Everyday knowledge for you
ท่องเที่ยว
09/08/2024
ดินแดนทะเลทรายขาวเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ครอบคลุมกว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร บนชายฝั่งตะวันออกของ Maranhão ในเขตเปลี่ยนผ่านระหว่างชีวนิเวศบราซิล 3 แห่ง ได้แก่ Cerrado, Caatinga และ Amazon ซึ่งเป็นพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งประกอบด้วยเนินทรายชายฝั่งสีขาวที่มีทะเลสาบสีครามอันงดงามPhoto: Adri Felden / Argosfotoนอกเหนือจากบทบาทสำคัญของการเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว อุทยานแห่งนี้ยังมีคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์และธรณีวิทยาที่มีความสำคัญระดับโลก ตามแนวชายฝั่งยาว 80 กิโลเมตร โดยมีชายหาดตามมาด้วยที่ราบ สายลมที่พัดผ่านทำให้เกิดเนินทรายเป็นแนวยาวซึ่งเต็มไปด้วยในฤดูฝนเพื่อสร้างทะเลสาบหลากหลายสีสัน รูปร่าง ขนาด และความลึก ที่แตกต่างกันไปPhoto: Adri Felden / Argosfotoทัศนียภาพที่ดีที่สุดจะปรากฏขึ้น เมื่อทะเลสาบมีปริมาณน้ำสูงทำให้เกิดความงามที่หาชมได้ยาก เนินทรายทั้งที่มั่นคงและเนินทรายที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ถือเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ นำเสนอหลักฐานอันน่าทึ่งเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเนินทรายชายฝั่งตลอดยุคควอเทอร์นารีPhoto: Adri Felden / Argosfotoอุทยานฯ แลงคอยส์ มารานฮานส์ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่าแสนคนต่อปี และเพิ่งได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก ในเดือนกรกฎาคม 2024Photo: Adri Felden / ArgosfotoPhoto: Marcos Issa/Argosfotoแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000064282
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
08/08/2024
กรุงเทพฯ 8 สิงหาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ล่าสุด ในชื่อชุด “อาตี๋จอมห่วย ปะทะวันรวมญาติ” มุ่งเจาะกลุ่มวัย Generation Z (Gen Z) ซึ่งเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2565 โดยวัยรุ่นกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็น “อนาคตของชาติ” ที่กำลังเติบโตมากับบริบทสังคมยุคใหม่ที่เปลี่ยนผันเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว และยังเป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นอีกด้วย ซึ่งจากสถิติตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี และคาดการณ์ว่าคนไทยที่เกิดในปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา มีโอกาสที่จะมีอายุเฉลี่ยถึง 90 ปี หรือบางคนอาจมีอายุยืนยาวไปถึง 100 ปี ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ จึงต้องการมีส่วนสนับสนุนให้วัยรุ่น Gen Z มีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ พร้อมกับมีความสุขทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “กลุ่มคน Gen Z เป็นกลุ่มที่รักอิสรภาพในตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจากผลวิจัย กลุ่มวัย Gen Z จะมองภาพอนาคตในระยะสั้น ๆ หรือโฟกัสแต่ปัจจุบัน ทำให้ขาดการวางแผนเพื่ออนาคตในระยะยาว ซึ่งเอไอเอ เข้าใจ และเดินตามพันธกิจที่ตั้งไว้ โดยมุ่งสนับสนุนให้คนไทยและคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่าหนึ่งพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านหนังโฆษณาที่จะชวนให้เหล่า Gen Z มาวางแผนชีวิตและการเงินเพื่อความสุขและอนาคตที่มั่นคง “สำหรับการออกหนังโฆษณาชุดนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการเปิดให้กลุ่มวัย Gen Z ได้เข้าถึงการประกันชีวิตและสุขภาพมากยิ่งขึ้น เพราะประกันชีวิตและสุขภาพถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงได้ในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด เพื่อให้วัย Gen Z ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีประกันชีวิตและสุขภาพคอยดูแล” นายเอกรัตน์ กล่าวเสริมนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “หนังโฆษณาชุดนี้ถือได้ว่าฉีกแนวจากที่เอไอเอเคยทำมาก่อน เพราะเราใช้ Insights และ Creative idea จากคนวัย Gen Z จริง ๆ มาสร้างสรรค์เป็นโฆษณาชุดนี้ออกมา โดยเนื้อหาของหนังโฆษณาเป็นการเล่าถึง “อาตี๋” วัยใกล้ 30 ปีที่ยังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่ได้คิดถึงอนาคต แต่เมื่อต้องมางานรวมญาติ ซึ่งเหมือนเป็นฝันร้ายของอาตี๋ เพราะจะต้องถูกอาม่าและญาติ ๆ ตั้งคำถามถึงความสำเร็จในชีวิต หนังโฆษณาชุดนี้จึงจะสะท้อนให้เห็นว่า การที่อาตี๋ยังไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่ก็ไม่ช้าเกินไปที่อาตี๋จะเริ่มต้นวางแผนเพื่ออนาคต ซึ่งเอไอเอ อยากมีส่วนช่วยดูแลและสนับสนุนให้วัย Gen Z ที่เป็นอนาคตของชาติ ได้เริ่มวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงินอย่างชาญฉลาด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร้ความกังวลได้อีกยาวนาน” ติดตามชมหนังโฆษณาชุด “อาตี๋จอมห่วย ปะทะวันรวมญาติ” ได้แล้ววันนี้ผ่านสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page, AIA Thailand YouTube Channel และ Line Official Account ซึ่งสามารถคลิกลิงก์ https://youtu.be/tL4WrW_FNco?si=J2sRG_tzSwfEMtrP หรือสแกน QR Code เพื่อรับชมหนังโฆษณานอกจากนี้ เอไอเอ ยังอยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมสนุกกับกิจกรรม Interactive Game บนเว็บไซต์ https://www.livingto100.io ที่จะให้ทุกคนได้ลองคิดดูสิว่า “ความสุขของคุณคือการใช้ชีวิตที่เหลืออีกยาวนานไปกับอะไร?” พร้อมกิจกรรมเพื่อลุ้นรับรางวัลอีกมายมาย ติดตามรายละเอียดได้ทาง AIA Official Facebook Pageหมายเหตุ:*ข้อมูลจากงานวิจัยทัศนคติของกลุ่มเจนเนอเรชัน Z ต่อการประสบความสำเร็จ โดยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์**ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
07/08/2024
เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ ตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ ให้เป็นต้นไม้ 10,000 ต้น ภายในปี 2567พร้อมต่อยอดแคมเปญ ภายใต้สโลแกน “ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+” ชวนลูกค้าลดใช้กระดาษ หันมาใช้ e-Document และ e-Receipt บนแอปพลิเคชัน AIA+AIA+ (เอไอเอ พลัส) แอปพลิเคชันที่รวมทุกบริการจาก เอไอเอ เพื่อความสะดวกในการจัดการกรมธรรม์แบบครบวงจรตามสโลแกน "แอปเดียวจบ ครบทุกบริการ" เปิดตัวแคมเปญ ESG ครั้งใหญ่ "AIA+ Go Green" ภายใต้สโลแกน "ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+" เชิญชวนผู้ถือกรมธรรม์หันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษบนแอปพลิเคชัน AIA+ กับบริการ e-Document และ e-Receipt โดยตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ ภายในสิ้นปี 2567 โดยทุกๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ด้วยการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้นแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการเดินหน้าตามนโยบาย ESG ของ เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากมายในสังคมไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปี โดยเอไอเอตระหนักถึงความสำคัญของการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance - ESG) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพและยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งยังตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือและแก้ไขAIA+ จึงริเริ่มแคมเปญ “AIA+ Go Green” ขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอทุกราย ได้มีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรและหันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษ (Paperless Transactions) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ และใช้บริการ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ยฯ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่สะดวก ใช้งานง่าย และสามารถช่วยจัดเก็บทุกเอกสารสำคัญได้อย่างปลอดภัยพร้อมใช้งานตลอดเวลา ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “อีกหนึ่งการขับเคลื่อนสำคัญของแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ คือการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และลดการใช้ทรัพยากรในทุกกระบวนการดำเนินงานของบริษัท นอกจากแคมเปญ AIA+ Go Green จะทำให้ลูกค้าได้ร่วมลดการใช้กระดาษกับเราได้ง่าย ๆ แล้ว เรายังอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกจากการใช้แอป AIA+ ซึ่งมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเอกสารสำคัญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ ใบแจ้งยอดชำระเงิน ใบเสร็จรับเงิน ไปจนถึงเอกสารเกี่ยวกับสินไหม จะอยู่ในแอปอย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ช่วยตัดปัญหาการค้นหาเอกสารสำคัญไม่เจอ เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายทุกครั้งที่ใช้แอป AIA+”สำหรับแคมเปญ AIA+ Go Green เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม- 31 ธันวาคม 2567 ซึ่ง เอไอเอ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ สู่การปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและร่วมต่อสู้กับภาวะโลกเดือด (Global Boiling) โดยจะขยายความสำเร็จของโครงการ นำทีมโดย คุณพลับ จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ และทีมผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานอาสาสมัครที่จะมาร่วมปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น ในต้นปี 2568คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการตอกย้ำว่าพวกเราทุกคนต่างมีบทบาทในการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกัน ปัจจุบันที่ เอไอเอ ประเทศไทย เราใช้กระดาษมากกว่า 60,000,000 แผ่นต่อปี เพื่อส่งเอกสารถึงผู้ถือกรมธรรม์ทุกท่าน หากผู้ถือกรมธรรม์เปลี่ยนมารับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง e-Document และ e-Receipt ผ่านแอป AIA+ และบรรลุเป้าหมายของแคมเปญ 100,000 กรมธรรม์ภายในสิ้นปี เราจะประหยัดกระดาษได้ถึง 400,000 แผ่น“เรามั่นใจว่าผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ จะดาวน์โหลดแอป AIA+ และรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่สนับสนุนพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีส่วนร่วมเพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573”ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ลดภาระให้สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสะดวกและปลอดภัย ด้วยการดาวน์โหลดแอป AIA+ พร้อมสมัครรับบริการ e-Document และ e-Receipt เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยรักษ์โลกไปกับ เอไอเอ ประเทศไทย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
02/08/2024
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติผู้เขียน : อำนาจ ประชาชาติปัญหาหนี้ครัวเรือน นี่ต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ และเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากโดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่สูงถึงระดับแถว ๆ 90% ในจำนวนนี้มีกลายเป็นหนี้เสียแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ที่เริ่มค้างชำระและอาจจะกลายเป็นหนี้เสียในระยะต่อไปก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความเข้มข้นเป็นระดับไหน อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะบางคนปรับแล้วก็รอด บางคนก็ยังไม่รอดฟังจากบริษัทบริหารหนี้ ก็บอกว่าปีนี้แค่ครึ่งปีแบงก์มีการเปิดประมูลหนี้เสียเกือบเท่ากับปีที่แล้วทั้งปีแล้ว คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะสูงกว่าปีที่แล้วแบบ “ดับเบิล”แต่ถึงแม้จะเปิดประมูลเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะขายได้หมดนะ เพราะแบงก์ก็ต้องการขายได้ในราคาสูง ส่วนบริษัทบริหารหนี้ก็ต้องการซื้อในราคาไม่แพง เพื่อจะไปทำกำไรต่อได้ อันนี้เป็นเรื่องมุมทางธุรกิจ เข้าใจได้ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวจากฝั่งลานประมูลรถ บอกว่าปีนี้ยอดรถยึดเข้าสู่ลานประมูลมากเป็นประวัติการณ์ แถมการระบายรถมือสองออกก็ทำได้ยากเหล่านี้คือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ผูกโยงกันไปหมด สะท้อนว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงอย่างมาก ในขณะที่เศรษฐกิจก็โตแบบเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดรายได้เข้าใจดีว่าทุกฝ่ายเห็นปัญหา และพยายามหาวิธีแก้ในแบบของตัวเองล่าสุดรัฐบาลก็บอกว่ากำลังหาทางแก้ไขหนี้รถกระบะและหนี้รถจักรยานยนต์ เพราะถือว่ากลุ่มนี้ใช้รถเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะแก้อย่างไรโดยในเชิงนโยบาย ใครมีเครื่องมืออะไรก็หยิบมาใช้ อย่างเช่น คนที่มีหน้าที่คุมการก่อหนี้ ก็เพิ่มความเข้มข้นในการคุม หรือหน่วยงานไหนที่สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขอะไรได้ ก็พยายามผ่อนปรนให้ได้มากที่สุดแต่สิ่งที่อยากฝากให้คิดก็คือ จะบาลานซ์ระหว่างการคุมกำเนิดหนี้ครัวเรือน กับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไรถ้าจะคุม คุมแค่ไหนที่จะพอดี ไม่ให้มีเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่โตไปด้วย หรือถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นระดับใดจะพอเหมาะพอควร และช่วยให้หนี้ลดลงได้ด้วยเป็นโจทย์ที่ยากนะ คงต้องฝากให้ผู้เกี่ยวข้องไปคิดหาวิธีกันต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1617022
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
02/08/2024
มาแล้วกับ ทัวร์นิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” (ฮ่องกง) ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ทางผู้จัดงานซึ่งเป็นแบรนด์ครีเอทีฟอย่าง AllRightsReserved ได้คราฟต์ประสบการณ์ในธีมโดราเอมอนให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจไว้ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแปลงโฉมรถไฟ MTR และกระเช้านองปิงให้สะท้อนความสนุกสนานของการเดินทางในธีมโดราเอมอน ตลอดจนยกการแสดงโดรนโดราเอมอนมาให้ชมเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้กระแส “โดราเอมอน” ถูกปลุกขึ้นจากการปรากฏตัวสุดเซอร์ไพรส์ดังกล่าว ภายในงานจัดแสดงนั้นมีทั้งโซนที่สามารถเข้าชมได้ฟรี ซึ่งจัดแสดง ณ สถานที่ที่รู้จักกันดี อย่าง Avenue of Stars และบริเวณท่าเรือจิมซาจุ่ยตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. ไปจนถึง 11 ส.ค. และโซนที่ต้องเสียค่าเข้าชม ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ชั้น 6 ของ K11 MUSEA ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. ไปจนถึง 18 ส.ค. ทั้งนี้ บัตรเข้าชมได้จำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วผู้จัดงาน อย่าง AllRightsReserved ร่วมมือกับ Fujiko Pro ส่งมอบผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง ทัวร์นิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” (ฮ่องกง) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในนิทรรศการโดราเอมอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อฉลองครบรอบ 90 ปีของผู้ให้กำเนิดตัวละครโดราเอมอนอย่าง ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ งานนี้ได้ยกโลกแห่งการ์ตูนและภาพยนตร์โดราเอมอนมาให้ได้ดื่มด่ำและเต็มอิ่ม พร้อมด้วยประติมากรรมหุ่นโดราเอมอนสีสันโดดเด่นที่จะมาแจกจ่ายความน่ารักให้กับทุกคนทั่วฮ่องกง งานนี้ยกทัพคอลเลกชันหุ่นโดราเอมอนขนาดเท่าตัวจริงมาจำนวน 135 ชุด ซึ่งคอลเลกชันส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ยังไม่เคยนำไปจัดแสดงที่ไหนมาก่อน นอกจากนี้ ท่านจะได้พบกับของวิเศษโดราเอมอนที่จะเผยโฉมเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ “100% Friends-Calling Bell” ของวิเศษที่เพียงแค่สั่นกระดิ่ง เพื่อน ๆ ก็จะมาหา เข้ากันได้ดีกับธีมของงานที่เชื่อว่า “เพื่อนแท้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ” เรียกเพื่อนๆ จากทั่วโลกมาพบกับโดราเอมอนที่ Avenue of Stars ในฮ่องกงกัน!ร่วมสนุกได้ฟรีทั่วฮ่องกง! กับประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดราเอมอน “100% DORAEMON & FRIENDS” ที่จะพาทุกคนวาร์ปไปสู่ 10 สถานที่สุดไอคอนิกทั่วเมืองAllRightsReserved ได้จับมือกับผู้สนับสนุนอย่าง การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board) นำเสนอประตูไปที่ไหนก็ได้ “100% DORAEMON & FRIENDS” Anywhere Door ทั่วฮ่องกง ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม ซึ่งท่านจะได้พบกับการปรากฏตัวสุดเซอร์ไพรซ์ของโดราเอมอนตามที่ต่างๆ พร้อมยก “Anywhere Door” ขนาดเท่าของจริง ซึ่งใหญ่กว่าประตูปกติจำนวน 10 บาน มาตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมือง โดยประตูแต่ละบานจะฉายภาพสถานที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกง เสมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้คนได้ออกเดินทางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ แฟน ๆ สามารถเสิร์ชหาบานประตูสีชมพูที่แสนโดดเด่นเหล่านี้ ถ่ายภาพ หรือแม้แต่แลกของที่ระลึกแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นด้วยการแชร์ประสบการณ์ของพวกเขาบนโซเชียลมีเดียนิทรรศการ “100% DORAEMON & FRIENDS” กับ 3 กิจกรรมหลัก: 1. พื้นที่แบบจำหน่ายบัตรเข้าชมที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว 2. โซนเข้าฟรี พร้อมโบนัสโชว์โดรนโดราเอมอนสุดตระการตาสองพื้นที่เข้าชมฟรี:พื้นที่ (1): “100% Doraemon Outdoor Exhibited Area” (สำหรับผู้ที่สำรองการเข้าชมมาล่วงหน้าเท่านั้น)พื้นที่ (2): “100% Avenue of Stars” (ไม่ต้องสำรองการเข้าชมล่วงหน้า)พื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Outdoor Exhibited Area" ขนาดยักษ์ (เข้าชมฟรี) ซึ่งจัดแสดงตลอดเส้นทางริมอ่าวของ Avenue of Stars และบริเวณท่าเรือจิมซาจุ่ย โดดเด่นด้วยตุ๊กตาโดราเอมอนเป่าลมขนาดยักษ์ที่มีความสูงกว่า 12 เมตร ล้อมรอบด้วยหุ่นโดราเอมอนขนาดเท่าตัวจริง (1:1) จำนวน 34 ตัว ที่มาจากทั้งมังงะและซีรีส์แอนิเมชัน พร้อมด้วยหุ่นตัวละครผองเพื่อนและครอบครัวอีก 10 ตัว ที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในการเดินทางครั้งนี้ ชิ้นงานประติมากรรมและพาเนลลายการ์ตูนขนาดมหึมาช่วยรังสรรค์ประสบการณ์อันน่าประทับใจ โดยมีฉากหลังเป็นฟ้าสวยจากมุมของอ่าววิคตอเรียส่วนพื้นที่นิทรรศการ "100% Avenue of Stars" ได้จัดขึ้นเพื่อยกย่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง โดราเอมอนและเพื่อน ๆ รวมถึงโนบิตะต่างแต่งกายในชุดหรูหราและเป็นทางการ ยืนสง่าตลอดเส้น Avenue of Stars พร้อมกับสแตนดีสไตล์คอมิกของผู้ครองวงการภาพยนตร์ชาวฮ่องกง 13 ท่าน ที่ยืนยิ้มแย้มทักทายตลอด “พรมฟ้า” ตามธีมโดราเอมอนนี้และเพื่อเป็นการจัดระเบียบผู้เข้าชมพื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Outdoor Exhibited Area" ที่มาพร้อมกับหุ่นโดราเอมอนพองลมขนาดยักษ์สูง 12 เมตร จะไม่เปิดให้เข้าชมแบบวอล์กอิน (Walk-in) โดยจะต้องสำรองรอบเข้าชมล่วงหน้าบนช่องทางออนไลน์ ผ่าน Klook ซึ่งจะเปิดให้สำรองการเข้าชมทุกวันอังคาร เวลา 12.00 น. โดยสามารถตรวจสอบตารางการสำรองการเข้าชมได้ทาง https://s.klook.com/100_doraemon_gf_enหมายเหตุ: เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผู้ที่สำรองการเข้าชมพื้นที่ฟรี และผู้ที่มีบัตรเข้าชมควรเดินทางมาถึงก่อนเวลาเข้าชมอย่างน้อย 30 นาที เพื่อทำการคัดกรองก่อนเข้าชมสองพื้นที่สำหรับผู้ที่มีบัตรเข้าชมเท่านั้น (บัตรเข้าชมจำหน่ายหมดแล้ว):พื้นที่ (1): “100% Doraemon Manga Art Exhibition Hall”พื้นที่ (2): “100% Doraemon Sculpture Park”พื้นที่นิทรรศการแรก "100% Doraemon Manga Art Exhibition Hall” จัดขึ้นบนชั้น 6 ของ K11 MUSEA ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางฟุต ใน Victoria Dockside ของย่านศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งจะพาแฟนตัวยงหลุดเข้าไปสู่โลกของโดราเอมอนที่จัดเต็มแบบครบครัน โดยท่านจะได้รับชมแอนิเมชันเรื่องสั้นสุดพิเศษจากทุนการสร้างของ AllRightsReserved ผ่านฝีมือของทีมแอนิเมชันญี่ปุ่น "Shin-Ei Animation" ในเวอร์ชันพิเศษสำหรับฮ่องกงโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีห้องอิมเมอร์ซีฟ (Immersive Room) จัดแสดงมังงะ ชิ้นงานจำลองผลงานศิลปะคุณภาพสูง ฉากต่าง ๆ จากในเรื่องโดราเอมอนและภาพยนตร์สุดพิเศษ ตลอดจนคอลเลกชันหุ่นโชว์จำนวน 17 คอลเลกชันส่วนพื้นที่นิทรรศการ "100% Doraemon Sculpture Park" ยกทัพงานประติมากรรมหุ่นโดราเอมอน 36 ชิ้น ประกอบไปด้วยหุ่นจำลองโดราเอมอนจากภาพยนตร์ 13 ชิ้น และประติมากรรมพิเศษ 23 ชิ้น ทั้งยังมีร่างแปลงของโดราเอมอน ในรูปแบบโดราเอมอนมันหวาน โดราเอมอนหมาป่า ร่างผสมระหว่างโดราเอมอนกับโนบิตะ ตลอดจนโดราเอมอนในเครื่องแต่งกายอื่น ๆ มาจัดแสดง ทั้งนี้ บัตรเข้าชมได้จำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วการแสดงโดรนโดราเอมอนครั้งแรกของโลกกลับมาเรียกเสียงฮือฮา!การเปิดตัวการแสดงโดรนโดราเอมอนครั้งแรกของโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จึงทำให้ผู้จัดงานอย่าง AllRightsReserved นำโชว์นี้กลับมาแสดงเหนืออ่าววิคตอเรียอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม ด้วยเรื่องราวที่ปรับใหม่ ถ่ายทอดโดยโดรน 1,000 ลำ ที่มาโลดแล่น รังสรรค์ฉากและภาพสุดคลาสสิกของโดราเอมอนที่มีความหลากหลาย พร้อมด้วยเสียงจากนักพากย์โดราเอมอนที่มาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมพบกับการปรากฏตัวสุดเซอไพรส์ทั่วฮ่องกง ที่แฟนโดราเอมอนห้ามพลาดร้านป๊อปอัพโดราเอมอน ของสะสม & 100% ID ZONEเพื่อฉลองให้กับฮ่องกง จุดพักแรกของการจัดทัวร์นิทรรศการ "100% DORAEMON & FRIENDS" นิทรรศการครั้งนี้จึงเปิดตัวชุดของสะสมธีมพิเศษ ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน DDT มาพร้อมกับภาพพิมพ์คุณภาพสูง หุ่นไม้ของจริงแบบลิมิเต็ดอิดิชันจำนวน 500 ชิ้นทั่วโลก และตุ๊กตาของเล่น โดยคอลเลกชันดังกล่าวประกอบไปด้วยสินค้าพรีเมียมที่หลากหลายกว่า 50 รายการ แต่ละชิ้นมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวและเหมาะเป็นของสะสมสำหรับทุกช่วงวัย ท่านสามารถเลือกซื้อของสะสมนี้ได้ที่ชั้น 6 และชั้น G (G33) ที่ K11 MUSEA ทั้งนี้ โปรดทราบว่า ร้านป๊อปอัพบนชั้น 6 เปิดให้เฉพาะสำหรับผู้ที่มีบัตรเข้าชมงานเท่านั้น แต่ทุกท่านสามารถไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ร้านป๊อปอัพ G33 ซึ่งมีถังป๊อปคอร์นธีมโดราเอมอนที่ดูทั้งสนุกและเข้ากับบรรยากาศ ตลอดจนไอศกรีมที่มาในถ้วยสุดแสนน่ารัก ซึ่งจะมอบ “ความอร่อยหอมหวาน” ให้กับแฟน ๆนอกจากนี้ ท่านยังจะได้พบกับรหัสประจำตัวดิจิทัล DORAEMON ID แบบพิเศษ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและมีผู้ลงทะเบียนไปแล้วกว่า 400,000 คน ท่านสามารถสร้างตัวละครมังงะในแบบของตัวเองผ่านการปรับแต่งรูปร่างหน้าตา สีผิว ทรงผม และเครื่องแต่งกาย เพื่อมาเป็นแก๊งเพื่อนของโดราเอมอนได้อย่างกลมกลืน และที่ "100% ID Zone" นั้น ท่านที่มีบัตรเข้าชมจะสามารถสั่งทำสแตนดีสุดพิเศษได้ที่หน้างาน ซึ่งมีจำนวนจำกัดและเปิดจำหน่ายตามลำดับก่อนหลังและยังมี 100% Digital Stamp พร้อมแจกให้ท่านได้ร่วมสนุก แค่เพียงล็อกอินเข้าสู่ DORAEMON ID และสะสม “100% Digital Stamp” บนหน้าแอปก็เป็นอันสำเร็จ!เข้าชมได้ฟรีโดยไม่ต้องสำรองการเข้าชมเวลา: 10.00 - 22.00 น.สถานที่: G33 ชั้น G/F Muse Edition, K11 MUSEAติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://doraemon100.com/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000067592
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
02/08/2024
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าผลักดันให้จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจุดหมายปลายทางของการพาย SUP ระดับเวิลด์คลาส ร่วมสนับสนุนงานแข่งขันกีฬาเชิงท่องเที่ยวทางน้ำระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของไทย และมีระยะทางไกลที่สุดในเอเชีย “THE ROUTE 97”ภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ บริษัท 306 สตูดิโอ ดีไซน์ จำกัด หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การแข่งขันกระดานยืนพาย รายการ “THE ROUTE 97” ขึ้นเป็นปีที่ 3 ในระหว่างวันที่ 26 - 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันกีฬากระดานยืนพายระยะทางไกลที่สุดในเอเชีย โดยมีระยะทางตลอดการแข่งขัน 106 กิโลเมตร บนแม่น้ำแควน้อยของจังหวัดกาญจนบุรีไฮไลท์เส้นทางการพายในปีนี้จะมีการผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญ อันได้แก่ บ่อน้ำร้อนลิ่นถิ่น น้ำตก 3 แห่ง สะพานแขวนใน เขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค และถ้ำกระแซ ซึ่งจะเป็นการเผยแพร่ภาพของสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของกาญจนบุรี ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำทั่วโลกภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.นอกจากนี้ ในปีนี้ยังเป็นปีแรกที่จัดสรรให้มีการเดินทางมายังกาญจนบุรีโดยรถไฟจากหัวลำโพงเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟอีกด้วยนางสาวสรียา บุญมาก ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานกาญจนบุรี กล่าวว่า ททท. เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) รวมถึงผลักดันให้กิจกรรมกีฬากระดานยืนพาย (Stand Up Paddle Board) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ต้องมาสัมผัสในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะที่เป็นจังหวัดจุดหมายปลายทางของการพาย SUP ที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่ยังมีศักยภาพเป็นจุดหมายของนักพายระดับโลกได้อีกด้วยภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.โดยมั่นใจว่า การจัดการแข่งขันกีฬากระดานยืนพาย “ THE ROUTE 97” ครั้งที่ 3 นี้จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวหรือนักกีฬาได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี ดึงดูดและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism) ซึ่งสามารถสร้างความตระหนักรู้ให้แก่นักท่องเที่ยวในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานกาญจนบุรี https://web.facebook.com/tatkanภาพ: กองประชาสัมพันธ์ในประเทศ ททท.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000063860
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ธุรกิจ
02/08/2024
CMMU เปิดสูตรลับ 7 กลยุทธ์ สู้แบบคนตัวเล็ก สร้างจุดเด่น เน้นจุดขาย หาความแตกต่าง เมื่อต้องชนกับเจ้ายักษ์ใหญ่ในยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจขนาดเล็กก็มีโอกาสแจ้งเกิดได้ไม่แพ้ปลาใหญ่ เพียงมีกลยุทธ์ที่เฉียบคม เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ชอบลองของใหม่ และเบื่อง่าย โดยเราสามารถลืมภาพปลาใหญ่กินปลาเล็กไปได้เลย เพราะธุรกิจขนาดเล็กมีความคล่องตัว ปรับตัวง่าย เข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว ผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย จงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้โดนใจ สร้างจุดขายที่แตกต่างแค่นี้ธุรกิจของคุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ ยืนหยัดในตลาดได้อย่างมั่นคงผศ.ดร.สุเทพ นิ่มสาย หัวหน้าสาขาการจัดการและกลยุทธ์ (Management and Strategy) และหัวหน้าหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโทแบบเร่งรัด กูรูด้านบริหารธุรกิจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า หากธุรกิจขนาดเล็กจะสู้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มี Economy of Scale ได้ ต้องสู้อย่างมีกลยุทธ์ และมีชั้นเชิง7 กลยุทธ์ที่ธุรกิจขนาดเล็ก ควรนำไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีดังต่อไปนี้1. หาช่องว่างทางการตลาด : ต้องหาให้เจอก่อนว่าอะไรที่ธุรกิจขนาดใหญ่ยังไม่ได้ให้บริการหรือยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมหรือดีพอ โดยอาจเจาะไปที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เสนอบริการแบบ Personalized ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า หรือจำหน่ายสินค้าเฉพาะกลุ่ม เฉพาะทาง2. สร้างจุดเด่น เน้นจุดขาย : จุดอ่อนของธุรกิจที่มี Economy of Scale คือ เน้น “ปริมาณ” เป็นหลักทำให้สินค้าหรือบริการมักขาด “จุดเด่น” และ “ความแตกต่าง” ที่ชัดเจน ซึ่งหากธุรกิจขนาดเล็กรู้จักสร้างนวัตกรรมหรือนำความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาสินค้าและบริการให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้าง “จุดขาย” ที่โดดเด่นและแตกต่าง ก็จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง3. ใช้ประโยชน์จากความคล่องตัว : ธุรกิจขนาดเล็กจะมีโครงสร้างองค์กรเรียบง่าย มีความคล่องตัวสูง การตัดสินใจหรือจะทำอะไรทำได้รวดเร็วกว่า ซึ่งสามารถใช้จุดแข็งนี้ลองผิดลองถูกได้มากกว่า สามารถริเริ่มนวัตกรรมหรือกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายกว่า4. เน้นเข้าถึง เข้าใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า : ธุรกิจขนาดเล็กจะมีความใกล้ชิดและเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า ซึ่งสามารถใช้โอกาสนี้ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า สามารถมอบบริการที่สร้างความประทับใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากกว่า 5. ใช้พลังโซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ : ธุรกิจขนาดเล็กควรใช้พลังของโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, TikTok, YouTube ฯลฯ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุนไม่ว่าจะใช้เป็นแหล่งศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค การสร้างช่องทางการขายใหม่ๆ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการทำการตลาด ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ6. สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ : ธุรกิจขนาดเล็กควรสร้างพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ เพื่อเพิ่มคอนเน็กชัน เพิ่มความร่วมมือ โดยเฉพาะหากเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ยิ่งควรสร้างความร่วมมือกับธุรกิจที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ตลาดใหม่ หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยากจะเข้าถึงได้ สร้างโอกาสในการขายสินค้าและบริการใหม่ๆ7. ถึงตัวเล็ก แต่ใจต้องใหญ่ : กล้าที่จะเสี่ยงพร้อมที่จะสู้ สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ ธุรกิจขนาดเล็กต้องคิดบวกและเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ธุรกิจคนตัวเล็กสามารถประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้ โดยอาศัยกลยุทธ์ที่เฉียบคม เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นความคล่องตัว สร้างจุดเด่น เข้าถึงลูกค้าอย่างใกล้ชิด ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และที่สำคัญคือมีความมุ่งมั่น กล้าที่จะเสี่ยง และพร้อมที่จะสู้ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจคนตัวเล็กสามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านขนาด แข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ และยืนหยัดในตลาดได้อย่างมั่นคงแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/business/marketing/600984
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
02/08/2024
กรุงเทพฯ 25 กรกฎาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนางสาวกันยา กันตถาวร (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารตัวแทน เป็นตัวแทนรับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2023 ในสาขา Social Empowerment ประเภท Health Promotion จากความสำเร็จของงาน AIA One Billion Trail 2023 ซึ่งเป็นงานเดิน - วิ่งเทรลประเภททีม 4 คน ครั้งแรกของประเทศไทย บนเส้นทางธรรมชาติจากดอยอินทนนท์ถึงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อระดมทุนสนับสนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมพิชิตเป้าหมายจำนวนมากถึง 400 ทีม พร้อมได้รับยอดเงินบริจาคสูงกว่า 4 ล้านบาท ถือได้ว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและยังเป็นความภาคภูมิใจของเหล่านักวิ่งเทรลที่มีส่วนร่วมในงานนี้อีกด้วยสำหรับงาน AIA One Billion Trail นอกจากจะจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมีชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาวแล้ว ยังตอกย้ำถึงพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยในปีนี้ งาน AIA One Billion Trail 2024 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน นี้ ณ จังหวัดเชียงใหม่ทั้งนี้ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2023 จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติแก่องค์กรที่มีการดำเนินงานและผลงานโดดเด่นด้านการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รางวัลดังกล่าวยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ประเทศไทย ในการดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้คนและชุมชนเพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้าน ESG (ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
02/08/2024
บทความโดย "ศุทธวีร์ มงคลสินธุ์" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยในประเทศไทยมีการส่งเสริมด้านการลงทุนเพื่อการเกษียณหลากหลายรูปแบบ สำหรับพนักงานเอกชนมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) สำหรับผู้ที่รับราชการมีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) อีกทั้งมีรูปแบบการลงทุนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)การลงทุนเหล่านี้นอกจากจะช่วยออมเงินเพื่อเกษียณแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งมีเงื่อนไขกำหนดไว้ สำหรับ PVD และ RMF หากนำเงินออกมาเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนหรือมีการลงทุนมาต่อเนื่องเกิน 5 ปี จะได้รับการยกเว้นภาษี สำหรับเงินก้อนที่ได้รับคืนจาก กบข. หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุสูงอายุ เกษียณ ทดแทน ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จะได้รับยกเว้นภาษี แต่หากสมาชิกออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ๆ เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจาก กบข. จะได้รับยกเว้นภาษีเมื่อสมาชิกฝากเงินให้ กบข. บริหารต่อทั้งจำนวนแล้วขอรับคืนตอนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์จะเห็นได้ว่าเมื่อถึงวันเกษียณ เมื่อนำเงินหลายก้อนมารวมกันก็ถือว่าเยอะพอสมควร ดังนั้น คำถามสำคัญของผู้ที่กำลังจะเกษียณ คือ ควรนำเงินออกมาใช้จ่ายหรือจะนำไปลงทุนต่อ ซึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจ มี 2 ประการ1. ความจำเป็นของการใช้เงินก้อนหลังเกษียณ เช่น การนำเงินไปชำระหนี้ที่คงค้างที่เหลือมาจนถึงช่วงหลังเกษียณ เพื่อลดค่าใช้จ่ายการชำระหนี้ในแต่ละเดือน หรืออาจนำเงินก้อนไปใช้จ่ายในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อซื้อ หรือปรับปรุงที่อยู่อาศัย เป็นต้น2. แหล่งรายได้ประจำหรือเงินสำรองอื่น ๆ ที่มีไว้ใช้สำหรับช่วงหลังเกษียณ ซึ่งจะเป็นเงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ เช่น เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตน บำนาญรายเดือนของข้าราชการ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากปันผลหุ้นหรือกองทุนรวม รายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นต้นหากพิจารณาทั้ง 2 ปัจจัย จะทำให้สามารถแบ่งทางเลือกในการตัดสินใจลงทุนต่อหรือนำเงินลงทุนออกมาใช้ ได้เป็น 4 กรณีดังนี้กรณีที่ 1 มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรนำเงินลงทุนออกมาให้พอเหมาะกับเงินก้อนที่จำเป็นต้องใช้ ตัวอย่าง ผู้เกษียณหลายท่านมีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ควรนำเงินลงทุนออกมาปิดยอดชำระหนี้ และเงินส่วนที่เหลือ ยังคงลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรืออาจพิจารณานำเงินมาลงทุนในกองทุนรวมแบบผสมที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เนื่องจากกองทุนรวมประเภทนี้จะมีการขายคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ลงทุนเพื่อจะได้มีกระแสเงินสดไว้ใช้จ่ายกรณีที่ 2 มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรถอนเงินลงทุนบางส่วนตามความจำเป็นเพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้เพียงพอตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และนำเงินได้จากแหล่งเงินได้อื่นสำรองไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเงินก้อนที่เหลือควรคงไว้ในการลงทุนเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนไปอย่างต่อเนื่อง หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนในอนาคตก็สามารถถอนมาใช้ได้กรณีที่ 3 ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรทยอยถอนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยอาจจะถอนเงินออกมาในแต่ละครั้งเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยเงินที่เตรียมมาไว้ใช้จ่ายนี้ สามารถนำมาพักไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อไม่ให้เงินส่วนนี้ผันผวนไปตามสถานการณ์ ภาวะการลงทุนต่าง ๆกรณีที่ 4 ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน มีแหล่งรายได้อื่น ๆ ควรคงการลงทุนต่อไป สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำหลังเกษียณอยู่แล้ว ข้อดีของการคงเงินลงทุนไว้ คือ สามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องบริหารการลงทุนด้วยตนเอง อีกทั้งการคงเงินลงทุนเป็นทางเลือกให้ไม่ต้องรีบนำเงินออกมา หากช่วงที่เกษียณอายุเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยจะทำให้สามารถรอจนกระทั่งตลาดปรับตัวดีขึ้นแล้วจึงค่อยนำเงินออกจากกองทุนเพื่อการเกษียณสำหรับกรณีที่ผู้เกษียณต้องการคงเงินลงทุนไว้บางส่วนหรือคงเงินลงทุนไว้ทั้งหมดนั้น ช่วงที่ใกล้เกษียณผู้ลงทุนควรปรับนโยบายการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้ต่ำควรเลือกนโยบายการลงทุนในหุ้นมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 และตราสารหนี้ประมาณร้อยละ 90 เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนชดเชยเงินเฟ้อ แต่ถ้าสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจเลือกนโยบายลงทุนแบบสมดุล ซึ่งจะมีการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ เป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างไรก็ตาม ในทุกกรณีต้องไม่ลืมว่า ควรมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น โดยควรเตรียมไว้เบื้องต้น 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเป็นเงินที่ต้องกันออกมาจากการลงทุนส่วนอื่น ๆ โดยอาจพักเงินส่วนนี้ไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรืออาจเปิดบัญชีธนาคารประเภทเงินฝากดิจิทัล ซึ่งเป็นเงินฝากที่ไม่มีสมุดบัญชี ต้องทำรายการผ่าน Mobile Banking เท่านั้น ซึ่งเงินฝากประเภทนี้ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป อีกทั้งการตัดสินใจทางการเงินเพื่อการเกษียณต่าง ๆ ควรตัดสินใจด้วยความรอบคอบ โดยอาจพิจารณาข้อมูลประกอบจากนักวางแผนทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการเกษียณแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1612412
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
02/08/2024
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” ติดต่อกันเป็นปีที่ 13 โดยในปีนี้เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ถึง 2 รางวัล ในสาขาประกันชีวิต และสาขาประกันสุขภาพ ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มาจากผลการทำวิจัยของนิตยสารมาร์เก็ตเธียร์ (Marketeer) ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 6,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ และสะท้อนถึงความเชื่อมั่น ตลอดจนความไว้วางใจของคนไทยที่มีต่อแบรนด์เอไอเอ อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความสำเร็จของเอไอเอ ในฐานะบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการสนับสนุนคนไทยและผู้คนทั่วเอเชียกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรม เพื่อดูแลคนไทยทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ และสุขภาพทางการเงิน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งพิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
16/01/2025
30/03/2024
30/04/2024
24/09/2024
30/04/2024