ข่าวการเงิน
                    บทความโดย “ศุภชัย จันไพบูลย์”
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 1 เมษายน 2567 ภายหลังจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย 
การเดินทางเริ่มสะดวกขึ้น ทำให้รายได้เริ่มกลับมาอีกครั้ง 
แต่พบว่าค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมา 
ผลกระทบทางการเงินยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จากรายได้ลดลง 
มีการเพิ่มการกู้ยืมเพื่อการบริโภค ส่งผลกระทบต่อเงินเก็บออม
อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 
ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2.5% (ณ วันที่ 27 ก.ย. 2566) 
ส่งผลให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เร่งตัวสูงขึ้น 
ก่อให้เกิดการชะลอตัวของการบริโภคในระยะสั้น 
และส่งผลกระทบรายได้ที่เหลือเพื่อการออมเงินด้วย
โดยปกติการออมเงินเพื่อกรณีที่ฉุกเฉินควรเก็บเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายอยู่ที่
 3-6 เดือน ซึ่งการเก็บอาจอยู่ในรูปแบบของบัญชีธนาคาร 
กองทุนรวมตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูง เงินสดหรือในรูปแบบอื่น ๆ  
เช่น รูปแบบฉุกเฉินกรณีสุขภาพ ให้ซื้อประกันสุขภาพ 
โดยพิจารณาประกันสุขภาพให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่อครั้งของการรักษาโรค 
หรือใช้แบบวงเงินเหมาจ่ายก็สะดวกดี เป็นต้น
การสร้างกองทุนฉุกเฉินเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการในภาพรวมของเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
 3-6 เดือน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหลายมิติ ดังนี้
1. มิติเรื่องของความสบายใจ : ช่วงเวลาที่เราหรือครอบครัวขาดสภาพคล่อง 
และถ้ามองไม่เห็นในอนาคตว่ารายได้จะมาจากทางไหนอีก 
ยิ่งจะทำให้เกิดความเครียดมากเพิ่มขึ้นไป 
คิดแล้วจะวนอยู่วังวนว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เช่น ในช่วง COVID-19 
หากมองเช่นนี้แล้วการเริ่มที่จะหาความสบายใจให้ได้ควรเริ่มสะสมเงินจากรายได้
 2% และเพิ่มขึ้นไปเดือนละ 1% จนไปถึงระดับที่เหมาะสม
2. มิติเรื่องของสภาพคล่อง : 
การบริหารเงินที่เก็บว่าจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่องสูงหรือการซื้อประกันสุขภาพสำหรับตัวเองและครอบครัว
 เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามบริบทของแต่ละครอบครัวไป 
เนื่องจากบางครอบครัวมีสวัสดิการที่ทางองค์กรหรือหน่วยงานเป็นคนดูแลให้อยู่แล้ว
 บางคนอาจไม่มีเลย 
หลายคนมองว่าสิทธิขั้นพื้นฐานที่มีไม่ว่าจะสิทธิประกันสังคม 
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า น่าจะเพียงพอแล้ว 
แต่อย่าลืมว่าหากต้องการเพิ่มเติมจากส่วนที่เป็นพื้นฐาน 
ส่วนเกินสิทธิต้องชำระเอง ซึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ คือ การทำประกัน
3. มิติเรื่องของปกป้องพอร์ตลงทุน : 
เมื่อเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เช่น 
เป้าหมายเกษียณซึ่งจะบรรลุในอีก 20 ปีข้างหน้า 
แต่หากว่าในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ที่ต้องนำเงินออกมา 
หรือไม่สามารถนำเก็บเงินก้อนใหม่ได้ 
สิ่งที่กระทบคือเป้าหมายที่วางไว้ก็จะไม่สำเร็จ หรืออาจจะต้องเลื่อนออกไป
ดังนั้นการวางแผนเพื่อปกป้องพอร์ตลงทุน จึงควรกันเงินไว้เป็นกองทุนฉุกเฉิน 
ซึ่งเป็นเงินที่แยกออกมาต่างหาก 
จะต้องไม่นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนกับพอร์ตเพื่อเป้าหมาย 
วัตถุประสงค์กองทุนฉุกเฉินเพื่อไว้ใช้จ่ายของครอบครัว 
แม้ว่าพอร์ตที่ว่างเป้าหมายไว้อาจมีความผันผวน 
แล้วส่งผลให้ขาดทุนก็อย่านำเงินในกองทุนฉุกเฉินเข้าไปซื้อ 
ถึงแม้ราคาจะปรับลดลง
หลายคนได้มีการวางแผนการเงินมาเป็นอย่างดี 
ทำให้ตนเองและครอบครัวผ่านสถานการณ์มิคาดฝันในชีวิตมาได้ 
ถือได้ว่ามีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี 
และที่สำคัญต้องหมั่นตรวจสอบกองทุนฉุกเฉินด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ท้าทายทางความคิดว่า COVID-19 
ได้ทำลายความคิดเดิมด้านการเงินหรือไม่ 
แล้วมีการสร้างแนวความคิดเรื่องการเงินขึ้นมาใหม่หรือเปล่า 
เพราะสิ่งไม่แน่นอนในช่วงชีวิตยังมีอีกทั้งระดับเล็ก ๆ ที่กระทบแค่คนเดียว 
เช่น เจ็บป่วยไข้ ตกงาน หรือเป็นผลกระทบระดับกว้าง เช่น 
สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว การเกิดภัยพิบัติ หรือโรคระบาด
ดังนั้น 
คงต้องขึ้นอยู่กับการที่เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างจิงจังว่า 
การเตรียมรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินมีมากน้อยแค่ไหน COVID-19 
เองก็อาจเป็นตัว Disrupt ความคิดการเงินก็ได้
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
                                    27/02/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024