปรียบของกองทุนประเภท
 Structured Fund ที่นำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ
 เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพื่อลดโอกาสการการขาดทุนเงินต้น 
และแบ่งส่วนที่เหลือลงทุนในสัญญา Option 
เพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนทั้งกรณีราคาทองคำปรับตัวขึ้นและปรับตัวลง
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง 
สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ prtisco@tisco.co.th I บทความโดย ณัฐพร 
ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Wealth Manager
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ
                                    11/11/2024
                                    19/09/2024
                                    25/06/2025
                                    29/10/2024
                                    24/10/2025