Everyday knowledge for you
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพพลังตัวแทนประกันชีวิต ร่วมพิธีมอบรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 (Thailand National Quality Awards: TNQA 40th) โดยได้รับเกียรติจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วยผู้บริหารฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายดำรงศักดิ์ ขุนทอง ผู้อำนวยการตัวแทนประกันชีวิตภาค 2 นายกฤช ธีรสุข ผู้อำนวยการตัวแทนประกันชีวิตภาค 4 และนางสลักจิต นิลประเสริฐศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนช่องทางการขาย ร่วมถ่ายภาพเพื่อแสดงความยินดีแก่ตัวแทนที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ซึ่งในปีนี้ มีตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ จำนวนทั้งสิ้น 1,260 ท่าน และมีตัวแทนที่ได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ 20 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 1 ท่าน ได้แก่ นางสาวนีดา ทรัพย์ประดิษฐ์ รางวัลโล่เกียรติคุณ 15 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 2 ท่าน ได้แก่ นางกชพร เพียรชนะ และนายสมสุข พิชญ์ชัยประเสริฐ โดยงานจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 ณ รอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานีนอกจากนี้ ยังมีตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ที่คว้ารางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ซึ่งได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ 10 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 16 ท่าน ได้แก่ นายวรพล ช่วยบุญ นางสาวสกลวรรณ อยู่สุวรรณ นายรัฐวัชร์ รวีหิรัญวัชรากุล นางสาวนีรรัตน์ เหลืองสิวากุล นางสาวกิตติยา อัครนุพงศ์ ดร.ภาคภูมิ ศิริโรจน์วงศ์ นางสาวสุปรียา หัสชู นางเพชรดา กาละ นางสาวชลาลัย คงแก้ว นางพิมลวรรณ พรหมจรรย์ นายณัฐกฤต วิบูลชัยชีพ นางณฐมน ทิพย์วงศ์ นายรัตนพงษ์ ชังชั่ว นางปัจฌาญาพรหม์ อวัศยาศิริ นายสุรชัย บุญรัตน์ และนางสาวราตรี อินตะปา รางวัลโล่เกียรติคุณ พร้อมเกียรติบัตร อีกจำนวน 5 ท่าน ตลอดจนยังมีตัวแทนอีก 1,236 ท่าน ที่ได้รับเกียรติบัตร พร้อมกันนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้จัดพิธีมอบเสื้อสูท TNQA ให้แก่พลังตัวแทนที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแก่ตัวแทน ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของเอไอเอ ประเทศไทย และนับเป็นภาพที่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการให้บริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนความสามารถที่โดดเด่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ซึ่งทุกท่านต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการดูแลลูกค้าให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คุณแม่ลูกสามที่เพิ่งหย่าร้างได้เปิดเผยว่าเธอสูญเสียเงินกว่า 100,000 ดอลลาร์ให้กับนักต้มตุ๋นที่เธอพบใน Tinder หลังจากที่เขาโน้มน้าวให้เธอลงทุนในโปรแกรมคริปโตเคอเรนซีปลอม รีเบคก้า ฮอลโลเวย์ สาวใหญ่วัย 42 ปี ที่เพิ่งหย่าร้างหลุดพ้นจากชีวิตแต่งงานครั้งที่ 2 กลับพบกับชะตากรรมที่แสนเศร้าอีกครั้ง เมื่อเธอถูกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นิ โดยหลอกเธอว่าเป็นผู้ประกอบการชาวฝรั่งเศสชื่อ “เฟรด” โดยชักชวนเธอให้ร่วมลงทุนเก็งกำไรเหรียญคริปโต ซึ่งโน้มน้าวใจด้วยผลตอบแทนสูง ทำให้เธอหลงเชื่อจนสูญเสียเงินให้กับมิจฉาชีพรายดังกล่าวมากกว่า 100,000 ดอลลาร์ ทั้งนี้ รีเบคก้า ถือว่าเธอเป็นเหยื่อรายที่ 3 แล้วที่ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการหลอกลวงอันชั่วร้ายที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งมีความถี่เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมิจฉาชีพจะเน้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อที่มีรูปร่าง "อ้วน" ด้วยการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกปลอมๆ ก่อนที่จะถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านคริปโต หรือ สแกมที่สร้างมาเพื่อใช้ลวงการลงทุน ขณะที่เชรียา เดตต้า ผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี วัย 37 ปี และ Kate แม่เลี้ยงเดี่ยว วัย 41 ปีซึ่งทั้งคู่เคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าว ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 450,000 ดอลลาร์และ 80,000 ดอลลาร์ตามลำดับ ด้วยความหลงเชื่อในคำลวงที่แสนโรแมนติกของมิจฉาชีพเหล่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้ว สาวใหญ่ทั้ง 3 รายเสียเงินกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ หรือกว่า 15 ล้านบาทให้กับนักต้มตุ๋น เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การหลอกลวงกำลังกลายเป้นปัญหาที่ระบาดหนักในสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับยอมรับว่าพวกเขาเห็นคดีเหล่านี้ “เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก” โดยหน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบในการ "ปกป้อง" ระบบการเงินและการชำระเงินของอเมริกา และตรวจสอบกรณีการฉ้อโกงที่มีมูลค่าสูงอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ทาง ฮอลโลเวย์กล่าวกับ Dailymail.com โดยเฉพาะว่า “ผู้หญิงโสดในวัยกลางคน มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพกลุ่มนี้" ขณะที่ รีเบคก้า ฮอลโลเวย์ รูปภาพได้เปิดเผยว่าเธอสูญเสีย 401(K) ทั้งหมดให้กับนักต้มตุ๋นที่เธอพบใน Tinder ได้อย่างไร หลังจากที่เขาโน้มน้าวให้เธอลงทุนในแผนการปลอมแปลงสกุลเงินดิจิทัล 'เรามีเงิน แต่บางทีเราอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่ และทันใดนั้นหนุ่มหล่อคนนี้ก็เริ่มคุยกับคุณและคุณก็ตื่นเต้นด้วยคำหวานมากมายที่เขามอบให้มา' 'เมื่อมองย้อนกลับไป สัญญาณชัดเจนมาก แต่ในขณะนั้นคุณอยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง' ฮอลโลเวย์ กล่าวว่า ฉัน รู้สึกสนใจ “เฟรด” ทันทีจากที่เขาบอกว่าเป็นผู้บริหารการตลาดอิสระที่เคยทำงานในวอลล์สตรีท โดยหลังจากได้พูดคุยกับเขา ทำให้ฉันวางใจ เนื่องจากรู้สึกว่าสิ่งที่เขาตอบคำถาม มีความสอดคล้องและแตกต่างจากผู้ชายที่เธอมักจะจับคู่ด้วย เขาอ้างว่าเป็นผู้ประกอบการชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย เขายังบอกด้วยว่าเขามีลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ผูกพันกัน เนื่องจากฮอลโลเวย์มีลูกวัยรุ่นสามคน พวกเขาจับคู่กับ Tinder ในเดือนมีนาคมปีนี้และย้ายไปที่การส่งข้อความอย่างรวดเร็ว โดยที่ 'เฟรด' ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของเขา ซึ่งกระตุ้นความสนใจของ Holloway ในทันที สิ่งที่เขาพูดส่วนใหญ่เป็นความจริง เขาบอกเธอว่าหลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank มีเงินจำนวนมากที่จะเคลื่อนย้ายออกไปอยู่บนแพลตฟอร์มทางเลือก ในเวลานั้น สื่อต่างๆ ได้เผยแพร่รายงานที่มีหัวข้อข่าวเช่น “Bitcoin Soars ระหว่างการล่มสลายของธนาคารใน Silicon Valley” ด้วยความทึ่ง เธอคิดว่าเขามีความจริงใจและการชักชวนลงทุนนั้น "ไม่มีอันตราย" ซึ่งจากการรับฟัง Fred และภายใต้คำแนะนำของเขา เธอได้โอนเงิน 1,000 ดอลลาร์ ไปยังสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัลที่แท้จริง แพลตฟอร์มที่เขาเสนอให้เธอนั้นจำลองมาจากเว็บไซต์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่มี URL ที่แตกต่างกันเล็กน้อย เธอเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในทันที โดยได้รับ $168 จากการเทรดสี่ครั้ง การหลอกลวงแบบ "เชือดหมู" จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับเหยื่อ โดยนักต้มตุ๋นพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายเดือนเพื่อสร้างความไว้วางใจ โดยกระบวนการวางแผนการทำงานของมิจฉาชีพหรือ พวกสแกมเมอร์ มักจะปล่อยให้เหยื่อถอนเงินจากแอปการลงทุนอย่างง่ายดายในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาลงทุนด้วยวงเงินที่เพิ่มมากขึ้น และอย่างหนัก พวกเขาก็จะสูญเสียเงินลงทุนส่วนใหญ่ทั้งหมดไป ซึ่งจากที่ฮอลโลเวย์ถูกหลอกด้วยผลตอบแทนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงแรก $168 ซึ่งเธอสามารถถอนเงินดังกล่าวออกได้และโอนกลับไปยังบัญชีธนาคารของเธอ เพื่อสร้างความเชื่อใจว่าเธอจะได้เงินจำนวนมากขึ้น หากลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นเธอก็แลกเงินออมอีก 6,000 ดอลลาร์เพื่อลงทุน และเฝ้าดูเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเธอกับ 'เฟรด' ก็เบ่งบาน แม้ว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการเจอหน้ากัน แต่เขาจะวิดีโอคอลหาเธอขณะที่เขากำลังรับประทานอาหาร แม้ว่าเธอจะบอกว่าเขาอยู่นอกกล้องเป็นส่วนใหญ่ และเธอก็พยายามที่จะมองหน้าเขาเพื่อจดจำหน้าเขา หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอได้จ่ายเงินทั้งหมดกว่า 401,000 ดอลลาร์ (ซึ่งเป็นเงินที่อยู่ในแผนการเกษียณอายุในที่ทำงาน) ซึ่งมีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ หลังจากหักภาษีรัฐบาลที่เธอต้องเสียในระหว่างการทำธุรกรรมแล้ว เธอเหลือเงิน 70,000 ดอลลาร์เพื่อลงทุนใหม่ ในขณะที่เธอไปทานอาหารเย็นกับเพื่อน และเล่ารายละเอียดความสัมพันธ์ของเธอกับ 'Fred' ผ่านทางแอปทินเดอร์ให้กับเพื่อนฟัง “เพื่อนของฉันเล่าเรื่องกลโกงการเชือดหมูให้ฉันฟัง แล้วฉันก็รู้ว่าตอนนี้ความเสี่ยงและอันตรายเกิดขึ้นกับฉันแล้ว และอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น” เธอกล่างงงง 'มันให้ความรู้สึกเหมือนที่เคยดูในหนัง ที่จู่ๆ ทุกสิ่งรอบตัวฉันก็จางหายไป และผิดเพี้ยนไป ฉันไม่ได้พยายามถอนเงินด้วยซ้ำ ฉันคิดว่ามันหายไปในตอนนั้น' เธอเคยสงสัยหลายครั้งว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับ 'เฟรด' บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังคุยกับคนอื่น อารมณ์แปรปรวนบ่อย นอกจากนี้เธอยังสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีสำเนียงภาษาฝรั่งเศสในวิดีโอที่เขาส่งมา ขณะที่ข้อมูลจากศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตของเอฟบีไอ (IC3) แสดงให้เห็นว่าการหลอกลวงสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบการฉ้อโกงการลงทุนที่เติบโตเร็วที่สุดิ โดยในทุกกรณี เหยื่อรายงานความสูญเสีย 2.57 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นมากกว่า 183 เปอร์เซ็นต์จากปี 2564 ในเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับที่สำนักงานภาคสนามในซานฟรานซิสโกได้จัดงาน “ถามอะไรฉันก็ได้บน Reddit” ซึ่งพวกเขากล่าวว่าตอนนี้การเชือดหมูเป็นหนึ่งในกลโกงที่พบบ่อยที่สุดที่พวกเขาพบเจอ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซานฟรานซิสโก เรามักจะมุ่งเน้นไปที่กรณีของเหยื่อ เช่น กรณีที่บุคคลหรือบริษัทได้รับผลกระทบ” ร่างกฎหมายระบุในแถลงการณ์ 'ทุกวันนี้ เราเห็นการหลอกลวงการลงทุนแบบโรงฆ่าหมูจำนวนมาก และเราได้ทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้น' และในเดือนกันยายน แอนดรูว์ เฟรย์ นักวิเคราะห์การเงินด้านนิติเวชของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐที่สำนักงานภาคสนามในซานฟรานซิสโก บอกกับฟอร์บส์ว่าการเชือดหมูในขณะนี้เป็น “กลโกงขั้นสุดยอด” “พวกเขายกระดับขึ้นมาในแง่ของความซับซ้อนในการสร้างแอพเหล่านี้ด้วยการรับรู้ว่าผู้คนกำลังทำเงิน” เขากล่าว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ากลุ่มมิจฉาชีพที่ถูกเรียกว่า "ขบวนการโรงเชือดหมู" หลายแห่งดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรซึ่งใช้พื้นที่ในประเทศกัมพูชาเป็นที่ดำเนินการ และมีพนักงานหลายพันคนโดยขบวนการดังกล่าวเชื่อมโยงกับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ และการพนันออนไลน์ ซึ่งอาศัยช่องโหว่ด้านธุรกรรมระหว่างประเทศในการดำเนินการ ขณะที่จากรายงานของ Vice News และ South China Morning Post เมื่อปีที่ระบุว่า กลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อการค้าแรงงานกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกกดขี่และถูกปฏิบัติอย่างทารุณ เพราะพวกเขาถูกล่อลวงไปที่นั่นด้วยสัญญาจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และถูกนายจ้างตามกฏหมายนั้น ขายต่อให้กับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าว โดยกระบวนการหลอกลวงจะมีการนำเสนอสคริปต์ที่ปรับให้เหมาะกับเหยื่อแต่ละรายเพื่อล่อลวงเหยื่อกลุ่มเป้าหมายบทสนทนาส่วนหนึ่งของมิจฉาชีพในการชักชวนเหยื่อลงทุนคริปโตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000055756
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า ตีแผ่ภาพบริษัทใหญ่ ปั้นหุ้นเติบโตเร็วแบบติดจรวดเทียม ลวงด้วยซูเปอร์สต๊อกเทียม แต่งบัญชีหลอก ไซฟอนเงิน โกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้นสุดท้ายนักลงทุนที่หลงเข้าไปดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ ‘หุ้นสุดยอด…หายนะ’ โดยระบุว่า ช่วงเร็วๆ นี้เราได้พบเห็นหุ้นที่เคยดีมาก คือราคาเคยขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงมาก หลายตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ 1-2 ปี แต่แล้วหลังจากนั้นมันก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว หลายตัวลดลงมา 30-40% ขึ้นไป บางตัวลดลงมาถึง 90% และราคาเหลือแค่เศษสตางค์หรือหมดค่าไปเลยภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปีคนที่ซื้อหุ้นก่อนที่ราคาจะขึ้นและขายก่อนที่มันจะตกลงมาแรง ทำกำไรได้มโหฬาร พวกเขาคงเรียกมันว่าหุ้นสุดยอด คนที่สังเกตการณ์หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเรียกพวกเขาว่าเซียน ส่วนคนที่เข้าไปซื้อตอนที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและขายตอนที่หุ้นตกลงมาต่ำสุดนั้นคงเรียกว่ามันเป็นหุ้นสุดยอดหายนะ เพราะขาดทุนหุ้นหนักอย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนั้นก็ไม่ทำให้พวกเขาล้มละลายหรือต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลย พวกเขาก็มักจะ Move on หรือไปหาหุ้นตัวใหม่ที่คิดว่าจะทำกำไรได้รวดเร็วและขายออกไปทัน นักสังเกตการณ์บางคนเรียกพวกเขาว่าเม่า ที่เป็นนักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากที่ชอบเล่นหุ้นที่ขึ้น-ลงรวดเร็วที่พวกเขาจะสามารถทำกำไรได้ในช่วงเวลาสั้นๆจากการสังเกตการณ์ของผมเองนั้นพบว่า หุ้นที่มีลักษณะหรืออาการดังกล่าวนั้นมักจะมาจากหุ้นอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ผมเรียกว่า Pseudo Growth หรือหุ้นกลุ่มเติบโตเทียม, กลุ่ม Pseudo Super Stock หรือหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียม และกลุ่ม Fraud หรือกลุ่มหุ้นโกง โดยที่หุ้นบางตัวนั้นก็อาจมีลักษณะคาบเกี่ยวกับทั้ง 3 กลุ่มได้ เช่น สร้างภาพว่าเป็นหุ้นโตเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีการโกงโดยการแต่งบัญชีอย่างผิดกฎหมายหรือผิดหลักการทางบัญชีด้วย เป็นต้นวิธีจับผิดหุ้นเติบโตเทียมวิธีสังเกตว่าหุ้นตัวไหนอาจเข้าข่ายเป็นหุ้นเติบโตเทียมก็คือ ผู้บริหารมักจะมีโปรเจกต์ใหม่มากมายเป็นสไตล์เจ้าโปรเจกต์ และสิ่งที่ทำมากที่สุดเพราะจะทำให้เห็นผลรวดเร็วก็คือการทำ M&A หรือซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำกำไรอยู่แล้ว ซึ่งก็จะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบริษัทโตเร็วหรือหุ้นเติบโต ยิ่งบริษัทที่ซื้อเข้ามาอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภาพของบริษัทก็ยิ่งดูเติบโตเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ดูไฮเทคหรือเป็นดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ก็หาซื้อได้ยากและจะต้องจ่ายราคาหุ้นที่แพงมากจนอาจไม่คุ้มดังนั้นธุรกิจหรือหุ้นที่ซื้อมาจึงมักจะไม่ดี และ/หรือแพงเกินไป โดยมักจะเป็นธุรกิจที่มีกำไรดีในตอนที่ซื้อ แต่อนาคตก็มักจะแย่ลงเพราะกำไรนั้นไม่โตหรือไม่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น บริษัทลีสซิ่งหรือปล่อยกู้ส่วนบุคคลรายย่อย หรือไม่ก็เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก เป็นต้น ในส่วนของธุรกิจใหม่แห่งอนาคตก็อาจกลายเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีหรือการทำเหมืองขุด Bitcoin ในช่วงที่คริปโตกำลังให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เป็นต้นหนี้สินที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกอาการหนึ่งของกลุ่มหุ้นเติบโตเทียม เพราะบริษัทต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อกิจการที่บางทีก็ใหญ่กว่าตัวเอง และนี่ก็เป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้บริษัทมีปัญหา เพราะบริษัทและกิจการที่ซื้อมาอาจประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง และกิจการขายสินค้าที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่ยอดขายและกำไรผันผวนสูงมาก ทำให้ฐานะทางการเงินรองรับไม่ได้และกลายเป็นบริษัทที่มีปัญหาในที่สุดหายนะหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมกลุ่มหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมนั้นแตกต่างจากหุ้นเติบโตเทียมในแง่ที่ว่าตัวบริษัทเองมีคุณสมบัติที่อาจเป็นซูเปอร์สต๊อกหลายอย่าง เช่น บริษัทมีแบรนด์หรือมียี่ห้อที่โดดเด่นในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงระดับแบบซูเปอร์สต๊อกบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ เช่น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการรับทำโปรแกรมเขียนระบบงานต่างๆ หรือให้บริการเช่นความปลอดภัยหรือการเก็บรักษาข้อมูลดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถในการขยายตัวหรือผูกขาดธุรกิจอะไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรม และ/หรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม แต่ก็มีปัญหาแบบเดียวกันที่จะต้องแข่งขันและมีข้อจำกัดในการเติบโต ซึ่งรวมถึงการที่ต้องมีบุคลากรและสถานที่ที่ไม่ได้ขยายตัวได้ง่าย หรือพูดง่ายๆ Scalable ยากสรุปก็คือ สิ่งที่ซูเปอร์สต๊อกเทียมขาดนั้นมักจะอยู่ที่ว่าการเติบโตในระยะยาวมีข้อจำกัดมาก เช่นเดียวกับความสามารถในการแข่งขันที่มักจะไม่แข็งแรงพอ แต่การที่ในช่วงแรกเห็นการเติบโตค่อนข้างโดดเด่นนั้น อาจมาจากสถานการณ์พิเศษที่ค่อนข้างเอื้ออำนวย หรือการที่ผลประกอบการโดดเด่นหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ทำให้คนเชื่อได้ง่ายว่าบริษัทเป็นสุดยอดกิจการ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากและค่า P/E มักจะสูงลิ่ว ก็ทำให้หุ้นไม่สามารถเป็นซูเปอร์สต๊อก แต่กลายเป็นหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมที่ทำให้หุ้นตกลงมาเป็นหายนะได้เปิดสารพัดกลโกงหุ้นโกงคือหุ้นที่เจ้าของ และ/หรือผู้บริหารตั้งใจโกงบริษัทและนักลงทุนที่เข้ามาเล่นหุ้น หุ้นบางตัวนั้นเจ้าของและอาจรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่หรือเซียนวางแผนตั้งแต่แรกที่จะเข้ามาหาเงินในบริษัทและตลาดหุ้น อาจโดยการเทกโอเวอร์บริษัทเป้าหมายด้วยวิธีการซื้อหุ้นทั้งหมด หรือแลกหุ้นซึ่งไม่ต้องใช้เงินสด จากนั้นก็สร้างสตอรี ปั้นบริษัทให้เป็นหุ้นแบบเติบโตเทียม สร้างกำไรโดยการแต่งบัญชี ไซฟอนเงินจากกิจการโดยตรง ซึ่งก็มักจะทำในบริษัทลูก โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในต่างประเทศ เป็นการโกงเงินจากบริษัท นอกจากนั้นก็ยังโกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยการสร้างราคาหุ้นและชวนนักลงทุนทั้งสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคลเข้าซื้อหุ้นที่ราคาแพงเพราะคิดว่าเป็นหุ้นเติบโตการโกงนั้นถ้าจะพูดแบบกว้างก็คือ มักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของหุ้นที่ดีสุดยอดก่อนจะถึงหายนะเกือบทุกกลุ่ม แต่ในกรณีแบบนี้จะเป็นการโกงแบบที่จับไม่ได้ และอาจเป็นการโกงที่ไม่รุนแรงแบบกลุ่มหุ้นโกงที่สุดท้ายจะถูกเปิดโปงและคนที่ทำอาจต้องโดนคดีอาญาแผ่นดิน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารหรือเจ้าของโกงโดยการแต่งบัญชีที่ไม่ผิดกฎหมาย เช่น เปลี่ยนรายจ่ายบางอย่างให้เป็นรายการลงทุน หรือเลื่อนสถานะลูกหนี้ที่ควรจะเป็นหนี้เสียและต้องตั้งสำรองออกไป หรือบางทีก็ซื้อของจากบริษัทโดยตัวเองเพื่อสร้างรายได้และกำไรเทียม เป็นต้นแต่จะไม่เหมือนกับการโกงดื้อๆ เพราะบริษัทก็จะพยายามเคลียร์ส่วนที่โกงไว้ในอนาคต โดยอาจค่อยๆ เกลี่ยเงินรายได้และกำไรในอนาคตกลับคืนมาหลังจากที่หุ้นหมดสภาพเป็นหุ้นสุดยอดและกลายเป็นหุ้นหายนะไปแล้ว ด้วยวิธีการนี้คนที่ทำก็ลอยนวลและรวยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ สิ่งที่เสียก็เป็นเพียงชื่อเสียงที่ครั้งหนึ่งนักลงทุนคิดว่าเป็นผู้บริหารที่สุดยอดในการสร้างผลงานของบริษัทและนั่นก็นำมาสู่สัญญาณของหุ้นสุดยอด…หายนะ สุดท้ายที่จะพูดถึงนั่นก็คือ ผู้บริหารมักจะเป็นคนดังที่ให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวและผลงานถี่ยิบ ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ พวกเขาชอบที่จะคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใสและการเติบโตสุดยอดที่จะตามมาในไม่ช้า พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะโตขึ้นเป็นหลายๆ เท่าในเวลาอาจแค่ 3-4 ปี ที่บริษัทจะมี Market Cap เป็นหมื่นล้านบาทถ้าบริษัทยังเล็กมาก แต่บ่อยครั้งสำหรับบริษัทระดับกลางที่จะมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท หลายคนแสดงความมั่นใจโดยการซื้อหุ้นของบริษัทต่อเนื่องแม้ว่าราคาจะขึ้นสูงมากแล้วแต่ในขณะเดียวกันก็ขายหุ้นล็อตใหญ่ให้กับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันลงทุนที่กำลังอินมากกับสตอรีของบริษัท และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องและมีขนาดที่ใหญ่และสภาพคล่องในการซื้อขายที่เพียงพอสำหรับการลงทุน แต่นั่นก็มักจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นจะไม่ขึ้นไปเร็วอีกต่อไป และอาจกำลังตกลงมา บางทีเป็นหายนะแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000056115
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เสี่ยยักษ์-วชิรพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย โพสต์บทความในแฟนเพจพ่อสอนลูกลงทุน แจ้งเกือบพลาดท่า ซื้อหุ้นโกง หลังเคยถูกชักชวนให้ซื้อหุ้นแถวราคา 3 บาท ชี้เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น “ปล้นกลางแดด” คนใส่สูทโกงคนทั้งตลาด “รายใหญ่-สถาบัน-ธนาคาร-รายย่อย” เจ๊งกันระเนระนาด สงสารคนซื้อหุ้นกู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไร วอนตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต. ต้องรีบทำอะไรบ้าง พร้อมแจกคาถาเอาตัวรอด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก “พ่อสอนลูกลุงทุน” ของเสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์ เซียหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย ได้โพสต์บทความระบุว่า แล้วเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ??? – ธุรกิจนี้อยู่ในเมกะเทรนด์ – มีแบรนด์ติดตลาด – ฐานลูกค้ามากมายทั่วโลก – กำไรสุทธิ 10% – Market Cap ขนาดใหญ่ – ชื่อกองทุน สถาบัน รายใหญ่ เข้ามาลงทุน – ผู้สอบบัญชีโดย Big 4 – อื่น ๆ อีก จากเหตุการณ์ “ปล้นกลางแดด” ในช่วง 2 วีกที่ผ่านมา คนใส่สูทโกงคนทั้งตลาด รายใหญ่ สถาบัน ธนาคาร รายย่อย เจ๊งกันระเนระนาด แล้วเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ตามที่ป๊าเคยเล่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขาก็เคยมาชวนป๊าซื้อหุ้นของเขาเหมือนกัน ช่วงนั้นราคาตลาดอยู่แถว ๆ 3 บาท แต่เขาจะลดราคาให้ป๊า 13% คือลดให้ 40 สตางค์ แล้วให้ป๊าช่วยถือหน่อย อย่ารีบขาย ทำไมเขาจิตใจดีขนาดนั้นได้ น่าจะรักป๊ามากขนาดนั้นเลย อยู่ ๆ ก็จะเอาเงินมาให้ ทุนเขาเเค่ 60 สตางค์ และคนที่มาชวนก็จะหา connection กับคนที่รู้จักป๊า บอกขอเข้ามาคุย ไอ้เราก็อยากรู้อยากเห็น เห็นรูเล็ก ๆ คิดว่าตัวเองจะรอดไปได้ แต่ที่ป๊าตัดสินใจปฏิเสธไป เพราะว่าเขาทุนต่ำมาก เขากำไรอยู่แล้ว 300% เขาต้องกำลังออกของ และทีมงานที่มาชวน มีตัวหัวหน้าหน้าตาโหงวเฮ้งโคตรโกง โม้เก่ง บอกเขาเคยปรับโครงสร้างหนี้ โรงพยาบาลพญาไทมาเเล้ว สำเร็จโน่น สำเร็จนี่นั่น ป๊ารอดมาได้เพราะเราใช้จิตวิทยาในการลงทุน รู้จักว่า “ตรงไหนราคาสูง ตรงไหนราคาต่ำ” ถ้าการณ์ใดเราเป็นรองเขาเยอะ เช่น ทุนเขา 60 สตางค์ ราคาตอนนี้ 3 บาท เราจะเหลือกำไรอีกสักเท่าไหร่ ไม่เสี่ยง ไม่โลภดีกว่า หรือถ้าคันอยากตามไป ก็ลงทุนนิดหน่อยพอ แต่เหตุการณ์นี้ มันตั้งใจโกง วางแผนมานาน ตั้งแต่ปี’64 มันลากราคาไปถึง 5 บาท แต่งบัญชีรู้เรื่องกฎระเบียบ รู้วิธีสร้างตัวเลขหลอกผู้ตรวจสอบบัญชี ปลอมแปลงเอกสาร จนผู้สอบบัญชียอมเซ็นงบฯ บริษัทจัดเรตติ้งให้เรต BBB มันเลวมากจริง ๆ กิน “คนเล่นหุ้น” เราไม่ว่ากัน เพราะตอนแรก เขาแจกเงินเราก่อน จนเราไปติดใจเอง แต่มากินคนซื้อหุ้นกู้ ที่เขาหวังกินแค่ดอกเบี้ย แค่ 3.5% และเอาเงินเก็บมาทั้งชีวิตมาลงทุน มันแย่มากจริง ๆ คาถาเอาตัวรอด – รู้จักตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ – Cut loss ให้เป็น ยอมตัดนิ้วให้ได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น – ยังไม่เห็นภาพ เอาอีกตัวอย่างหนึ่ง เรากำลังอยู่บนตึกสูงสัก 3 ชั้น ไฟกำลังไหม้ เรากล้ากระโดดไหม ถ้าไฟกำลังมา (อย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก ๆ) – ท่องไว้ “ลูกยังเล็ก” เราจะเสี่ยงไม่ได้ – อย่าตามหลังมวลชน คือแห่ตามเขา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไอ้คนนำหน้า มันเห็นทหารถือปืนเตรียมยิงอยู่ เขาก้มลงหลบแล้ว ไอ้เราอยู่ข้างหลังมัวเเต่เดินร้องเพลงปลุกใจ – ลุกทีหลัง จ่ายรอบวง – ขบวนการ ต้มกบ – เราจะลงทุนเป็นรอบ ๆ รอจังหวะ ถ้าทางต่ำ (แบบมีความรู้ มีประสบการณ์) เราจะเข้าลงทุน เอาเงินแต่น้อย ๆ ก่อน แต่ป๊ากว่าจะรู้จุดนี้ ป๊าก็เจ็บปานตายไปแล้วเหมือนกัน เหตุการณ์นี้มันเศร้ามาก มันรวมหัวกันโกงคนซื้อหุ้นกู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไร แค้นมาก ตลาด ก.ล.ต. ต้องทำอะไรบ้างนะครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1325295
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
สมาคมประกันชีวิตไทย ห่วงเกิดผลกระทบ 4 ข้อ กรณีบังคับใช้งบการเงินตาม TFRS17 ดีเดย์ 1 ม.ค. 68 เร่งถกสรรพากรเคลียร์ปมจ่ายภาษี-เอฟเฟ็กต์รับรู้กำไร หวั่นช่วงเปลี่ยนผ่านกระทบส่วนของผู้ถือหุ้นนางสาวจารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการระบบบัญชีและภาษี สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า การบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่องสัญญาประกันภัย (TFRS17) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 จะมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญกับธุรกิจประกันชีวิต 4 ประเด็นหลักคือ1. ไม่มีเบี้ยประกันภัยรับและสำรองประกันชีวิตในงบการเงิน แต่มีค่าใช้จ่ายทางการเงินจากการรับประกันภัยแทน ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีในปัจจุบัน ฉะนั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการหาข้อสรุปเรื่องการปฏิบัติทางภาษีกับกรมสรรพากรโดยปัจจุบันกรมสรรพากรได้ตั้งคณะทำงานอย่างเป็นทางการแล้วมีทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)สภาวิชาชีพบัญชี สมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อประชุม พูดคุย หารือเรื่องนี้กันทุกเดือนตอนนี้อยู่ระหว่างลงรายละเอียดว่ามีวิธีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไร หรือมีแนวทางไหนได้บ้าง หากมีผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก TFRS4 มาเป็น TFRS17 แล้วกระทบกับจำนวนเงินภาษีที่เคยชำระไปแล้วในอดีต“เดิมตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ตีกรอบไว้ว่า การจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งกำไรของบริษัทประกันชีวิตตาม TFRS4 คือมีเบี้ยประกันและเงินสำรอง แต่ว่าสำรองที่ถือเป็นรายจ่ายได้ตามเกณฑ์กรมสรรพากรต้องไม่เกิน 65% ของเบี้ยประกันแต่เมื่อเป็น TFRS17 ไม่มีเบี้ยประกันภัยรับและสำรองประกันชีวิตในงบการเงิน จึงไม่แน่ใจว่าจะหยิบเกณฑ์ไหนมาใช้ในการจ่ายภาษี คือถ้าจะใช้เกณฑ์เดิมก็คงกระทบ เพราะเหมือนต้องรื้องบการเงินใหม่หมด”จารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโน2. รูปแบบการรับรู้กำไรที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อกำไรที่รับรู้ในแต่ละปี ยกตัวอย่างงบกำไรขาดทุน กรณีจ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองยาว 20 ปี ถ้าตาม TFRS4 เมื่อรับเบี้ยปีแรก สมมติ 5,000 บาท จะบันทึกเป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนปีนั้นทั้งหมดก้อนเดียว แต่ตาม TFRS17 จะให้ทยอยรับรู้รายได้ตลอดระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปีโดยแต่ละปีให้รับรู้ตามสัดส่วนความคุ้มครอง และบันทึกอยู่ในรายได้การประกันภัย แต่กำหนดให้แยกค่าใช้จ่ายทางการเงินจากสัญญาประกันภัยสุทธิออกมาให้เห็น หรือเข้าใจง่าย ๆ คือต้องแยกต้นทุนดอกเบี้ยแฝงมาแสดงด้วยส่วนสำรองประกันชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปเรียกเป็นหนี้สินตามสัญญาประกันภัยแทน ซึ่งทำหน้าที่คล้าย ๆ รายได้รับล่วงหน้า หมายความว่าเมื่อรับเบี้ยมาแล้วจะบันทึกเป็นหนี้สินไว้ก่อน และหนี้สินตรงนี้จะลดลงเมื่อถูกทยอยรับรู้เป็นรายได้การประกันภัยในแต่ละปี หรือเมื่อมีการจ่ายเคลมจริงไปแล้ว โดยหนี้สินจะหมดต่อเมื่อภาระผูกพันในการให้บริการหรือความคุ้มครองแก่ลูกค้าหมดไปนอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจมากขึ้น ว่าแหล่งที่มาของกำไรของธุรกิจประกันชีวิตแต่ละบริษัทมาจากไหน TFRS17 จึงให้แสดงกำไรจากการรับประกันภัยกับกำไรทางการเงิน (รายได้จากลงทุนลบต้นทุนดอกเบี้ย) ออกจากกันด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบการรับรู้กำไรในแต่ละปีจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายแล้วกำไรตลอดอายุสัญญายังเท่าเดิม3. เดิมส่วนใหญ่ภาคธุรกิจใช้วิธีการคำนวณเงินสำรองประกันชีวิตแบบเบี้ยประกันภัยสุทธิชำระคงที่ (NPV) ซึ่งใช้สมมติฐานตั้งแต่วันที่ออกกรมธรรม์ในการคำนวณเงินสำรองฯ ต่างจาก TFRS17 ซึ่งปรับสมมติฐานที่ใช้ให้เป็นปัจจุบัน ด้วยวิธีการใหม่นี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนของเงินสำรองมากขึ้น ดังนั้น การพิจารณาวัดมูลค่าสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับหนี้สิน จึงเป็นเรื่องที่บริษัทประกันชีวิตแต่ละแห่งต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน4. ส่วนของผู้ถือหุ้น อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากการปฏิบัติมาตรฐานการบัญชีเป็นครั้งแรก เนื่องจากการปรับปรุงกำไรสะสมที่เกิดจากความแตกต่างในการรับรู้กำไรในอดีตตาม TFRS4 กับ TFRS17นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อว่า ตอนนี้ภาคธุรกิจเหลือเวลาเตรียมความพร้อมประมาณ 1 ปี 5 เดือน โดยปัจจุบันสภาวิชาชีพบัญชีได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว เพื่อให้ TFRS17 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 2568 และสำนักงาน คปภ.ได้ประกาศแบบงบการเงินใหม่ตามข้อกำหนดของ TFRS17 และ TFRS9 เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจเดียวในโลกที่ได้รับการยกเว้นการบังคับใช้ TFRS9 จนกว่า TFRS17 จะมีผลบังคับใช้“ภาคธุรกิจต้องมีการซ้อมจัดทำงบการเงินรายไตรมาสในปี 2567 เพราะต้องเอามาเปรียบเทียบกำไรขาดทุนของปี 2568 เพื่อส่งให้สำนักงาน คปภ. รวมถึงการจัดอบรมความรู้ให้กับบุคลากรในภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”สำหรับงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทประกันชีวิตในฝั่งสินทรัพย์ (หนี้สิน+ทุน) ซึ่งกว่า 90% เป็นสินทรัพย์ลงทุน เช่น พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, หุ้น, กองทุนรวม, เงินให้กู้ยืม และแทบจะทุกบริษัทพอร์ตหลักคือตราสารหนี้เพราะมีความเสี่ยงต่ำ ส่วนหนี้สินสัดส่วนกว่า 90% เป็นหนี้สินตามสัญญาประกันภัย ที่เหลืออีก 10% เป็นหนี้สินอื่น ๆ เช่น ค่าไฟและค่าน้ำค้างจ่าย เป็นต้นทั้งนี้ ฝั่งสินทรัพย์ตาม TFRS4 ธุรกิจประกันชีวิตจะใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่องเครื่องมือทางการเงินและการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันชีวิต (FI-Guidance) แต่เมื่อบังคับใช้ TFRS17 จะถูกบังคับใช้มาตรฐาน TFRS9 และฉบับที่ 7 เรื่องการเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน (TFRS7)ซึ่งเป็นหลักที่บังคับใช้ทั่วโลก แต่ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจเดียว ที่ยังได้รับการยกเว้นการบังคับใช้ TFRS9 จนกว่า TRFS17 จะมีผลบังคับใช้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1327112
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
สถิติบอกชัด รายจ่ายต่อเดือนของ “คนไทย” พุ่งสูงถึง 18,000 บาทต่อเดือน สวนทาง ”รายได้” ที่น่าตกใจคือ “ชนชั้นกลาง” เสี่ยงต่อการกลายมาเป็น “คนจน” ด้วยเหตุผลเบื้องหลังที่ชวนคิดวิเคราะห์ รายจ่ายสูง รายได้ไม่โต เงินเดือนเท่าไรถึงจะอยู่ได้ เมื่อ “สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)” ออกมาบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่ทำให้ “ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยเฉลี่ยของคนไทย” มีถึง 18,023 บาท/เดือน ณ ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำโดยเฉลี่ยของบ้านเราอยู่ที่ 337 บาท/วัน ถ้าสมมติทำงานเต็มเดือน 30 วัน จะได้เดือนละ 10,110 บาท ส่วนเด็กจบใหม่ปริญญาตรี เริ่มต้นที่ประมาณ 12,000-15,000 บาท/เดือน จากข้อมูลของ สนค.บอกว่า ใน 18,023 บาท นี้ ค่าใช้จ่าย “อันดับ1” คือ ค่าโดยสารสารสาธารณะ ค่าซื้อรถส่วนตัว ค่าน้ำมัน และค่าบริการโทรศัพท์เฉลี่ยอยู่ที่ 4,170 บาท คิดเป็น 23.14% ตามมาด้วย “อันดับ2” ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม อยู่ที่ 3,922 บาทคิดเป็น 21.76% ส่วน “อันดับ3” คือ ค่าเนื้อสด ที่ใช้ในการทำอาหาร อยู่ที่ 1,704 บาท เป็น 9.46% จากทั้งหมด ส่วนเหล้ากับบุหรี่ มาเป็น อันดับสุดท้าย หรือ “อันดับ4” เลย คือ 241 บาท เป็นเพียง 1.34% ของรายจ่ายต่อเดือนจั๊ก-รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการและความเป็นธรรมศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ ช่วยวิเคราะห์ตามคำขอของทีมข่าว ถึงปัญหาตอนนี้ที่ค่าแรงโตไม่ทันรายจ่าย “ผมคิดว่าประเด็นแรกที่ต้องย้ำนะครับ คือว่าค่าจ้างของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างขึ้นต่ำ หรือว่าค่าจ้างโดยเฉลี่ย มันเติบโตไม่สอดคล้องกัน ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็จะรวมถึงดัชนีผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ” ตอนนี้ productivity (ประสิทธิภาพของการผลิต การทำงาน) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจาก ทักษะแรงงาน หรือเทคโนโลยี แต่ค่าจ้างโดยเฉลี่ยกลับไม่ได้เพิ่มตาม โดยรายได้ 80% ของคนส่วนใหญ่ ไม่สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ “ค่าครองชีพพื้นฐาน” หรือให้เรียกว่า “ค่าจ้างที่เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ไม่ใช่แค่การมีเงินเพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ แต่หมายถึงโอกาสที่จะสามารถหาความบันเทิงให้กับชีวิตได้ด้วย“ค่าเดินทาง” แพงแซงทุกอย่าง น่าสนใจที่จากข้อมูล สนค.บอกว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ไปกองอยู่ “ขนส่งสาธารณะ ค่าซื้อรถ ค่าน้ำมัน” เมื่อถามจั๊กว่าขนส่งเราแพงเกินไปหรือไม่ ดีหรือเปล่า? จนคนหันไปซื้อรถใช้เอง และยอมแบกภาระนี้ “ใช่ คำว่าไม่ค่อยดีมันก็หลายอย่างนะครับ อย่างคุณภาพในเชิงกายภาพ ที่เราเห็นอันนั้นก็ส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมันเข้าไปไม่ถึง เส้นเลือดฝอยในชีวิตของคนเมือง“ อาจารย์ยังบอกอีกว่า ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดเอง ขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ตอบโจทย์คนทำงาน “อาจจะใช้ได้ในผู้สูงอายุ ไปจ่ายตลาดหรือไปหาหมอในบางครั้ง”[รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี]“สมมติเราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์มาปากซอยหน้าบ้าน แล้วเราต้องต่อรถเมล์ เพื่อที่จะไปรถไฟฟ้าอีก มันก็กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ มันก็สูงมาก คนที่พอมีกำลังส่วนใหญ่ ต้องซื้อรถมอเตอร์ไซค์ หรือไม่ก็รถยนต์ส่วนตัว” ถ้าลองคำนวณการผ่อนรถแบบถูกสุด ตกเดือนละ 5,000 บาท ค่าน้ำมันอีก 1,000-2,000 รวมแล้วคนที่มีรถส่วนตัวต้องจ่าย 6,000-7,000 บาท/เดือน ส่วนคนที่ใช้ขนส่งสาธารณะ เดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท นั้น ก็เป็น 20-30% ของรายได้ต่อเดือนแล้ว “ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แล้วนึกถึงขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั้งหมดเลย มันก็อาจจะประมาณ 4-5% ของค่าจ้างที่เขาได้รับต่อเดือนเท่านั้นเองนะครับ”รายได้ต่ำ แต่ “ค่ากิน” พุ่งจนน่าห่วง!! จากข้อมูลของ สนค.บอกว่ารายจ่ายทั้งหมดนี้ เป็น “ค่าอาหาร” ถึง 41.97% ทีมข่าวจึงชวนจั๊กคุยว่า ข้อมูลที่เห็นมันสะท้อนถึงอะไร? “คือจริงๆ ค่าอุปโภคบริโภค มันเกี่ยวกับฐานะของคนนะครับ คือถ้าเราเทียบกัน กลุ่มคนที่รวยที่สุดกับกลุ่มคนที่จนที่สุด ค่าใช้จ่ายเรื่องอุปโภคบริโภคก็จะมีสัดส่วนที่ต่างกัน” กลุ่มคนที่มีสตางค์ 5% บนสุด อาจจะหมดเงินไปกับ การลงทุน ค่าเดินไปเที่ยวหรือทำธุรกิจ แต่ในกลุ่มคนที่รายได้ต่ำ มักจะหมดไปกับ ค่าอาหารการกิน ถึง 70% ของรายได้เลยด้วยซ้ำ “สิ่งหนึ่งที่เราเห็นภาพตรงนี้เนี่ย การที่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคพื้นฐานของค มันสูงมากขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนไทยชนชั้นกลางกำลังจะหายไป แล้วก็จะมาป่องอยู่ข้างล่าง” ยกตัวอย่างเด็กๆ จบใหม่ ทำงานอย่างหนัก แต่คุณภาพชีวิตไม่ได้แตกต่างกับผู้ใช้แรงงานในโรงงานเมื่อ 30 ปีก่อนเลย ที่ต้องทำหลายงาน ทำงานล่วงเวลา เพื่อคุณภาพชีวิตที่แค่ส่งบ้านส่งรถ เลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้เป็นคุณภาพชีวิตชนชั้นกลางแต่อย่างใด “อันนี้เป็นสัญญานที่น่ากลัวเหมือนกันว่า ชนชั้นกลางของเรากำลังจะหายไป ที่ไปป่องข้างล่างมากขึ้น เพราะทุกคนกำลังกลายเป็นคนจน ต้องเป็นคนปากกัดตีนถีบกันหมด”หรือเพราะทุนที่ผูกขาด? อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เคยออกมาเขียนบทความ “เกาให้ถูกที่คัน ค่าแรงขั้นต่ำ คือ คำตอบของการแก้ปัญหาค่าครองชีพของแรงงาน จริงหรือ” ว่าด้วยค่าครองชีพที่สูงเหตุมาจาก 1) กลไกผูกขาด ภาครัฐถูกครอบงำโดยทุนใหญ่ 2) การทุจริตคอร์รัปชัน ต้องแก้ปัญหา 2 อย่างนี้และผลักดัน นโยบายสวัสดิการ ถึงจะแก้ได้ สอดคล้องกับความเห็นของ ผอ.ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการฯ ที่มองว่า กลุ่มทุนที่ผูกขาด เกี่ยวข้องกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และปัญหาค่าแรงที่ต่ำของบ้านเรา “พอกลุ่มทุนผูกขาดที่ เขาได้รับสัมปทานหรือได้รับสิทธิอะไรบางอย่างจากรัฐ มันทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่อง ชีวิตพื้นฐานของประชาชน” ดร.ได้อธิบายต่อว่า ในธุรกิจบางอย่างไม่จำเป็นต้องหากำไรขนาดนั้น แต่กลับมีกลุ่มทุนหลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น พลังงาน อาหาร การคมนาคม หรือการรักษาพยาบาล และการศึกษา ที่ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามามากขึ้น ในด้านหนึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้อาจมีความสามารถและเทคโนโลยี จนให้เติบโต แต่ไม่ได้จากการแข็งขันกันอย่างเสรี ส่วนหนึ่งมาจากการเอื้อประโยชน์จากรัฐ ได้สัมปทานหรือการอนุมัติอะไรบางอย่าง “แต่ว่าเขากลับมีส่วนที่ทำให้ สองอย่างนี้คือ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราสูงมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ พวกเขากมีส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าแรงไม่ได้มีการปรับขึ้นเท่าที่ควร เพราะว่ากลุ่มทุนผูกขาดมีอำนาจมาก”เมื่อถาม ดร.จั๊กว่า ปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการ “เพิ่มค่าแรง” จริงหรือเปล่า? หรือต้องทำควบคู่กับไปด้วย? อาจารย์ตอบว่า ยังไงก็ต้องปรับขึ้น เพราะตอนนี้คนอยู่กันไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ปัญหาอื่นๆ ตามมา “การปรับค่าแรงขั้นต่ำมันไม่ได้ทำให้ข้าวของแพงขึ้น อันนี้มันเป็นผีที่ถูกข่มขู่มาทุกยุคทุกสมัย จริงๆต้นทุนค้าแรงมันเป็นเพียง 10% เท่าเองของต้นทุนโดยเฉลี่ยเท่านั้น” การขึ้นค่าแรงจะช่วยลดความเลื่อมล้ำได้ แต่จะได้ไม่เต็มที่ ถ้าไม่มีการปรับเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อให้ค่าแรงที่ได้มาเอาไป ต่อยอดในชีวิตได้จริง ไม่ได้หมายความแค่การลุงทุน แต่รวมถึง การพักผ่อน วางแผนใช้จ่ายและการออมได้ดีขึ้น เพราะค่าแรงสูงขึ้น แต่คุณจะสิ่งเหล่าได้ไม่เต็มที่ ยังต้องห่วงเรื่อง การเลี้ยงลูก ดูแลคนแก่ รักษาพยาบาลหรือเรื่องค่าขนส่งสาธารณ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการปรับ อีกอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น การท่องเที่ยว กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ฝึกทักษะแรงงานรุ่นใหม่ “3 ตัวนี้ต้องทำ เรื่องสวัสดิการและเศรษฐกิจระยะสั้นต้องทำคู่กัน เพื่อให้มันประสิทธิภาพดีที่สุดครับ” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/live/detail/9660000054093
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
จากข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเกิดเหตุจากไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือภัยอื่นๆ อาจสร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของที่อยู่อาศัยหลายท่าน เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินหลักแสนจนถึงหลักล้านบาทที่ต้องนำมาใช้ในการซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมหรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ดังนั้น เพื่อความอุ่นใจและบรรเทาความสูญเสียจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้น “การทำประกันอัคคีภัย”สำหรับที่อยู่อาศัยจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น ด้วยการโอนความเสี่ยงจากค่าความเสียหายของเจ้าของที่อยู่อาศัยไปยังบริษัทประกันภัย แทนการรับความเสี่ยงด้านค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเต็มๆ 100% เพียงคนเดียว แต่ก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ควรคำนึงถึงประเด็นเบื้องต้น ดังนี้1. ความคุ้มครองที่เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องการโดยทั่วไป การทำประกันอัคคีภัยมักจะรวม 6 ภัยหลักๆ ได้แก่ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด ภัยจากยานพาหนะหรือสัตว์พาหนะ (ช้าง ม้า วัว ควาย) ภัยจากอากาศยานหรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน และภัยอันเนื่องจากน้ำ นอกจากนี้ยังมีภัยอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากสถานที่ตั้งของที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม แม้ว่าโอกาสการเกิดภัยอาจไม่บ่อยหรือน้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นค่าความเสียหายก็สูง เจ้าของที่อยู่อาศัยก็ควรเพิ่มความคุ้มครองในกรณีต่างๆ ด้วย เช่น ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ ภัยแผ่นดินไหว ภัยโจรกรรม เป็นต้น2. ทรัพย์สินที่สามารถเอาประกันอัคคีภัยได้ได้แก่ บ้าน ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ตึกแถวสำหรับที่อยู่อาศัย โรงรถ และอาคารย่อย เช่น เรือนคนรับใช้ เรือนครัว รวมทั้งกำแพง รั้ว ประตู ส่วนที่ปรับปรุงหรือต่อเติม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง และทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อการอยู่อาศัย ส่วนทรัพย์สินที่ไม่ได้รวมอยู่ในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ยกเว้นว่าจะระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น รากฐานของสิ่งปลูกสร้าง ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ อัญมณี เอกสารสำคัญต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะ ต้นไม้ การจัดสวน สนามหญ้า เป็นต้น3. การคำนวณเงินทุนประกันอัคคีภัยที่เหมาะสมเจ้าของที่อยู่อาศัยจะต้องแยกราคาที่ดิน ราคาสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินภายในที่อยู่อาศัย เช่น ราคาที่ดิน 1,000,000 บาท ราคาสิ่งปลูกสร้างหรือตัวอาคาร 1,500,000 บาท (ไม่รวมฐานราก) และราคาทรัพย์สินภายในอาคารตกแต่งเพื่อการอยู่อาศัย 1,500,000 บาท ทุนประกันอัคคีภัยที่เหมาะสม คือ 3,000,000 บาท (1,500,000 บาท + 1,500,000 บาท)“ถ้าเจ้าของที่อยู่อาศัยต้องการเพิ่มความคุ้มครองพิเศษในรายการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงนอกเหนือจากทรัพย์สินภายในอาคารข้างต้น ก็ควรเก็บใบเสร็จหรือใบราคานั้นๆ เพื่อความสะดวกในการกำหนดวงเงินประกันและเคลม เช่น ตู้เย็น ทีวี อุปกรณ์กอล์ฟ จักรยานที่มีราคาสูง เป็นต้น”4. “การเคลมประกันอัคคีภัย” บริษัทอาจจ่ายค่าสินไหมน้อยกว่า100% ของมูลค่าความเสียหายเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เจ้าของที่อยู่อาศัยควรทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยที่ทุนประกัน “ไม่ต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน” เช่น มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 3,000,000 บาท ทุนประกันที่ 70 - 100% ของมูลค่าทรัพย์สิน คือ 2,100,000 – 3,000,000 บาท หากเกิดอัคคีภัยที่มีความเสียหายทั้งหมด บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็ม 100% ของจำนวนทุนที่ทำไว้แต่ถ้าทำทุนประกันภัยต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สิน เช่น ทุนประกันภัยที่ 60% ของมูลค่าทรัพย์สิน 3,000,000 บาท เมื่อเกิดอัคคีภัยและมีความเสียหายทั้งหมด เจ้าของที่อยู่อาศัยจะต้องรับค่าความเสียหายส่วนแรกเอง 1,200,000 บาท (40% x 3,000,000 = 1,200,000) และบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหม 60% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ทำประกัน คือ 1,800,000 บาท (60% x 3,000,000 = 1,800,000) ดังนั้น จะได้รับค่าสินไหมเท่ากับ 1,080,000 บาท (60% x 1,800,000 = 1,080,000)“นอกจากการทำทุนประกันภัยที่ควรทำมากกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สินแล้ว เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องทำความเข้าใจเรื่องค่าความรับผิดส่วนแรกของการเคลมประกันอัคคีภัยในแต่ละกรณีด้วย เช่น เจ้าของที่อยู่อาศัยมีทุนประกันภัยอันเนื่องมาจากน้ำ 200,000 บาท บริษัทประกันได้กำหนดค่าความรับผิดส่วนแรกในการเคลม 2,000 บาท ต่อเหตุการณ์ ถ้าที่อยู่อาศัยมีน้ำรั่วซึม มีการประเมินความเสียหายประมาณ 100,000 บาท เจ้าของบ้านสามารถเคลมได้สูงสุด 98,000 บาท (100,000 บาท – 2,000 บาท)”5. การเลือกชำระเบี้ยตามจำนวนปีที่เพิ่มขึ้น เบี้ยประกันเฉลี่ยต่อปีลดลงเจ้าของที่อยู่อาศัยประหยัดเบี้ยประกันได้มากขึ้นกล่าวคือ การเลือกทำประกันภัย 2 ปี บริษัทจะคิดเบี้ยประกันภัย เท่ากับ 175% ของเบี้ยประกันภัย 1 ปี ถ้าเบี้ยประกันภัย 1 ปี 1,000 บาท เบี้ยประกันภัย 2 ปีจะอยู่ที่ 1,750 บาท เบี้ยเฉลี่ยต่อปี 875 บาท ทำให้ประหยัดเงินได้ 250 บาท ถ้าหากเลือกทำประกันภัย 3 ปี บริษัทจะคิดเบี้ยประกันภัย เท่ากับ 250% ของเบี้ยประกันภัย 1 ปี เบี้ยประกันภัย 3 ปีจะอยู่ที่ 2,500 บาท เบี้ยเฉลี่ยต่อปี 833.33 บาท ทำให้ประหยัดเงินได้ 500 บาท ที่ความคุ้มครองเท่าเดิม ทั้งนี้เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มูลค่าทรัพย์สินอาจเปลี่ยนไปมีค่ามากขึ้น เจ้าของที่อยู่อาศัยจึงควรสำรวจทุนประกันภัยให้เหมาะสมกับมูลค่าทรัพย์สินด้วย“ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ‘การทำประกันอัคคีภัย’ ที่อยู่อาศัยมีความสำคัญไม่น้อย เพราะหากเกิดอัคคีภัยขึ้นจะทำให้มีค่าความเสียหายและค่าใช้จ่ายสูง จากเทคนิคข้างต้นจะช่วยเป็นแนวทางให้เจ้าของที่อยู่อาศัยเลือกทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยเลือกทำประกันอัคคีภัยหลักที่ตอบโจทย์เรื่องความเสียหายจากไฟไหม้ และเมื่อมีกำลังทรัพย์มากขึ้น มีห่วงภัยด้านต่างๆ มากขึ้น ก็สามารถขยายความคุ้มครองในปีถัดๆ ไปได้ เพื่อจะได้ชำระเบี้ยประกันที่ไม่สูงจนเกินไป แต่ยังคงบรรเทาความเสียหายได้มาก”ทั้งนี้ ไม่ว่าเจ้าของที่อยู่อาศัยจะมีที่อยู่อาศัยแห่งเดียวหรือหลายแห่ง ก็จะสามารถประมาณ “ทุนประกันอัคคีภัย” ของที่อยู่อาศัยแต่ละแห่งได้อย่างเหมาะสม โดยเทียบราคาเบี้ยประกัน รายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยแต่ละบริษัท เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์จากความคุ้มครองอย่างสูงสุดที่มา: www.setinvestnow.com, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/12699
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
KBank Private Banking ชี้ “ผู้จัดการมรดก” คีย์แมนคนสำคัญต่อการบริหารทรัพย์สินครอบครัว เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว แจง “ทายาท-ผู้รับมรดก” จำเป็นต้องรู้บทบาท-หน้าที่ของผู้จัดการมรดก วันที่ 15 มิถุนายน 2566 นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หลังจากที่สมาชิกในครอบครัวต้องแจ้งการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงต่อสำนักเขต หรือที่ว่าการอำเภอเพื่อออกใบมรณบัตรแล้ว อีกสิ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีทรัพย์สินมาก คือการตั้ง “ผู้จัดการมรดก” เพื่อดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญต่อทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิต ได้แก่ 1) รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน : อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ เช่น ทองคำ เครื่องประดับ 2) จัดการทรัพย์มรดก : ดูแล รักษา หรือจัดการทรัพย์มรดกตามที่จำเป็น หรือที่ระบุไว้ในพินัยกรรม 3) จัดแบ่งทรัพย์มรดก : แบ่งสินสมรส (ถ้ามี) และแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท/ผู้รับพินัยกรรม 4) ยื่นภาษีเงินได้ : ในปีแรกที่เสียชีวิต ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามผู้ตาย และในปีถัดจากปีที่เสียชีวิต หากยังไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้ทายาท ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามกองมรดก (ต้องขอเลขผู้เสียภาษีต่างหาก) ขั้นตอนในการตั้งผู้จัดการมรดก ให้ทายาท หรือผู้ร้อง (อาจเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้) ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ดำเนินการตั้งผู้จัดการมรดกโดยแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1. กรณีที่ไม่มีพินัยกรรม อาจขอให้ตั้งทายาท/คู่สมรส คนใดคนหนึ่ง หรือร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก หรือตั้งบุคคลอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย 2. กรณีที่มีพินัยกรรมและมีการระบุผู้จัดการมรดกไว้แล้ว ให้ตั้งบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก หลังจากศาลได้ประกาศเพื่อให้ทายาทคัดค้าน และไต่สวนคุณสมบัติผู้ร้อง หากไม่มีการคัดค้าน ศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้จัดการมรดก ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน จากนั้นผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน และต้องเสร็จภายใน 1 เดือน หรือตามระยะเวลาที่ศาลขยายให้ รวมทั้งจะต้องดำเนินการทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกภายใน 1 ปี หรือตามระยะเวลาที่ทายาท/ศาล กำหนดไว้ด้วย หากผู้จัดการมรดกไม่ทำตามหน้าที่/ทุจริต ทายาท ผู้รับพินัยกรรม หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก สามารถดำเนินการกับผู้จัดการมรดกได้ เช่น ถอนผู้จัดการมรดก ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกสามารถยื่นร้องต่อศาลขอให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม และตั้งคนใหม่ได้ หากผู้จัดการมรดกไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ไม่เริ่มทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน หรือไม่แบ่งทรัพย์สินให้ทายาทให้เสร็จสิ้น และไม่ทำรายงานบัญชีแบ่งทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน ตามที่กฎหมายกำหนด ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก มักเกิดขึ้นในกรณีที่ทายาทขอให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท แต่ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาทตามที่กฎหมายกำหนด เช่น อ้างว่าเป็นทรัพย์กงสีห้ามแบ่ง หรือผัดผ่อนการแบ่งไปเรื่อย ๆ หรือปฏิเสธไม่แบ่งด้วยเหตุผลอื่น ทายาทสามารถฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้ ฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกไม่เป็นไปตามราคาท้องตลาด ขายทรัพย์มรดกโดยไม่นำเงินมาแบ่งทายาท โอนทรัพย์มรดกให้บุคคลอื่นโดยไม่มีค่าตอบแทน รับโอนทรัพย์มรดกมาเป็นของตนเองคนเดียวไม่แบ่งทายาทคนอื่น ดำเนินคดีอาญาความผิดฐานยักยอก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดก โอนทรัพย์มรดกให้ตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น หรือแสดงเจตนาว่าจะเอาทรัพย์มรดกไว้คนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น โอนทรัพย์มรดกให้ทายาทคนหนึ่ง แต่ไม่แบ่งให้คนอื่น ทั้งที่มีทายาทหลายคน จงใจขายทรัพย์มรดกในราคาที่ต่ำเกินสมควร ในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับผู้ซื้อ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ในกรณีนี้ต้องชัดเจนว่าผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริต ยักย้ายถ่ายเทหรือโอนทรัพย์มรดก ทำให้เกิความเสียหายแก่ทายาท ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องการกระทำความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด “จะเห็นได้ว่าผู้จัดการมรดก มีหน้าที่ในการจัดการมรดกโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การรวบรวมทรัพย์มรดก เพื่อแบ่งให้ทายาท ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ ทำบัญชีทรัพย์มรดกและรายการแสดงบัญชีการจัดการ ซึ่งหากผู้จัดการมรดกไม่ใช่ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรมของเจ้าของมรดก ผู้จัดการมรดกก็จะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก จึงถือว่าไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก” นายพีระพัฒน์กล่าว นอกจากนี้ หากผู้จัดการมรดกไม่ดำเนินการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือทำการทุจริตต่อทรัพย์มรดก อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายด้วย ผู้จัดการมรดกจึงถือเป็นคีย์แมน หรือบุคคลสำคัญในการบริหารจัดการและดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับมรดก ทั้งทรัพย์สินที่ต้องส่งต่อแก่ทายาท หรือการจัดการเรื่องหนี้สิน โดยหากเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้จัดการมรดกก็สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ต้องดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอน “ดังนั้น การทำพินัยกรรมกำหนดผู้จัดการมรดกที่มีความเป็นกลางหรือที่ทายาททุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่ต้น อาจไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทก็ได้ อาจช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้” นายพีระพัฒน์กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1322175
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ที่อยู่อาศัย หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า “บ้าน” เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน หรือฝ่าฟันอยากจะมี ซึ่งการดูแลรักษาทรัพย์สินเหล่านี้นั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่าต้องต่อสู้กับภัยต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติ อย่างเช่น น้ำท่วม หรือภัยที่มาจากฝีมือมนุษย์ด้วยกันเอง ภัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่อยู่อาศัย ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียเงินทองจำนวนมหาศาลในการซ่อมแซม แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ และทางออกของสถานการณ์นี้ก็คือ “การทำประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน”“ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน” มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ความคุ้มครองเจ้าของอาคาร ประเภทที่อยู่อาศัย เช่น บ้านเดี่ยว สำนักงานในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม โดยสามารถแบ่งความคุ้มครองได้ 5 หมวดหมวดที่ 1 ความคุ้มครองต่ออาคารบริษัทประกันจะชดใช้ค่าเสียหาย (ค่าสินไหมทดแทน) ให้ในกรณีที่อาคารได้รับความเสียหายจากภัยเหล่านี้ • อัคคีภัย แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า น้ำท่วม การไหลล้นหรือการระเบิดของแท้งค์น้ำ พายุเฮอริเคน พายุไซโคลน พายุใต้ฝุ่น หรือลมพายุ • การระเบิด • อุปกรณ์ส่วนควบของแท้งค์น้ำหรือท่อน้ำ • อากาศยาน หรือสิ่งของจากอากาศยาน หล่นใส่อาคาร • การถูกชนจากพาหนะทางบก เช่น รถยนต์ ม้า หรือปศุสัตว์ต่างๆ ซึ่งผู้เอาประกันภัย หรือสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือดูแลอยู่ • การชิงทรัพย์ การปล้นทรัพย์ หรือความพยายามการลักทรัพย์โดยใช้กำลังรุนแรงเพื่อเข้าไป หรือออกจากอาคารหมวดที่ 2 ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินในอาคารบริษัทประกันจะชดใช้ค่าเสียหาย (ค่าสินไหมทดแทน) ให้ในกรณีที่ทรัพย์สินภายในอาคารของเราได้รับความเสียหายจากภัยเหล่านี้ • อัคคีภัย แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า น้ำท่วม การไหลล้นหรือการระเบิดของแท้งค์น้ำ พายุเฮอริเคน พายุไซโคลน พายุใต้ฝุ่น หรือลมพายุ • การระเบิด • อุปกรณ์ส่วนควบของแท้งค์น้ำหรือท่อน้ำ • อากาศยาน หรือสิ่งของจากอากาศยาน หล่นใส่อาคาร • การถูกชนจากพาหนะทางบก เช่น รถยนต์ ม้า หรือปศุสัตว์ต่างๆ ซึ่งผู้เอาประกันภัย หรือสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือดูแลอยู่ • การชิงทรัพย์ การปล้นทรัพย์ หรือความพยายามการลักทรัพย์โดยใช้กำลังรุนแรงเพื่อเข้าไป หรือออกจากอาคารหมวดที่ 3 ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าที่พักอาศัยชั่วคราวและการสูญเสียค่าเช่าหากอาคารที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายจากภัยที่ได้กล่าวมาข้างต้น จนไม่สามารถพักอาศัยได้ ทางบริษัทประกันจะดำเนินการหาที่พักชั่วคราว หรือจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันภัยเพื่อนำไปเช่าที่พักอาศัยอยู่จนกว่าอาคารนั้นจะซ่อมเสร็จหมวดที่ 4 คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกหากที่อยู่อาศัยของเราสร้างความเสียหายให้แก่บุคคลภายนอก บริษัทประกันจะชดเชยค่าสินไหมแทนเรา (ผู้เอาประกันภัย) โดยแบ่งความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกได้ 2 กรณี ดังนี้ • ความรับผิดต่อร่างกายของบุคคลภายนอก เช่น การเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ความบาดเจ็บต่อร่างกาย ตัวอย่างเช่น นายเอเดินชนเสาบ้าน(เรา) จนถึงแก่ชีวิต บริษัทประกันก็จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัวของนายเอแทนเรา • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในอาคาร หรือเกี่ยวข้องกับอาคารตัวอย่างเช่น รถยนต์ของนายเอโดนเสาบ้าน(เรา) หล่นใส่จนต้องนำไปซ่อม บริษัทประกันก็จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเอเพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการซ่อมแซมรถหมวดที่ 5 ความคุ้มครองสำหรับเงินชดเชยการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยหากเรา(ผู้เอาประกันภัย) ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตทันที หรือได้รับบาดเจ็บจากจากภัยซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ประกันคุ้มครอง ซึ่งส่งผลให้เสียชีวิตภายใน 180 วัน นับจากวันเกิดอุบัติเหตุขณะที่อยู่ภายในอาคารที่ทำประกันภัยไว้ บริษัทประกันจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ ตัวอย่างเช่น เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลัน เราไม่สามารถหนีออกจากบ้านที่ทำประกันไว้ได้ทันทำให้จมน้ำเสียชีวิตทันที ทางบริษัทก็จะจ่ายเงินสินไหมชดเชยให้แก่ผู้รับผลโยชน์ที่เราระบุไว้ในกรมธรรม์ขอบคุณแหล่งที่มาสำนักงานคณะกรรมกากำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับแหล่งที่มาข่าว noonhttps://www.noon.in.th/blog/good-point-of-house-insurance/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย “วิไล รักต้นตระกูล” นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 12 มิถุนายน 2566 สมสมร คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สาวใหญ่วัย 53 ปี ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนมาตลอด 30 ปี ตั้งแต่เรียนจบ สมสมรก็ได้เข้าทำงานในองค์กรใหญ่ และก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นคนมีระเบียบวินัยในการใช้เงิน มีเงินเก็บเงินออมไว้ให้ตัวเองสำหรับปั้นปลายชีวิตอยู่หนึ่งก้อนใหญ่ แต่ยิ่งใกล้วันที่จะต้องเกษียณอายุเข้ามาจริง ๆ สมสมรก็มีความกังวลใจว่าเงินก้อนที่สะสมมานั้นจะเพียงพอใช้จ่ายไปจนถึงบั้นปลายชีวิตจริง ๆ ไหม เพราะค่าครองชีพก็สูงมากขึ้นทุกวัน ๆ ข้าวของแพงขึ้นในทุก ๆ ปี เพื่อคลายความกังวลใจ สมสมรจึงศึกษาหาความรู้ในเรื่องการบริหารการจัดการเงินเพื่อการเกษียณและได้พบกับ “อิสระ” นักวางแผนการเงิน ผู้มีสโลแกนประจำตัวว่าเป็น “นักสร้างอิสรภาพทางการเงินมืออาชีพ” ที่บูทของสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ในงาน SET IN THE CITY เธอจึงนัดเพื่อขอรับคำปรึกษาในทันที ข้อมูลทางการเงินเบื้องต้นของสมสมร ปัจจุบันสมสมรมีเงินก้อนเตรียมไว้ 15 ล้านบาท สำหรับเกษียณ มีแผนจะเกษียณเมื่ออายุ 55 ปี ไม่มีหนี้สิน ไม่มีภาระใด ๆ มีลูกชาย 1 คน ซึ่งจะเรียนจบปริญญาตรีในปีที่สมสมรเกษียณอายุพอดี สมสมรมีแผนการใช้จ่ายเมื่อเกษียณอายุ ดังนี้ 1. กินอยู่ใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท ไปจนถึงอายุ 99 ปี 2. ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล สมสมรกลัวค่าใช้จ่ายในเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่ จากประสบการณ์ที่เห็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่เวียนเข้าโรงพยาบาล ตกครั้งละเป็นหลักแสนเลยทีเดียว จึงได้เตรียมทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายไว้เพื่อใช้ในยามเกษียณ ประกันเล่มนี้ต้องชำระเบี้ยประกันทั้งสิ้นประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งเธอได้เตรียมเงินอีกก้อนไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่ได้มา อิสระคำนวณเงินที่ต้องการใช้หลังเกษียณออกมาได้เป็นจำนวนเงินที่ต้องเตรียมคือ 13,757,893 บาท โดยตั้งสมมติฐานการลงทุนหลังเกษียณที่ผลตอบแทน 4% ต่อปี เงินเฟ้อ 3% ต่อปี และเบิกใช้เดือนละ 30,000 บาท เป็นเวลา 44 ปี จนถึงอายุ 99 ปี ดังนั้น จากการคำนวณเบื้องต้นสินทรัพย์ของสมสมร 15 ล้านบาทนั้น ก็มีเพียงพอในการดำรงชีวิตหลังเกษียณด้วยการนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 4% แต่สมสมรเองนั้นก็ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนเลย ที่เคยลงทุนก็คือการซื้อกองทุนไว้เพื่อลดหย่อนภาษีเท่านั้น ดังนั้น เธอจึงมีความกังวลในเรื่องของการที่จะจัดสรรเงินลงทุน เพราะเงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่สำคัญในชีวิต ซึ่งเธอไม่สามารถรับภาวะขาดทุนหนัก ๆ จากการลงทุนได้ อิสระเข้าใจจึงได้อธิบายหลักการวางแผนการลงทุน และการบริหารเงินหลังเกษียณเพื่อลดความเสี่ยงของการขาดทุนจากการลงทุน เพื่อคลายความกังวลของสมสมร แนะนำให้แบ่งเงินก้อนใหญ่ออกมาเป็น 3 ส่วน หรือกลยุทธ์ที่เรียกว่า 3 Buckets ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นิยมในการบริหารเงินวัยเกษียณดังนี้ ซึ่งการลงทุนด้วยกลยุทธ์ 3 Buckets นี้มีหลักการสำคัญคือ การ “รินกำไรใส่ถังล่าง” เมื่อ Bucket ที่ 2 มีกระแสเงินสด ก็ให้นำมาใส่ Bucket ที่ 1 และเมื่อ Bucket ที่ 3 มีกำไรจากการลงทุนก็ให้ขายกำไรออกเพื่อมาใส่ใน Bucket ที่ 2 เพื่อเก็บกำไรไว้สม่ำเสมอ โดยตั้งเป้าหมายเมื่อ Bucket ที่ 3 มีกำไรในระดับ 20% ก็จะขายส่วนกำไรมาเข้าใน Bucket ที่ 2 และจะย้ายเงินจาก Bucket ที่ 2 มาอยู่ Bucket ที่ 1 ทุกต้นปีตามจำนวนของค่าใช้จ่ายในปีนั้น ๆ กลยุทธ์ 3 Buckets นี้มีข้อดีคือ ความอุ่นใจ ว่าจะไม่ขาดทุนหนัก เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ประมาณ 80% จะอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย และแบ่งเงินส่วนน้อย ประมาณ 20% ลงทุนในพอร์ตเสี่ยงสูง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินเติบโตเพียงพอใช้จ่าย และรักษาเงินต้นไม่ให้หายไปในวันที่ตลาดหุ้นตกหนัก ๆ เพราะเป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบระยะยาวที่สามารถมีเวลารอจนตลาดฟื้นตัวขึ้นมาได้ในที่สุดสมสมรได้ฟังกลยุทธ์ 3 Buckets แล้วก็เข้าใจและคลายกังวล และอยากจะเริ่มเปิดพอร์ตตามหลักการ 3 Backets ในทันที ภาพการบริหารเงินให้เกษียณอย่างเกษมของสมสมร ก็แจ่มชัดขึ้นสดใส ขอบคุณน้องอิสระ “นักสร้างอิสรภาพทางการเงินมืออาชีพ” ที่มาช่วยวางแผนบริหารเงินยามเกษียณให้พี่สมสมรนะคะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1318347
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
23/05/2024
29/04/2024
04/12/2024
01/08/2024
17/09/2024