คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันภัย

คปภ. เพิกถอนไลเซนส์ตัวแทนขายข้อมูลลูกค้า นาน 5 ปี ฝ่าฝืนโทษติดคุก

30/04/2024

คปภ. ลงดาบเพิกถอนใบอนุญาต “ตัวแทนประกันชีวิต” ถูกตำรวจไซเบอร์จับกุม กรณีลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ เป็นเวลา 5 ปี ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้แถลงผลการจับกุมนายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี มีอาชีพเป็นนายหน้าประกันภัยโดยมีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ ส่งผลทำให้ลูกค้าอาจได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวนั้นสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานของรัฐมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน เห็นว่ากระทำของบุคคลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการนำระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมากดังนั้น จึงได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย ร่วมกับสายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. บูรณาการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของผู้ถูกจับกุมรายนี้ทันทีทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ พบว่านายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ซึ่งกระทำความผิดจริง โดยนายพศินได้รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกการตรวจค้น/ตรวจยึด/จับกุม ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566โดยอาศัยประโยชน์จากการที่ตนเองเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัย และมีการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยกล่าวคือ การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล อันประกอบด้วย ชื่อ-สกุล เลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ของผู้เอาประกันภัย เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับบริษัทประกันชีวิตที่เป็นต้นสังกัด ด้วยการลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปแลกเปลี่ยนกับบุคคลภายนอกเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อเท็จเพิ่มเติมพบว่าข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการเสนอขายประกันภัยเพียงบางส่วนและบางส่วนนายพศินได้หามาจากตลาดมืด เพื่อประสงค์เอามาใช้ในการเสนอขายประกันภัย เพื่อประโยชน์ของตนเอง และได้นำข้อมูลมาขายให้แก่กลุ่มมิจฉาชีพ และจากการสอบข้อเท็จจริงจากบริษัทประกันภัย พบว่าตั้งแต่นายพศินเป็นตัวแทนของบริษัทถึงปัจจุบันได้มีการเสนอขายประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเพียง 11 รายเท่านั้นการกระทำดังกล่าวของนายพศินจึงเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด ตามมาตรา 79/1 ในประการที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชนและเป็นการดำเนินงานที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 81/1 (2) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบข้อ 37 แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออก และเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตและการดำเนินการของตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต และธนาคาร พ.ศ. 2563 และมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562ประกอบกับกรณีดังกล่าวเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากหากปล่อยให้ล่าช้าออกไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะได้ ตามมาตรา 30 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงเห็นสมควรเพิกถอนใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของนายพศิน พร้อมลงประกาศหรือโฆษณาการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตของตัวแทนประกันชีวิตรายนี้ ในเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยรายอื่น หรือประชาชนในวงกว้างต่อไปโดยผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตรายดังกล่าวจะไม่สามารถกระทำการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัย หรือขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน จะไม่นิ่งเฉยต่อบุคคลใด ๆ ที่สร้างความเสียหายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบประกันภัยไทย โดยสำนักงาน คปภ.จะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดในทุกมิติทั้งนี้ หากพบเห็นพฤติกรรมการหลอกลวงด้านประกันภัยให้รีบแจ้งข้อมูลไปยังสำนักงาน คปภ. โดยตรง ผ่านสายด่วน คปภ. 1186แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1432456

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เริ่มเก็บวันนี้ ดีกว่ารอวันพรุ่งนี้ หากช้าจะหนักกับเงินที่ต้องแบ่งมาออม

30/04/2024

บทความโดย "วิชาญ จันทร์สอน"  ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ข้อมูลจากเว็บไซต์มิเตอร์ประเทศไทย (11 มกราคม 2566) รายงานว่า ประชากรประเทศไทยมีจำนวน 66,214,465 คน ในจำนวนนี้ประชากรสูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี จำนวน 13,316,212 คน คิดเป็น 20.11% และหากดูจำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวน 8,890,840 คน คิดเป็น 13.42% หมายความว่า โครงสร้างประชากรไทยอยู่ในช่วง Aged Society ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. Aging Society ระดับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ 2. Aged Society ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ 3. Super–Aged Society ระดับสังคมผู้สุงอายุอย่างเต็มที่ หมายถึง ประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ รวยกระจุก จนกระจาย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ณ เดือนตุลาคม 2565 พบว่ายอดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 97,667,954 บัญชี มียอดเงินฝาก 386,686 ล้านบาท มียอดเฉลี่ยต่อบัญชี 3,959 บาท ซึ่งคิดเป็น 89.13% ของบัญชีออมทรัพย์ สำหรับบัญชีที่มียอดเงินฝากเกิน 50,000 บาท มีจำนวน 11,907,318 บัญชี มียอดเงินฝาก รวม 10,755,105 ล้านบาท เฉลี่ยยอดเงินฝากต่อบัญชีสูงถึง 903,189 บาท เรียกได้ว่ารวยกระจุก จนกระจาย สำหรับผู้ที่วางแผนการเงินอย่างมีขั้นตอนคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่กังวลว่าตัวเองเริ่มเก็บออมช้าและอาจมีเงินไม่เพียงตอกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะทุกปัญหามีทางแก้ 1. สำรวจค่าใช้จ่าย จดบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะจ่ายด้วยเงินสด ชำระด้วยบัตรเครดิต แล้วมาดูว่ามีรายการใดเป็นรายจ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพ ไม่จ่ายไม่ได้ รายการใดเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ละเอียดยิ่งขึ้น ให้แบ่งระดับความไม่จำเป็น เป็น 2 ระดับคือ ความไม่จำเป็นระดับที่ 1 ไม่จำเป็นมากที่สุด ไม่มีผลกระทบอะไรในชีวิต เป็นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว ความไม่จำเป็นระดับที่ 2 ไม่จำเป็น ใช้จ่ายได้บ้าง แต่ลดความถี่ลง และเลิกไปในที่สุด ภายในไม่กี่เดือน จะเห็นแล้วว่าเมื่อตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะมีเงินออมขึ้นมาทันที 2. สำรวจหนี้สิน หากปราศจากหนี้ ก็จะสามารถก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว แต่หากยังมีหนี้สินอยู่ก็ให้จัดทำสรุปรายการหนี้สินสินทั้งหมดและวางแผนการปลดหนี้ให้หมดโดยเร็ว โดยเฉพาะหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล หากมีหนี้บ้านปกติชำระเดือนละครั้งก็เพิ่มการชำระงวดกลางเดือนเข้าไปอีก จะสามารถลดดอกเบี้ยโดยรวมได้และหมดหนี้เร็วยิ่งขึ้น 3. สร้างรายได้เพิ่ม เก็บออมให้มากขึ้น ปัจจัยในการสร้างผลตอบแทนให้สูงประกอบด้วย จำนวนเงินต้น x ระยะเวลา x อัตราผลตอบแทน ดังนั้น ในเมื่อเริ่มเก็บออมช้าจึงต้องเพิ่มจำนวนให้ต้นให้มากพอ เพื่อจะได้ไปสู่เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น และนอกจากเก็บออมให้มากขึ้นแล้ว หากมีความสามารถพิเศษก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการหารายได้เสริม 4. ต่อยอดเงิน บริหารการเงินการลงทุนลงทุนสู่เป้าหมาย เมื่อมีเงินเหลือจากการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หนี้สินลดลง (และปราศจากหนี้สินในที่สุด) มีรายได้เพิ่มและเก็บเงินได้เพิ่ม ก็สามารถนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามที่วางแผนเอาไว้เพื่อต่อยอดผลตอบแทน ถึงแม้จะไม่มีคำว่า “สาย” กับการวางแผนการเงิน แต่หากเริ่ม “ช้า” ก็จะหนักกับเงินที่ต้องแบ่งมาออมในแต่ละเดือน เพราะยิ่งอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าต้องการมีเงินเก็บไว้ใช้หลังวัยเกษียณให้เพียงพอไปจนถึงวันสิ้นลมหายใจก็ต้องลงทุนในแต่ละเดือนไม่ใช่หลักร้อยหลักพันบาท แต่อาจเป็นหมื่นบาท ดังนั้น ควรเริ่มต้นกันตั้งแต่เนิ่น ๆ และลงมือทำทันที แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1411074

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ เติบโตในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35

30/04/2024

ฮ่องกง, 3 พฤศจิกายน 2566 - กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) ยินดีที่จะประกาศดัชนีชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 สรุปมาตรวัดทางการเงินที่สำคัญ อัตราการเติบโตจัดทำโดยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่   •  มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตขึ้นร้อยละ 35 มีมูลค่าอยู่ที่ 994 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3   •  ในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลัก   •  เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 มีมูลค่า 1,938 ล้านเหรียญสหรัฐ   •  อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ แข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 51.2 เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2566นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งและการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจในกลุ่มเอไอเอ ส่งมอบผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในส่วนของมูลค่าธุรกิจใหม่อีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับมูลค่าธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3ของกลุ่มบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในผลิตภัณฑ์และบริการของเราหลังจากผ่านช่วงวิกฤตโรคระบาด เราได้สร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างมากในครึ่งปีแรกด้วยการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก โดยส่วนธุรกิจหลักที่เติบโตมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้มูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 “เราได้ทำการมุ่งเน้นดำเนินงามตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยกระดับความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับเอไอเอ ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตอย่างยอดเยี่ยมในไตรมาสที่ 3 โดยมาจากทั้งช่องทางตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา โปรแกรมสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพภายในกลุ่มบริษัท ได้สร้างความแตกต่างให้กับพรีเมียร์ เอเจนซี่ และได้ช่วยให้เกิดการเติบโตไตรมาสต่อไตรมาสสำหรับการสรรหาตัวแทนรายใหม่ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นปีต่อปีของจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงาน อีกทั้งช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรายังได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่จากแต่ละส่วนธุรกิจที่มีการรายงาน“ในจีนแผ่นดินใหญ่ ผมยินดีอย่างยิ่งที่เราได้รับการอนุมัติจากหน่วยการกำกับดูแลให้อัพเกรดใบอนุญาตฉือเจียจวงของเราให้ครอบคลุมทั่วทั้งมณฑลเหอเป่ย “เอไอเอ อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในด้านความคุ้มครองและโซลูชันด้านการออมระยะยาว ซึ่งเรายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้คนหลายล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมกับส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเราทุกฝ่าย” บทสรุปไตรมาสที่ 3 เอไอเอมีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 คิดเป็นมูลค่า 994 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 โดยมีผลมาจากการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากทุกช่องทางการขาย ช่องทางตัวแทนอันเป็นเอกสิทธ์ของเรามีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ในขณะที่ช่องทางพันธมิตรธุรกิจเติบโตขึ้นร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 การเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ขยายเป็นวงกว้างโดยเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลักจากการดำเนินงานในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 เมื่อเทียบแบบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 3,023 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าผลประกอบการรวมทั้งปี 2565 เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เอไอเอ ประเทศจีน สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตมากกว่าร้อยละ 20 ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากครึ่งปีแรก อันเป็นผลต่อเนื่องจากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของจีนแผ่นดินใหญ่หลังสถานการณ์โรคระบาด ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อการออมทรัพย์ระยะยาวยังคงมีมากอย่างต่อเนื่อง เรายังได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่จากผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรงในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อย่างดีเยี่ยมในอัตราเลขสองหลัก ตัวแทนคุณภาพสูงที่ได้สร้างความแตกต่างให้กับพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเรานั้น ยังคงเป็นความมุ่งเน้นหลักและเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ ส่วนในช่องทางพันธมิตรด้านประกันผ่านธนาคารนั้น มีการผสมผสานระหว่างการเติบโตที่แข็งแกร่งแบบไตรมาสต่อไตรมาสและอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่จากช่องทางตัวแทนโดยรวมยังคงที่เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่โดยรวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากแบบประกันการคุ้มครองแบบดั้งเดิม การปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นของแบบประกันออมทรัพย์ระยะยาว และการปรับราคาผลิตภัณฑ์ ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเอไอเอ ประเทศจีน ได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยมทั้งในหน่วยงานที่มีอยู่ และในภูมิภาคใหม่ โดยมีผลมาจากจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานซึ่งมีเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงศักยภาพที่สูงขึ้นของตัวแทน โดยภูมิภาคใหม่ของจีนได้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่มากกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าธุรกิจใหม่จากตัวแทนในไตรมาสที่ 3 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวสาขาใหม่ที่มณฑลเหอหนานในเดือนพฤษภาคมอย่างเป็นผลสำเร็จ การสรรหาบุคลากรตัวแทนยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยการรับตัวแทนใหม่มีการเติบโตในอัตราเลขสองหลักเมื่อเทียบแบบปีต่อปี ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของจำนวนตัวแทนทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 โปรแกรมพัฒนาศักยภาพตัวแทนฉบับปรับปรุงใหม่มีส่วนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของตัวแทนสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของตัวแทนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เป็นระดับเดียวกับก่อนสถานการณ์โรคระบาด เรายังคงเดินหน้าด้วยดีกับการขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของเอไอเอ ประเทศจีน อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับการอนุมัติให้อัพเกรดใบอนุญาตฉือเจียจวงให้ครอบคลุมมณฑลเหอเป่ยทั้งหมด เอไอเอ ฮ่องกง ประสบความสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าธุรกิจใหม่อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 แม้ว่าธุรกิจในประเทศได้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยอดขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าธุรกิจใหม่ของเอไอเอ ฮ่องกง ในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2566 แรงผลักดันในการสรรหาบุคลากรตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประสิทธิภาพการทำงานของตัวแทนโดยรวมนั้นสูงกว่าในช่วงเวลาก่อนสถานการณ์โรคระบาด สำหรับช่องทางพันธมิตรธุรกิจนั้น มีการเติบโตอย่างดีเยี่ยมจากทั้งพันธมิตรธนาคารและช่องทางของที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงิน (IFAs) เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในครึ่งปีแรกอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่โดดเด่นในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ตลอดจนจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและผลผลิตของตัวแทนได้เพิ่มสูงขึ้นในอัตราเลขสองหลัก นอกจากนี้เรายังเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนตัวแทนรายใหม่ ส่วนธุรกิจในสิงคโปร์และมาเลเซียนั้น มีรายงานว่ามูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากช่องทางการขายทั้งตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเชิงลบยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกันชีวิตในเวียดนาม หากไม่รวมเวียดนาม ตลาดอื่น ๆ มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่มาจากการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่มีตัวเลขสองหลักอย่างแข็งแกร่งจากทั้งสองธุรกิจของเราในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทเอไอเอได้มากที่สุดในกลุ่มตลาดนี้รวมถึงฟิลิปปินส์ สำหรับ Tata AIA Life ในอินเดียมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากตัวแทนอันเป็นเอกสิทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทประกันชีวิตเอกชนรายใหญ่อันดับสามในอินเดีย โดยรวมแล้ว ธุรกิจในอาเซียนของเรามีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นเลขสองหลัก โดยภาพรวม เบี้ยประกันภัยรับปีแรกสำหรับกลุ่มบริษัทเอไอเอเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 เป็น 1,938 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตรากำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.2 จากไตรมาสแรกของปี 2566 ตามแนวปฏิบัติของบริษัท สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าธุรกิจใหม่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 อัตรากำไรขั้นต้นที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันธุรกิจใหม่ (PVNBP) ยังคงทรงตัวที่ร้อยละ 10 ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เป็น 9,355 ล้านเหรียญสหรัฐ สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวของเอไอเอเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญและความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก โดยได้รับการสนับสนุนจากการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งของเรา และแนวทางการลงทุนที่พิจารณาจากภาระหนี้สินประกันภัยเป็นสำคัญ แนวโน้มอนาคต โอกาสในระยะยาวสำหรับธุรกิจของเอไอเอนั้นยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากเรามีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก การกระจายความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และตัวขับเคลื่อนการเติบโตเชิงโครงสร้างที่ทรงพลังสำหรับการประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย การเพิ่มขึ้นของรายได้ การแทรกแซงจากบริษัทประกันเอกชนอยู่ในระดับต่ำ และการคุ้มครองสวัสดิการสังคมที่จำกัด ยังคงขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเอไอเอในตลาดของเราเรามั่นใจว่าการดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เอไอเอสามารถคว้าโอกาสระยะยาวมหาศาลในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย และสามารถส่งมอบมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายของเราต่อไป ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่ในสกุลเงินท้องถิ่นและเราจับคู่สินทรัพย์และหนี้สินของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อรายงานตัวเลขรวมของกลุ่มบริษัท จะมีผลการแปลงสกุลเงินเมื่อเรารายงานเป็นเหรียญสหรัฐ เราได้รายงานอัตราการเติบโตและใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น เนื่องจากข้อมูลนี้ให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของธุรกิจ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

รู้จักบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ ตัวช่วยออม – บริหารเงินยุคดอกเบี้ยสูง

30/04/2024

หลายคนคงเริ่มได้รับผลกระทบจากดอกบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านที่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ยิ่งหันมาดูบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ก็อาจยิ่งท้อแท้กับดอกเบี้ยรับเพียงหยิบมือเดียว ดังนั้น บัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือ FCD จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับเงินฝากออมทรัพย์แบบปกติที่เราคุ้นเคย แล้วบัญชีเงินฝาก FCD คืออะไร? บทความนี้จะ BRIEF ให้คุณฟัง FCD หรือ Foreign Currency Deposit เป็นบัญชีเงินฝากสำหรับผู้ที่ต้องการฝากเงินเป็นสกุลต่างประเทศ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทเช่นเดียวกันบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาท คือ บัญชีออมทรัพย์, บัญชีกระแสรายวัน และบัญชีฝากประจำ ปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ แข่งขันกันออกเงินฝาก FCD กันมากขึ้น และดึงดูดผู้ฝากเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ตามแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นทั่วโลก เช่น บัญชี FCD สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เป็นเงินฝากประจำให้ดอกเบี้ยขั้นต่ำสูงถึง 5% ต่อปี โดยปัจจุบันธนาคารต่าง ๆ ในไทยเปิดรับเงินฝาก FCD มากกว่า 15 สกุลเลยทีเดียว ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์เน้นให้บริการเงินฝาก FCD กับลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ส่งออกและนำเข้า รวมถึงผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมด้านต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จนกระทั่งในปี 2563 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายเกณฑ์บัญชี FCD ครั้งใหญ่ และเป็นการปลดล็อกให้คนไทยทุกคนสามารถใช้บัญชี FCD ได้ง่ายขึ้นเหมือนการใช้บัญชีเงินบาท กล่าวคือ เปิดง่ายขึ้น ไม่จำกัดวงเงิน และโอนเงินในประเทศระหว่างบัญชี FCD ของคนไทยด้วยกันได้อย่างเสรีขึ้นอีกด้วย ทำให้บัญชีเงินฝาก FCD ได้รับความสนใจมากขึ้น บัญชี FCD มีดีอะไร ? สำหรับบุคคลทั่วไปหรือนักลงทุนรายย่อย สามารถใช้ประโยชน์จากบัญชี FCD เป็นเครื่องมือในการบริหารเงิน ออมเงิน และลงทุน เช่น พ่อแม่ที่กำลังวางแผนส่งลูกไปเรียนต่อประเทศอังกฤษ อาจเปิดบัญชีเงินฝาก FCD สกุลเงินปอนด์ เพื่อเป็นทุนการศึกษา หรือเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกเมื่อถึงเวลาเดินทาง ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่วางแผนบินไปสหรัฐอเมริกาเพื่อ Work and Travel ก็สามารถเปิดบัญชี FCD สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เตรียมการไว้ก่อนได้ สำหรับผู้ฝากเงินที่ต้องการผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น บัญชีเงินฝาก FCD ก็เป็นทางเลือกการออมที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ผู้ฝากเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็อาจต่อยอดด้วยการนำเงินฝาก FCD ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ อาทิ ตราสารหนี้ หรือหุ้นต่างประเทศเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนของนักลงทุนก็อาจใช้ประโยชน์จากบัญชี FCD ในการบริหารเงินออมและเงินลงทุนได้เช่นกัน บัญชี FCD มีความเสี่ยงหรือไม่ ? โดยพื้นฐานแล้วเงินฝากเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำสุด แต่เงินฝาก FCD จะมีความเสี่ยงสูงกว่าเงินฝากสกุลเงินบาท เพราะมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ บัญชีเงินฝาก FCD ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีประเภทนี้จึงควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของบัญชีให้ชัดเจน บัญชี FCD มีเงื่อนไขอะไรบ้าง ? แม้ ธปท. จะผ่อนคลายกฎระเบียบบัญชีเงินฝาก FCD ลงมามาก รวมถึงการเปิดเสรีในหลาย ๆ เงื่อนไข เพื่อให้ผู้ฝากเงินรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการเงินฝากประเภทนี้ก็มีข้อกำหนดในการเปิดบัญชีที่แตกต่างกันออกไป โดยเงื่อนไขหลัก ๆ ได้แก่ วงเงินฝากขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมในการฝาก – ถอนเงิน ค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชี กรณีที่เงินฝากไม่มีการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ สินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ในตัวเสมอ เช่นเดียวกับบัญชีเงินฝาก FCD ที่สามารถช่วยคุณบริหารเงินออม และวางแผนทางการเงินได้สะดวกขึ้น พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แต่เรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบด้านก่อนเปิดใช้บริการ ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1326496

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงานมอบรางวัลเชิดชูเกียรติโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) ผู้ชนะเลิศในโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี AIA Healthiest Schools’ ปีที่ 1

30/04/2024

น่าน, 6 พฤศจิกายน 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย เดินทางเยือนจังหวัดน่าน จัดงานมอบรางวัลแก่โรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) ผู้ชนะในโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี AIA Healthiest Schools ปีที่ 1 โดยสามารถคว้ารางวัลในระดับประเทศ และได้ไปสร้างชื่อให้กับประเทศไทย ด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศในระดับภูมิภาคมาครองซึ่งถือเป็นโรงเรียนต้นแบบในการส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียน คุณครู ผู้ปกครอง รวมถึงชุมชนรอบข้าง ให้ตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ โภชนาการ ตลอดจนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ด้วยการพัฒนาโครงการที่เป็นรูปธรรม เช่น โครงการโรงเรียนสร้างสุข ที่มุ่งเน้นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนและคนในชุมชน อาทิ ปลูกผักอินทรีย์ โภชนาการปลอดภัย เก็บขยะ (Zero Waste) ออกกำลังกายอย่างสร้างสรรค์ สวดมนต์นั่งสมาธิ และธนาคารความดี ซึ่งนับเป็นการเสริมสร้างพฤติกรรมเชิงบวกให้กับนักเรียน และเป็นรากฐานการศึกษาที่นอกเหนือจากแค่ในห้องเรียนอีกด้วยในงานได้รับเกียรติจาก นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมด้วย นายสุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ร่วมด้วยผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ รวมถึงนางสาวนวพรรณ อินต๊ะวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล)โดยรางวัลที่ทางโรงเรียนดรุณวิทยาได้รับ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.16 ล้านบาท ซึ่งเอไอเอ ได้ปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์ พร้อมมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และจอมอนิเตอร์ จำนวน 30 ชุดและแทบเล็ต 30 เครื่องให้แก่โรงเรียน เพื่อใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียน รวมทั้งมอบเครื่องปรับอากาศสำหรับใช้ในห้องเรียนเพื่อร่วมสนับสนุนโครงการโรงเรียนปลอดฝุ่น และมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนจำนวน 10 ทุน นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร และคณะครู โรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) ในหัวข้อ ‘เส้นทางสู่สุดยอดโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพดี’ ตอกย้ำถึงคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ของคนไทยทั่วประเทศนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีกับโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) เป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการการแข่งขันสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี AIA Healthiest Schools ปีที่ 1 ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ซึ่งวันนี้ทางเอไอเอ ได้เดินทางมามอบรางวัลให้แก่โรงเรียน และเป็นโอกาสดีที่ได้มาเยี่ยมชมโรงเรียนพร้อมร่วมทำกิจกรรมกับคณะครู นักเรียน และผู้ปกครอง รวมถึงคนในชุมชน เพื่อแสดงให้เห็นเป็นต้นแบบถึงการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนสุขภาพดีแบบยั่งยืน โดยยึดหลักสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง การมีสุขภาพใจที่ดี และการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน“สำหรับในปีนี้ เอไอเอ ได้เปิดรับสมัครโรงเรียนทั่วประเทศเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี AIA Healthiest Schools ปีที่ 2 ไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกับการจัดสัมมนาออนไลน์เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการในปีนี้อีกด้วยซึ่งนับเป็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของกลุ่มบริษัท ที่ต้องการผลักดันให้เยาวชนทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เริ่มต้นใส่ใจด้านสุขภาพร่างกาย รวมถึงสุขภาพใจ พร้อมกับตระหนักถึงการรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกชีวิตดำเนินไปได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน ซึ่งการเริ่มปลูกฝังเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก ย่อมช่วยให้เด็กนักเรียนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และพร้อมช่วยพัฒนาสังคม และประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป “จึงอยากขอเชิญชวนโรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี AIA Healthiest Schools ปีที่ 2 ซึ่งนอกจากรางวัลที่โรงเรียนจะได้รับหากชนะในโครงการแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด คือความภาคภูมิใจ และการได้เห็นนักเรียน ครู บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงผู้คนในชุมชน มีสุขภาพที่ดีแบบรอบด้าน สอดคล้องกับเป้าหมายของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนทุกคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น - Healthier, Longer, Better Lives”สำหรับโรงเรียนระดับประถมและมัธยมที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันและดาวน์โหลดสื่อการเรียนการสอนทั้งหมดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่เว็บไซต์ ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวมสูงสุดถึง 2 ล้านบาท พร้อมทั้งอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพของนักเรียน อีกทั้งยังได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับภูมิภาคเอเชียเพื่อชิงรางวัลใหญ่มูลค่าถึง 3.5 ล้านบาท โดยสามารถส่งผลงานเพื่อเข้าร่วมแข่งขันได้ภายในวันที่ 8 มีนาคม 2567 โดยโครงการจะประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับรางวัลผ่านทางเว็บไซต์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 สอบถามข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่คุณพิมพ์สิรินุช บ่อทรัพย์ (เจ้าหน้าที่โครงการ) อีเมล pimsirinuch.borsub@aia.com

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

คปภ.เพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ไม่ใช่บริษัทโบรกเกอร์ ที่แท้นายหน้าบุคคลธรรมดา ยันไม่เชื่อขายข้อมูลลูกค้านับล้านรายชื่อ

07/11/2023

คปภ.สั่งเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ไม่ใช่บริษัทโบรกเกอร์  ที่แท้นายหน้าบุคคลธรรมดา  ยันไม่เชื่อขายข้อมูลลูกค้านับล้านรายชื่อ                   จากกรณีพล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์  ผู้ช่วยผบ.ตร. รรท.รองผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ร่วมกันแถลงผลจับกุมนายพศิน (สงวนนามสกุล)  โบรกเกอร์ของบริษัทประกันภัยชื่อดัง ลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลนับล้านรายชื่อขายให้มิจฉาชีพ  พร้อมจับกุมโปรแกรมเมอร์สร้างแอปพลิเคชั่น สแกนใบหน้าปลอมให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ถอนเงินตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้นแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า  ขณะนี้คปภ.กำลังรวบรวมหลักฐานการกระทำผิด และดำเนินคดีในส่วนที่กฎหมายประกันภัยให้อำนาจดำเนินการได้ โดยลำดับแรกก็คือ การสั่งเพิกถอนใบอนุญาตใบอนุญาตการเป็นบริษัทนายหน้าบุคคลธรรมของผู้ต้องหารายนี้ ตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง วงเล็บ 6  ซึ่งให้อำนาจนายทะเบียน สั่งเพิกถอนใบอนรุญาตตัวแทน หรือนายหน้า   เมื่อพบว่าตัวแทนหรือนายหน้าดำเนินงานก่อหรืออาจก่อความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัย  ขณะเดียวกันขณะนี้เจ้าหน้าที่คปภ.ได้อยู่ระหว่างขอข้อมูลหลักฐานการกระทำผิดจากทางตำรวจ  ซึ่งเท่าที่พบเบื้องต้น นายหน้ารายดังกล่าวเพิ่งขายประกันให้กับลูกค้าไปเพียง 10 กว่ารายเท่านั้น  กรณีที่ปรากฎข่าวว่า มีการนำข้อมูลลูกค้าไปแชร์ถึงจำนวนล้านรายชื่อ  คงจะเป็นเรื่องเกินกว่าข้อเท็จจริงไป   ซึ่งคงจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลกับทางตำรวจ เพราะอาจเป็นไปได้ว่า ผู้กระทำผิดรายนี้ได้มีการนำเอาข้อมูลอื่นๆมาผสมกับรายชื่อของคนทำประกันภัย  ประกอบกับกรณีนายหน้าบุคคลธรรมดามีความเป็นไปได้ยาก ที่จะมีลูกค้าถึงล้านราย   หากเป็นนายหน้านิติบุคคลน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า    แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/490599

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

หุ้น

คุณสมบัติ 8 ประการ ของหุ้นปันผลที่ดี

30/04/2024

บทความโดย "ฐิติเมธ โภคชัย"  ผู้บริหารงาน ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 เมื่อใกล้ถึงปลายปี นักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นปันผลเริ่มจับตามองและประเมินกันแล้วว่า หุ้นตัวไหนจะจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นกี่บาท (EPS) มีอัตราปันผลตอบแทน (Dividend Yield) กี่เปอร์เซ็นต์ และนี่คือคุณสมบัติที่ดีของหุ้นปันผล เลือกบริษัทที่เต็มใจและมีความพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผล โดยให้ดูบริษัทที่สร้างผลกำไรที่สม่ำเสมอมั่นคง (ไม่ใช่เป็นบริษัทที่มีกำไรไม่แน่นอน ปีนี้กำไรมาก ปีหน้ากำไรน้อย ปีถัดไปขาดทุน) ดังนั้น เวลาดูว่าบริษัทมีผลประกอบการ ผลกำไรมั่นคงแน่นอน ต้องกลับไปดูผลการดำเนินงานในอดีตว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะดูย้อนหลัง 5 ปีขึ้นไป โดยดูว่าผลกำไรที่ทำได้สม่ำเสมอ หรือว่าขึ้นๆ ลงๆ เลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่ไม่ผันผวน โดยเวลาเลือกหุ้นปันผลต้องมองข้ามหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่แน่นอน หากเป็นช่วงที่ธุรกิจเป็นวัฎจักรขาลง การซื้อหุ้นเพื่อรอรับปันผลไปเรื่อยๆ คงไม่เหมาะสมมากนัก เนื่องจากเมื่อธุรกิจมีความผันผวน ย่อมทำให้ผลการดำเนินงานมีความผันผวนตามไปด้วย สำหรับหุ้นกลุ่มที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและน่าจับตามอง ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, หุ้นกลุ่มธุรกิจให้บริการด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลมากน้อยแค่ไหน โดยให้ดูที่โครงสร้างหนี้ว่า มีหนี้สินต่อทุนสูงเกินไปหรือไม่ และโครงสร้างหนี้เป็นหนี้ระยะสั้นหรือระยะยาว (ถ้ามีหนี้ระยะสั้นมากๆ ความพร้อมในการจ่ายเงินปันผลอาจจะมีน้อย) กระแสเงินสด ซึ่งนักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจน้อยมาก เพราะหลักๆ จะดูแค่กำไรขาดทุนเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วกระแสเงินสดมีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีความสามารถจ่ายเงินปันผลหรือไม่ โดยให้ไปดูที่งบกระแสเงินสดว่า บริษัทนั้นๆ มีกระแสเงินสดเป็น “บวก” หรือ “ลบ” เนื่องจากเมื่อทำธุรกิจและมีรายได้เข้ามา จะเป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งผู้บริหารของบริษัทจะไปจัดสรรเงินดังกล่าวว่าจะนำไปทำอะไรบ้าง เช่น นำไปลงทุน นำไปจ่ายหนี้ หรือเป็นเงินปันผล ดังนั้น หากกระแสเงินสด “ติดลบ” หากคิดจะจ่ายปันผล ก็คงต้องไปกู้เงินมาจ่ายปันผล ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ดูราคาหุ้น โดยให้ดูที่ Low Beta ถ้าเป็นหุ้นปันผลจะต้องมี Beta ต่ำๆ หมายความว่า ลงทุนไปแล้วและหวังเงินปันผล ก็ไม่ต้องไปกังวลกับความผันผวนด้านราคามากจนเกินไป เลือกลงทุนหุ้นปันผลที่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย (อย่าเลือกลงทุนหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง) โดยเลือกหุ้นปันผลที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่พอสมควร แต่ถ้าเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปน้อยๆ ต้องเลือกหุ้นที่มีการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด ดู Pay-out Ratio ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยอาจจะเลือกหุ้นที่มี Pay-out Ratio มากกว่า 50% ขึ้นไป เพราะเป็นระดับที่บ่งชี้ว่ามีการดำเนินงานที่นิ่ง เพราะบริษัทไหนที่อยู่ในช่วงขยายกิจการ ก็ต้องเก็บเงินเอาไว้ขยายกิจการ ทำให้ระดับการจ่ายเงินปันผลลดลงตามไปด้วย ให้ลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงกว่าระดับเงินเฟ้อ เพราะถ้าต่ำกว่าเงินเฟ้อก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าจะให้ดีที่สุดเงินปันผลจะต้องสูงกว่าระดับเงินเฟ้อบวกกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหมายเหตุ: บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1431308

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

ผู้ประกันตนควรรู้! เช็กสิทธิรักษาพยาบาลกลุ่ม 8 โรคยกเว้น ไม่เข้าข่ายรักษา มีอะไรบ้าง ?

30/04/2024

ในชีวิตประจำวันของผู้ประกันตนอาจประสบเหตุอันตรายหรือเจ็บป่วยอย่างคาดไม่ถึงได้ทุกขณะ โดยผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมได้ทันทีจนสิ้นสุดกระบวนการรักษา ดังนั้นสำนักงานประกันสังคม จึงคำนึงถึงการพัฒนาสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ที่คุ้มค่าในสิทธิการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมจะมีโรคและบริการที่ไม่มีสิทธิได้รับบริการการทางการแพทย์ (กลุ่ม 8 โรคยกเว้น)นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน จะต้องเป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ (จ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ก่อนเดือนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย) โดยสถานพยาบาลต่าง ๆ จะให้การตรวจวินิจฉัยและรักษาแก่ผู้ประกันตนตามมาตรฐานทางการแพทย์ รวมถึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในกรณีที่ทางโรงพยาบาลไม่สามารถให้บริการได้ และต้องมีการส่งตัวไปรับการรักษายังสถานพยาบาลอื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลที่มีสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆโดยล่าสุด สำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิการรักษาพยาบาลได้ทุกโรค แต่ยกเว้นโรคและบริการที่ไม่มีสิทธิรับบริการทางการแพทย์ในกลุ่ม 8 โรค ดังนี้1. การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์2. การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้า3. การรักษาภาวะมีบุตรยาก4. การตรวจใด ๆ ที่เกินกว่าความจำเป็นในการรักษาโรคนั้น5. การเปลี่ยนเพศ6. การผสมเทียม7. การบริการระหว่างรักษาตัวแบบพักฟื้นและ  8. แว่นตา แต่สามารถให้ได้ในกรณีที่ผู้ประกันตนผ่าตัดเลนส์แก้วตาแล้วไม่สามารถใส่เลนส์แก้วตาเทียมได้ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่ไม่มีสถานพยาบาลตามสิทธิการรักษาพยาบาล ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีเจ็บป่วยครบตามเงื่อนไขแล้วแต่ยังไม่มีสถานพยาบาลตามสิทธิ สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลได้ และหากประสบอันตรายจากอุบัติเหตุสามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์ตามอัตราเดียวกับการเจ็บป่วยกรณีอุบัติเหตุ ส่วนการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น ๆ สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์ได้ในอัตราเดียวกับการเจ็บป่วยกรณีฉุกเฉิน หากเป็นกรณีผู้ประกันตนจำเป็นต้องรับการรักษาตัวประเภทผู้ป่วยในให้ผู้ประกันตนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง แจ้งสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่เกิดเหตุได้รับทราบทันที เพื่อให้สำนักงานประกันสังคมได้แนะนำและกำหนดสถานพยาบาลให้ผู้ประกันตนได้ใช้บริการทางการแพทย์ต่อไปเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวเพิ่มเติมว่า สิทธิการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ประกันตน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับความสะดวกและสามารถใช้บริการในสิทธิรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกันตนได้กลับมาใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างเป็นปกติสุขมากที่สุดหากผู้ประกันตนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง หรือ Line@ssothai และทางเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/qol/detail/9660000097909

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อึ้ง! สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เผย คนไทยมีแค่เศษเงินติดบัญชีมากถึง 81 ล้านบัญชี

30/04/2024

อึ้ง! สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เผยข้อมูล คนไทยมีแค่เศษเงินติดบัญชีมากถึง 81 ล้านบัญชี ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีเงินฝากไม่ถึง 5,000 บาท 2 พ.ย. 2566 – นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กล่าวว่า สิ้นเดือน ส.ค. 2566 มีจำนวนผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครอง อยู่ที่ 93.46 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 0.05 ล้านราย คิดเป็นการเติบโต 3.37% โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนดที่ 1 ล้านบาท ยังคงสามารถคุ้มครองผู้ฝากเงินได้เต็มจำนวน ครอบคุลมผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 98.08% ของผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองทั้งระบบ ขณะที่จำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง อยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาท ลดลง 1.32% ซึ่งเกิดจากปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยในรายละเอียด พบว่า จำนวนผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท หรือส่วนมากไม่เกิน 5,000 บาท ในเดือน ส.ค. 2566 อยู่ที่ 81 ล้านราย จากทั้งหมด 93.46 ล้านราย เติบโต 4.45% ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีเงินฝากไม่ถึง 5,000 บาท แต่จำนวนเงินฝากกลับเริ่มมีการหดตัวตั้งแต่ปี 2565 ที่ ติดลบ 0.63% และในเดือน ส.ค. 2566 ติดลบ 3.61% ทั้งนี้ ผู้มีเงินฝากมากกว่า 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท มีการปรับตัวลดลง ทั้งจำนวนเงินฝากและจำนวนผู้ฝากตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่มากนักจึงต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย จนอาจทำให้สุขภาวะที่ดีทางการเงินอ่อนแอลงได้ เช่นเดียวกับผู้มีเงินฝากตั้งแต่ 1,000,000-5,000,000 บาท ก็เริ่มมีตัวเลขเงินฝากลดลงในปีนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันจากภาวะสงคราม ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ของโลก ต่างกำหนดนโยบายการเงินที่เข้มงวด เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7945228

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ร่วมงานประชุมสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัย ประจำปี 2566

03/11/2023

นายโยฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย และนายดันคัน ลี ผู้อำนวยการฝ่าย Investment Environmental, Social & Governance กลุ่มบริษัทเอไอเอ ร่วมบรรยายในงานประชุมสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัย ประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในหัวข้อ “เส้นทางการดำเนินงานตามหลัก ESG อย่างยั่งยืน” เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการผนวกแนวความคิดด้านความยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรประกันภัย ภายในงานมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของคปภ. ผู้บริหารจากบริษัทประกัน อาจารย์มหาวิทยาลัย ตลอดจนสื่อมวลชน ร่วมงานในรูปแบบ Hybrid กว่า 350 คน ทั้งนี้ ยังได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้การต้อนรับ พร้อมร่วมรับฟังการบรรยาย โดยเอไอเอ มุ่งมั่นอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจภายใต้กรอบนโยบาย ESG ด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ภายในปี 2593 ทั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ที่จะมุ่งมั่นดูแลให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น - ‘Healthier, Longer, Better Lives’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X