คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลเกียรติยศแก่สุดยอดตัวแทน “ที่สุดแห่งปี” ประจำปี 2567 ในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024

14/05/2025

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอที่มีผลงานยอดเยี่ยมเป็น “ที่สุดแห่งปี 2567” หรือ “Of the Year 2024” รวมถึงยังได้มีการมอบคุณวุฒิต่าง ๆ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ตัวแทน โดยในปีนี้มีผู้บริหารหน่วยและตัวแทนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 4,000 ท่าน นอกจากนี้ ผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT 2024 มีจำนวนมากถึง 3,535 ท่าน ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เอไอเอ สามารถรักษาแชมป์อันดับ 1 บริษัทที่มีจำนวน MDRT มากที่สุดในประเทศไทยและระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ความสามารถ และความมุ่งมั่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ต้องการส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินให้แก่คนไทยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 ได้รับเกียรติจาก คุณวสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานในพิธี พร้อมขึ้นกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้บริหารหน่วยและพลังตัวแทนที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ อีกทั้งยังได้รับเกียรติจาก คุณหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ได้ร่วมส่งข้อความแสดงความยินดีและยกย่องถึงความสามารถของพลังตัวแทนทุกท่าน นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย คุณตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย คุณไช เวย บิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กลุ่มบริษัทเอไอเอ คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย และคุณประกิตติ บุณยเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้ขึ้นกล่าวยินดีและร่วมมอบรางวัล “Of the Year 2024” แก่ผู้บริหารหน่วยและพลังตัวแทน ทั้งนี้ งาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2024 ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน ฮอลล์ 5-7 เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาสำหรับตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิซึ่งได้รับตำแหน่ง “ที่สุดแห่งปี 2567” หรือ “Top Of the Year 2024” ทั้งสิ้น 9 ท่าน ได้แก่   •  Top District Manager Up of the Year 2024 – นพ. โสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ ผู้จัดการภาค ทริปเปิ้ล เอ  •  Top Unit Manager Up (Direct Team & IO1) of the Year - คุณศิวพงษ์ สุขใส ผู้จัดการภาคอาวุโส เพชรอันดามัน 97  •  Top Unit Manager of the Year - คุณสิทธิชัย กัลยาศิริ ผู้จัดการหน่วย นำทอง 1199  •  Top New Unit Manager of the Year 2024 – คุณอิทธิพร วิเศษวงศ์ ผู้จัดการภาค เพชรอันดามัน 107  •  Top Assistant Unit Manager of the Year 2024 – คุณเกียรติศักดิ์ มีศรี ผู้จัดการหน่วย เพชรอันดามัน 108  •  Top New Assistant Unit Manager of the Year 2024 – คุณนภาพร ผิวสลับ ผู้จัดการหน่วย เพชรอันดามัน 118  •  Top Agent of the Year 2024 - คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต หน่วย เนอวานา  •  Top Agent (Cases) of the Year 2024 - คุณสุดารัตน์ ปิยขจรโรจน์ หน่วย แม็กซ์เวลท์ 1  •  Top Agency Leader (Individual) Of the Year 2024 - คุณสุพร มณีหยก ผู้จัดการภาคอาวุโส เวลธ์พาทธ์ 2คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับสุดยอดพลังตัวแทนทั้ง 4,000 ท่าน ที่สามารถพิชิตรางวัลไปได้ในปีนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ได้แสดงให้เห็นตลอดปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้ ทุกท่านเปรียบเสมือนฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จ ทั้งในด้านการเติบโต และด้านการสร้างตัวแทนใหม่ พร้อมทั้งเป็นพลังขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในปี 2567 ที่ผ่านมา ในปีนี้เรายังมีเป้าหมายร่วมกัน คือสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนมุ่งสร้างตัวแทนใหม่ที่มีคุณภาพ เพื่อร่วมกันส่งต่อคุณค่าและความมั่นคงทางด้านชีวิต สุขภาพ และการเงินให้แก่ลูกค้าของเรา ตามพันธกิจของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ที่สำคัญผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพแห่งความสำเร็จในวันนี้ จะส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ทั้งหมดกว่า 55,000 คน ซึ่งเราเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ให้ยังคงรักษาความเป็นที่หนึ่ง และพร้อมเดินหน้าส่งมอบความคุ้มครองผ่านการวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงิน เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

กลุ่มบริษัทเอไอเอ รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตขึ้นร้อยละ 13 อยู่ที่ 1,497 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับไตรมาสแรกของปี 2568

14/05/2025

ฮ่องกง, 30 เมษายน 2568 – กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) ประกาศผลประกอบการมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตขึ้นร้อยละ 13 คิดบนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (CER) สำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31มีนาคม 2568อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:   •  มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตร้อยละ 13 อยู่ที่ 1,497 ล้านเหรียญสหรัฐ   •  เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 อยู่ที่ 2,617 ล้านเหรียญสหรัฐ  •  อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) เพิ่มขึ้น 3.0 จุด เป็นร้อยละ 57.5  •  กำไรจากการให้บริการตามสัญญาเนื่องจากธุรกิจใหม่ (NB CSM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16  •  อัตราส่วนเงินทุนของผู้ถือหุ้นยังคงแข็งแกร่งอย่างไร้กังวลอยู่ที่เกินกว่าร้อยละ 200นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า เอไอเอยังคงรักษาผลงานและการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในปี 2567 ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสแรกของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับผลงานไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ความสามารถของเราในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่สร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในระดับขนาดใหญ่เป็นผลโดยตรงมาจากรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายและความยืดหยุ่นสูงในธุรกิจของเรา รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการของเอไอเอที่เพิ่มมากขึ้นโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราถือเป็นเสาหลักสำคัญของกลยุทธ์การเติบโตของเราโดยส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) มากกว่าร้อยละ 75 ของกลุ่มบริษัททั้งหมดในไตรมาสแรกของปี 2568 เรายังคงขยายการเข้าถึงของเราอย่างต่อเนื่องด้วยการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพสูงและแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยทำให้มีจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานเพิ่มขึ้นโดยรวม ร้อยละ 8 อีกทั้งรูปแบบโปรแกรม พรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่แตกต่างของเรา ที่ได้มุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าและขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำได้ส่งผลให้ตัวแทนสร้างผลงานได้เพิ่มขึ้น และยังคงรักษาส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน“ความมุ่งมั่นของทีมผู้บริหารที่พิสูจน์แล้วของเราในการสร้างมูลค่าธุรกิจที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืนในระยะยาว และเรายังมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเรา ที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการส่งมอบผลงานที่ดีท่ามกลางตลาดทุนที่มีความผันผวนทั่วโลก และเข้าถึงปัจจัยกระตุ้นการเติบโตพื้นฐานที่แข็งแกร่งในเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจที่สุดในโลกสำหรับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของเราจะยังคงส่งมอบคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเราทุกฝ่ายต่อไป” บทสรุปไตรมาสที่ 1เอไอเอมีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 คิดเป็นมูลค่า 1,497 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 โดยมีผลมาจากทั้งช่องทางตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเราโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่เหนือชั้นและไม่มีใครเทียบได้ของเราทำให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตขึ้นร้อยละ 21 คิดเป็น 1,218 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งจากความคุ้มครองแบบดั้งเดิมและผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการ การดำเนินการตามกลยุทธ์อย่างมีเป้าหมายของเราส่งผลให้ประสิทธิภาพของตัวแทนสูงขึ้น รวมถึงจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และจำนวนผู้สมัครตัวแทนใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยช่องทางตัวแทนของเราคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าธุรกิจใหม่ทั้งหมดของกลุ่มบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2568มูลค่าธุรกิจใหม่จากช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเราเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 คิดเป็นมูลค่า 397 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเรายังคงรักษาวินัยทางการเงินในช่องทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) และช่องทางโบรกเกอร์ของเอไอเอ ฮ่องกง รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านช่องทางธนาคารของเอไอเอ ประเทศจีน สำหรับนอกประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ การขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านช่องทางธนาคารของเรามีอัตราการเติบโตร้อยละ 21 ของมูลค่าธุรกิจใหม่เอไอเอ ฮ่องกง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของเรา มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งมากอีกไตรมาสหนึ่ง โดยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตในกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่และลูกค้าในประเทศ เราประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในช่องทางพรีเมียร์ เอเจนซี่ และช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคาร โปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราเป็นผู้นำตลาดในฮ่องกงและมาเก๊า และกลยุทธ์ของเรายังคงผลักดันให้ตัวแทนที่สร้างผลงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพสูงและแข็งแกร่งมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของ เอไอเอ ประเทศจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับผลงานอันแข็งแกร่งที่เราได้รายงานในไตรมาสแรกของปี 2567 มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ได้รวมอยู่ในรายงานผลประกอบการของกลุ่มบริษัทไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลจีน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 รวมถึงการปรับลดสมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวของเราลง 80 จุด ในช่วงสิ้นปี 2567 อีกด้วย เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบจะเห็นได้ว่ามูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 ในขณะที่อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB Margin) สูงกว่าร้อยละ 50 ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้โปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเราผสมผสานคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพสูงรวมเข้ากับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มลูกค้าชนชั้นกลางและลูกค้าที่มีฐานะดี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีฐานะมั่นคงทางเศรษฐกิจของเรา การฝึกอบรมเชิงรุกและความเป็นมืออาชีพของตัวแทนของเราเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของเราประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และผสมผสานผลิตภัณฑ์โดยรวมของเราได้อย่างสมดุล การสรรหาตัวแทนใหม่ยังคงแข็งแกร่ง โดยจำนวนตัวแทนใหม่ที่สร้างผลงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ส่งผลให้จำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานโดยรวม เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 6 ซึ่งส่งผลให้มีแรงผลักดันในการขายต่อไปมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) จากตัวแทนขายในภูมิภาคใหม่ที่เราก่อตั้งขึ้นในระหว่างปี 2562 ถึง 2566 เติบโตขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ในเดือนมีนาคมและเมษายนเราประสบความสำเร็จในการเปิดตัวการดำเนินงานใน 4 ภูมิภาคใหม่ ได้แก่ อานฮุย ซานตง ฉงชิ่ง และเจ้อเจียง ช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพกว่า 100 ล้านรายในกลุ่มเป้าหมายของเราเอไอเอ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่โดดเด่นมาก โดยเราได้รับประโยชน์จากการขายแบบครั้งเดียวผ่านช่องทางตัวแทนก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพรายบุคคลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ เรายังเห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งมากของมูลค่าธุรกิจใหม่ จากการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านช่องทางธนาคาร ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับธนาคารกรุงเทพในสิงคโปร์ เราประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตอย่างยอดเยี่ยมของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) และยังคงเห็นยอดขายที่แข็งแกร่งจากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) เพื่อการออมเงินระยะยาว ที่สามารถเข้าถึงผู้จัดการกองทุนระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มกองทุนรวมระดับภูมิภาคของเอไอเอ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราซึ่งถือเป็นผู้นำตลาด ยังได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตที่เข้มแข็งอย่างมากในผลงานของตัวแทนเอไอเอ มาเลเซีย รายงานมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่สูงขึ้นจากการเติบโตที่ยอดเยี่ยมผ่านความร่วมมือทางกลยุทธ์กับ Public Bank ซึ่งบางส่วนถูกหักลบจากการลดลงของช่องทางตัวแทน ซึ่งเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ ตลาดอื่น ๆ มีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นของตลาดส่วนใหญ่ในกลุ่มธุรกิจนี้ บริษัทร่วมทุนของเราในอินเดียอย่าง Tata AIA Life ประสบความสำเร็จในการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่ยอดเยี่ยมด้วยประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในแพลตฟอร์มการขายหลายช่องทาง และรักษาอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมในด้านการส่งมอบความคุ้มครองให้กับลูกค้าบุคคล คิดตามจำนวนเงินเอาประกันภัยในไตรมาสแรกของปี 2568โดยรวมแล้ว มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เป็น 1,497 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เติบโตร้อยละ 7 เป็น 2,617 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 57.5 ซึ่งได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถูกหักลบบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางเศรษฐกิจ อัตรากำไรที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) ยังคงเท่าเดิม ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เป็น 12,680 ล้านเหรียญสหรัฐกำไรจากการให้บริการตามสัญญาเนื่องจากธุรกิจใหม่ (NB CSM) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เติบโตเร็วกว่ามูลค่าของธุรกิจใหม่ (VONB) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ธุรกิจใหม่ที่มีกำไรเพิ่มเข้ามาเสริมรายได้ที่เกิดขึ้นประจำจากธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ทำให้เรามั่นใจในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) ต่อหุ้นที่ร้อยละ 9-11 จากปี 2566 ถึง 2569ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมมหภาคทั่วโลกและตลาดทุนจะยังคงผันผวน แต่ความแข็งแกร่งทางการเงินและความยืดหยุ่นของเอไอเอ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มบริษัทมีความแตกต่าง อัตราส่วนเงินทุนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของเราในการวัดเงินทุนโดยรวมและสถานะส่วนเกินของผู้ถือหุ้น ยังคงแข็งแกร่งและอยู่ที่ระดับสูงกว่าร้อยละ 200 อย่างไร้กังวล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 โปรแกรมซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เราประกาศไปเมื่อไม่นานนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลาสามเดือนจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับวันที่ 31 มีนาคม 2567ภาพรวมแม้จะมีความผันผวนของตลาดทุนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การออมส่วนบุคคลในระดับสูง ประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น การเจาะตลาดประกันชีวิตที่ต่ำ และความคุ้มครองจากสวัสดิการที่จำกัด ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตเชิงโครงสร้างในเอเชีย และสร้างความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก การเติบโตที่แข็งแกร่งของเอไอเอในไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของเรา ความครอบคลุมและหลากหลายของตลาด ความแข็งแกร่งทางการเงิน และคุณภาพของบุคลากรของเรา นับเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวที่ยอดเยี่ยมของเอไอเอ ยิ่งไปกว่านั้น การจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเราได้เอื้อให้เราได้รับโอกาสสำคัญที่รออยู่ข้างหน้า เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจใหม่ที่มีกำไร ซึ่งจะส่งผลให้มีรายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้น รวมถึงการสร้างผลกำไรส่วนเกิน และมูลค่าผู้ถือหุ้นที่มากขึ้นด้วยรายงานพอร์ตโฟลิโอการลงทุนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของเอไอเอ ถือเป็นตัวสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและแนวทางการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยภาระผูกพันอันดับเครดิตเฉลี่ยของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ถือครองในส่วนของผู้ถือกรมธรรม์และผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ที่ระดับ A เมื่อเทียบกับสถานะ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 พอร์ตโฟลิโอหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยมีผู้ออกหุ้นกู้มากกว่า 1,700 ราย และมีขนาดการถือครองโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ล้านเหรียญสหรัฐณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ตราสารหนี้ ทั้งหมดร้อยละ 2 ของพอร์ตโฟลิโอได้รับการจัดอันดับต่ำกว่าระดับลงทุนหรือไม่ได้รับการจัดอันดับ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตราสารหนี้มูลค่าประมาณ 34 ล้านเหรียญหรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.02 ของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ทั้งหมดของเรา ได้รับการปรับลดระดับลงมาต่ำกว่าระดับลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2568ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สำหรับพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ของเราลดลง 2 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสแรกของปี 2568 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 463 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ซึ่งสะท้อนถึงพอร์ตโฟลิโอการลงทุนคุณภาพสูงโดยรวมของเอไอเอณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ความเสี่ยงด้านการลงทุนของกลุ่มในจีนแผ่นดินใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือกรมธรรม์รายอื่นและผู้ถือหุ้น ได้แก่ เครื่องมือทางการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น (LGFV) มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และตราสารหนี้และตราสารทุนด้านอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 0.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่รวม LGFV)ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 พอร์ตโฟลิโอการลงทุนของเอไอเอ ประเทศจีน ที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือกรมธรรม์รายอื่นและผู้ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 80 ถืออยู่ในตราสารหนี้ ในจำนวนนี้มากกว่าร้อยละ 90 เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ อันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศโดยเฉลี่ยของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนพันธบัตรผู้ถือกรมธรรม์รายอื่นและผู้ถือหุ้นของเอไอเอ ประเทศจีน ซึ่งยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสถานะ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่ A+เราได้ให้รายละเอียดพอร์ตการลงทุนของกลุ่ม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ไว้ในภาคผนวก หน้า 9 -11อัปเดต BEPS 2.0 – ภาษีขั้นต่ำทั่วโลกภาษีเงินได้เสาหลักที่สอง ซึ่งเป็นเสาหลักที่สองของโครงการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลระหว่างประเทศที่พัฒนาโดยองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และมักเรียกกันว่า การโยกย้ายฐานภาษีและผลกำไรของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (BEPS) 2.0 มุ่งมั่นที่จะกำหนดอัตราภาษีที่แท้จริงขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในเขตอำนาจศาลแต่ละแห่งที่บริษัทดำเนินงานอยู่เขตอำนาจศาลหลายแห่งที่กลุ่มบริษัทดำเนินงานอยู่ รวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และซึ่งกฎหมายภาษีเงินได้เสาหลักที่สองยังไม่ได้มีผลบังคับใช้เนื่องจากความไม่แน่นอนอย่างมากที่เกิดขึ้น ตัวเลขในประกาศนี้จึงไม่รวมผลกระทบใด ๆ จาก BEPS 2.0ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเอไอเอ ได้รับเบี้ยประกันส่วนใหญ่ในสกุลเงินท้องถิ่น และเราจับคู่สินทรัพย์และหนี้สินในประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อรายงานตัวเลขรวมของกลุ่ม จะมีผลกระทบต่อการแปลงสกุลเงินเนื่องจากเรารายงานเป็นดอลลาร์สหรัฐ เราได้ให้รายละเอียดอัตราการเติบโตและความคิดเห็นบนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (CER) เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวช่วยให้เห็นภาพผลการดำเนินงานพื้นฐานของธุรกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุฟรี แก่เยาวชนภายใต้โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44

14/05/2025

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ให้แก่เยาวชน 440 กรมธรรม์ และครูพี่เลี้ยงจำนวน 30 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 470 กรมธรรม์ที่ร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ให้เยาวชนได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในกรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัดภาคกลางสำหรับนักเรียนจำนวน 320 คน และพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 120 คน ตลอดจนเพิ่มทักษะประสบการณ์ในการเรียนรู้ความเป็นผู้นำและผู้ตาม ในการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุโดยในครั้งนี้เอไอเอได้มอบต่อเนื่องมาเป็นรุ่นที่ 4 เพื่อช่วยให้เยาวชน และครอบครัวของเยาวชนคลายความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในขณะที่เดินทางมาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่ต่างภูมิลำเนา ซึ่งการมอบความคุ้มครองดังกล่าวยังตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ ที่เรามุ่งมั่นในการสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดังกล่าว จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงานเสวนา “AIA High Net Worth Forum 2025” ตั้งเป้าดูแลลูกค้าด้วยบริการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งสู่ทายาทอย่างยั่งยืน

14/05/2025

กรุงเทพฯ, 8 เมษายน 2568 - เอไอเอ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิต ประกันสุขภาพและประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) จัดงานเสวนา “AIA High Net Worth Forum 2025” ภายใต้แนวคิด “Building Your Legacy Blueprint ความสำเร็จที่สร้างมา... สู่ทายาทอย่างยั่งยืน” นำโดย คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งระยะยาวให้แก่คนไทยผ่านการวางแผนด้านสุขภาพและการเงินอย่างครบวงจร โดยในงานได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ภาษีอากร และการส่งต่อธุรกิจครอบครัว อาจารย์ชินภัทร วิสุทธิแพทย์ Partner ONE LAW (ONE LAW Office and ONE LAW Academy) จากบริษัท ONE LAW ร่วมด้วย คุณศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญ อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในการส่งต่อกิจการมาอย่างมั่นคงนานกว่า 100 ปี มาร่วมแบ่งปันความรู้ในการเริ่มต้นวางแผนการส่งต่อธุรกิจอย่างเป็นระบบ แนะเกล็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการส่งต่อมรดก เทคนิคการเขียนพินัยกรรม รวมถึงแนวคิดในการส่งต่อธุรกิจอย่างมั่นคง ผ่านประสบการณ์จริง และเครื่องมือทางการเงินในการส่งต่อธุรกิจสู่ทายาทอย่างมั่นคง ซึ่งงานเสวนาในครั้งนี้เป็นความตั้งใจของเอไอเอ ที่ต้องการเสริมศักยภาพให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งและธุรกิจครอบครัวได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสูงสุดนอกจากนี้ เอไอเอ ยังเปิดตัวบริการ Legal Advisory ที่ให้บริการที่ปรึกษาด้านกฎหมายเบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการส่งต่อมรดก ให้ลูกค้าเอไอเอสามารถดำเนินการส่งต่อมรดกได้อย่างราบรื่น ลดความกังวล และเพิ่มความสบายใจ โดยเป็นเอกสิทธิ์พิเศษเฉพาะลูกค้าสมาชิก AIA Prestige Club เพื่อสนับสนุนให้ทุกครอบครัวส่งมอบความมั่นคงได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานเสวนา AIA High Net Worth Forum 2025 จัดขึ้น ณ โรงแรม สยามแคมปินสกี้ โฮเทล กรุงเทพฯหมายเหตุ:• ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษา อ่าน และทำความเข้าใจในเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้วโปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์• ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ เอ ไลฟ์ จัดแคมเปญ “ฟรี!! กรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)”มอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่ม วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทต่อกรมธรรม์

14/05/2025

กรุงเทพฯ, 1 เมษายน 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ เอ ไลฟ์ (ALive Powered by AIA) โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 เปิดตัวแคมเปญ “ฟรี!!! กรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” โดยมอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่ม (ไมโครอินชัวรันส์) ฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท* เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปเยี่ยมเยียนครอบครัวและวางแผนเดินทางท่องเที่ยว โดยแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตลอดจนตอกย้ำถึงพันธกิจของเอไอเอที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงการประกันภัยเพื่อความอุ่นใจยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมให้คนไทยได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่มีอายุระหว่าง 20 – 70 ปี* สามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มฟรี เพียงไปที่เว็บไซต์ เอไอเอ หรือคลิกลิงก์ https://shorturl.at/djWlw ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2568หมายเหตุ:*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด กำหนด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ “Fight Dengue” เสริมเกราะป้องกันให้คนไทยห่างไกลโรคไข้เลือดออก ตอกย้ำคำมั่นสัญญา ‘เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

14/05/2025

กรุงเทพฯ – 31 มีนาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เดินหน้ามอบความคุ้มครองเชิงรุกผ่านแคมเปญล่าสุด “Fight Dengue” ภายใต้โครงการ “Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน” มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอให้สามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี เพื่อป้องกันความรุนแรงจากการติดเชื้อโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่ปัจจุบันถือเป็นภัยเงียบสำหรับทุกเพศทุกวัย อีกทั้งยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และมีอัตราการระบาดได้ทุกฤดูตลอดทั้งปี ซึ่งวิธีป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ดังนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ “Fight Dengue”  ที่เอไอเอมุ่งเสริมเกราะป้องกันโรคไข้เลือดออกให้กับคนไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยรุนแรงและภาระค่ารักษาพยาบาล พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยในงานยังได้ คุณชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ และคุณวิกกี้ สุนิสา เจทท์ มาร่วมพูดคุยเรื่องการดูแลสุขภาพและการป้องกันให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออก เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองและคนในครอบครัวคุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ เชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ แต่ยังรวมไปถึงการวางแผนเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงควบคู่กันไปด้วย ปีนี้เราจึงได้ริเริ่มโครงการ ‘Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน’ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้เข้าถึงการบริการและนวัตกรรมการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในทางเลือกของการป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคที่พบบ่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้มีการป้องกันและรักษาที่ถูกต้อง อย่างเช่นโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยมาโดยตลอด นอกจากตัวผู้ป่วยเองจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคแล้ว ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลแก่ชีวิตหากมีโรคประจำตัวหรือภาวะแทรกซ้อน ซึ่งจากสถิติในปีที่ผ่านมาเราพบว่าในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อมากถึงหลักแสนราย และมีลูกค้าเอไอเอจำนวนมากที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออก อีกทั้งยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนไม่น้อย และการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ละครั้งยังต้องใช้ระยะเวลาเฉลี่ยถึง 4 – 5 วัน ดังนั้น ผู้ป่วยอาจต้องหยุดงาน หยุดเรียน ขาดรายได้ รวมถึงขาดโอกาสอื่น ๆ ในชีวิตช่วงที่รักษาตัว ขณะที่คนในครอบครัวย่อมได้รับผลกระทบตามมาเช่นเดียวกัน  แคมเปญ ‘Fight Dengue’ จึงเป็นอีกทางเลือกให้กับลูกค้าเอไอเอได้เข้าถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ส่งผลถึงค่ารักษาพยาบาลที่ย่อมลดน้อยลง ตลอดจนยังทำให้ลูกค้าของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ตามพันธกิจสำคัญของเอไอเอที่ต้องการส่งเสริมผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”นพ. วีรวัฒน์ มโนสุทธิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และ นายแพทย์ระดับทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “ไข้เลือดออกเป็นโรคที่พบได้ทุกช่วงวัย โดยอาการอาจมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงอาการรุนแรงสู่ภาวะช็อก หัวใจหยุดเต้น และอาจเสียชีวิตได้ในระยะเวลาไม่กี่วัน ผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วสามารถติดเชื้อซ้ำได้ เพราะไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ และครั้งที่สองมักมีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานหรือผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถติดเชื้อและอาการอาจจะรุนแรงได้เช่นกัน จากสถิติในปี 2567 พบว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมในไทยตลอดปีมีมากถึง 105,250 ราย และเสียชีวิตถึง 112 ราย กระจายทั่วประเทศ โดยกลุ่มอายุที่มีอัตราเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ในช่วงกลุ่ม 35-44 ปี ตามมาด้วยกลุ่ม 35-44 ปี และกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป1 โดยโรคนี้สามารถระบาดได้ตลอดปี จึงควรป้องกันอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การป้องกันยุงกัด การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน และที่สำคัญคือเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%* การป้องกันจึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพของทุกคนในครอบครัว”คุณชาย-ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ นักแสดงและคุณพ่อลูก 2 กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ไม่คิดว่าไข้เลือดออกเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะเป็นคนดูแลสุขภาพและไม่ค่อยป่วยหนัก คิดว่าตัวเองแข็งแรงมาตลอด แต่จริง ๆ แล้วเพราะคนที่แข็งแรงก็สามารถป่วยจากโรคนี้ได้ และผมได้เห็นเพื่อนและคนรอบตัวต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากอาการที่รุนแรง เราจึงเริ่มเข้าใจว่าโรคนี้ไม่ใช่แค่โรคทั่วไป อีกอย่างเราเป็นหัวหน้าครอบครัวเรายิ่งต้องป้องกันตัวเองจากการเจ็บป่วย นอกจาการเตรียมพร้อมในการมีประกันสุขภาพเมื่อยามเจ็บป่วยแล้ว การที่ประกันสุขภาพสามารถเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมเกราะป้องกันและลดอาการรุนแรงของโรคไข้เลือดออกเป็นการตอบโจทย์ความต้องการทางสุขภาพของลูกค้า เพราะเราไม่อยากพลาดโอกาสหลายอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือแม้แต่ช่วงเวลาดี ๆ ที่ควรได้ใช้ร่วมกับครอบครัวและคนสำคัญ”“นอกจากจะต้องห่วงลูกๆ จากโรคยอดฮิตแล้วไข้เลือดออกก็เป็นอีกโรคที่สำหรับคนเป็นแม่ละเลยไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่ายุงจะมากัดลูกหรือเราเมื่อไหร่ อีกอย่างไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มียุงหมด สิ่งที่วิกกี้บอกกับครอบครัวเสมอคือเราต้องใส่ใจกับการป้องกัน เพราะไข้เลือดออกมันระบาดได้ทั้งปี ไม่ใช่แค่ในช่วงหน้าฝน เราจึงไม่ควรมองข้ามเพราะไข้เลือดออกใกล้ตัวและอันตรายกว่าที่คิด วิธีป้องกันที่เริ่มจากตัวเราเองได้เช่นการเก็บบ้านไม่ให้รก เปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้มีบริเวณน้ำขัง เก็บขยะไปทิ้งทุกวัน อย่างกับลูกวิกกี้จะทากันยุงเมื่อต้องไปในที่ที่เสี่ยงโดนยุงกัด และอีกหนึ่งทางเลือกคือการฉีดวัคซีนที่สามารถทำควบคู่กันไปกับการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกัน เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะเป็นไข้เลือดอกเมื่อไหร่ ฉะนั้นยิ่งถ้าไม่รู้ เรายิ่งต้องป้องกันค่ะ” คุณวิกกี้-สุนิสา เจทท์ นักแสดงและคุณแม่มากความสามารถ กล่าวทิ้งท้ายสำหรับแคมเปญ “Fight Dengue” เอไอเอ จะมอบสิทธิพิเศษในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกสำหรับลูกค้าทั่วไป และสมาชิก AIA Prestige Club โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ลูกค้าเอไอเอสามารถเข้ารับบริการผ่านโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านทางสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page และ Line Official Account

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลสุดยอดแบรนด์และบริษัทที่น่าเชื่อถือที่สุด 2025 Thailand's Most Admired Brand และ 2024 – 2025 Thailand's Most Admired Company โดยนิตยสาร BrandAge

14/05/2025

กรุงเทพฯ, 28 มีนาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลจากเวที BrandAge Awards 2025 นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้ขึ้นรับรางวัลแห่งเกียรติยศ “Hall of Fame” ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย เป็นองค์กรเพียงหนึ่งเดียวที่คว้ารางวัลนี้ไปครอง ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างมีวิสัยทัศน์ มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ประกอบกับการยึดหลัก ESG ในการดำเนินงานเพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าและคนไทยทั้งประเทศ นอกจากนี้  นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และ นายพีร พนิตพล ผู้อำนวยการฝ่าย Total Wealth Solution ยังเป็นตัวแทนรับรางวัล 2024 – 2025 Thailand’s Most Admired Company บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด และ 2025 Thailand's Most Admired Brand สุดยอดแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค ทั้งในสาขาประกันชีวิต ติดต่อกันเป็นปีที่ 23 และ สาขาประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 โดยทั้ง 4 รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิต และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ของเอไอเอ ที่ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนานทั้งนี้ สำหรับทั้ง 4 รางวัลจากเวที BrandAge Awards 2025 มาจากผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร BrandAge จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและความแข็งแกร่งของเอไอเอ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยมายาวนานกว่า 87 ปี ด้วยความมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และด้านการเงิน ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกช่วงอายุ เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับคนไทยเสมอมา โดยเอไอเอ ยังคงยืนหยัดในการเดินหน้าส่งมอบการดูแล รวมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่คนไทยต่อไป ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้า 2 ประเภทรางวัลผู้นำเทรนด์แห่งปี Future Trends Awards 2025 ในสาขา The Most Attractive Employer ตอกย้ำความเป็นองค์กรชั้นนำที่ได้รับการยอมรับจากพนักงานทุกช่วงวัย

14/05/2025

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย คุณศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำเทรนด์แห่งปี “Future Trends Awards 2025” ในสาขา “The Most Attractive Employer” หรือองค์กรที่ดึงดูดใจพนักงานที่สุด โดยได้รับถึง 2 ประเภทรางวัล ทั้งในช่วงอายุน้อยกว่า 35 ปี (23 – 35 ปี) และช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป  รางวัลอันทรงเกียรตินี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยอดเยี่ยมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่พนักงาน เพื่อร่วมกันส่งมอบการดูแลในด้านการประกันชีวิตและสุขภาพที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศโดยตลอดระยะเวลา 87 ปีที่ผ่านมา เอไอเอ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมด้านสุขภาวะที่ดีเยี่ยมในทุกๆ ด้านของพนักงาน อีกทั้งยังสนับสนุนให้พนักงานเห็นคุณค่าในตนเองด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สะท้อนให้ทุกคนได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และสนับสนุนให้พนักงานสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เป็น Best & Inclusive Workplace ที่เปิดกว้างในความหลากหลาย ให้ความสำคัญกับพนักงานในทุกระดับ รวมถึงมุ่งเน้นในการสร้างสังคมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกได้รับการเคารพ มีคุณค่า รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งอย่างแท้จริงและยั่งยืนสำหรับรางวัล “Future Trends Awards” ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Knowing The Future, Be The Winners of Tomorrow ในครั้งนี้เป็นรางวัลที่มอบให้กับแบรนด์ ที่สร้างสรรค์งานที่มีความโดดเด่น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนในสังคม โดยนับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติและน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอไอเอ ประเทศไทย ตลอดจนยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอที่ต้องการดูแลผู้คนทั้งภายในและภายนอกองค์กรด้วยความเข้าใจและความจริงใจ สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

ดีเดย์ประกันสุขภาพ Copay ธุรกิจหวังสกัดคน 5% เคลมพุ่งเกินจำเป็น

09/05/2025

ประเด็นร้อนของวงการประกันชีวิตในประเทศไทยที่ถูกกล่าวถึงในเวลานี้คือ การบังคับใช้เงื่อนไขประกันสุขภาพให้ลูกค้าต้องมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ที่สัดส่วน 30% สำหรับกรมธรรม์ใหม่ปีต่ออายุ ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันนี้ (20 มีนาคม 2568) เป็นต้นไป เพื่อเป็นอีกมาตรการในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสมอย่างไรก็ตาม ล่าสุด “สภาองค์กรของผู้บริโภค” มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจเมื่อวานนี้ (19 มีนาคม 2568) ว่า Copayment หรือ Co-ภาระของผู้บริโภค พรุ่งนี้ 20 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 – 10.00 น. สภาองค์กรของผู้บริโภคจะไปสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อหยุดเดินหน้า ชี้เกณฑ์ร่วมจ่ายสูง เพิ่มภาระการเงินผู้บริโภค จึงไม่เห็นด้วยและเสนอให้บริษัทประกันไปกำกับค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัย ประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาประกันภัย กรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยของสัญญาประกันภัยสุขภาพโดยมีผู้แทนจากหน่วยงาน ประกอบด้วย สภาธุรกิจประกันภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งการร่วมจ่ายจะมีผลบังคับใช้เฉพาะในปีถัดไป หากผู้เอาประกันภัยเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้กรณีที่ 1 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease) และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ต้องรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน และมีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมตั้งแต่ 200%กรณีที่ 2 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ที่ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ ที่มีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกันตั้งแต่ 400% โดยในแต่ละกรณีให้กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 30%และหากเข้าทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 50% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป ซึ่งการกำหนดสัดส่วนดังกล่าวเป็นการกำหนดเป็นขั้นสูงสุด การจะกำหนดสัดส่วนเป็นเท่าใดในแต่ละกรณีจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัท โดยสำนักงาน คปภ.จะทำหน้าที่กำกับการคิดเบี้ยประกันภัยสุขภาพ และดูแลเงื่อนไขการร่วมจ่ายให้มีความเป็นธรรมโดยที่ประชุม “เห็นชอบ” ให้บริษัทประกันภัยสามารถเพิ่มเงื่อนไขการมีส่วนร่วมจ่ายได้ใน 3 กรณี เพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดการใช้สิทธิในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโดยมิชอบนอกจากนี้ ได้หยิบยกประเด็นเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เกี่ยวกับ Copayment เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกัน โดยใช้ช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Copayment อย่างถูกต้องและทั่วถึง ควบคู่กับการปรับรูปแบบการสื่อสารโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายนอกจากนี้จะต้องสื่อสารไปยังตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน หากตรวจพบว่าอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตได้ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ.จะนำข้อเสนอแนะที่ได้รับจากที่ประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้การควบคุมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาวต่อไปโดยก่อนหน้านี้ นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ยกทีมผู้บริหารสมาคมฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อชี้แจงแนวปฏิบัติประกันสุขภาพ Copayment ว่า จะใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ที่ธุรกิจประกันชีวิตได้ขายและเริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพฉบับเก่าที่ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้นให้ลูกค้าเก่าต่อสัญญากรมธรรม์สุขภาพอย่างต่อเนื่องโดยเงื่อนไข Copayment จะไม่ได้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปีแรกที่ซื้อประกันสุขภาพ แต่จะเป็นกรณีการต่ออายุครบรอบปีกรมธรรม์ประกัน (เริ่มมีผลต่ออายุตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป) หากผู้เอาประกันเข้า 3 เงื่อนไขคือเงื่อนไขที่ 1 การเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรง หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล การเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple diseases) หรืออาการที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยเบิกเคลมโดยเข้ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก IPD มากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันภัยสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป“สำหรับนิยาม Simple diseases ประกอบด้วย 9 โรคคือ 1. ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน 2. ไข้หวัดใหญ่ 3.ท้องเสีย 4. เวียนศีรษะ 5. ไข้ไม่ระบุสาเหตุ 6. ปวดหัว 7. กล้ามเนื้ออักเสบ 8. ภูมิแพ้ และ 9. โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และกรดไหลย้อน (วินิจฉัยโรคใดโรคหนึ่งและไม่มีภาวะแทรกซ้อน) โดยข้อมูลทางคลินิกต้องเข้าเกณฑ์เหล่านี้ทุกข้อคือ อุณหภูมิ 36-38.5 องศา, ชีพจร 50-120, ความดันตัวบน 90-180, ความดันตัวล่าง 60-100, ระดับออกซิเจนมากกว่า 95%, คะแนนความปวดน้อยกว่า 7, ไม่ขาดน้ำหรือขาดน้ำเล็กน้อย,สำหรับในเด็ก ต้องไม่มีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนม หรือทานอาหารน้อยลง”เงื่อนไขที่ 2 การเคลมสำหรับโรคทั่วไปแต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง โดยเบิกเคลมโดยเข้ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก IPD มากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปและเงื่อนไขที่ 3 หากเข้าเงื่อนไขทั้งในกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 จะต้องร่วมจ่าย 50% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปแจ้งลูกค้าล่วงหน้า 15 วันทั้งนี้เมื่อผู้เอาประกันเข้าเงื่อนไข Copayment ในปีต่ออายุถัดไปแล้ว ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย 30% หรือ 50% ตามสัดส่วนที่กำหนดในค่ารักษาพยาบาล ซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันทราบล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 15 วัน แต่ทั้งนี้หากการเคลมมีการปรับตัวลดลงและไม่เข้าเงื่อนไข Copayment บริษัทประกันชีวิตจะพิจารณายกเลิกการมีส่วนร่วมจ่ายของลูกค้า หรือกรมธรรม์ดังกล่าวจะกลับสู่สถานะปกติที่ได้รับความคุ้มครองตั้งแต่บาทแรกเช่นเดิมได้ในปีถัดไปจับตาคน 5% เคลมพุ่งเกินจำเป็นนางนุสรา กล่าวต่อว่า จากการเก็บรวบรวมสถิติคนที่มีการเคลมสูงเกินความจำเป็นทางการแพทย์นั้น พบว่ามีอยู่ไม่เกิน 5% “แต่เราไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขอัตราความเสียหายจากเคลมสินไหมประกันสุขภาพ (Loss Ratio) ได้ แต่สถิติของลอสเรโชมีอัตราที่เพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าปีต่อไป ๆ จะเพิ่มขึ้นไปอีก”ดังนั้นคนที่เหลืออีกกว่า 90% จะไม่เข้าข่ายหรือได้รับผลกระทบตรงนี้ และจะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทประกันชีวิตจะชะลอการขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพทั้งพอร์ตโฟลิโอให้ช้าลงได้ส่วนประเด็นการกำหนดสัดส่วน Copayment ที่สูง 30% ก็เพื่อกระตุ้นให้คนกลุ่ม 5% ตรงนี้ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลไม่ให้เกินกว่าความจำเป็นและเกินกว่ามาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นของคณะทำงานหลายส่วน รวมทั้งพิจารณาประสบการณ์เคลมในอดีตที่ผ่านมาด้วย โดยเน้นย้ำว่าไม่มีผลกระทบกับผู้เอาประกันที่ยังมีความจำเป็นทางการแพทย์อยู่ เช่น คนที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคร้ายแรงหรือผ่าตัดใหญ่ ซึ่งมีความจำเป็นและมีจำนวนวงเงินที่สูง จะไม่ได้นำเงื่อนไขตรงนั้นมาพิจารณา“เราต้องการส่งเสริมการเคลมของผู้เอาประกันให้อยู่บนมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเหมาะสม และทำให้ระบบประกันสุขภาพมีความยั่งยืนได้ หมายความว่าคนเข้าถึงประกันสุขภาพได้ และจ่ายเบี้ยประกันไหว รวมทั้งภาคธุรกิจสามารถชะลอการขึ้นเบี้ยให้ช้าลงเท่าที่จะทำได้ ” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเงินเฟ้อค่ารักษาพุ่งแตะ 14-15%อย่างไรก็ตาม การขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพของภาคธุรกิจประกันชีวิตยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องอยู่ เช่น ช่วงอายุของคนที่เพิ่มขึ้น, อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ และปัจจุบันภาคธุรกิจยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือเรื่องพวกนี้กับทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชนไปแล้วเช่นกัน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาพบว่าประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 15% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นมาก และคาดการณ์ว่าปี 2568 อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลจะยังอยู่ในระดับสูงที่ 14.2%โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นคือ 1. การเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 2.โรคอุบัติใหม่ อาทิ ไวรัสโควิด หรือมลพิษทางอากาศ อาทิ PM 2.5 3.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ และ 4.โครงสร้างค่ารักษาพยาบาล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ส่งผลให้อัตราการเคลมประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบเพราะภายใต้มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่ (New Health Standard) ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2564 บริษัทประกันชีวิตต้องการันตีการต่ออายุสัญญากรมธรรม์ลูกค้าอย่างต่อเนื่องแม้เคลมสูง จากก่อนหน้าที่สามารถบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งส่งผลให้เบี้ยประกันที่เคยคำนวณไว้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ระบบประกันสุขภาพได้รับผลกระทบโดยตรง นำไปสู่การปรับเบี้ยประกันสุขภาพทั้งพอร์ตโฟลิโอ จนทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงประกันสุขภาพได้ ถ้าภาคธุรกิจไม่จัดการอะไรเลย“เงื่อนไข Copayment ขอเน้นย้ำว่าไม่ใช่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา แต่ประเทศในอาเซียนมีการทำ Copayment เต็มรูปแบบไปแล้ว เช่น สิงคโปร์ ใช้รูปแบบ Copayment ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะประกันสุขภาพส่วนตัวของภาคเอกชนเท่านั้น แต่รวมทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้วย โดยเขาเริ่มศึกษาตั้งแต่ปี 2016 เพราะเล็งเห็นถึงความไม่ยั่งยืนของการให้บริการทางการแพทย์ เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุสูงเพิ่มขึ้นเยอะ และเกิดโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ต้องเข้ามาช่วยดูแล โดยจะให้ประชาชนต้องมีความรับผิดส่วนแรกที่กำหนดเป็นจำนวนเงินที่ชัดเจน หรือเรียกว่ารูปแบบ Deductible และหลังจากนั้นจะใช้เงื่อนไข Copayment ที่ 10% ส่วนที่เหลือรัฐบาลช่วยจ่าย” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวอย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเรื่องนี้คงต้องมอนิเตอร์การใช้มาตรการดังกล่าวราว 2-3 ปี ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน และต่อไปโดยส่วนตัวเชื่อว่าพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มก็คงจะใช้แนวทางนี้ในการจัดการปัญหาด้วย เพราะหลายบริษัทเจอปัญหาการบริหารค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ให้สวัสดิการพนักงาน ซึ่งเวลานี้ก็เอาไม่อยู่อลิอันซ์ ลูกค้าได้รับผลกระทบแค่ 1%ด้านนายโทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลจากการบังคับใช้เกณฑ์ Copayment บริษัทได้นำพอร์ตลูกค้าประกันสุขภาพในปี 2567 มาประเมินพบว่า จะมีลูกค้าได้รับผลกระทบแค่ 1% จากลูกค้าประกันสุขภาพทั้งหมดของบริษัท ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่อาจมีพฤติกรรมใช้ประกันสุขภาพไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อลูกค้าของบริษัทมีสัดส่วนที่น้อยมาก“เรามอง Copayment นำมาใช้เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้คนเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของบริษัทประกันจะไม่ยอมจ่ายเคลม และในระยะยาวเชื่อจะทำให้คนมีระเบียบวินัยในการใช้ประกันสุขภาพที่ดีขึ้น และบริษัทประกันสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ไม่กระทบต่อการปรับเบี้ยในอนาคต”สำหรับอัตราการเคลมประกันสุขภาพของบริษัท มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 10% ต่อปี แต่ยังไม่ทริกเกอร์ทำให้บริษัทต้องขออนุมัติจากสำนักงาน คปภ. ขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพรายเดี่ยว แต่จะมีผลต่อพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มโดยพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัท มีความท้าทายมากจากอัตราการเติบโตของเคลมสุขภาพสูงขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ทำให้ปี 2567 บริษัทใช้นโยบายระมัดระวังและเข้มงวดในการรับประกัน ส่งผลต่อเบี้ยประกันเข้ามาเพียง 200 ล้านบาท ทรงตัวจากปี 2566 และในปี 2568 บริษัทยังคงมีนโยบายระมัดระวังอยู่ เน้นบริหารจัดการควบคุมคุณภาพพอร์ตที่เหมาะสม โดยตั้งเป้าเบี้ยรับปีแรกสิ้นปีนี้แค่ 100 ล้านบาท“ตอนนี้บางบริษัทเลิกขายประกันสุขภาพกลุ่มไปแล้ว แต่เรายังไม่เลิกขาย มุ่งสนับสนุนกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่และกลุ่ม SMEs โดยโฟกัสเรื่องการบริหารจัดการพอร์ตที่มีคุณภาพเป็นสำคัญ”ส่วนการจัดการเรื่องผลกระทบที่เกิดจากเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่กดดันค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแผนประกันสุขภาพเด็ก ปัจจุบันบริษัทได้ปรับรูปแบบให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของพอร์ตที่มีการเคลมสูง ทั้งนี้ เพื่อบริหารจัดการให้บริษัทยังสามารถให้ความคุ้มครองอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม“การรุกตลาดประกันสุขภาพปีนี้ ผลิตภัณฑ์ที่วางขายอยู่ เราจะมีการรีเฟรชอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้า แต่ละเซ็กเมนต์และแต่ละช่องทางขาย”เอเชียเผชิญ “เงินเฟ้อการแพทย์” พุ่ง 8-15%ชาลีน ลี หัวหน้าทีมด้านสุขภาพเอเชียแปซิฟิก วิลลิส ทาวเวอร์ วัตสัน (WTW) บริษัทตัวแทนประกันภัยระดับโลกและที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่พุ่งสูงในระดับ 8-15% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปหลายเท่า โดยปัจจัยหลัก ๆ มาจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ การให้บริการที่มากเกินความจำเป็นของโรงพยาบาล และจากการตระหนักเรื่องสุขภาพและความคาดหวังของผู้คน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ผู้คนตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น บวกกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย จึงตามมาด้วยการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้จำนวนครั้งของการเคลมและมูลค่าการเคลมเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น ซึ่งสวนทางกับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกสิงคโปร์สั่ง Copay 3-10% ทุกกรมธรรม์ดังนั้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสุขภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงมีการนำแนวทางให้ลูกค้าต้องมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) มาบังคับใช้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ ยกตัวอย่างในสิงคโปร์ รัฐบาลสั่งให้มีการนำระบบ Copayment มาปรับใช้กับสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพทุกกรมธรรม์อย่างน้อย 3-10% และมีการใช้ระบบให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) ร่วมด้วยที่ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และในอนาคตเล็งจะเพิ่มสัดส่วน Deductible ให้มากขึ้นไปอีกมาเลเซีย Copay 5%ขณะที่มาเลเซีย เริ่มมีปัญหาค่าเบี้ยประกันสุขภาพพุ่งสูงมาก จนกระทบกับการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของประชาชน ช่วงที่ผ่านมาได้มีการประกาศนโยบายไม่ให้มีการเพิ่มเบี้ยประกันสุขภาพเกิน 10% ต่อปี ภายใน 3 ปีข้างหน้า และให้บริษัทประกันสามารถขายแผน Copayment อย่างน้อยที่ 5% สำหรับกรมธรรม์ที่ออกใหม่ได้ ส่วนกรมธรรม์เดิมที่ไม่มี Copayment ก็ยังสามารถขายได้ส่วนประเทศไทย เห็นการจะนำระบบ Copayment มาปรับใช้เช่นเดียวกัน แต่ในแง่ของกฎเกณฑ์จะแตกต่างกัน เพราะด้วยสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่เชื่อว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการแก้ปัญหา Medical Inflation และช่วยปรับมายเซตของคนในการเข้ารักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นระบบประกันสุขภาพเอกชน อาการ “ป่วยไอซียู”นายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ตอนนี้ระบบประกันสุขภาพเอกชนอยู่ในสภาวะป่วยในไอซียู การแก้ไขด้วยระบบ Copayment เฉพาะรายกรมธรรม์ใหม่ในปีต่ออายุ ไม่ได้ช่วยในสภาวะที่ต้องให้ออกซิเจนอยู่ในเวลานี้โดยมองว่าแนวทางนี้อาจจะสายเกินไปในการที่จะทำให้ระบบประกันสุขภาพมีความยั่งยืนได้ เพราะจะเป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้เอาประกันคิดมากขึ้นว่าเวลาเจ็บป่วยว่ามีความจำเป็นที่ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่​ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนที่สุด เพราะถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งระบบ เนื่องจากตอนนี้ยังมีพอร์ตโฟลิโอใหญ่ ๆ ที่ยังใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายอีกมากที่ต้องจัดการด้วยคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพภาคเอกชนที่เป็นแบบ Free For Service ทำให้ผู้เอาประกันใช้บริการแบบบุฟเฟต์ ทำให้เกิดการให้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็น และโรงพยาบาลสามารถชาร์จค่าใช้จ่ายได้มาก ซึ่งจะต่างจากระบบประกันสังคมที่จ่ายเป็น Capitation คือให้โรงพยาบาลรับเงินไปบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้เพียงพอ ซึ่งแนวทางนี้ทางโรงพยาบาลจะจำกัดสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อทำให้การเคลมลดลง เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการของภาคเอกชนคงต้องเปลี่ยนไปในอนาคตสถิติชี้ลูกค้าประกันสุขภาพนอน รพ.ถี่-เคลมพุ่ง“ตอนนี้เมื่อเกิดการเคลม บริษัทประกันมักจะอยู่โดดเดี่ยว ในขณะที่ผู้เอาประกันไม่สนใจเพราะมีคนจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แล้ว ส่วนโรงพยาบาลก็พยายามจะให้บริการต่าง ๆ ที่มากเกิน โดยจากสถิติพบว่า การนอนโรงพยาบาลของลูกค้าที่มีประกันสุขภาพในระบบ Free For Service สูงกว่าประชาชนทั่วไปถึง 4-5 เท่า หรือนอนโรงพยาบาลประมาณ 30 ครั้งต่อปี ในขณะที่คนทั่วไปแค่ 7 ครั้งต่อปี ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ค่อนข้างสูง” นายแพทย์ธรธเนศ กล่าวต่อไปถ้าบริษัทประกันอยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนก็คงอยู่ยาก เพราะขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่ 200-300 แห่ง เกือบ 50% ของรายได้มาจากบริษัทประกัน ดังนั้นทางรอดของโรงพยาบาลก็คงต้องไปขอเข้าระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นภาระต่อภาครัฐอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหานี้ทุกส่วนต้องมีส่วนร่วมเพื่อทำให้ตัวระบบอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลระบบสุขภาพของประเทศไทย อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กรมการค้าภายใน และสำนักงาน คปภ.แม้ที่ผ่านมาภาครัฐจะดำเนินการไปแล้วในเรื่อง “บิลใบเสร็จมาตรฐาน” ในลักษณะการคิดค่าใช้จ่ายอิงตามต้นทุนที่แท้จริงของแต่ละรายการ แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ทำให้ไม่สามารถเก็บดาต้าเพื่อทำการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนที่เหมาะสมได้ขณะที่บริษัทประกันที่รับความเสี่ยงต้องพยายามจัดการเรื่อง Managed Care (ระบบการให้บริการดูแลสุขภาพที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการต้นทุนและคุณภาพของความต้องการด้านการดูแลสุขภาพของตนเองได้) ส่วนภาคประชาชนต้องเลิกปล่อยปะละเลยตัวเอง พยายามรักษาสุขภาพให้ดี เพื่อให้เจ็บป่วยน้อยลง และเข้าใช้บริการโรงพยาบาลเท่าที่จำเป็นเลขาธิการ คปภ. กล่าวอีกว่า จริง ๆ ต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบการดูแลสุขภาพประชาชนดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก มีสิทธิพื้นฐานอย่างระบบ 30 บาทรักษาทุกที่ มีระบบประกันสังคมสำหรับผู้ใช้แรงงาน มีระบบประกันสุขภาพข้าราชการ ซึ่งปัจจุบันกรมบัญชีกลางต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนนี้มูลค่าแสนล้านบาท ถือว่าสูงมาก และมีระบบประกันสุขภาพภาคเอกชน ที่ปัจจุบันมีขนาดเบี้ยรับรวมแตะระดับ 1.3 แสนล้านบาทอย่างไรก็ตามความท้าทายสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% บางบริษัทประกันเจอผลกระทบตรงนี้ปีละ 12-14% ซึ่งส่งผลให้ค่าสินไหม (เคลมประกัน) สูงขึ้น และกดดันค่าเบี้ยประกันสูงขึ้นตามไปด้วย ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจะทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยหรือคนที่เริ่มต้นทำงาน จะเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ยากขึ้น“เรื่องนี้ทุกประเทศในอาเซียนเจอปัญหาหมด แต่มีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ตัวอย่างสิงคโปร์ มีวิธีการที่ได้ผลดีมากที่สุด  แต่วิธีการนี้มองว่าคงไม่เหมาะกับประเทศไทย”คปภ.จึงได้ร่วมกับภาคธุรกิจประกันตัดสินใจพิจารณานำเงื่อนไข Copayment มากำหนดตามข้างต้น “เราคิดว่าวิธีการนี้จะจัดการค่าสินไหมที่สูงขึ้นเร็วได้แต่คงไม่ถึง 100% แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องการส่งสัญญาณบางอย่างออกไปว่าตอนนี้เคลมสุขภาพโตเร็วขึ้นมาก และถ้าปล่อยให้โตต่อไประบบประกันสุขภาพภาคเอชนน่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ดังนั้นต้องหาทางทำให้เคลมลดลง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1776499

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นัยความ ‘เปลือย : NUDE’ ผลงานโดย รศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณ

09/05/2025

“คำว่า ‘นู้ด’ ของผม จะแปลกกว่านู้ดที่เป็นสากลที่เขาใช้แสดงออกทางเนื้อหนังมังสาที่มันเป็นความจริง Realistic แต่ของผมเป็นอุดมคติ เป็นแบบไทย จะสังเกตจากรูปทรงของเทวดา นางฟ้าของไทยอะไรก็แล้วแต่ ยังยึดโครงสร้าง สัดส่วนตามความเป็นจริง แต่เราจะไม่ใส่รายละเอียดที่เป็นกล้ามเนื้อหรือแสงเงาที่เหมือนจริง”“…เพราะฉะนั้น งานของผมจะแฝงไปด้วยเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็เป็นลักษณะชีวิตปรกติ ผู้หญิงนอนพักผ่อน นอนหลับ ฝัน อิริยาบถต่างๆ เช่น ผู้หญิงนั่ง เป็นเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปใส่ให้มันวุ่นวาย ถ้ามันเกิดความพอดีของมัน มันก็จะเกิดความน่าพอใจ ซึ่งบางทีคนเขาก็จะเรียกความน่าพอใจว่าเพลิดเพลินในการดูงาน”“ผมคิดว่า ปลายปีน่าจะจัดแสดงอีกครั้งนึง จะทำในเรื่องของ ‘ไทยนู้ด’ นี่แหละครับ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ผมก็ทำในแบบนามธรรมอยู่บ้าง ศึกษา ค้นคว้า เราจะปรับเปลี่ยนยังไง ให้เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม แต่ยังรู้สึกว่านี่คือความงามของผู้หญิง ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจครับ”เป็นความ เปลือย NUDE ที่ปราศจากความ Erotic ก้าวข้ามสภาวะอันสามัญไปสู่สภาวะที่สูงกว่า ชมเพื่อพิศความงามหรือเพื่อถอดรหัสนัย อ่านสัญญะที่แฝงไว้ในแต่ละภาพก็ได้เช่นกันรศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ รศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณ ศิลปินเจ้าของผลงาน เปลือย NUDE ในครั้งนี้ ทั้งเป็นศิลปินดีเด่น จ.ชลบุรี ทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) บอกเล่าถึงเส้นทางการทำงานศิลปะที่ผ่านมา รวมทั้งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าสนใจรศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณไม่เพียงความนัย, ความหมายที่แฝงไว้ในความเปลือยอันงามแบบกลิ่นอายไทยประเพณี หาก ทว่า ศิลปิน ยังพร้อมนำพา ‘ไทยนู้ด’ ก้าวสู่การสร้างสรรค์งานที่เปี่ยมนัยทางนามธรรมต่อไปอีกด้วยทำงานศิลปะ ตลอดชีวิตถามว่าในส่วนของงานประจำ ด้านหนึ่งของชีวิตคุณทำงานวิชาการมาโดยตลอด แล้วในส่วนของงานศิลปะ แบ่ง Part ชีวิตทำงานศิลปะกี่มากน้อยอาจารย์เทพศักดิ์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า “โอ้ มี หลาย Exhibition เลยครับ (หัวเราะ) คือในระหว่างที่ผมทำงานสอนหนังสือและบริหาร ผมก็ทำงานศิลปะไปด้วย ทั้งในช่วงที่มีเวลาว่าง ช่วงพัก ช่วงเย็น ก็ทำไปตลอด เพราะว่าผมถือว่า การสอนเรื่องศิลปะ เราต้องทำงานไปด้วยเราจึงจะมีความรู้ใหม่ๆ มาสอนให้กับนักศึกษา เพราะฉะนั้น ก็เลยทำมาจนเป็นนิสัยครับ ทำควบคู่กันมาตลอด ก็ยังบอกกับเพื่อนร่วมงานเสมอว่า เราสอนศิลปะ ต้องทำงานศิลปะ ได้ประโยชน์คือ 1. ได้ความรู้ใหม่ๆ มาสอน 2. ได้ผลงานเอาไปขอตำแหน่งวิชาการ 3. ผลพลอยได้อีกอย่าง ก็อาจมีคนที่สนใจ เอางานเราไปเก็บสะสมเป็นเจ้าของ ได้ประโยชน์ 3 อย่าง ก็ควรจะต้องทำ”อาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า เริ่มทำงาน Exhibition ตั้งแต่เมื่อครั้งสอนอยู่ที่ จ.นครราชสีมา โดยก่อตั้งกลุ่ม 35 ดีกรีขึ้น แล้วก็แสดง Exhibition มาอีกมาก กับหลากหลายกลุ่ม“กระทั่งช่วงมาทำงานอยู่ ม.บูรพา ทำหน้าที่บริหารแล้วก็จัดกิจกรรม ศิลปกรรมนานาชาติ ก็มีผลงานร่วมแสดงทุกครั้ง แล้วก็นำผลงานไปเผยแพร่ โดยเฉพาะที่ประเทศจีนนะครับ ที่มหาวิทยาลัยต้าลี่ ผมนำผลงานไปแสดงสิบกว่าครั้งแล้ว แสดงงานร่วมกันมาตลอด มีการประกวดด้วย ก็ทำมาตลอดครับ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังทำ”ปัจจุบัน ตำแหน่งงานของอาจารย์เทพศักดิ์ที่ ม.บูรพาคือ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์พลังของงานจิตรกรรมถามว่า คนมักคุ้นชินกับงานของคุณในแนวจิตรกรรม , สีอะคริลิค , ภาพพิมพ์แกะไม้ เป็นต้น แล้วสไตล์ในเนื้องานที่โดดเด่นของคุณคืออะไรอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ครับ ผมทำงานก็ใช้เนื้อหาหลากหลายแล้วก็ส่วนใหญ่ใช้รูปทรงของคน โดยเฉพาะผู้หญิง แล้วก็มีรูปทรงของสัตว์ต่างๆ นี่คือ ตัวรูปทรงที่เรานำมาใช้สื่อในการแสดงออกทางศิลปะ แต่ในด้านวิธีการและเทคนิค ผมทำทั้งงานภาพพิมพ์ เพราะผมจบสาขาภาพพิมพ์ ทำทั้งงานภาพพิมพ์ Etching, Woodcut, Silk Screen ทำทั้งหมด สมัยเรียนต้องทำ เมื่อมาสอนก็ต้องทำทั้งหมด”“งานประติมากรรมก็ทำ เคยจัดแสดงงานประติมากรรมที่ทำด้วยโลหะ แต่ปัจจุบันนี้จะหนักในเรื่องของจิตรกรรม เพราะมันสะดวกในการทำ แล้วสื่อสารตรงไปตรงมา สามารถถ่ายทอดความรู้สึกลงไปโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเหมือนภาพพิมพ์ หรือประติมากรรม เพราะฉะนั้น งานปัจจุบัน จะหนักไปในเรื่องของจิตรกรรม มีทั้งจิตรกรรมที่ไปทำที่โบสถ์ด้วยนะครับ ผมเขียนภาพไทยด้วย เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงติดมาในงาน เป็นลักษณะพิเศษของผมอย่างนึง คือเป็นลักษณะที่ใช้รูปทรงที่มีเส้นสายที่มันนุ่มนวล ก็คือใช้รูปทรงของผู้หญิงเอามาเป็นลักษณะพิเศษที่เราชอบในการแสดงออก”ถามว่า งานของคุณมีกลิ่นอายของงานไทยประเพณีอยู่ด้วยศิลปินผู้นี้ตอบว่า “ครับ คือจริงๆ งานแสดงครั้งนี้ ผมอยากใช้คำว่า ‘ไทยนู้ด’ ด้วยซ้ำไปแต่เป็นครั้งแรก เราเอาเรื่องของนู้ดก่อนดีกว่า”นัยความ NUDE“คำว่า ‘นู้ด’ ของผม จะแปลกกว่านู้ดที่เป็นสากลที่เขาใช้แสดงออกทางเนื้อหนังมังสาที่มันเป็นความจริง Realistic แต่ของผมเป็นอุดมคติ เป็นแบบไทย จะสังเกตจากรูปทรงของเทวดา นางฟ้าของไทยอะไรก็แล้วแต่ ยังยึดโครงสร้าง สัดส่วนตามความเป็นจริง แต่เราจะไม่ใส่รายละเอียดที่เป็นกล้ามเนื้อหรือแสงเงาที่เหมือนจริง เราจะใส่เฉพาะสีที่จำเป็นเพื่อเพิ่มน้ำหนักนิดหน่อย เพื่อเพิ่มความรู้สึกที่มันกลมเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง”“แล้วก็ตัดทอนรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติออกไป ให้มันเหลือเท่าที่เราต้องการ มันก็จะเป็นลักษณะพิเศษ เพราะฉะนั้น ความพิเศษในงานของผม เท่าที่ผมมองงานตัวเอง ก็คือ ความเป็นไทยที่อยู่ในตัวงานนั้นเอง”“แต่ที่จริงแล้ว ความเป็นไทย เราทำงานจากความรู้สึก จากความจริงใจของเราสื่อออกมาจากความประทับใจมันก็จะออกมาในงานนั้นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามอะไรมันมาก เพียงแต่เราต้องจริงใจในการแสดงออกของเรา”ถามว่า งาน ‘นู้ด’ ครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไรอีกบ้าง มีงานกี่ชิ้นอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “คือชุดนี้ มีงานใหม่ 6 ชิ้น แล้วงานเดิมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ผมทำแล้วนำไปแสดงที่โปแลนด์ ก็จะทำสืบเนื่องกันมา เพราะฉะนั้น งานของผมจะแฝงไปด้วยเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็เป็นลักษณะชีวิตปรกติ ผู้หญิงนอนพักผ่อน นอนหลับ ฝัน อิริยาบถต่างๆ เช่น ผู้หญิงนั่ง เป็นเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปใส่ให้มันวุ่นวาย ถ้ามันเกิดความพอดีของมัน มันก็จะเกิดความน่าพอใจ ซึ่งบางทีคนเขาก็จะเรียกความน่าพอใจว่าเพลิดเพลินในการดูงาน หรือเห็นสิ่งนี้แล้ว เขาบอกว่าเป็นความงามนะครับ”สื่อในเชิงสัญญะอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “บางชิ้นบางภาพ ก็มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ เช่น ล่องลอย ก็เหมือนกับชีวิตที่ล่องลอย บางครั้งก็ตกต่ำเหมือนจะจมลงไป แล้วยังมีส่วนที่เป็นลายไทย ก็สื่อถึงศิลปวัฒนธรรมของไทย ศิลปะของไทย ส่วนตัวผ้า ผมจะสื่อถึงวัฒนธรรมที่มันคอยห่อหุ้ม เป็นสิ่งที่คอยบังคับเราอยู่ ส่วนแถบสีรุ้ง เหมือนกับสมัยนี้ที่เพศต่างๆ ถูกกำหนดว่าเป็นสีรุ้ง มันมีอิทธิพลกับชีวิตของคน จนผู้หญิงธรรมดาก็อาจจะลำบากหน่อย ส่วนดวงอาทิตย์ ก็คือพลังที่ให้กับสรรพชีวิตต่างๆ"“บางทีมันก็แฝงอยู่นะครับ แต่ไม่อยากให้คนดูไปสนใจกับอะไรที่แฝงอยู่มากมายเพียงแต่มองการประสานกันของ สี จังหวะ มันให้ความรู้สึกพึงพอใจแล้ว คนดูก็น่าจะมีความสุข ส่วนเขาจะคิดลึกคิดเลย ก็อาจจะเป็นเรื่องของแต่ละคน”ถามว่า การลดทอนกล้ามเนื้อออกไปนั้น กล่าวได้ไหมว่า ได้ก้าวข้ามความ Erotic ออกไปสู่อีกขั้นของความงามอาจารย์เทพศักดิ์ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมว่าผมเคยคิดว่างานเรามันแบบไหน อีโรติกก็ไม่นะครับ มันเป็นศิลปะประโลมโลกมั้ง ทำให้โลกมันน่าอยู่ (หัวเราะ) มันผ่อนคลายอะไรแบบนั้นมากกว่า ผมว่ามันไม่ถึงความเป็นอีโรติก แล้วก็ไม่ใช่ความตั้งใจด้วยครับ”ถามว่าดูเหมือนงานของคุณเคารพและให้เกียรติผู้หญิง เช่น ภาพพระแม่โพสพในคอลเลคชั่นที่ผ่านๆ มา แล้วในงานเปลือยหรือนู้ดครั้งนี้ ยังมีกลิ่นอายนั้นอยู่ไหมอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ครับ คือผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่กระด้าง ไม่เป็นศัตรูอะไรกับใคร เป็นเพศที่น่าดูหลายอย่าง แล้วผมก็ไม่ค่อยจะเขียนรูปผู้ชาย นอกจากภาพที่จำเป็น อย่างเช่น จิตรกรรมฝาผนัง หรือบางรูปที่จะมีผู้ชายที่แสดงออกถึงความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน แต่ไม่เคยนำมาทำให้เสื่อมเสีย เพราะกรอบทางจริยธรรมทางสังคมเรามันมีมาก มันไม่อิสระเหมือนอย่างทางตะวันตก ทางตะวันตก บางทีเขาแสดงให้เห็นถึงสัจจะของเนื้อหนัง จริงๆ แล้ว มันคือความจริง แต่เรานำจริยธรรม ศีลธรรมไปจับงานศิลปะ จนละเลยจนไม่ได้นึกถึงคุณค่าจริงๆ ของมันคือความงาม”‘ไทยนู้ด’ จากรูปธรรมสู่นามธรรมถามว่า งานนู้ดครั้งนี้ จะมีคอลเลคชั่นอื่นๆ ตามมาไหมอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ผมคิดว่า ปลายปี น่าจะจัดแสดงอีกครั้งนึง จะทำในเรื่องของ ‘ไทยนู้ด’ นี่แหละครับ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ผมก็ทำในแบบนามธรรมอยู่บ้าง ศึกษา ค้นคว้า เราจะปรับเปลี่ยนยังไง ให้เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม แต่ยังรู้สึกว่านี่คือความงามของผู้หญิง ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจครับ (หัวเราะ ) "ถามว่า จะนำเสนอออกมาเป็นแนวไหนศิลปินผู้นี้ตอบว่า “รูปทรง เค้าเรียกรูปทรงธรรมชาติ เป็น Organic form อย่างเช่น วงกลมแทนได้หลายอย่างใช่ไหมครับ แทนถึงหน้าอกผู้หญิงก็ได้ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็ได้ มันหลายอย่าง เราสามารถที่จะสื่อได้ อาจต้องแยกเป็นส่วนๆ มานำเสนอ แล้วลดการจำได้หมายรู้ลงไป ให้เหลือแต่เส้น เหลือแต่สี จังหวะต่างๆ แต่ยังสืบเนื่องมาจากรูปทรงของผู้หญิงที่เราใช้อยู่จะจัดแสดงช่วงปลายปีนี้ครับ หลังจากนี้ก็จะลงมือทำต่อ”สำหรับ ‘ไทยนู้ด’ แห่งนามธรรมของศิลปินผู้นี้ เชื่อว่ามีผู้สนใจเฝ้ารอชมอีกมาก………….เรื่องและภาพ โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูลภาพประกอบโดย : Matdot Art Center*หมายเหตุ : นิทรรศการ เปลือย NUDE โดย เทพศักดิ์ ทองนพคุณ จัดแสดงที่ Matdot Art Center ถึง 13 เมษายน 2568แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัการออนไลน์https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000025549

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X