Everyday knowledge for you
ท่องเที่ยว
06/06/2025
เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจสงสัยคือ เที่ยวต่างประเทศ ทำไมต้องพกพาสปอร์ตตลอดเวลา แค่เช็คอินที่โรงแรมหรือผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็เก็บไว้ในที่ปลอดภัยไม่ได้หรอ? คำตอบคือ การพกพาสปอร์ตเป็นสิ่งจำเป็น และนี่คือเหตุผลที่นักท่องเที่ยว นักเดินทางต้องรู้ จะได้ไม่ค้างคาใจทำไมต้องพกพาสปอร์ตตลอดเวลา1. เป็นหลักฐานการอยู่ถูกกฎหมายพาสปอร์ตคือเอกสารสำคัญที่พิสูจน์ว่าคุณเข้ามาในประเทศนั้นๆ อย่างถูกกฎหมาย ในบางประเทศ หากคุณถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและไม่สามารถแสดงพาสปอร์ตได้ คุณอาจถูกดำเนินคดีหรือถูกส่งกลับประเทศทันที2. ใช้ในการเช็คอินที่พักเวลาเช็คอินที่โรงแรมหรือที่พัก ส่วนใหญ่จะขอพาสปอร์ตเพื่อยืนยันตัวตนและทำการบันทึกข้อมูลตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ บางที่อาจคืนพาสปอร์ตให้คุณหลังเช็คอินเสร็จ แต่บางที่ก็อาจขอเก็บไว้จนกว่าคุณจะเช็คเอาท์ ดังนั้นควรสอบถามให้ชัดเจน3. ใช้ในการเช่าพาหนะหรือทำกิจกรรมบางอย่างหากคุณต้องการเช่ารถ จักรยาน หรือทำกิจกรรมท่องเที่ยวบางอย่าง เช่น ดำน้ำ ปีนเขา หรือเที่ยวชมสถานที่สำคัญ บริษัทหรือไกด์ทัวร์อาจขอพาสปอร์ตเพื่อยืนยันตัวตนและทำสัญญา4. กรณีฉุกเฉินหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น เกิดอุบัติเหตุ ป่วยกะทันหัน หรือถูกตำรวจเรียกตรวจสอบ การมีพาสปอร์ตติดตัวจะช่วยให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายขึ้น5. ใช้ในการซื้อสินค้าได้ส่วนลดในบางประเทศ นักท่องเที่ยวสามารถขอคืนภาษี (Tax Refund) ได้เมื่อซื้อสินค้า แต่ต้องแสดงพาสปอร์ตเป็นหลักฐาน ดังนั้นการพกพาสปอร์ตไว้จึงช่วยให้คุณประหยัดเงินได้6. ป้องกันการสูญหายแม้การพกพาสปอร์ตตลอดเวลาอาจเสี่ยงต่อการสูญหาย แต่การเก็บไว้ในที่ปลอดภัยตลอดเวลา เช่น กระเป๋าสะพายข้างที่มีระบบป้องกันขโมย หรือใช้กระเป๋าเก็บเอกสารที่กันน้ำกันไฟ ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้7. กฎหมายของแต่ละประเทศบางประเทศมีกฎหมายบังคับให้ชาวต่างชาติพกพาสปอร์ตหรือสำเนาพาสปอร์ตตลอดเวลา หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับหรือถูกควบคุมตัว ดังนั้นควรศึกษากฎหมายของประเทศที่คุณไปเที่ยวให้ดีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451703/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/05/2025
คอลัมน์ : เปลี่ยนเศรษฐกิจไทยผู้เขียน : ดร.สมประวิณ มันประเสริฐครัวเรือนเผชิญความเสี่ยงจากรายได้ที่เปลี่ยนแปลงผันผวน ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายและคุณภาพชีวิต Decron (2002) แบ่งความเสี่ยงต่อรายได้ออกเป็น 1.‘ความเสี่ยงร่วม’ ที่เกิดขึ้นกับทุกครัวเรือนพร้อมกัน อาทิ วิกฤตเศรษฐกิจ หรือภัยธรรมชาติและ 2.‘ความเสี่ยงเฉพาะตัว’ อาทิ ผลผลิตทางการเกษตรต่ำกว่าคาดจากปัจจัยเฉพาะของพื้นที่เพาะปลูก หรือหัวหน้าครอบครัวเจ็บป่วยส่งผลให้ครัวเรือนขาดรายได้ความเสี่ยงเฉพาะตัวมีอิทธิพลอย่างมากต่อรายได้ของครัวเรือนไทย เมื่อประยุกต์วิธีการศึกษาของ Townsend (1995) เพื่อวัดอิทธิพลของความเสี่ยงเฉพาะตัวต่อรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทย โดยใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ในปี 2017 และปี 2021 พบว่าการกระจายตัวของอัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีอยู่ที่ 3.66% หรือคิดเป็นประมาณ 1.5 เท่าของอัตราการเติบโตเฉลี่ย (2.42%) (รูปที่ 1) และพบว่าความเสี่ยงร่วมในระดับภูมิภาคหรือการอาศัยอยู่ในหรือนอกเขตเทศบาลสามารถอธิบายการกระจายตัวของรายได้เฉลี่ยได้เพียง 11.45%ความเสี่ยงเฉพาะตัวยังคงมีอิทธิพลมาก เมื่อมองลึกลงไปในระดับอาชีพ เช่น เมื่อลองคำนวณการกระจายตัวของอัตราการเติบโตของรายได้ในกลุ่มครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนเป็นเกษตรกร ผมพบว่าการกระจายตัวของอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 1.7 เท่าขณะที่ความเสี่ยงร่วมสามารถอธิบายการกระจายตัวของรายได้เฉลี่ยได้เพียง 1.57% ในขณะที่ความเสี่ยงเฉพาะตัวยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่งการกระจายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 6.1 เท่า และความเสี่ยงร่วมอธิบายการกระจายตัวได้เพียง 7.38%ครัวเรือนอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงเฉพาะตัวที่รุนแรงขึ้น เมื่อมองบริบททางเศรษฐกิจของโลกและไทยที่เผชิญกับความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) มากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากโรคระบาด ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือสภาพอากาศ ความเสี่ยงเหล่านี้อาจถูกส่งผ่านหรือแผ่ขยายผ่านห่วงโซ่อุปทาน กลายเป็นความเสี่ยงเฉพาะตัวที่ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนไทยแตกต่างกันไป น่าสนใจว่าครัวเรือนไทยมีความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเฉพาะตัวมากแค่ไหน?รูปที่ 1 การกระจายตัวของอัตราการเติบโตรายได้ครัวเรือนต่อปี (เฉลี่ยระดับจังหวัด-เขตเทศบาล)ครัวเรือนไทยเปราะบางต่อความเสี่ยงเฉพาะตัวในขณะที่ความเสี่ยงเฉพาะตัวมีขนาดใหญ่ ครัวเรือนไทยจำนวนมากกลับยังมีภูมิคุ้มกันไม่พอ จากข้อมูลการสำรวจ SES ในปี 2021 ชี้ว่ามีครัวเรือนไทยกว่า 7 ล้านครัวเรือนมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 31.8% ของครัวเรือนไทย ส่วนอีก 8.9% มีรายได้สูงกว่ารายจ่ายไม่ถึง 5% ครัวเรือนที่มีรายได้ไม่พอรายจ่ายจะมีเงินออมไม่เพียงพอรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงเฉพาะตัว เมื่อขาดรายได้ ครัวเรือนจึงต้องก่อหนี้ และหากครัวเรือนเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบก็จำเป็นต้องขอสินเชื่อนอกระบบซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ามาก นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ครัวเรือนไทยติดกับดักหนี้ได้ง่ายความเปราะบางของครัวเรือนไทยสะท้อนชัดเมื่อติดตามกระแสรายได้และรายจ่ายตลอดช่วงอายุของครัวเรือน หากผมใช้ข้อมูล SES จำลองรายได้คงเหลือ (รายได้ลบรายจ่าย) ของกลุ่มครัวเรือนตามอาชีพที่หัวหน้าครัวเรือนไทยประกอบอาชีพมากที่สุด 2 อันดับแรก คือเกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้า โดยแบ่งรายได้คงเหลือเป็น 3 กรณี คือ 1.รายได้คงเหลือรวมรายได้ทุกประเภท (Net income) 2.รายได้คงเหลือไม่รวมรายได้จากเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าของภาครัฐ (Net income excluding government assistance) และ 3.รายได้คงเหลือไม่รวมรายได้จากเงินสะสมกับกองทุนของภาครัฐ เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากภาครัฐ และเงินโอนจากภายนอกครัวเรือน (Net income excluding all social assistance)รูปที่ 2 ประมาณการรายได้คงเหลือของครัวเรือนที่หัวหน้าครอบครัวเป็นเกษตรกรและทำงานคนเดียวรูปที่ 3 ประมาณการรายได้คงเหลือของครัวเรือนที่หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้จำหน่ายสินค้าและทำงานคนเดียวข้อมูลในรูปที่ 2 และรูปที่ 3 บ่งชี้ว่า1. ครัวเรือนมีรายได้สูงกว่ารายจ่ายไม่มาก แม้ในช่วงที่หัวหน้าครอบครัวอายุ 35-55 ปี ซึ่งน่าจะมีศักยภาพในการหารายได้มากที่สุด เช่น ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นเกษตรกรและทำงานคนเดียวมีรายได้คงเหลือสูงสุดประมาณ 5,000 บาทต่อปี ขณะที่ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้จำหน่ายสินค้าและทำงานคนเดียวมีรายได้คงเหลือสูงสุดประมาณ 20,000 บาทต่อปีเท่านั้น ข้อมูลสะท้อนว่าครัวเรือนเปราะบางต่อความเสี่ยงต่อรายได้และมีโอกาสสะสมเงินออมอย่างจำกัด หากคำนวณเร็วๆ ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นเกษตรกรและทำงานคนเดียวจะมีโอกาสเก็บเงินได้มากที่สุดแค่ประมาณ 75,000 – 100,000 บาทเท่านั้น2. ครัวเรือนพึ่งพากลไกภาครัฐ โดยจะเห็นว่ารายได้คงเหลือจะลดลงอย่างมากหากไม่นับรายได้จากเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าของภาครัฐ โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นเกษตรกร ที่รายได้คงเหลือเมื่อไม่นับเงินช่วยเหลือของรัฐติดลบเกือบตลอดทุกช่วงเวลาของชีวิต ขณะที่ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้จำหน่ายสินค้าจะมีรายได้คงเหลือลดลงกว่าครึ่งข้อบ่งชี้ทั้ง 2 ข้อสะท้อนถึงความเปราะบางของครัวเรือนไทย และความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทางเลือกและประสิทธิผลของกลไกจัดการความเสี่ยงต่อรายได้ เพื่อให้ครัวเรือนไทยรับมือกับความเสี่ยงเฉพาะตัวต่อรายได้ได้ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงกับดับหนี้ครัวเรือนไทยเข้าถึงเครื่องมือจัดการความเสี่ยง แต่ยังไม่เพียงพอครัวเรือนจัดการความเสี่ยงเฉพาะตัวอย่างไร? วิธีที่ใกล้ตัวที่สุดคือ Self-insurance หรือการประกันตัวเอง โดยการเก็บออมหรือซื้อสินทรัพย์เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามที่ขาดรายได้ หากเงินออมไม่พอ ครัวเรือนอาจกู้ยืมจากสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี ลำพัง Self-insurance อาจไม่พอรองรับความเสี่ยงต่อรายได้ โดยเฉพาะครัวเรือนไทยหลายกลุ่มที่มีรายได้ไม่พอรายจ่าย จึงออมเงินได้น้อยนอกจาก Self-insurance ครัวเรือนไทยยังมีกลไกในการแชร์ความเสี่ยง (Risk-sharing) ซึ่งหมายถึงการถ่ายโอนและกระจายความเสี่ยงระหว่างครัวเรือน ครัวเรือนสามารถแชร์ความเสี่ยงระหว่างกันผ่าน1. ‘กลไกที่ไม่เป็นทางการ’ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ความเสี่ยงภายในครัวเรือน (การให้หรือให้ยืมเงินกันระหว่างสมาชิกในครัวเรือน) การแชร์ความเสี่ยงกับครัวเรือนใกล้เคียง (การยืมเงินจากเพื่อนบ้าน) หรือการแชร์ความเสี่ยงภายในกลุ่มบุคคล (เช่น สหกรณ์หมู่บ้าน หรือสมาคมวิชาชีพ เป็นต้น)2. ‘กลไกที่เป็นทางการ’ ซึ่งแบ่งเป็น ‘ตลาดประกันภัย’ นั่นคือการซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รวม (Pooling) กระจายและบริหารจัดการความเสี่ยง หรือ ‘กลไกภาครัฐ’ ที่แบ่งเป็น Social Assistance หมายถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหรือเงินสวัสดิการสังคมที่ภาครัฐให้เปล่าโดยที่ครัวเรือนไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ และ Social Insurance คือเงินกองทุนซึ่งภาครัฐและครัวเรือนจ่ายเงินสมทบสะสมไว้ใช้ในยามที่ขาดรายได้ หรือเกษียณอายุ เช่น กองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นต้นกลไกที่ไม่เป็นทางการมีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะกับครัวเรือนในชนบท แต่ก็มีพลังจำกัด โดยเฉพาะครัวเรือนในพื้นที่ที่ประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเหมือนกัน นอกจากนี้ เมื่อความเป็นเมืองเพิ่มขึ้น กลไกที่ไม่เป็นทางการจะมีบทบาทน้อยลง เพราะการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครัวเรือนในเขตเมืองจนวางใจที่จะแชร์ความเสี่ยงระหว่างกันอาจยากกว่าครัวเรือนชนบทเมื่อกลไกที่ไม่เป็นทางการมีบทบาทจำกัด ครัวเรือนไทยจึงพึ่งพิงกลไกที่เป็นทางการอย่างมาก โดยเฉพาะกลไกภาครัฐ ดังจะเห็นได้จากความสำคัญของรายได้จาก Social Assistance และ Social Insurance ในการยกเส้นรายได้คงเหลือตลอดช่วงอายุของครัวเรือนในรูปที่ 2 และรูปที่ 3แต่กลไกทั้งสองประเภทก็มีข้อจำกัดคนละแบบ โดยข้อมูลของธนาคารโลกในรูปที่ 4 ระบุว่า Social Assistance ของไทยมีความครอบคลุม (วัดจากสัดส่วนของคนที่เข้าถึงหรือมีคนในครัวเรือนเข้าถึงกลไกดังกล่าว) และให้เงินช่วยเหลือ (สัดส่วนของเงินช่วยเหลือหรือเงินประกันที่ได้รับต่อรายได้ นับเฉพาะครัวเรือนที่เข้าถึงกลไก) ใกล้เคียงกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน แต่จะเห็นข้อจำกัดว่าจำนวนเงินไม่ได้สูงนักเมื่อเทียบกับรายได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติของ Social Assistance ในทางตรงกันข้าม Social Insurance ของไทยยังไม่ครอบคลุมเมื่อเทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน แม้จะมีสัดส่วนของเงินช่วยเหลือต่อรายได้สูงกว่าก็ตามรูปที่ 4 ความครอบคลุมและความเพียงพอของกลไก Social Assistance และ Social Insuranceนอกจากนี้ งานวิจัย “ทำอย่างไร จะสูงวัย แบบไม่ยากจน: ตอนที่ 1 ระบบประกันสังคมไทย” ยังชี้ว่าการออกแบบ Social Insurance ของไทยยังมีข้อบกพร่อง อาทิ ระบบประกันของไทยไม่ได้ปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมกับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ยังกำหนดอายุที่ผู้ประกันตนมีสิทธิขอรับบำนาญไว้ที่ 55 ปี มาตั้งแต่ปี 1998 ในขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 77 ปี (ในปี2017) ทำให้ครัวเรือนไทยมีเวลาสะสมเงินเท่าเดิมแต่มีช่วงเวลาที่ต้องพึ่งเงินบำนาญยาวนานขึ้น นอกจากนี้ เงินบำนาญยังไม่ได้ปรับตามค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากเท่าที่ควรอีกด้วยตลาดประกันภัยมีศักยภาพที่จะรับประกันความเสี่ยงเฉพาะต่อรายได้ของครัวเรือนไทยบทบาทที่น้อยลงของกลไกที่ไม่เป็นทางการ และข้อจำกัดของ Social Assistance และ Social Insurance บ่งชี้ โอกาสของ ‘ตลาดประกัน’ ที่จะเข้ามาปิดช่องว่าง แม้ตลาดประกันภัยมีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบมูลค่าของเบี้ยประกันภัยต่อ GDP เทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกันแต่ยังมีผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงตลาดประกันภัย หรือเข้าถึงไม่พออุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กเข้าไม่ถึงตลาดประกัน คือ ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ผู้รับประกันมักไม่มีข้อมูลความเสี่ยงของลูกค้า เช่น ลูกค้าอาจไม่มีประวัติทางการเงิน หรือการเก็บข้อมูลมีต้นทุนสูง ส่วนหนึ่งเพราะผู้รับประกันเข้าไม่ถึงครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ครัวเรือนอาจไม่คุ้นเคยกับการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะการศึกษาสัญญาประกันที่ซับซ้อน ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสารทำให้การรับประกันมีความเสี่ยงสูง และมีต้นทุนสูงจึงไม่คุ้มค่าที่จะทำตลาดแต่ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการประกันภัยรุดหน้าไปมาก ผู้รับประกันภัยสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้เอาประกันได้มากขึ้นผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ แพลตฟอร์มดิจิทัล ผนวกกับเทคโนโลยีการสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) ที่ช่วยสร้างข้อมูลความเสี่ยงใหม่ เช่น เซนเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศและคุณภาพดิน เป็นต้นนอกจากจะมีข้อมูลมากขึ้นแล้ว ผู้รับประกันยังมีแบบจำลองและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับประกันเข้าใจความเสี่ยงของผู้เอาประกันมากขึ้น จึงเห็นโอกาสในการรวม (Pooling) และกระจายความเสี่ยง อีกทั้งยังสามารถออกแบบสัญญาประกันที่เหมาะสมกับลักษณะความเสี่ยงและความต้องการของลูกค้าหนึ่งในตัวอย่างที่มีชื่อเสียง คือ ACRE Africa ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่รับประกันภัยพืชผลให้กับเกษตรกรกว่า 8.5 ล้านคนในพื้นที่ชนบทของประเทศเคนยา รวันดาและแทนซาเนีย โดย ACRE Africa ต่อยอดองค์ความรู้ด้านการรับประกันพืชผลและการใช้ Remote Sensing จาก Global Index Insurance Facility ของธนาคารโลก และ Kenya Livestock Insurance Program ของรัฐบาลเคนยา เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยและวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจประกันที่ยั่งยืนสำหรับไทย ข้อมูลการกระจายตัวของอัตราการเติบโตของรายได้ในรูปที่ 11.1 พบว่ามีทั้งพื้นที่ที่รายได้เติบโตและหดตัวบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมและกระจายความเสี่ยงเฉพาะตัวของครัวเรือนไทยทั้งในระดับประเทศ และกลุ่มอาชีพนอกจากนี้ บทความเรื่อง “มิติใหม่ของข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตร กับการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลที่ยั่งยืน” ยังชี้ให้เห็นโอกาสในการรวมและกระจายความเสี่ยงระหว่างพื้นที่และฤดูเพาะปลูกข้าวนาปีและข้าวนาปรัง เช่น การรวมความเสี่ยงจากการเพาะปลูกข้าวระหว่างภาคใต้กับภาคอีสาน หรือระหว่างข้าวนาปีกับข้าวนาปรังซึ่งมีฤดูปลูกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนศักยภาพและโอกาสในการทำตลาดประกันสำหรับความเสี่ยงเฉพาะตัวของครัวเรือนไทยให้ลึกและทั่วถึงขึ้นช่องว่าง = โอกาสความเสี่ยงเฉพาะต่อรายได้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของครัวเรือนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่เปราะบางเพราะมีรายได้ไม่พอรายจ่ายและมีเงินออมจำกัด การขาดรายได้ติดต่อกันไม่กี่ครั้งอาจส่งผลให้ครัวเรือนติดกับดักหนี้ไปตลอดชีวิต กลไกในการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อรายได้จึงมีความสำคัญอย่างมากปัจจุบันแม้ครัวเรือนไทยจะเข้าถึงความช่วยเหลือและการประกันจากภาครัฐ แต่เครื่องมือที่มีก็มีข้อจำกัดเฉพาะตัวและอาจยังไม่เพียงพอ จึงเป็นช่องว่าง (Gap) ในระบบนิเวศการประกันความเสี่ยงต่อรายได้ที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมคิดหาวิธีเติมเต็มในขณะเดียวกัน ช่องว่างหมายถึงโอกาสดำเนินธุรกิจประกันภัยที่จะสร้างผลประโยชน์ยั่งยืนให้กับทั้งครัวเรือนไทยและผู้รับประกัน ในอนาคต ผู้รับประกันจะสามารถออกแบบและเสนอสัญญาประกันที่ตอบโจทย์ มีต้นทุนต่ำลง จึงเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจของผู้รับประกันภัยที่จะเข้าสู่ตลาดใหม่ และเป็นโอกาสของครัวเรือนไทยที่จะเข้าถึงกลไกในการบริหารความเสี่ยงต่อรายได้ ซึ่งเป็นบันไดสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1819225
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
29/05/2025
“ครอบครัวที่มีลูกเล็ก” ต้องมีการวางแผนการใช้จ่ายและการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เนื่องจากการมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาในครอบครัว ถือว่าเป็นปัจจัยค่าใช้จ่ายใหม่ที่ไม่สามารถคาดการณ์งบประมาณได้อย่างแม่นยำ “การวางแผนประกัน” ของทั้งพ่อแม่และลูก จึงมีความสำคัญทั้งในเรื่องการโอนย้ายความเสี่ยง และการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของครอบครัวในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อประกัน ควรเลือกแผนประกันให้คุ้มค่าเหมาะสมกับครอบครัวที่สุด1. ประกันสุขภาพเด็กไม่มีใครรู้ว่าลูกจะเจ็บป่วยวันไหน และด้วยความเป็นพ่อแม่ย่อมเป็นห่วงใย เจ็บป่วยขึ้นมาก็อยากจะให้ลูกหายเร็วที่สุด ด้วยวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แม้ค่ารักษาสูงแค่ไหนก็ยอมจ่ายตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา • โรคปอดบวมในเด็ก150,000 บาท • โรคมือเท้า ปาก 200,000 บาท • ไวรัสอาร์เอสวี(RSV) 200,000 บาท • โรคลิ้นหัวใจรั่ว900,000 บาท • โรคมะเร็ง1,000,000 บาท • โรคไข้เลือดออก120,000 บาท • ไวรัสโรต้า70,000 บาทที่มา: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจากโรงพยาบาลชั้นนำปี 2561 และข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข“ดังนั้น เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะต้องเตรียมเงินค่ารักษาในแต่ละปีเท่าไร ทางเลือกในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาแบบง่ายที่สุดและใช้เงินน้อยที่สุด คือ การวางแผนทำประกันสุขภาพเด็ก”เคล็ดลับเลือกประกันสุขภาพให้ลูกน้อย1. ค้นหากุมารแพทย์เก่งๆที่ไว้ใจ2. กุมารแพทย์ท่านนี้ออกตรวจที่โรงพยาบาลไหนบ้างเลือก 2 - 3 โรงพยาบาลที่สะดวก ใกล้บ้าน หรือมั่นใจในการบริการ3. ตรวจสอบค่าห้องของโรงพยาบาลแต่ละที่จากเว็ปไซต์ และวงเงินค่ารักษาที่ควรเตรียมไว้4. เลือกบริษัทประกันที่มีโรงพยาบาลนั้นอยู่ในเครือหากสามารถใช้สิทธิ์แฟกซ์เคลมได้ ก็จะเพิ่มความสะดวกสบาย5. เลือกแผนประกันที่ความคุ้มครองครอบคลุมค่าห้อง ค่ารักษา หากงบประมาณเพียงพอ แนะนำให้เลือกแบบเหมาจ่าย สบายใจกว่าเพราะไม่ต้องกังวลส่วนเกิน6. ความต้องการส่วนอื่นๆเช่น วงเงิน OPD, ค่าชดเชยรายวัน, ความคุ้มครองอุบัติเหตุ ว่าจำเป็นไหม หากต้องการเพิ่ม ก็สามารถปรึกษาตัวแทนประกันชีวิตได้7. เลือกบริษัทประกันที่มั่นคงและเลือกตัวแทนมืออาชีพ2. ประกันชีวิต(คุณพ่อคุณแม่)“เพราะการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ อาจข้ามขั้นตอน แต่การศึกษาของลูก ไม่อาจข้ามขั้นตอนได้”มีคนเคยบอกว่าวงจรชีวิต คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่แน่ใจแล้วหรือว่าทุกคนจะเป็นเช่นนั้นบางคนเกิด ยังไม่ทันแก่ ก็เจ็บ บางคนเกิด ยังไม่ทันแก่ ก็ตายแต่การศึกษาของลูก จะค่อยๆ ไล่เรียงไปตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา โดยไม่สามารถลัดขั้นตอนได้“เชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ในประเทศไทยเกิน 90% ใช้วิธีค่อยๆ หาเงินไปและส่งลูกเรียนไปจนกระทั่งลูกเรียนจบ แต่ลองนึกดูว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนๆ นั้นที่ลัดขั้นตอน จากไปก่อนโดยทิ้งลูกเล็กๆ เอาไว้ ลูกจะเอาเงินจากที่ไหนส่งตัวเองเรียน เพราะตอนนั้นด้วยอายุและประสบการณ์ของลูก ยังไม่สามารถทำงานหาเงินเองได้ วิธีการที่ดีที่สุดและใช้เงินน้อยที่สุดในการการันตีการศึกษา สินทรัพย์แสนมีค่าของลูก คือ การทำประกันชีวิตคุณพ่อคุณแม่ โดยมีชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นลูก”เคล็ดลับเลือกประกันชีวิตพ่อแม่1. คำนวณทุนประกัน ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษา จนกระทั่งลูกเรียนจบปริญญา รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายจิปาถะ (1) รวมกับหนี้สินที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้หนี้ที่มี ตกทอดไปยังลูก (2) หักลบกับมูลค่าทรัพย์สินสภาพคล่อง เช่น เงินสด ทองคำ ที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ (3)(1)+(2)-(3) = ทุนประกันชีวิตที่ควรจะมี2. เลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์อาจเป็นแบบชั่วระยะเวลาหรือตลอดชีพ3. เลือกแผนที่ระยะเวลาในการส่งไม่สั้นและไม่ยาวนานเกินไปเบี้ยประกันอยู่ในงบประมาณ และทุนประกันชีวิตเพียงพอตามที่คำนวณไว้4. เลือกบริษัทประกันที่มั่นคงและเลือกตัวแทนมืออาชีพ3. ประกันออมทรัพย์เพื่อลูกอยากเก็บเงินให้ลูกด้วย “ประกันออมทรัพย์” ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะไม่มีความเสี่ยง สร้างวินัยในการเก็บเงิน และล็อคเงินไว้ให้ลูกในระยะยาวได้จริงเคล็ดลับเลือกประกันออมทรัพย์เพื่อลูก1. กำหนดว่าเงินก้อนนี้มีเป้าหมายเพื่ออะไรหรือต้องการใช้ในระยะเวลาอีกกี่ปี เพื่อดูแผนที่ระยะครบกำหนดสัญญาเหมาะสม2. คุณพ่อคุณแม่มีแผนที่จะส่งเงินออมต่อเนื่องระยะเวลากี่ปีเพื่อดูระยะเวลาส่งเบี้ยประกันที่ตอบโจทย์3. ต้องการออมปีละเท่าไหร่เพื่อกำหนดเบี้ยประกัน4. แนะนำให้“ทำประกันในชื่อพ่อแม่” และ “ใส่ชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นลูก” เพราะระหว่างนี้จะได้คุ้มครองชีวิตพ่อแม่ไปด้วย, หากพ่อแม่เป็นอะไรไปจะได้ไม่ต้องส่งเบี้ยต่อ, ชื่อผู้รับผลประโยชน์ชัดเจนว่าเป็นลูก, พ่อแม่นำไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น5. เลือกบริษัทประกันที่มั่นคงและเลือกตัวแทนมืออาชีพ“ประกันออมทรัพย์เหมือนกัน แต่แผนมีให้เลือกหลากหลาย รายละเอียดแตกต่างกัน”“ความเจ็บป่วยของลูก” เป็นเรื่องเร่งด่วนสุดของการมีประกัน แต่ “ความคุ้มครองของพ่อแม่” ก็สำคัญ หากพ่อหรือแม่ เป็นผู้นำในการหารายได้ให้ครอบครัว ดังนั้น ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมในการ “ทำประกันทั้งสองแบบ” ถัดจากนั้นก็วางแผนการเงินสำหรับการศึกษาของลูกน้อยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/24449
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/05/2025
i Light Singapore เทศกาลแสงสีชั้นนําของเอเชียที่จัดขึ้น ณ มารีน่าเบย์ และพื้นที่ใกล้เคียง เริ่มตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 21 มิถุนายน 2025ภาพ: สำนักข่าวซินหัวเทศกาลแสงสียิ่งใหญ่นี้ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2010 “i Light Singapore" จัดแสดงการติดตั้งงานศิลปะแสงที่สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวสิงคโปร์และนานาชาติ งานศิลปะได้รับการออกแบบด้วยแสงไฟประหยัดพลังงาน และวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้ผู้ร่วมชมเทศกาลตระหนักถึงเรื่องความยั่งยืน นำมาใช้ในชีวิตประจําวัน โดยเทศกาลนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลิน และนําความมีชีวิตชีวามาสู่พื้นที่สาธารณะในใจกลางเมืองสิงคโปร์ภาพ: สำนักข่าวซินหัวสำหรับแนวคิดในปีนี้ คือ “To Gather” ได้รับแรงบันดาลใจจากสีแดงจากการเล่าเรื่องแสงที่มองเห็นได้ เพราะสีแดงมีพลังในขับเคลื่อนมนุษย์ กระตุ้นอารมณ์ของความรักและความหลงใหลในตัวเรา นําชุมชนมารวมกันเพื่อเฉลิมฉลองในบางวัฒนธรรม และสีแดงยังสามารถเป็นสัญลักษณ์ของอํานาจได้อีกด้วยภาพ: สำนักข่าวซินหัวสีแดงดึงดูดความสนใต่อสิ่งที่สําคัญหรือเร่งด่วน สีแดงมีความสามารถในการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์อย่างลึกซึ้งและจุดประกายการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง มักเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งพลังงานหลักที่แผ่แสงสว่างและความอบอุ่นให้กับชีวิตบนโลก ในฐานะที่เป็นหัวใจสําคัญของการดํารงอยู่โดยรวม สีแดงเสมือนเส้นด้ายที่ผูกโยงทุกคนเข้าด้วยกัน ให้เกิดการเรียกร้องให้ยอมรับความสามัคคีในความหลากหลายTo Gather ธีมของงาน จึงมุ่งมั่นที่จะจุดประกายการสนทนา ส่งเสริมชุมชนที่มีชีวิตชีวา และสร้างแรงบันดาลใจในการดําเนินการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นภาพ: สำนักข่าวซินหัวเวลาจัดแสดงของเทศกาลไฟอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี: 19:30 น. – 23:00 น., วันศุกร์และวันเสาร์: 19:30 น. – 12:00 น.เริ่มตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 21 มิถุนายน 2025ภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000050423
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/05/2025
พาไปรู้จักกับ “ภูฏาน” ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้าที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดหมายในต่างแดนที่คนไทยพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก หลังการเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาภูฏาน ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า“ประเทศภูฏาน” (Bhutan) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย ได้รับฉายาว่าเป็น “ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า” ที่งดงามไปด้วยทิวทัศน์ของขุนเขาอันสลับซับซ้อนและป่าเขาลำเนาไพรที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นประเทศหนึ่งเดียวในโลกที่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบตรันตระเป็นศาสนาประจำชาติหนึ่งในสถาปัตยกรรมอันงดงามเป็นเอกลักษณ์ของภูฏาน (ภาพ : PR TCB)นอกจากนี้ภูฏานยังมีวัดวาอาราม งานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งชาวเมืองก็ยังคงดำรงวิถีอยู่ในจารีต วัฒนธรรม และประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่โบราณอย่างแนบแน่นปัจจุบันภูฏานมีเมืองหลวงคือ “เมืองทิมพู” (Thimpu) ที่พระเจ้าจิกมี ดอร์จิ วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 3 ย้ายมาจากเมืองหลวงเก่าคือปูนาคา ในปี พ.ศ. 2495 และมีเมือง “พาโร” เป็นศูนย์กลางทางการบินเพียงหนึ่งเดียวในภูฏาน โดย “ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร” (Paro International Airport - PBH) นั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก จนกล่าวได้ว่า มีนักบินจำนวนหลักสิบเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินนี้ เพราะต้องเป็นนักบินที่มีทักษะความสามารถ และประสบการณ์การบินสูงสนามบินพาโร หนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก (ภาพ : Paro International Airport)เที่ยวภูฏาน 4 ฤดูภูฏานเป็นประเทศที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่อากาศดีที่สุดในโลก ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางจะสามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด และเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์โดยในแต่ฤดูกาลผู้มาเยือนภูฏานจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) ที่มาพร้อมกับดอกโรโดเดนดรอน หรือ “กุหลาบพันปี” ซึ่งออกดอกบานสะพรั่ง รวมถึงยังมีเทศกาลท้องถิ่นอันครึกครื้น เช่น เทศกาลพาโรเชชู หรือ เทศกาลระบำหน้ากากเมืองพาโรเสน่ห์ภูฏานในช่วงฤดูร้อนกับทุ่งนาขุนเขาอันเขียวขจี (ภาพ : PR TCB)ส่วนฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) เป็นช่วงฤดูมรสุมที่ภูเขาทั่วภูฏานจะถูกปกคลุมด้วยสีเขียวจากพันธุ์ไม้ สร้างบรรยากาศการพักผ่อนอันเงียบสงบสำรับนักเดินทางที่ชอบปลีกวิเวก ทั้งยังมีโอกาสได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมของท้องถิ่นขณะที่ในฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ท้องฟ้าในภูฏานจะสวยใสเหมาะสำหรับการเดินป่าและถ่ายภาพ นอกจากนี้ที่เมือง Laya เขตกาซา ยังมีการจัดงานประจำปีในช่วงฤดูหนาวคือเทศกาล “Royal Highland Festival” เพื่อเฉลิมฉลอง ส่งเสริม และอนุรักษ์ชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเขาแห่งภูฏานที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่บนภูเขาสูงเทศกาลรอยัลไฮแลนด์ (ภาพ : PR TCB)ครั้นพอถึงฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) ภูฏานจะเผยให้เห็นเสน่ห์อันเงียบสงบของวัดและสถาปัตยกรรมที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ รวมถึงเทศกาลเฉลิมฉลองในท้องถิ่นทั่วประเทศ ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปีวัดทักซัง สัญลักษณ์ศรัทธาอันแรงกล้าของภูฏานสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ต้องห้ามพลาดของภูฏานคือ “วัดทักซัง” (Taktsang Monastery) สถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศ ซึ่งโดดเด่นสวยงามด้วยอารามที่ตระหง่านอยู่บนชะง่อนผาสูงลิบที่มวลเมฆคลอเคล้าราวกับวัดล่องลอยอยู่เหนือผืนฟ้าสรวงสรรค์วัดทักซังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูฏาน (ภาพ : Ugyen Tenzin)วัดทักซัง หรือที่รู้จักกันในนาม “the Tiger’s nest” หรือวัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ในเมืองพาโร เป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 3,120 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล วัดแห่งนี้โดดเด่นสวยงามด้วยงานสถาปัตยกรรมอันประณีต ซึ่งได้รับการหล่อหลอมยึดตามแนวศิลปะพุทธศาสนา มีอาคารสีขาวหลังคาสีทอง ประกอบด้วยวัดหลัก 4 แห่งและบ้านพักหลายหลัง อาคารทั้งหมดเชื่อมต่อถึงกันด้วยบันไดที่มีขั้นบันไดแกะสลักเข้าไปในหิน เกือบทุกหลังของกลุ่มอารามมีระเบียงพร้อมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของบริเวณโดยรอบ ศาลเจ้าหลักของอาราม กงล้อสวดมนต์ตั้งอยู่ในลานวัด และในทุกเช้าเวลาตี 4 พระภิกษุจะหมุนเวียนออกมาทำกิจวัตรเพื่อเริ่มต้นวันใหม่การออกแบบตกแต่งภายในของวัดมีโดมเคลือบทองและไฟกะพริบที่ส่องสว่างรูปเคารพทองคำ ในห้องโถงพระพุทธรูปพันองค์ที่แกะสลักไว้ในหิน มีรูปปั้นเสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เนื่องจากเสือได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองพาโรภูฏาน บีลีฟ แคมเปญท่องเที่ยวของภูฏานหลังโควิด (ภาพ : PR TCB)ภูฏาน บีลีฟ“ภูฏาน บีลีฟ” (Bhutan Believe) เป็นแคมเปญปัจจุบันของประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หลังภูฏานปิดประเทศไปชั่วคราวจากสถานการณ์ COVID-19ภูฏาน บีลีฟ เน้นย้ำความเชื่อของประเทศเรื่องอนาคตที่ดีกว่า น้อมนำโดยภูมิปัญญาจากคนรุ่นเก่า “บีลีฟ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในอนาคตของภูฏาน เช่นเดียวกับศักยภาพ ความเป็นไปได้ และโอกาสที่ภูฏานนำเสนอให้กับโลกที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเกี่ยวกับการเชื่อในคุณค่า ความสามารถ การมีส่วนร่วมและศักยภาพของพลเมืองของประเทศธรรมชาติงามแห่งดินแดนมังกรสายฟ้า (ภาพ : PR TCB)นอกจากนี้ภูฏานยังมี “สภาการท่องเที่ยวแห่งประเทศภูฏาน” (Tourism Council of Bhutan: TCB) เป็นหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูฏาน รวมถึงทำหน้าที่เผยแพร่ความงดงามของสถานที่ ผู้คน และประสบการณ์ในราชอาณาจักรแห่งนี้ ให้กับนักท่องเที่ยวโดยยึดหลักการรับนักท่องเที่ยวปริมาณน้อย เพื่อให้ได้สัมผัสคุณค่าและประสบการณ์สูงสุดข้อมูลเบื้องต้นเที่ยวภูฏานภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ในรูปแบบ “น้อยแต่มาก” ที่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งปัจจุบันค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Fee – SDF) ได้ถูกปรับลดลงในราคาใหม่ จาก 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน เหลือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน (มีอัตราลดหย่อนสำหรับเด็ก)ภูฏานสามารถเที่ยวได้ทั้งปี 4 ฤดู (ภาพ : PR TCB)ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อนักท่องเที่ยวให้ปักหมุดภูฏานเป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าการท่องเที่ยวจะยังคงสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนต่อไป โดยค่าธรรมเนียมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDF) นี้จะถูกนำมาใช้เป็นทุนสนับสนุนโครงการด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาทั่วประเทศภูฏานสำหรับการยื่นขอวีซ่าหรือใบอนุญาตไปภูฏานนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมีวีซ่าและใบอนุญาตก่อนเดินทางไปภูฏานโดยสมัครทางออนไลน์หรือผ่านทางบริษัททัวร์ภูฏาน โดยมีค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าจำนวน 40 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง และไม่สามารถขอคืนได้ การยื่นขอวีซ่าใช้เวลาประมาณ 5 วันในการดำเนินการ ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากอินเดีย มัลดีฟส์และบังคลาเทศที่สามารถยื่นขอ ณ วันที่เดินทางมาถึงได้ ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเที่ยวภูฏานสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bhutan.travelปัจจุบันเที่ยวภูฏานเสียค่า SDF 100 US ดอลลาร์ ต่อคน/คืน (ภาพ : PR TCB)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000050380
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การตลาด
21/05/2025
การยึดติดอยู่ในกรอบเดิมอาจเป็นเชือกฉุดรั้งไม่ให้ธุรกิจของเราไม่ไปไหน กลับกันหากเราลองทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม ปรับสภาพแวดล้อม อาจจะทำเกิดแรงบันดาลใจ เพิ่มไฟให้กับตัวเองในการเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะไอเดียการตลาดที่เปิดโอกาสให้เราได้ความคิด ความเป็นตัวเองลงไปวางแผนกำหนดกลยุทธ์การตลาดการตลาดที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์มักจะสามารถดึงดูดความสนใจและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับธุรกิจได้ นี่คือตัวอย่างของการตลาดที่อาจดูแปลกแต่ได้ผล:การตลาดผ่านฟิลเตอร์ของโซเชียลมีเดีย: การสร้างฟิลเตอร์พิเศษสำหรับ Instagram หรือ Snapchat ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้สร้างและแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณการจัดกิจกรรมที่ไม่ธรรมดา: จัดกิจกรรมที่ไม่คาดคิดหรือแปลกใหม่ เช่น การแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือกิจกรรมที่สร้างความฮือฮาในสังคม ช่วยเพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมการใช้พนักงานเป็น Influencer: พนักงานของคุณสามารถเป็นผู้ทำการตลาดให้กับแบรนด์ได้ ด้วยการแชร์เรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับการทำงานและประสบการณ์ที่ดีในบริษัทผ่านโซเชียลมีเดียการตลาดแบบประหลาดใจ: ส่งของขวัญหรือข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าโดยไม่คาดคิด เช่น การส่งสินค้าฟรี หรือส่วนลดพิเศษแบบไม่คาดคิดให้กับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณการใช้ AR (Augmented Reality): ใช้เทคโนโลยี AR เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าหรือประสบการณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ การสร้างประสบการณ์เสมือนจริงจะทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์การตลาดผ่านการแสดงผลดิจิทัลในที่สาธารณะ: การใช้หน้าจอดิจิทัลในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น สถานีรถไฟ, สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้า เพื่อแสดงโฆษณาแบบสร้างสรรค์การสร้างประสบการณ์แบบ Interactive: ใช้กิจกรรมที่ทำให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง เช่น การทำเกมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือการสร้างคอนเทนท์ที่ลูกค้าสามารถส่งภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณการใช้ “Marketing Stunts”: การทำแคมเปญที่ตั้งใจเพื่อสร้างความประหลาดใจและดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง เช่น การจัดตั้ง “Pop-up Store” ที่มีการออกแบบแปลกใหม่การทำการตลาดแบบ “Guerilla”: ใช้กลยุทธ์การตลาดที่คาดไม่ถึงและสร้างความตื่นเต้น เช่น การติดป้ายโฆษณาในที่แปลกใหม่ หรือการทำกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะการใช้ผู้มีอิทธิพลที่ไม่คาดคิด: ร่วมมือกับบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ไม่คาดคิด เช่น ผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือแม้แต่บุคคลที่มีความเชื่อมโยงที่ไม่ชัดเจนกับแบรนด์ของคุณการตลาดที่แปลกใหม่อาจมีความเสี่ยง แต่เมื่อทำการวิจัยและวางแผนอย่างรอบคอบสามารถสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นและช่วยให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่งได้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ smartsmehttps://smartsme.co.th/content/%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%8b%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%81-%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
21/05/2025
ไททันบุกไทย! เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดประตู ‘Attack on Titan Final Exhibition’ ดื่มด่ำกับปัจฉิมบทของมหากาพย์สะเทือนโลก 7 พ.ค. – 18 มิ.ย. 68 ที่ ‘CentralWorld Pulse’ ชั้น 7 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Mighty Media ตัวแทนจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์อนิเมะชื่อดังในไทย ปลุกตำนานสุดท้ายของจักรวาลไททันกับนิทรรศการปัจฉิมบท ผ่าพิภพไททัน” หรือ Attack on Titan FINAL Exhibition Ver. Thailand นิทรรศการศิลปะต้นฉบับสุดยิ่งใหญ่ ที่แฟนอนิเมะทั่วเอเชียต่างรอคอย หลังสร้างปรากฏการณ์ในเอเชีย นิทรรศการนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดประตูสู่โลกใบสุดท้ายของเอเรนและผองเพื่อน ให้แฟน ๆ ในประเทศไทยได้ดำดิ่งแบบเต็มรูปแบบ ด้วยผลงานต้นฉบับหายากจาก “อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ” ผู้รังสรรค์หนึ่งในมังงะขายดีที่สุดตลอดกาล และต้นฉบับของอนิเมะที่ครองใจคนดูทั่วโลก เริ่มวันแรก 7 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2568 ที่ ‘CentralWorld Pulse’ อีเวนต์ฮอลล์ใหม่ ใจกลางกรุงเทพ ณ ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯงานนี้เป็นหนึ่งใน Exhibition ระดับโลกที่จัดที่ “centralwOrld Pulse” Multipurpose Hall แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วย Main Hall ขนาด 2,017 ตร.ม. และ Pre Function Area ขนาด 240 ตร.ม. รองรับการจัดคอนเสิร์ต, นิทรรศการ, แฟนมีตติ้ง, นิทรรศการ และงานสัมนา ตอบโจทย์การเติบโตของตลาดคอมมูนิตี้อนิเมะ-มังงะ ซึ่งมีฐานแฟนคลับแข็งแรง และมีกำลังซื้อสูงในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่ชอบบริโภคสินค้าลิขสิทธิ์ อีเวนต์ คอสเพลย์ สร้างประสบการณ์ Immersive Exhibition อย่างสมจริง พร้อมเปิดรับการจัดงานระดับนานาชาติในอนาคต ทั้งด้านวัฒนธรรม คอนเทนต์ และไลฟ์สไตล์ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานแฟนคลับ Attack on Titan ที่มีกระแสแรงไม่เคยแผ่ว ทั้งจากกลุ่มแฟนมังงะและผู้ชมอนิเมะทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน การมาถึงของนิทรรศการ FINAL ครั้งนี้ จึงเป็นเหมือน “บทสรุปแห่งความทรงจำ” ที่แฟนชาวไทยไม่ควรพลาด นิทรรศการครั้งนี้ถ่ายทอดแก่นแท้ของไททันอย่างลึกซึ้ง ผ่านภาพวาดต้นฉบับจัดแสดงอย่างประณีต พร้อมเทคนิคแสง สี เสียงสมจริง ให้คุณเลือกเส้นทางผจญภัยระหว่าง ‘นอกกำแพง’ หรือ ‘ในกำแพง’ และเดินทางผ่าน 8 โซนจัดแสดง พร้อมไฮไลต์เด็ดอย่าง ประติมากรรมเป่าลมศีรษะไททันขนาดสูงกว่า 4 เมตร ที่สร้างขึ้นพิเศษเฉพาะประเทศไทย ที่เซ็นทรัลเวิลด์เท่านั้น8 โซนดิ่งลึกสู่โลกผ่าพิภพไททัน FINAL – ปิดตำนานในแบบที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเอง1. ทางเลือกของชีวิต : เปิดฉากแรกที่โรงละคร ก้าวเข้าสู่แสงไฟสลัว เพื่อพบกับจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ ร่วมรำลึกถึงเรื่องราวของ 'ผ่าพิภพไททัน' ไปด้วยกัน ผ่านการตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต ระหว่าง 'ในกำแพง' หรือ 'นอกกำแพง'2. ผลงานต้นฉบับ 1 “โลกแห่งกำแพง” : ก้าวเข้าสู่โลกที่ถูกแบ่งแยกด้วย "กำแพง" ขนาดจริงสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวและการปกป้อง ผู้ชมจะได้ชมภาพวาดต้นฉบับที่สะท้อนมุมมองของชีวิต "ภายใน" หรือ "ภายนอก" กำแพง ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เลือกไว้ในช่วงต้น สัมผัสถึงบรรยากาศ ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง3. ผลงานต้นฉบับ 2 “ความขัดแย้งและการต่อสู้” : ผู้ชมจะได้เห็นภาพวาดต้นฉบับซึ่งถ่ายทอดการต่อสู้ อุดมการณ์ และความสูญเสียที่แตกต่างกันตามเส้นทางชีวิตที่เลือกไว้4. สงครามไททัน : โรงภาพยนตร์ที่ให้ผู้ชมดำดิ่งไปกับอะนิเมชั่น 2 ตอนสุดประทับใจ ความยาว 10 นาที ฉายบนจอสูง 2.4 เมตร กว้าง 9 เมตร จำลองฉากการต่อสู้อันทรงพลังของเหล่าไททันที่ร่วงลงมาจากฟ้า ให้แฟน ๆ รู้สึกเหมือนได้อยู่ในฉากจริง ๆ5. ร่องรอยแห่งโศกนาฏกรรม : ในโลกที่ถูกทำลายด้วยไฟสงครามของเหล่าไททัน เหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำ โซนนี้จัดแสดงสิ่งของที่หลงเหลือจากเรื่องราวอันเจ็บปวด เปลือกหอยริมทะเล, ผ้าพันคอของรีไวล์, โบโลไทด์ของเออร์วิน, แหวนของแอนนี่, แว่นตาของฮันจิ และอุปกรณ์ประกอบฉากอื่น ๆ ที่ล้วนบรรจุร่องรอยของบาดแผล ความหวัง ทั้งหมดกำลัง “หลับใหล” อยู่ ณ ที่แห่งนี้ รอให้คุณมายืนมองและร่วมรำลึกถึงความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ6. โลกแห่งภาพต้นฉบับ 3 “เหล่าผู้กล้า” : สัมผัสเสน่ห์เฉพาะตัวของเหล่าตัวละครที่ปรากฏตัวผ่านภาพวาดต้นฉบับที่ถ่ายทอดรายละเอียดตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เผยให้เห็นความประณีตในทุกลายเส้น และความตั้งใจที่อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ บรรจงถักทอขึ้นมา ให้แฟน ๆ ได้เข้าถึงหัวใจของตัวละครที่แบกรับโชคชะตาอันโหดร้ายอย่างงดงาม7. บทสัมภาษณ์ “ผู้รังสรรค์เรื่องราว” : ชมวิดีโอบทสัมภาษณ์พิเศษจากผู้สร้างโลกของ 'ผ่าพิภพไททัน' อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ ตั้งแต่เส้นแรกจนถึงบทสุดท้าย พร้อมจัดแสดงภาพร่างต้นฉบับที่สะท้อนเส้นทางการสร้างสรรค์ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เปิดมุมมองใหม่ในการทำความเข้าใจเบื้องหลังแนวคิด แรงบันดาลใจ และการตัดสินใจที่หล่อหลอมเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา ผ่านสายตาและความรู้สึกของผู้สร้างด้วยตัวเอง8. Landmark ศีรษะไททัน สูง 4 เมตร : โซนสุดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะ! สัมผัสความอลังการของประติมากรรมเป่าลม “ศีรษะไททัน” ขนาดมหึมากว่า 4 เมตร พร้อมเอฟเฟกต์ปีนกำแพงที่จะพาแฟน ๆ ดำดิ่งสู่โลกสมจริงราวกับฉากจริงในอนิเมะ เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ร่างยักษ์ในระยะประชิดราคาบัตร เด็กอายุ 3-18 ปี ราคา 300 บาท ผู้ใหญ่ 420 บาท ซื้อบัตรได้ที่ ‘CentralwOrld Pulse’ ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หรือช่องทางออนไลน์Ticketmelon : https://www.ticketmelon.com/mighty-media/attack-on-titan-final-exhibitionKlook : https://www.klook.com/th/activity/154740-attack-on-titan-final-exhibition-ver-thailand/แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000042676
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
21/05/2025
เตรียมเปิดฤดูการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ สำหรับ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ที่เปิด จุดชมวิว ผาชะนะได ซึ่งเป็นจุดที่จะมีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แรกสุดในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไปภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มสำหรับ “ผาชะนะได” ตั้งอยู่ในผืนป่าดงนาทาม อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็นสถานที่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้อ้างอิงถึงตำแหน่งที่เห็นแสงอาทิตย์ขึ้นเป็นจุดแรกของเมืองไทย ณ เส้นแวง (ลองจิจูด) ที่ 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดาภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงให้ฉายา “ผาชะนะได” ว่าเป็น “จุดรับตะวันก่อนใครในสยาม” หรือ จุดชมแสงอาทิตย์แห่งแรกของเมืองไทยภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มโดยกิจกรรมห้ามพลาด คือ การไปชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม ที่จุดชมวิว (ห่างจากลานกางเต็นท์ 500 เมตร) ที่เมื่อมองลงไปจะเห็นผืนป่าเขียวขจีริมชายแดนเบื้องล่าง และแม่น้ำโขงไหลผ่านกั้นเขตแดนไทย-ลาว รวมถึงถ้าวันไหนอากาศเป็นใจก็จะมองเห็นทะเลหมอกขาวโพลนน่าประทับใจแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000047246
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
21/05/2025
กรุงเทพฯ – 21 พฤษภาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ Teladoc Health ผู้นำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพแบบโทรเวช จัดงาน “Exclusive High Tea Party ปิดการขายอย่างมืออาชีพ ด้วยบริการระดับโลก PMCM” ให้กับผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ โดยมุ่งยกระดับด้านการให้บริการดูแลสุขภาพแก่ลูกค้าเอไอเอทั่วประเทศ ด้วยบริการสุขภาพระดับโลกอย่าง บริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management: PMCM) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “เพื่อนคู่คิดด้านสุขภาพ” ที่พร้อมดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนของการรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การเลือกแนวทางการรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูสุขภาพ และสามารถปรึกษาได้แม้บางโรคที่เป็นข้อยกเว้นในกรมธรรม์ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากเอไอเอ ประเทศไทย และ Teladoc Health ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจในการส่งมอบบริการสุขภาพระดับโลก ประกอบด้วย พญ. สุวรา โสมะบุตร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ แผนกบริหารจัดการทางการแพทย์และข้อมูลระบบสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย นางสาวซิ่วยวี่ อู ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Teladoc Health และ พญ. นิลวรรณ นิมมานวรวงศ์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และแพทย์ผู้บริหารเคส Teladoc Health โดยหนึ่งในไฮไลต์ของงานคือการแบ่งปันประสบการณ์ตรงจาก นายพงษ์พันธ์ ชมสิน ผู้จัดการหน่วยบียอนด์ 30 ที่ได้มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (PMCM) ซึ่งได้ช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจเข้ารับการรักษาพยาบาล รวมทั้งยังได้สร้างความประทับใจในมาตรฐานการดูแลที่เหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องแกรนด์บอลรูมตันจง ปาการ์ โรงแรมอัมรา กรุงเทพฯสำหรับบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management: PMCM) เป็นบริการดูแลสุขภาพที่มากกว่าความเห็นที่สองทางการแพทย์ โดยเอไอเอ ตระหนักดีว่าการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคร้ายแรง อาจนำมาซึ่งความไม่แน่ใจและความวิตกกังวลของลูกค้า ดังนั้น ลูกค้าจึงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเครือข่ายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 50,000 ราย จากกว่า 450 สาขาทั่วโลกของ Teladoc Health โดยมีแพทย์ผู้บริหารเคสส่วนบุคคลคอยให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดระยะเวลา เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและมั่นใจในการตัดสินใจรักษา เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
20/05/2025
"บุษบก" สถาปัตยกรรมทรงปราสาทที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานสิ่งที่ควรสักการะ เช่นพระพุทธรูป พระเจดีย์ หรือแม้แต่บุษบกธรรมาสน์ที่ไว้ใช้สำหรับพระสงฆ์ แต่บุษบกวังหน้า ที่เริ่มขึ้นเมื่อยุคสมัยของรัชกาลที่ 1 นั้น ถือเป็นเอกอุ แห่งสยามซึ่งกลายเป็นตำนานแห่งความงดงามทางโครงสร้างของสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมไทย เพราะมีโครงสร้างที่แยบยลและซับซ้อน มีขั้นตอนอันประณีตมากมายหลากหลายเทคนิคไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกับ ไทยคราฟต์สตูดิโอ จัดแสดงนิทรรศการ บุษบกเกริน ซึ่งเป็นการจำลองบุษบก จากบุษบกเกรินวังหน้า ที่สร้างขึ้นเพื่อประจำพระที่นั่งท้องพระโรงวังหน้า หรืออีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่าพระที่นั่ง ราชบัลลังก์ ที่ใช้ประทับออกว่าราชการ มีการทำนุบำรุง และอนุรักษ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ปัจจุบันใช้คำเรียกว่าบุษบกเกริน) ปัจจุบันองค์จริงตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร (วังหน้า) ซึ่งบุษบกจำลองนี้สร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือจากไทยคราฟต์สตูดิโอ ความพิเศษของงานชิ้นนี้ สร้างโดยใช้ไม้สักแท้ทั้งหมด ขึ้นโครงสร้างแบบโบราณไม่ใช้ตะปู ประดับกระจก ตามแบบโบราณ ลวดลายแกะสลักด้วยไม้โมก และประกอบด้วยชั้นประดับยักษ์ ชั้นประดับครุฑ ชั้นประดับเทพพนม ปิดทองคำแท้ทั้งองค์ ออกแบบตามขนาดและลวดลายที่ถอดแบบมาจากภายในพระบรมมหาราชวัง โดยการสร้างสรรค์บุษบกนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากความภาคภูมิใจ ในความเป็นช่างฝีมือไทย และการยกย่องภูมิปัญญาของการสร้างอย่างช่างไทยโบราณ งานช่างสิบหมู่ ซึ่งมีองค์ความรู้ ชั้นเชิงอันแยบยลประณีตและถ่ายทอดองค์ความรู้ สู่ช่างฝีมือรุ่นใหม่ที่มีใจรักและศรัทธาในภูมิปัญญาของครูผู้ให้ความรู้อย่างแท้จริง โดยไอคอนสยาม และไทยคราฟท์สตูดิโอ ได้นำมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมความงดงาม เพื่อเผยแพร่และรักษามรดกภูมิปัญญาทางศิลปะไทยให้คงอยู่ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นการชมนิทรรศการบุษบกเกรินที่ไอคอนสยามไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสถึงความงดงามของศิลปะไทย แต่ยังเพิ่มประสบการณ์ใหม่ผ่านกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์ divana ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์น้ำหอม และ Luxury Spa ซึ่งได้เลือกกลิ่น Queen Of The Night หนึ่งในกลิ่นที่โดดเด่นที่สุด จาก Collection Phenomenon คอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดจาก divana ที่ถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถันช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้การชมบุษบกมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นกลิ่นหอมนี้นำเสนอความสง่างามและลึกลับจากดอกไม้ไทย 8 ชนิดที่ส่งกลิ่นหอมในยามค่ำคืน ช่วยสร้างความสงบและความสุขุมให้กับผู้สัมผัส การรับรู้กลิ่นนี้ไม่เพียงแต่กระตุ้นประสาทสัมผัส แต่ยังสร้างจินตนาการและความทรงจำที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมสามารถดื่มด่ำกับศิลปะและวัฒนธรรมไทยในมิติใหม่การได้สัมผัสกลิ่นหอมในนิทรรศการนี้เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านเวลาและอารมณ์ สร้างความรู้สึกที่อบอุ่นและสงบในขณะเดียวกัน กลิ่น Queen Of The Night ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ครบถ้วนและน่าจดจำสำหรับผู้เข้าชมไอคอนสยาม ขอเชิญทุกท่านร่วมชมงามงดงามของ “บุษบกเกริน” งานประณีตศิลป์ชั้นสูงที่หาชมได้ยาก โดยจะจัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 เมษายน 2568 ณ บริเวณ Walk Way ชั้น M ไอคอนสยามแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000036020
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
03/10/2024
29/05/2024
30/04/2024
29/04/2024
29/04/2024