ข่าวการเงิน
                    ตามรอย “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เดินหน้าลงทุน เอาชนะทุกศึกสงคราม 
                    
                 
                
                    
                         
                     
                    
                    
                                                
วันที่
 21 ตุลาคม 2566 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด 
ผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เปิดเผยว่า ไม่น่าเชื่อว่าในช่วง
 2 ปีมานี้ เราเจอกับเหตุการณ์สงครามติดต่อกันปีต่อปีเลยทีเดียว 
เมื่อต้นปีก่อนสงครามรัสเซียยูเครน 
สร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนทั่วโลก 
มาช่วงปลายปีนี้สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส 
ก็ทำให้นักลงทุนปั่นป่วนกันอีกรอบ 
 
 
แม้ตอนนี้สถานการณ์สงครามยังไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ 
เพราะความไม่แน่นอนหมุนอยู่รอบตัวเราเสมอ 
ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนจึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด 
ปรับพอร์ตลงทุนให้เท่าทันกับสถานการณ์อยู่เสมอ ที่สำคัญ ‘Stay Invest’ 
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังต้องลงทุนต่อไป 
 
 
 
เช็คราคาสินทรัพย์หลังสงคราม  
 
 
เห็นข่าวในเช้าวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ 
เมื่อกลุ่มติดอาวุธฮามาส (Hamas) ชาวปาเลสไตน์ 
ยิงจรวดจากฉนวนกาซาเข้าโจมตีหลายพื้นที่ของอิสราเอล 
และอิสราเอลก็ตอบโต้กลับทันที โดยการโจมตีทางอากาศไปยังพื้นที่ฉนวนกาซา 
เปิดฉากสงครามรอบใหม่จากปัญหาความขัดแย้งเดิม 
ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องมายาวนานนับร้อยปี 
 
 
เรามาดูกันครับว่า 
สงครามที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อะไรบ้าง 
ที่ถูกกระทบหนักสุดคงหนีไม่พ้นราคาน้ำมัน หลังข่าวการโจมตีของทั้ง 2 
ฝ่ายเผยแพร่ออกมา ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปทันทีที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 
 
 
เพราะตลาดกังวลว่าภาวะสงครามอาจทำให้น้ำมันขาดตลาดได้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI
 และ Brent ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% มาอยู่ที่ 86 ดอลลาร์ และ 89 
ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ 
ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 
เพราะความต้องการที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัวทั่วโลก 
 
 
อีกหนึ่งสินทรัพย์หลักที่ได้รับผลกระทบ นั่นก็คือทองคำ โดยเช้าวันที่ 9 
ตุลาคม ที่ผ่านมา ราคา Gold Spot พุ่งขึ้น 0.9% มาอยู่ที่ 1,843.83 
ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะนักลงทุนพากันหลบภัยสงครามสู่ Safe Haven 
ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์กลุ่มปลอดภัยสูงนั่นเอง 
 
 
ส่วนผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนยังมีไม่มากนัก โดยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ 
แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลหลักอื่นๆ อย่างยูโรและปอนด์ 
เงินเยนยังคงเป็นแหล่งพักเงินและช่องทางเก็งกำไรสำหรับนักลงทุน 
และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น 
 
 
ทางด้านหุ้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ สูง 
แน่นอนครับ ปรับลดลงกันแทบทุกตลาดทั่วโลก โดยเมื่อวันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม 
ที่ผ่านมา ดัชนี Down Jones -0.12% ทางด้านยุโรป STOXX600 -0.98% Nikkei225
 -0.55% และตลาดหุ้นจีน CSI300 -1.05% 
 
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามยังคงดำเนินต่อไปและเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 
ของการปะทะระหว่างอิสราเอล-ฮามาส 
ปัจจัยเสี่ยงนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของคู่พิพาทชัดเจนขึ้น 
โดยตลาดหุ้น Tel Aviv (TA) ของอิสราเอล ดัขนี TA-125 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิง 
และ TA-35 ซึ่งเป็นกระดานหุ้นบลูชิป ลดลงทั้งคู่ประมาณ 3.6% 
 
 
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยซึ่งปิดทำการในวันหยุดสำคัญ ศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 
และเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 16 ตุลาคม SET Index 
ของเราก็ร่วงลงทันทีตาม Sentiment ตลาด 
โดยระหว่างวันตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 30 จุด 
เพราะตลาดตกใจทั้งเรื่องสงคราม 
และกลัวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อ 
หลังจากราคาน้ำมันทะยานขึ้นจากสถานการณ์สงคราม 
 
 
 
ตามรอย ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ลงทุนช่วงสงคราม  
 
 
เมื่อพูดถึง ‘สงคราม’ 
เราคงนึกถึงความโหดร้ายและสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น 
แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ 
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ 
ทั้งกรณีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ Trade War และ Tech War ของ 2 
ขั้วมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกระหว่างจีน-สหรัฐ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน 
มาถึงสงครามล่าสุดระหว่างมหากาพย์คู่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ 
 
 
ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น 
ทำให้หลายคนอาจถอดใจกับการลงทุน เน้นถือครองเงินสดเพื่อเพลย์เซฟที่สุด 
โดยเฉพาะในสถานการณ์สงครามแบบนี้ แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้เสมอ ๆ นะครับว่า 
 
 
การไม่ลงทุนก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง 
เพราะจะทำให้เราพลาดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า 
เมื่อเทียบกับการกอดเงินสดไว้เฉยๆ โดยเฉพาะในภาวะเงินเฟ้อสูงแบบนี้ 
และผมก็ขอยกตัวอย่างการลงทุนของบรมครูปู่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ 
ในภาวะสงครามกันอีกครั้ง เผื่อเป็นความหวังให้ทุกท่านในภาวะหดหู่ของสงคราม 
ให้มีกำลังใจเดินหน้าลงทุนกันต่อไป 
 
 
หลายคนอาจจะทราบกันแล้วนะครับว่า คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ 
ซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิตตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 
แถมยังเคยแนะนำให้ลงทุนในช่วงสงคราม 
ซึ่งปู่เองยังเคยซื้อหุ้นตอนที่รัสเซียกำลังเข้ายึดไครเมียในปี 2557 มาแล้ว
 แถมบอกว่ารู้สึกดีที่หุ้นที่เล็งไว้ราคาตก แต่ถ้าใครยังไม่รู้ 
ผมจะขอแชร์ประสบการณ์การลงทุนในภาวะสงครามของคุณปู่ให้ทราบกันอีกครั้ง 
 
 
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อต้นปี 2557 
ช่วงที่รัสเซียกำลังเข้ายึดคาบสมุทรไครเมียจากยูเครน เหตุการ์เหมือน 
‘แดจาวู’ ใช่มั้ยล่ะครับ 
สงครามครั้งนั้นทำให้ตลาดหุ้นถูกครอบงำไปด้วยความกลัว 
นักลงทุนพากันเทขายจนหุ้นตกเป็นใบไม่ร่วงในช่วง Fall season 
แต่ปู่กลับให้สัมภาษณ์แบบสวนกระแสว่า 
 
 
“ผมอยากบอกนักลงทุนที่กำลังตกใจว่า ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วเห็นหุ้นที่ผมกำลังไล่ซื้อราคาตกลงมา ผมกลับรู้สึกดีนะ” 
 
 
หลายคนคงตั้งคำถามว่า ตลาดหุ้นปั่นป่วนขนาดนี้ 
และไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์จะจบแบบไหน เมื่อไหร่ 
แล้วทำไมปู่บัฟเฟตต์ถึงแนะนำแบบนี้ ซึ่งปู่บอกว่า “ถ้ามัน (วิกฤตไครเมีย) 
กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามเย็นรอบใหม่ 
ผมก็ยังจะซื้อหุ้นอยู่ดี เพราะในช่วงสงคราม เงินเฟ้อจะสูง 
ทำให้กำลังซื้อลดลง (จากการถือเงินสด)” และย้ำว่า 
“สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำตอนเกิดสงครามคือการถือเงินสด” 
 
 
สิ่งที่ปู่ต้องการจะบอกก็คือ เมื่อสงครามมาถึง ค่าของเงินก็จะลดลงอยู่ดี 
หมายความว่า เมื่อก่อนมีเงิน 10 บาทคุณอาจจะซื้อน้ำได้ 1 ขวด แต่ 10 บาท 
ในภาวะสงครามคุณอาจจะซื้อไม่ได้สักขวดด้วยซ้ำ การลงทุนนี่ล่ะ 
ที่จะช่วยให้ค่าของเงินที่คุณมี ไม่ลดน้อยหายไปตามภาวะสงคราม 
 
 
แต่ปู่ก็ไม่ได้บอกให้ซื้อหุ้นแค่อย่างเดียวนะครับ 
เราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยบอกว่า 
“คุณจะลงทุนอย่างอื่นก็ได้ เช่น ฟาร์ม อะพาร์ตเมนต์ 
ขอแค่เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ย่อมดีกว่าการกอดเงินสดเอาไว้แน่
 ๆ” 
 
 
“ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนระยะยาวด้วยแล้ว การมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
 (ปู่ใช้คำว่า Productive asset) ไปอีก 50 ปี ย่อมดีกว่าการถือแผ่นกระดาษ 
(เงินสด) หรือบิตคอยน์เอาไว้แน่นอน” 
 
 
คำพูดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า 
แม้ในยามสงครามคุณปู่ก็ยังยึดมั่นในหลักการที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเสมอ
 เพราะในตอนเกิดวิกฤตไครเมีย ราคาหุ้นก็ตกลงมาพอสมควร 
ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน 
 
 
 
เงินเฟ้อกับสงคราม ความสัมพันธ์ที่แนบแน่น  
 
 
ถ้าเราย้อนไปดูตัวเลขเงินเฟ้อช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง 
เราจะเข้าใจสิ่งที่ปู่พูดมากขึ้น เพราะตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 
(ปู่ยังไม่เกิด) เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.7% ต่อปี 
โดยมีช่วงที่เงินเฟ้อสูงเป็นเลขสองหลักติดต่อกันยาวนานถึง 26 เดือน 
ส่วนตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.3% ต่อปี 
โดยมีถึง 9 เดือนที่เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เป็นเลขสองหลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ 
 
 
ที่เงินเฟ้อสูงในช่วงสงครามโลก 
เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างเอกชนให้ผลิตเสบียงที่ต้องใช้ในสงคราม
 เช่น เสื้อผ้า อาหาร ยา อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
 นี่แหละที่ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัยเด็กทุบกระปุก 
เอาเงินเก็บมาซื้อหุ้นตัวแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี 
แถมเป็นการซื้อก่อนเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor ไม่นานด้วย 
 
 
และถ้าได้ศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI ของปู่จะทราบดีว่า 
เขาพยายามซื้อหุ้นของบริษัทที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้อยู่เสมอ 
จากสงครามครั้งนั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังให้ข้อคิดกับนักลงทุนว่า 
 
 
“ผมอยากบอกว่ามัน (วิกฤตไครเมีย) 
จะไม่ทำให้ผมต้องขายหุ้นหรือต้องเปลี่ยนแปลงอะไร 
เพราะถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ 
ทำไมคุณถึงจะขายมันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในยูเครน? 
หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มที่ให้ผลผลิตตลอด 
เป็นเจ้าของอะพาร์ตเมนท์ที่มีคนเช่าเต็ม 
มีเหตุผลอะไรที่คุณจะขายมันเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน?” 
 
 
‘ความไม่แน่นอน เป็นอนิจจา’ ที่เกิดขึ้นได้เสมอนะครับ 
และเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ ‘สติ’ ของตัวเอง 
อย่าปล่อยให้หวั่นไหวไปกับอารมณ์ของตลาด 
 
 
อย่างที่ปู่เคยพูดไว้ “ถ้าเราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ 
เราก็ควบคุมเงินของเราได้” ถ้านักลงทุนสาย VI อย่างเรา ๆ 
ยึดหลักการลงทุนแบบปู่ ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยครับว่า 
เราจะสามารถเอาชนะในทุกสงครามการลงทุนได้ 
 
 
 
ปรับพอร์ตอย่างไรในภาวะสงคราม  
 
 
ผมเขียนบทความเรื่องนี้ช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 
ของสมครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งสินทรัพย์อย่างหุ้น 
เริ่มปรับตัวลงมากขึ้นแต่ยังไม่ถือว่ารุนแรงนัก ดังนั้น 
นักลงทุนจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 
หากสงครามลุกลามไปถึงตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก 
 
 
อาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง 
หรือความเสี่ยงที่สหรัฐฯ 
จะคว่ำบาตรประเทศในตะวันออกกลางที่ให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสในการทำสงครามครั้งนี้
 โดยเฉพาะอิหร่านที่ฮามาสยืนยันว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง 
 
 
หากสงครามลุกลาม ยืดเยื้อ หรือบานปลาย 
เป็นปัจจัยลบที่จะกดดันราคาน้ำมันให้เพิ่มสูงขึ้น 
และแน่นอนครับผลกระทบที่ตามมาคือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 
และที่จะกระทบต่อไปเป็นโดมิโนก็คือ 
โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ
 และจะกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ปรับตัวลดลงอีกครั้ง 
เหมือนปีที่แล้ว เมื่อเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแบบหนักหน่วง 
สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นก็ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก 
 
 
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์สงคราม ณ ตอนนี้ ผมยังมองว่า 
การปรับลดลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงไม่น่าจะรุนแรงเท่าปีที่แล้ว 
นอกจากสงครามจะรุนแรงขึ้นและประเทศที่เข้าร่วมสงครามเพิ่มจำนวนมากขึ้น 
 
 
ดังนั้น ในการกระจายสินทรัพย์ลงทุน ผมจึงแนะนำว่าให้ Safe Haven 
เป็นหลุมหลบภัยจากสงครามในตอนนี้ ซึ่งภายหลังการเปิดฉากโจมตีของทั้ง 2 ฝ่าย
 จะเห็นได้ว่าเงินลงทุนพากันไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตร 
 
 
 
พันธบัตรตัวเลือกที่ใช่มากกว่าทองคำ  
 
 
แม้ทองคำและพันธบัตรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งคู่ แต่ในมุมมองของผมเห็นว่า
 การลงทุนในพันธบัตรจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าทองคำ 
แม้ราคาพันธบัตรได้ปรับลดลงมาบ้างแล้ว 
แต่ด้วยผลตอบที่ยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 4-5% 
จึงยังเป็นจัวหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้ 
 
 
ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมแนะนำว่า 
นักลงทุนควรขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมาชั่วคราวก่อน 
และนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรแทนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้พอร์ตลงทุนมากขึ้น 
หากสงครามไม่ทวีความรุนแรงค่อยปรับพอร์ตอีกครั้ง ด้วยการกลับไปลงทุนในหุ้น 
แนวทางนี้น่าจะช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณรับมือกับสงครามได้ 
 
 
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น 
หากพิจารณาในแง่ภูมิภาคและศักยภาพการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว 
ผมยังยกให้ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามเป็นดาวเด่น ในสวนของเวียดนามนั้น 
เชื่อว่าปัจจัยสงครามไม่น่าจะกระทบมาถึงอย่างมีนัยสำคัญ 
ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 
ที่สำคัญตั้งแต่ต้นปีมานี้ 
ตลาดหุ้นเวียดนามยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง 
 
 
ทางด้านตลาดหุ้นจีน พี่ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย 
แม้นักลงทุนหลายท่านอาจยังกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน 
และภาระหนี้ของอุตสาหกรรมนี้ แต่ตลาดหุ้นจีนได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี
 2564 มาประมาณ 40% แล้ว จึงเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนได้ 
ขณะที่เงินเฟ้อจีนไม่ได้สูงมากเหมือนเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ  นอกจากนี้ 
รัฐบาลจีนยังมีเงินอัดฉีดเศรษฐกิจได้อีกมาก 
 
 
หรือหากใครยังกล้า ๆ กลัว ๆ หวั่นวิตกกับการลงทุนในภาวะสงคราม 
โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่อยู่ไกลหูไกลตา 
ไม่ได้ใกล้ชิดข้อมูลเหมือนการลงทุนในบ้านเรา 
การให้มืออาชีพช่วยดูแลความเสี่ยงในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง 
น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 
 
 
และ Global ETF ของ Jitta Wealth 
เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยคุณบริหารพอร์ตลงทุนและดูแลความเสี่ยง 
เพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้
 โดยการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล 
และตราสารหนี้เอกชน ภายใต้แผนการลงทุนแบบยืดหยุ่นที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ 
 
 
เมื่อโลกยังคงหมุนไป ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนก็หมุนตาม 
และบางครั้งก็ไปซุ่มรอเราอยู่ข้างหน้าแบบไม่รู้ตัว เมื่อ Risk is all 
around สิ่งที่เราทำได้ในฐานะนักลงทุนสาย VI ก็คือ 
การบริหารจัดการกับความเสี่ยงนั้น 
 
 
และอีกหลักการลงทุนที่สำคัญคือ การหาข้อมูล ความรู้อยู่เสมอ 
เพื่อให้พร้อมเดินหน้าลงทุนและรักษาพอร์ตให้ปลอดภัยที่สุดไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านจะเป็นอย่างไร
 เพราะในโลกของการลงทุน ไม่ได้มีแค่ความเสี่ยง 
แต่ยังมีโอกาสอยู่รอบตัวเราเช่นกัน.. ตั้งสติ แล้ว Stay Invest 
กันต่อไปนะครับ 
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์  
                     
                 
             
            
         
     
 
        
X