คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

‘Last Photo’ ภาพถ่ายระลึกชีวิต รอยยิ้มที่มีเรื่องเล่าของช่างภาพธำรงรัตน์

29/04/2024

ช่างภาพมืออาชีพกับเรื่องราว Last Photo การถ่ายภาพคนกลุ่มต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขอแค่รอยยิ้มและความสุขเล็กๆวิธีการถ่ายภาพของช่างภาพคนนี้ พี่ตุ่ย-ธำรงรัตน์ บุญประยูร แม้ไม่แปลก แต่แตกต่าง ก่อนจะถ่ายภาพ(ขาวดำ) เขาจะชวนคุยมากกว่าสั่งให้แอ็คชั่น และเมื่อเห็นว่า ภาพตรงหน้าสื่ออารมณ์ความรู้สึกดีแล้ว ก็กดชัตเตอร์นี่คือเรื่องราวในโครงการ  Last Photo ที่หลายคนอาจเคยได้ยิน หรือเคยร่วมกิจกรรม รวมถึงเคยชมนิทรรศการ ...   •  ก่อนจะเป็น Last Photoในช่วงวัย 30 กว่าๆ  ธำรงรัตน์ ยอมรับว่าถูกเพื่อนรอบข้างเรียกว่า ลุง แต่ปัจจุบันวัย 64 เขาใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า พี่ตุ่ย เพราะเวลาถ่ายภาพให้คนทุกช่วงอายุ ทุกอาชีพ หรือไม่มีอาชีพ ทำให้รู้สึกกลมกลืนโครงการ Last Photo ของช่างภาพธำรงรัตน์ บุญประยูรนั่นเป็นวิธีการทำงานของพี่ตุ่ย ช่างภาพมืออาชีพที่เป็นมิตรกับทุกคน จนเป็นที่มาของโครงการ Last Photo นิทรรศการภาพถ่ายที่ชวนผู้คนมาถ่ายภาพสำหรับงานสุดท้ายของชีวิต โดยได้รับการสนับสนุนทุนจาก สสส.พี่ตุ่ย บอกว่า เวลาถ่ายภาพต้องสร้างความไว้วางใจ ชวนคุย ถ้าโมเมนต์นั้นได้แล้ว ก็กดชัตเตอร์รัวๆ "ผมจะไม่บอกว่าหันซ้าย หันขวา แค่หลอกล่อให้สบายใจ รู้สึกดีแล้วก็กดชัตเตอร์ ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว โครงการ Last Photo จัดนิทรรศการไปสองครั้ง ใช้เวลา 15 เดือนถ่ายภาพระลึกชีวิตคนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจเลย เริ่มจาก กลุ่มแรกๆ ผู้ป่วยระยะท้าย แพทย์พยาบาล ล่าสุดกลุ่มคนไร้บ้าน“พวกเขาก็อยากได้รูปภาพดีๆ เก็บไว้ในงานสุดท้ายของชีวิต  เวลาเราพูดถึง Last Photo คงไม่ได้พูดถึงความตาย แต่พูดถึงคุณค่าและความหมายในการมีชีวิตอยู่ความตายเป็นสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ ไม่รู้เวลาไหน อดีตแก้ไขไม่ได้ อนาคตไม่แน่นอน พรุ่งนี้จะมีไหม...ไม่รู้ สิ่งที่มีก็คือ เดี๋ยวนี้ การถ่ายภาพนิ่งก็คือ การเก็บความทรงจำ ตัวตน ความรู้สึกในช่วงอายุนั้นๆ เอาไว้”   •  ความทรงจำบนภาพถ่ายเวลาหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดู คุณจำสถานที่ ความรู้สึก ห้วงเวลาตอนนั้นได้ไหม...และรู้ไหมใครถ่ายภาพนั้นพี่ตุ่ย เล่าว่า ช่วงเวลาสั้นๆ ในการถ่ายภาพ 10-15 นาที เราจะชวนคุยเรื่องงาน ชีวิต เราสร้างความไว้วางใจ  และเมื่อเห็นว่า ภาพนั้นสื่อความรู้สึกในแบบที่ใช่แล้ว ก็จะกดชัตเตอร์ 10-25 รูป“ระหว่างเขากับเราไม่มีอะไรเลย นอกจากความไว้วางใจ เหมือนเพื่อนที่กำลังเล่าทุกข์สุขกัน จะบอกให้เขายิ้มก็ไม่ได้ มันต้องเกิดจากความรู้สึกภายใน”ช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา พี่ตุ่ยถ่ายภาพคนกว่า 700 คน ตั้งแต่อายุ 18-83 ปี และถ่ายเป็นกลุ่มเล็กๆ  มีเพื่อนรออยู่ด้านหลัง“ระหว่างถ่ายภาพ มีน้องคนหนึ่งเล่าว่า ชอบทำกับข้าวให้แม่และพ่อกิน ดูเขามีความสุขมาก คนที่นั่งฟังอยู่ด้านหลังได้ยินก็ร้องไห้ เพราะเขาไม่เคยทำแบบนี้ให้พ่อแม่เลย แม้พวกเขาจะไม่รู้จักกัน แต่พูดคุยกันได้”กลุ่มเล็กๆ ที่พี่ตุ่ยเล่าให้ฟัง ถ้ามา 20 คนจะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 5 คน บางทีก็ทำกิจกรรมร่วมกัน เปิดพื้นที่รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องตัดสิน และไม่ต้องให้คำปรึกษาและนีี่คือส่วนหนึ่งของ Last Photo ที่กิจกรรมเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ เหมือนเพื่อนกำลังนั่งคุยกัน พี่ตุ่ย บอกว่า กิจกรรมของเราทำอย่างเดียวคือ สร้างความไว้วางใจ เรื่องไหนทำแล้วไม่สบายใจ ไม่ทำ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันธำรงรัตน์ บุญประยูร ช่างภาพมืออาชีพ เจ้าของโครงการ Last Photo   •  ภาพถ่ายในโลกดิจิทัลในช่วงวัยหนึ่งพี่ตุ่ยยอมรับว่า ถ้าไม่ได้เงิน ไม่กดชัตเตอร์ แต่ตอนนี้ถ้านางแบบนายแบบไม่สื่ออารมณ์ความรู้สึก ไม่กดชัตเตอร์ เรื่องนี้อดีตช่างภาพโฆษณา เล่าว่า สิ่งที่ระบบดิจิทัลทำไม่ได้ ก็คือ ภาพที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกของคนๆ นั้นออกมา"7-8 ปีที่แล้ว ตอนที่งานโฆษณาน้อยลง ก็หันมาเป็นช่างภาพให้นิตยสารเครือรักลูก เวลาถ่ายสัมภาษณ์คน เขาก็เอาเรื่องที่สัมภาษณ์เสร็จให้อ่านแล้วตามไปถ่ายภาพ แต่เราคิดว่า ช่างภาพควรไปนั่งฟังด้วย จะได้เห็นเรื่องราว หน้าตา และความรู้สึกคนที่เราจะถ่ายภาพให้หลังจากนั้นผมหันมาถ่ายภาพงานการกุศลคนในโรงพยาบาล เด็กกำพร้า ทำไปทำมา มีหลายคนอยากถ่ายแบบนี้บ้าง ก็คิดคนละ 500 บาท ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ ผมถ่ายสัก 20 คนก็ได้หมื่นหนึ่งจนมาทำพิพิธภัณฑ์แม่ เพื่อนอยากให้ช่วยเป็นแอดมิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่กลับมาดูแลความรู้สึกภายใน ตอนนั้นก็ขอทุนสสส.ทำนิทรรศการจนมาทำเรื่อง Last Photo ได้ทุนไม่เยอะ ปีนี้ตั้งใจว่าขยายไปสู่กลุ่มเปราะบาง  ทั้งกลุ่มคนพิการ คนไร้บ้าน กลุ่มคนตาบอด กลุ่มหลากหลายทางเพศและทุกคนที่ถ่ายให้จะได้ไฟล์รูปถ่ายกลับบ้าน  อย่างกลุ่มคนไร้บ้าน ทำงานร่วมกับมูลนิธิอิสรชนเข้าไปที่ชุมชนตรอกสาเก คนกลุ่มนี้ถ่ายในสตูดิโอไม่ได้“กลุ่มคนไร้บ้านจะเรียกตัวเองว่า ผี เขารู้สึกเหมือนตายไปแล้ว ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรี ไม่รู้สึกว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เราคิดว่า เขามีสิทธิที่จะมีรูปภาพของตัวเอง”    •  Last Photo ภาพถ่ายระลึกชีวิตก่อนหน้านี้เคยมีคนทักพี่ตุ่ยว่า Last Photo มีความหมายเชิงลบ แต่พี่ตุ่ย บอกว่า ใครสงสัยก็เดินเข้ามา คำตอบที่ได้อาจไม่เหมือนกัน“ภาพระลึกชีวิตมีสองเรื่องคือ ความตายกับงานศพ ความตายเป็นเรื่องของเรา งานศพไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ว่าเราจะถ่ายรูปออกมายังไง ถ้าคนจัดงานศพไม่ใช้รูปที่ถ่ายไว้...เราก็ไม่มีสิทธิเท่าที่เห็นในงานนิทรรศการภาพถ่าย 300-400 รูป ไม่มีใครหน้าตาไม่มีความสุขเลย ก็ยิ้มทุกคน ทั้งๆ ที่เป็นงาน Last Photo”คุณลุงพิชัยกับการถ่ายภาพ Last Photoเมื่อถามว่า กลุ่มที่ถ่ายยากที่สุดกลุ่มไหน... พี่ตุ่ย บอกว่า พวกหมอ"เคยมีหมอคนหนึ่งเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด มาถ่ายรูปกับเรา เราก็บอกไปว่า ให้ทิ้งอาชีพไปก่อน คุยกันแบบพี่น้อง 5 นาที อยู่กับผมแบบมีความสุขได้ไหม เขาก็ผ่อนคลาย หรือเจอลุงพิชัย คนป่วยระยะสุดท้ายที่โรงพยาบาลในขอนแก่น รอเพื่อนที่เหมารถมาด้วยกันกลับบ้าน  หมอก็เลยชวนมาถ่ายภาพ ตอนถ่ายภาพแกยิ้ม หน้าตามีความหวัง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า มีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ลูกที่มาด้วยเห็นภาพพ่อในจอยิ้มก็เดินมาบอกว่า ขอถ่ายรูปกับพ่อได้ไหม ภาพลุงพิชัยจะเป็น 1 ใน 12 ภาพใหญ่ที่ผมเลือกไว้ ในงานศพลุงพิชัยก็ไม่ได้ใช้รูปนี้"ตั้งแต่เดือนมีนาคม-ธันวาคม ปี 2567 พี่ตุ่ยวางเป้าหมายไว้ว่า จะถ่ายรูปให้คนกลุ่มเปราะบางอีกหลายกลุ่ม ล่าสุดเป็นกลุ่มคนไร้บ้าน และวันที่ 3 มีนาคม ชวนเพื่อนๆ หลากหลายทางเพศ LGBTQ ถ่ายภาพที่ร้านบ้านเพื่ิอน Cafe&Space ปากซอยจรัญ 36 ปิ่นเกล้า“มีคนบอกว่า ถ้าจะทำความดีไม่ต้องขออนุญาตใคร แค่ขอความร่วมมือ เจ้าของร้านวัย 24 ปีที่เราติดต่อไป ไม่คิดค่าเช่าสถานที่ในการถ่ายภาพกลุ่มหลากหลายทางเพศ แต่ผมก็อยากช่วยอุดหนุน”นี่คือเรื่องเล่าจากพี่ตุ่ย ซึ่งชีวิตตอนนี้ เขาบอกว่า อยู่ก็ได้ ตายก็ไม่เสียใจ ถ้าตื่นมายังหายใจ ก็ออกไปทำงาน...แหล่งที่มาต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1114522

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมจึงไม่แนะนำให้นอนหลับระหว่างเครื่องบินขึ้นลง

05/03/2024

ใครที่ต้องเดินทางตอนเช้า และรีบตื่นเพื่อไปสนามบิน โดยหวังว่าจะไปหลับต่อบนเครื่องบิน แต่เราอยากบอกว่าการนอนหลับบนเครื่องบินระหว่างเครื่องบินขึ้น และลงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำให้ทำ จะเป็นเพราะสาเหตุใดเรามาทราบไปพร้อมๆ กันผลกระทบต่อร่างกายหากเรานอนหลับระหว่างเครื่องบินขึ้นลง1. อาการปวดหูบนเครื่องบิน เกิดจากความแตกต่างของความดันอากาศระหว่างสภาพแวดล้อมและหูชั้นในของคุณ ความไม่สมดุลนี้ทำให้แก้วหูของคุณโป่งพองอย่างเจ็บปวด (คล้ายกับอาการที่รู้สึกเมื่อว่ายน้ำจมไปก้นสระแล้วรู้สึกเจ็บหู แต่กรณีนี้เป็นความดันอากาศแทนความดันน้ำ)ระหว่างการขึ้นและลงของเครื่องบิน จากความกดอากาศในห้องโดยสารเครื่องบินเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แก้วหูของเราปรับตัวตามไม่ทัน นักเดินทางหลายคนประสบปัญหาปวดหูตอนอยู่บนเครื่องบิน ทำให้รู้สึกเจ็บหรืออึดอัดในหู นอกจากนี้อาจทำให้สูญเสียการได้ยินเล็กน้อยหรือวิธีปรับความดันอากาศในชั้นหูโชคดีที่การปรับความดันภายในหูด้วยตัวเองนั้นทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กลืนน้ำลาย หรือเคี้ยวอาหาร กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเปิดท่ออากาศยูสตาเคียน (eustachian tube) ในหู ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความดันภายในหู บางคนสามารถควบคุมกล้ามเนื้อเยื่อเยื่อกระดูกขมับ (tensor tympani) ภายในหู ซึ่งมีหน้าที่เปิดท่ออากาศยูสตาเคียนได้ตามใจชอบสำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีเทคนิคเหล่านี้มักจะได้ผล แต่ก็มีบางปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะการปวดหู เช่น อาการคัดจมูก นอกจากนี้ ผู้ที่มีท่ออากาศยูสตาเคียนขนาดเล็ก เช่น ทารกและเด็กเล็ก อาจมีปัญหาในการปรับความดันภายในหูเช่นกันนอกจากนี้การใช้  "EarPlanes" ที่อุดหูชนิดนี้ทำจากซิลิโคน มีตัวกรองเซรามิกขนาดเล็ก ช่วยปรับความดันภายในหูอย่างช้าๆ ลดโอกาสการเกิดภาวะการปวดหู2. ความปลอดภัยการงีบหลับระหว่างเครื่องขึ้นและลงจอด ยังส่งผลต่อความปลอดภัยด้วย ช่วงเครื่องขึ้นและลงเป็นช่วงวิกฤติของการบิน รายงานจาก Boeing และ Airbus ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่า ช่วงเวลานี้มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางอากาศมากกว่าช่วงอื่นๆ "อีกเหตุผลสำคัญที่ไม่ควรนอนระหว่างเครื่องขึ้นและลงคือ การรับรู้สถานการณ์อย่างเต็มที่ กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้โดยสารและลูกเรือจำเป็นต้องอพยพออกจากเครื่องบิน" ดร.แดน บับ กล่าว หากคุณหลับอยู่ตอนเกิดเหตุ อาจใช้เวลานานกว่าจะตั้งสติและตอบสนองได้เหมาะสม ซึ่งนั่นอาจเป็นปัญหาได้ดังนั้นการตื่นอยู่ระหว่างเครื่องขึ้นและลงจอดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่หากเหนื่อยล้ามากๆ วิธีแก้ไขคือ งีบสั้นๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่อง จากนั้นตื่นก่อนเครื่องขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นถึงจะงีบต่อยาวๆ จนใกล้ลงจอดขอขอบคุณข้อมูล :travelandleisureแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446811/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

สาววัย 21 เอะใจ นอนวันละ 14 ชม. หมอบอกเป็น วัยรุ่นขี้เกียจ สุดท้ายตรวจพบมะเร็ง

29/04/2024

สาววัย 21 สงสัยนอนมากผิดปกติ วันละ 14 ชม. หมอบอกเป็นแค่อาการ วัยรุ่นขี้เกียจ ก่อนไปตรวจอีกครั้งถึงรู้ว่าเป็นมะเร็งว่ากันว่าสิ่งที่ไม่ควรผิดพลาดเลยก็คือการทำงานของหมอ เพราะบางทีอาจจะหมายถึงชีวิตของคน เช่นเดียวกับเคสล่าสุดของ คอร์ทนีย์ เน็ตเลตัน (Courtney Nettleton) สาววัย 21 ปีจากสหราชอาณาจักร พบว่าตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างควบคุมไม่ได้ และนอนหลับยาวถึง 14 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดฤดูร้อนปี 2021 เธอกังวลว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับสุขภาพคอร์ทนีย์ ตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบตั้งแต่เนิ่นๆ แต่แพทย์กลับไม่ค่อยที่จะใส่ใจต่ออาการป่วยของเธอมากนัก และให้คำตอบเพียงว่า "หมอบอกฉันว่าเป็นเพียงความขี้เกียจของวัยรุ่น"จากนั้นมาอาการของเธอก็ยังเหมือนเดิม จนต่อมาในเดือนมกราคม 2022 เพื่อนร่วมงานสังเกตเห็น ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ยื่นออกมาจากบริเวณลำคอเธอ เธอตัดสินใจเดินทางไปโรงพยาบาลอีกครั้ง และผู้เชี่ยวชาญก็ได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยเรื้อรังของเธอ   กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ คอร์ทนีย์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ และแพทย์บอกกับเธอว่ามะเร็งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แน่นอนมันทำให้ คอร์ทนีย์ รู้สึกเสียใจและเป็นกังวลมากทั้งนี้หญิงสาวบอกด้วยว่า เมื่อครั้งที่มาโรงพยาบาลครั้งแรก นอกจากอาการนอนนานผิดปกติแล้ว ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเธอมีอาการผิดปกติหลายอย่าง เช่น เหนื่อยล้า หายใจไม่ออก ร้อนวูบวาบ ไม่มั่นคง คอเคล็ด มีสิว และอารมณ์แปรปรวนคอร์ทนีย์ ตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบตั้งแต่เนิ่นๆ แต่แพทย์กลับไม่ค่อยที่จะใส่ใจต่ออาการป่วยของเธอมากนัก และให้คำตอบเพียงว่า "หมอบอกฉันว่าเป็นเพียงความขี้เกียจของวัยรุ่น"จากนั้นมาอาการของเธอก็ยังเหมือนเดิม จนต่อมาในเดือนมกราคม 2022 เพื่อนร่วมงานสังเกตเห็น ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ยื่นออกมาจากบริเวณลำคอเธอ เธอตัดสินใจเดินทางไปโรงพยาบาลอีกครั้ง และผู้เชี่ยวชาญก็ได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยเรื้อรังของเธอกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ คอร์ทนีย์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ และแพทย์บอกกับเธอว่ามะเร็งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แน่นอนมันทำให้ คอร์ทนีย์ รู้สึกเสียใจและเป็นกังวลมากทั้งนี้หญิงสาวบอกด้วยว่า เมื่อครั้งที่มาโรงพยาบาลครั้งแรก นอกจากอาการนอนนานผิดปกติแล้ว ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเธอมีอาการผิดปกติหลายอย่าง เช่น เหนื่อยล้า หายใจไม่ออก ร้อนวูบวาบ ไม่มั่นคง คอเคล็ด มีสิว และอารมณ์แปรปรวน"ที่ปรึกษาของฉันโทรหาฉัน เพียง 3 วันหลังจากนั้น เพื่อบอกฉันว่าเซลล์มะเร็งถูกพบในช่องน้ำเหลืองและหลอดเลือดในต่อมไทรอยด์ของฉัน และฉันจะต้องได้รับการผ่าตัดและฉายแสงเพิ่มเติม"คอร์ทนีย์ ยอมรับว่าผิดหวังกับแพทย์มากๆ ตั้งแต่นั้นมาเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกสองครั้ง ซึ่งทำให้เธอรู้สึกอ่อนแอและวิตกกังวล ในเวลานี้ยังดีที่มีเพื่อนและครอบครัวของเธอ คอยเป็นที่พึ่งพา เพื่อขอความช่วยเหลือในระหว่างการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด"ฉันจะทราบผลลัพธ์ภายในประมาณหกสัปดาห์เพื่อดูว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่… และถึงแม้ว่าการรักษามะเร็งจะเป็นไปได้ดีมาก แต่ฉันก็ยังมีความกังวลอยู่เสมอว่ามะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังที่อื่น… ฉันมีอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรง ดังนั้นฉันจึงกังวลอยู่ตลอดเวลาทุกคนรู้จักร่างกายของตัวเองมากกว่าใครๆ… การเชื่อในสัญชาตญาณและทำตามสัญชาตญาณของตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองเมื่อรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง" คอร์ทนีย์ ระบุทิ้งท้ายข้อมูลจาก New York Postแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทนนิวส์https://www.thainewsonline.co/news/foreign/867421

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน Recruitment Kickoff 2024 มุ่งยกระดับการสร้างตัวแทน สู่การเป็น AIA Financial Advisor (AIA FA) ที่ปรึกษามืออาชีพ ด้านประกันชีวิต การเงินและสุขภาพ

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 4 มีนาคม 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน Recruitment Kickoff 2024 “ยกระดับการสร้างตัวแทนอย่างไร ให้เท่าเทรนด์อายุยืนยาว” เดินหน้าสร้างตัวแทนคุณภาพเพื่อส่งมอบการดูแลและการบริการเหนือระดับให้แก่คนไทยทั่วประเทศ พร้อมยกระดับตัวแทนประกันชีวิตของไทย ให้ก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาอย่างมืออาชีพ ด้านประกันชีวิต การเงินและสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA) เพื่อมอบคำปรึกษาและการวางแผนทางการเงินให้คนไทยได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ เตรียมความพร้อมเพื่อการมีอายุที่ยืนยาวอย่างมั่นคงและมั่งคั่ง ในงาน Recruitment Kickoff 2024 ยังได้ผู้ทรงคุณวุฒิ และที่ปรึกษาด้านการเงินมืออาชีพ ร่วมบรรยายพร้อมแบ่งปันประสบการณ์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจและติดอาวุธความรู้ให้แก่เหล่าที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงินและสุขภาพของเอไอเอ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จในสายอาชีพ ตลอดจนยังมีพิธีมอบรางวัล Career Achievement Bonus ประจำปี 2566 ให้แก่ AIA FA ที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจในการปฎิบัติงานของเหล่า AIA FA ให้มีพลังในการออกไปช่วยผลักดัน ให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับโปรแกรม AIA FA มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เราเริ่มโปรแกรมนี้ขึ้นมาในปี 2552 โดยมีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพตัวแทนให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงินและสุขภาพมืออาชีพ เพื่อพร้อมส่งมอบบริการ คำปรึกษา และการเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพการเงินให้กับคนไทย ให้คนไทยทั่วประเทศได้มีความพร้อมในการที่จะมีอายุยืนยาวขึ้นในอนาคต ซึ่งจากการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติและข้อมูลจากนักวิชาการ ได้แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่คนไทยจะมีอายุขัยเฉลี่ยถึง 100 ปี ดังนั้น การเตรียมตัววางแผนเพื่อให้ช่วงชีวิต 10 ปีสุดท้ายไม่ต้องลำบากหรือเป็นภาระของลูกหลานนั้น ถือเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่ง เพราะด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของค่ารักษาพยาบาล ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่เบียดเบียนความสุขในชีวิตของเรา หากต้องมีอายุที่ยืนยาวไปถึง 100 ปี เอไอเอ ในฐานะที่เราเป็นผู้นำในด้านประกันชีวิตและสุขภาพ อีกทั้งเรายังมีพลังตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย เราจึงไม่นิ่งนอนใจที่จะพัฒนาคุณภาพและความสามารถของตัวแทนเอไอเอ ให้พร้อมสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ที่จะสามารถช่วยคนไทยวางแผนชีวิตได้อย่างรอบด้าน ด้วยโปรแกรมการอบรมและพัฒนา AIA FA ที่เข้มข้น ตลอดจนทีมฝึกอบรมมืออาชีพของเอไอเอ และรุ่นพี่ที่จะคอยให้คำแนะนำไปตลอดเส้นทางในอาชีพ และที่สำคัญเรามี Career Achievement Bonus ที่เสมือนเป็นแรงกระตุ้นให้ AIA FA ทุกคนพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ ซึ่งเอไอเอ เรามีพันธกิจใหญ่ที่ชัดเจน คือการส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

ลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ” !?

01/03/2024

ถ้า คู่แข่ง คิดและทำ ในสิ่งที่ท่าน ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ …..สิ่งที่ท่านจะทำได้ คงเหลือแต่เพียง ทำใจ….ดูลูกค้าของท่าน จากไปอยู่กับธุรกิจของคู่แข่งของท่าน ! Part.1. เมื่อแต่ละธุรกิจทำเหมือนๆกัน !? ธุรกิจทุกขนาด ที่ทำเหมือนๆหรือคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น สินค้า-บริการ คล้ายกันหรือแทบไม่เห็นความแตกต่าง ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น ธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่าย ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเอง นอกจากจะต้องแข่งกับคู่แข่งแล้ว ยังต้องแข่งกับตัวแทนจัดจำหน่ายด้วยกันเอง ยังไม่รวมสินค้าจากจีน ที่ทะลุทะลวงจนทำให้หลายธุรกิจของไทยในปัจจุบัน วงแตก ทยอยล้มหายตายจาก! ไม่ใช่แค่ธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายเท่านั้น ธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำเหมือนๆคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งปัจจุบันและคู่แข่งใหม่ๆที่กำลังเข้ามาทุกวัน ถ้าสายป่านเงินทุนไม่ยาว รอดยาก แต่ถึงแม้สายป่านยาว กำไรก็น้อยลงทุกวัน! Part.2. เพราะ Full Force Strategy ที่เหมือนกัน….? ธุรกิจที่ไม่มีอะไรแตกต่าง ที่ใช้ Full Force Strategy ที่เหมือนกัน และส่วนมากเป็นกลยุทธ์ที่ไม่แตกต่างกันก็คือ การลดราคา การจัดPromotionตลอดทั้งปี บางธุรกิจยิ่งขายยิ่งขาดทุน! Full Force คือการทุ่มสรรพกำลังทั้งหมด แต่เมื่อการทุ่มทั้งหมดไปที่กลยุทธ์ ราคา เป็นหลัก ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะ การใช้กลยุทธ์ราคา เช่น ลด แลก แจก แถม เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดในการคิดและทำ แต่เป็นกลยุทธ์ที่เจ็บตัวมากที่สุดเช่นกัน! ลองปรับเปลี่ยน จาก Full Force Strategy ที่เน้นไปที่การลดราคาอย่างเดียว เป็นกลยุทธ์อื่นๆ อย่างน้อย จะไม่เจ็บตัวเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมก็คือ อาจค้นพบโอกาสใหม่ๆ ลูกค้าใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ที่สร้างผลกำไรได้ดีกว่าวิธีเดิมๆที่กับคู่แข่งใช้เหมือนกัน Part.3. ลองเปลี่ยนวิธีคิด ปรับวิธีการในเรื่อง กลยุทธ์ ! เป็นเรื่องยากมาก ที่เราจะชนะด้วยวิธีคิด วิธีการที่ไม่แตกต่างจากคู่แข่ง แต่เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป ถ้าจะลอง ลองเปลี่ยนวิธีคิด ปรับวิธีการในเรื่อง กลยุทธ์ ลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ” !? โดยเลิกคิดเลิกทำตามคู่แข่ง แต่ให้คิดใน “มุมของลูกค้า”! Part.4.ธุรกิจเรา จะช่วยแก้ปัญหา Pain Point ในเรื่องใดของลูกค้าได้บ้าง!? ลูกค้าของทุกธุรกิจ ทุกคนต่างก็มี Pain Point ที่เรามักจะมองไม่เห็น หรือ มองข้าม มีอะไรหลายอย่างที่ยังไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการ และ แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ที่ผ่านมาหลายธุรกิจ มักจะคิดแต่ ขายในสิ่งที่อยากขาย แต่อาจไม่ตรงความต้องการของลูกค้า แล้วจะรู้ปัญหา และ ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร? เริ่มต้นที่ วิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า และ ลองคุยกับลูกค้าแต่ละประเภทอย่างจริงจัง เพื่อหาCustomer Insight (ข้อมูลเชิงลึก ของลูกค้า) ท่านจะค่อยๆ ค้นพบ Pain Point ที่ลูกค้าพบเจอในปัจจุบัน จากสินค้า บริการของคู่แข่งและของท่าน ข้อมูลตรงส่วนนี้มีค่ามหาศาลมาก เพราะท่านจะมองเห็นโอกาส ที่คู่แข่งมองไม่เห็น และท่านก็ไม่เคยมองเห็นเช่นกัน Part5. ถึงเวลาลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ” เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็เป็นเรื่องไม่ยาก ที่ท่านจะนำ ปัญหาและความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน มาเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ใหม่ของท่าน ที่เป็นกลยุทธ์ วิธีการที่คู่แข่ง และท่าน ยังไม่ได้ทำ หรือไม่เคยคิดจะทำ Key Point ก็คือ สิ่งที่ท่านคิดจะทำนี้ “ต้องแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน”! ตัวอย่างเช่น Pain Point ของลูกค้าในยุคปัจจุบันคือ สินค้า/บริการ ที่ลูกค้าเคยซื้อจากคู่แข่งหรือเคยซื้อจากท่าน ใช้แล้วพบปัญหาบางอย่าง เพราะขาดการแนะนำที่ดีก่อนการใช้ “โอกาสที่ท่านค้นพบ” ก็คือ การเพิ่ม ยกระดับความสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากสินค้า/บริการของท่าน ภักดีกับบริษัทของท่าน ด้วยการ ให้คำแนะนำก่อนใช้-ระหว่างใช้-และช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าหลังการใช้ เป็นต้น หรือ ลองใช้กลยุทธ์ใหม่ที่คู่แข่งและท่านไม่เคยทำ เช่น คู่แข่งเน้นลดราคา (และมักจะแอบลดคุณภาพ หรือ ปริมาณลงแบบเนียนๆ โดยที่ลูกค้าอาจไม่รู้) แต่ท่าน ไม่ลดราคา แต่ยกระดับคุณภาพสินค้า และยกระดับคุณภาพ การให้บริการเชิงรุก (ในระยะสั้น ต้นทุนเหมือนอาจจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะกลางและระยะยาว ท่านจะได้ครองใจลูกค้า และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มจากคู่แข่ง) Part6.บทสรุป ไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะคิดจะทำ ในการลองคิด ลองทำ สิ่งที่คู่แข่ง ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ เพราะถ้า คู่แข่ง คิดและทำ ในสิ่งที่ท่าน ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ …..สิ่งที่ท่านจะทำได้ คงเหลือแต่เพียง ทำใจ….ดูลูกค้าของท่าน จากไปอยู่กับธุรกิจของคู่แข่งของท่าน! แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1114681

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ขยายพื้นที่ศิลปะสู่โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก หอศิลปกรุงเทพฯ เปิด “BACC pop•up” แห่งแรกในประเทศไทย!

29/04/2024

ชาวศรีนครินทร์อาร์ตต่อไม่แผ่ว หลังจากที่ ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ได้กลายเป็นพิกัดลับสุดท็อปฟอร์มของเทศกาล Bangkok Design Week 2024 (BKKDW2024) ที่ผ่านมาไปแล้ว ล่าสุด BACC หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ MMAD - MunMun Art Destination (แมด - มันมัน อาร์ต เดสทิเนชั่น) คอมมูนิตี้อาร์ตแห่งใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก ภายใน มันมัน ศรีนครินทร์ เปิด “BACC pop•up” แห่งแรกในประเทศไทย! ยกนิทรรศการที่คัดสรรมาแล้วจาก BACC มาให้ชาวกรุงเทพฯ ตะวันออก ได้เข้าถึงศิลปะแบบไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดสถานที่ สร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้รักงานศิลปะฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที รองประธานกรรมการมูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “หอศิลปกรุงเทพฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม ที่ควรจะมีจำนวนและที่ตั้งใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพียงแห่งเดียวเท่านั้น จึงริเริ่ม BACC pop•up แห่งแรกในประเทศไทย ที่ MMAD มันมัน ศรีนครินทร์ เป็นโครงการเปิดพื้นที่ศิลปะสู่ประชาชน เพื่อสร้างพื้นที่ทางศิลปะให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้คนทางด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร พร้อมเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย เกื้อหนุนบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนระหว่างคนทำงานศิลปะ ผู้ชมงาน และชุมชนโดยรอบ พื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่นี้จะเป็นพื้นที่ช่วยสร้างคนดูและบ่มเพาะนิสัยรักศิลปะ เพื่อทำให้การชมงานศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของผู้คนทุกรุ่น ทุกวัย”ดร.จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “งาน Bangkok Design Week 2024 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และ MMAD – MunMun Art Destination (แมด - มันมัน อาร์ต เดสทิเนชั่น) ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ทางด้านศิลปะที่ติดเทรนด์ และได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก จึงทำให้เราเดินหน้าสานต่อคอมมูนิตี้อาร์ตเพื่อชาวกรุงเทพตะวันออกต่อไม่หยุด ซึ่ง BACC pop•up ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงศิลปะแบบไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดสถานที่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สนุกๆ ในแบบของตัวเอง พร้อมแต่งแต้มสร้างสรรค์แรงบันดาลใจ ให้ชีวิตมีสีสันมากยิ่งขึ้น ด้วยศิลปะหลากหลายแขนง เปลี่ยนศูนย์การค้าให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ พร้อมประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร”สำหรับนิทรรศการภายใน BACC pop•up เป็นการยกนิทรรศการจาก BACC มาให้ชาวกรุงเทพตะวันออกได้สัมผัสภายใต้มาตรฐานงานเดียวกัน เพิ่มโอกาสในการชมงานศิลปะหลากรูปแบบ และร่วมกิจกรรมศิลปะได้ตลอดทั้งปี ซึ่งจะประกอบไปด้วย 4 ห้องแสดงงาน พร้อมจัดแสดงหมุนเวียนทุกเดือน รวมกว่า 69 นิทรรศการ ตลอดปี 2567GALLERY 1ขับเคลื่อนให้ประชาชนเข้าใจคุณค่าและความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรม ผ่านงานนิทรรศการ กิจกรรมศิลปะ กิจกรรมการศึกษา และเป็นพื้นที่เชื่อมโยงกลุ่มเครือข่ายและพันธมิตรทางศิลปวัฒนธรรมในแขนงต่าง ๆGALLERY 2พื้นที่รองรับนิทรรศการที่นําเสนอโดยหน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือบุคคลทั่วไป คัดเลือกจาก นิทรรศการที่จัดแสดงอยู่บริเวณผนังโค้งช้ัน 3, 4, 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครGALLERY 3พื้นที่สร้างสรรค์สําหรับทุกคน รองรับกิจกรรมและนิทรรศการศิลปะ นําเสนอโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางและเทคนิคในการจัดแสดงที่หลากหลายGALLERY 4พื้นที่แห่งใหม่รองรับนิทรรศการจากโครงการ People's Gallery เพื่อขยายพื้นที่แสดงออกทางศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัยหลากหลายสาขา สําหรับศิลปินหน้าใหม่ที่มีไฟอยากแสดงออก เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะ จัดการแสดง และกิจกรรมด้านศิลปะอื่นๆนอกจากนี้ ภายใน BACC pop•up ยังมี Art Playground สนามเด็กเล่นเพื่อการเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรม โดยการออกแบบกิจกรรมและโปรแกรมศิลปะและวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เน้นการมีส่วนร่วม และเปิดโอกาสให้เกิดการจินตนาการอย่างอิสระไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ทางศิลปะ ผ่านการเชื่อมโยงผลงานศิลปะเข้ากับผู้คน พื้นที่ และความสัมพันธ์รอบ ๆ ตัวเรา แวะมาปลุกความอาร์ต ตามหาแรงบันดาลใจกันได้ที่ BACC pop•up ที่ MMAD - MunMun Art Destination ชั้น 2 และ 3 มันมัน ศรีนครินทร์ อัพเดทแวดวงศิลปะเพิ่มเติมกันได้ที่ Facebook: MMAD - MunMun Art Destination และ Facebook: MunMunแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000017786

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ความงดงามในฤดูหนาว “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” คีร์กีซสถาน

29/04/2024

หลังจากที่คนไทย รู้จัก “คีร์กีซสถาน” ในฐานะทีมฟุตบอลคู่แข่งที่ทีมชาติไทยเอาชนะไปได้ในศึกเอเชียนคัพ เมื่อเดือนที่แล้ว ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศแห่งนี้ก็นับว่ามีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามตามสภาพของภูมิประเทศ-ภูมิอากาศแบบประเทศแถบเอเชียกลางภาพ: สำนักข่าวซินหัวโดยล่าสุด สำนักข่าวซินหัวสื่อทางการของจีน เผยภาพอันน่าหลงใหลของทิวทัศน์ธรรมชาติสบายตายามฤดูหนาว ปลายเดือนกุมภาพันธ์ในเขต “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” (Ala-Archa National Park) ย่านชานเมืองกรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถานภาพ: สำนักข่าวซินหัวสำหรับ “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” เป็นอุทยานฯ ที่ก่อตั้งทางการเมื่อปี ค.ศ. 1976 อยู่ห่างจากกรุงบิชเคก ออกไปเพียงประมาณ 35 กิโลเมตรเท่านั้น ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 165 ตารางกิโลเมตร และมีระดับความสูงตั้งแต่ 1,500 เมตรไปจนถึงสูงสุด 4,895 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาเซเมนอฟ-เทียน-ชานสกี (Semenov-Tian-Shansky) ยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาคีร์กีซอาลาทูภาพ: สำนักข่าวซินหัวภายในอุทยานมีธารน้ำแข็งมากกว่า 20 แห่ง มียอดเขาประมาณ 50 ยอด และมีแม่น้ำสายเล็กสองสาย ได้แก่ Adygene และ Ak-Sai ซึ่งต้นกำเนิดมาจากน้ำที่ธารน้ำแข็งละลายภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000017447

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ในหัวข้อ “A Financial Approach to Climate Risk” โดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 29 กุมภาพันธ์ 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าจัดงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Japan-ASEAN Bridges Event Series ร่วมกับ The International Peace Foundation ในหัวข้อ “A Financial Approach to Climate Risk” โดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546 ซึ่งได้ค้นพบโมเดล Autoregressive Conditional Heteroskedasticity (ARCH) ที่นำมาใช้วิเคราะห์ความผันผวนของดัชนีหลักทรัพย์ รวมไปถึงการคิดค้น "แผนป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ" (Climate Hedge Portfolios) ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงระยะยาวที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของทุกคน เพื่อต่อยอดความมุ่งมั่นของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพชีวิตและสุขภาพการเงินที่มั่นคงอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ร่วมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการจากหลากหลายสถาบันที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดงานอันทรงคุณค่าอย่าง AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายของเราที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับสังคมและผู้คนอย่างน้อยหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573 แน่นอนว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ได้กลายเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจโลก ในฐานะที่เอไอเอเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่ง ที่นอกจากจะมอบความคุ้มครองด้านชีวิตและสุขภาพแล้ว เรายังเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนั้นเรายังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำด้าน ESG ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ตลอดจนทำให้เอไอเอสามารถดูแลลูกค้า ชุมชน และสังคม รวมถึงประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนผมเชื่อว่าการบรรยายพิเศษจากศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลในสาขาเศรษฐศาสตร์ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับทุก ๆ องค์กรในการเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือระดับประเทศ เพื่อจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น เอไอเอมีความมุ่งหวังที่จะนำพาอุตสาหกรรมด้านการเงินและการประกันภัยให้มีความพร้อมมากขึ้นในการจัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต”ส่วนหนึ่งจากการบรรยายของ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546 ได้อธิบายถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ (Physical Risks) รวมไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Transition Risks) และนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องต่อการจัดการหลักทรัพย์ ธนาคาร การประกันภัย และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมไปถึงความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ที่ยังถือเป็นแนวทางที่องค์กรต่าง ๆ ต้องศึกษาเพื่อหาความร่วมมือระดับโลกในการจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ“การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเสี่ยงระยะยาว (Long Run Risk) ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องหาทางออกเพื่อจัดการกับปัญหานี้ ซึ่งการใช้ "แผนป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ" (Climate Hedge Portfolios) ถือเป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันความเสี่ยง รวมไปถึงการประเมินหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ดี โมเดล Autoregressive Conditional Heteroskedasticity (ARCH) ยังสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ความผันผวนของดัชนีหลักทรัพย์ และประเมินความเสี่ยงด้านการเงินและหลักทรัพย์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์นำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อคาดการณ์ราคาหุ้นและตัวแปรทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล กล่าวสำหรับงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Living to 100  ที่เอไอเอมุ่งตอกย้ำถึงการวางแผนด้านการเงินและสุขภาพระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงในช่วงสุดท้ายของชีวิต  ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าเฉพาะบุคคล ส่งเสริมให้คนไทยมีอนาคตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยสามารถศึกษาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aia.co.th/th/campaigns/living-to-100/family

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หากต้องจากไป จะส่งต่อทรัพย์สินอย่างไร ไม่ให้ตกหล่น ?

29/02/2024

บทความโดย "นิราวัลย์ ธรรมศิริเจริญ"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 สมมุติว่าวันนี้เราเผลอหลับไป แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เราสร้างและสะสมมา เช่น เงินสด ที่ดิน ธุรกิจ หุ้น เครื่องประดับ ของสะสม ฯลฯ จะตกไปอยู่กับใคร ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านจากทรัพย์สินไปเป็นมรดก มักจะมีบางส่วนที่หายไป เช่น ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนทรัพย์สิน หากทรัพย์มรดกนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็ต้องชำระภาษีก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรมหรือทายาท ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกิดความล่าช้า และทรัพย์สินอาจไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สิน หากไม่มีการวางแผนที่ดี การตกทอดของมรดก การตกทอดของมรดก ไม่ใช่มีเพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงหนี้สินด้วย หากเจ้ามรดกมีหนี้สิน ก็ต้องนำหนี้สินมาหักออกจากทรัพย์สิน แล้วจึงส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทโดยธรรมตามลำดับ หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม หรือไม่ได้มีการเตรียมการใด ๆ ทรัพย์มรดกจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดก ซึ่งมี 6 ลำดับดังนี้ (ป.พ.พ. 1629) 1.ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน เหลน) 2.บิดา มารดา 3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5.ปู่ ย่า ตา ยาย 6.ลุง ป้า น้า อา การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ทายาทที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีทายาทลำดับก่อนหน้า ตามหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” ยกเว้นทายาทลำดับ 1 จะไม่ตัดทายาทลำดับที่ 2 แต่ถ้าเจ้ามรดกไม่เหลือใคร ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน กรณีเจ้ามรดกมีคู่สมรส จะมีการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นสินส่วนตัว และสินสมรส โดยคู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่ง 50% ของสินสมรสไปก่อน ส่วนแบ่งอีก 50% ของสินสมรส และสินส่วนตัวของเจ้ามรดก จะถือเป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทตามลำดับ กรณีไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คู่สมรสจะได้รับมรดกทั้งหมด (ป.พ.พ. 1635) โชคดีที่วันนี้เราได้ตื่นมาอีกครั้ง ถ้าเราไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกหล่น หรือตกไปยังคนที่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้คนในครอบครัวทะเลาะกัน เรากำหนดได้ว่าจะให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปอยู่กับใคร โดยการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หรือวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า การจัดการทรัพย์สิน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต : เจ้าของทรัพย์สินโอนหรือให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินของตนแก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิต 2. การจัดการมรดก : เจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน (มรดก) ของตน โดยให้มีผลหลังจากตนเสียชีวิตแล้ว กรณีที่มีพินัยกรรม กฎหมายให้แบ่งทรัพย์ที่กำหนดในพินัยกรรมให้ผู้รับพินัยกรรมก่อน หากมีทรัพย์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม จะแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้ 1. การกระจายทรัพย์สินให้สมาชิกครอบครัว ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น    •  การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ    •  การให้สิทธิในการใช้หรือหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิอาศัย : ให้สิทธิพักอาศัยในโรงเรือน สิทธิเหนือพื้นดิน : ให้สิทธิปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์บนที่ดิน สิทธิเก็บกิน : ให้สิทธิในการใช้ ครอบครอง และถือเอาประโยชน์โดยไม่จำกัด 2. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือครองทรัพย์สิน เช่น บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองเงินทุน (Equity Holding Company) หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองตัวทรัพย์สิน (Asset Holding Company) ซึ่งเป็นการแยกทรัพย์สินของครอบครัวออกจากกิจการของครอบครัว เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ของบริษัทที่ประกอบกิจการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของครอบครัว ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกครอบครัวก่อหนี้ส่วนตัว เจ้าหนี้ของสมาชิกครอบครัวก็ไม่สามารถเรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินกิจการของครอบครัวชำระหนี้ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวได้เช่นกัน และสามารถสร้างกฎระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินผ่านข้อบังคับของบริษัทโฮลดิ้งได้ และอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากรด้วย 3. บริหารทรัพย์สินโดยใช้ธรรมนูญครอบครัว ธรรมนูญครอบครัว คือเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของสมาชิกครอบครัว ซึ่งกำหนดหลักในการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ และการปฏิบัติตนต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ และบุคคลภายนอก ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกำหนดให้สมาชิกในครอบครัวปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่เลือกไว้ได้ ขั้นตอนการวางแผนมรดก 1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ ตราสารทุน เงินลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์ เอกสารแสดงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น ๆ พร้อมระบุประเภท ชนิด และจำนวน รวมทั้งหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ 2. รวบรวมข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีเครือญาติและผู้ที่อยู่ในความดูแล อาชีพ รายละเอียดของกิจการและโครงสร้างการถือหุ้น 3. เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิตและการจัดการมรดก โดยคำนึงถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ข้อพิจารณาทางภาษี และข้อพิจารณาอื่น ๆ    •  ข้อพิจารณาทางกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต จะใช้สัญญาเป็นเครื่องมือจัดการ ที่จะมีผลบังคับทันที ซึ่งหากสัญญาเกิดสมบูรณ์แล้วจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการมรดก จะใช้พินัยกรรมเป็นเครื่องมือในการจัดการ และเกิดผลบังคับเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ซึ่งแก้ไขได้ตลอดเวลาในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ ข้อพิจารณาทางภาษี กรณีมีการให้หรือโอนทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิต ให้แก่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือโอนให้บุคคลอื่น เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ผู้รับโอนทรัพย์สิน จะต้องเสียภาษีการรับให้ (Gift Tax) 5% กรณีมีการโอนมรดกหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต หากผู้รับโอนเป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะต้องเสียภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) 5% หรือหากผู้รับโอนเป็นบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีการรับมรดก 10% ของทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท    •  ข้อพิจารณาอื่น ๆ ผลกระทบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว หากมีการจัดการขณะมีชีวิต เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยได้ แต่หากมีผลกระทบหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทจะต้องตกลงกันเอง ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินต่อไปในอนาคต หากผู้รับโอนยังเป็นผู้เยาว์ จะทำให้การจัดการทรัพย์สินยุ่งยาก เพราะการจัดการบางอย่างต้องขออนุญาตจากศาล ณ วันนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิต เราสามารถเลือกได้ว่า ภาพฝันที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่เราจากไปเป็นอย่างไร ทรัพย์สินที่สร้างและสะสมมา ทำอย่างไรให้ไม่ตกหล่น และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ตามความต้องการ หากมีการวางแผนมรดก และส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1508964

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ประกันค่าชดเชยรายวัน รู้อะไรไม่สู้ รู้ว่าสำคัญ

29/02/2024

บทความโดย "ธนภัทร จินดาหลวง" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 “ยังไม่รับดีกว่า“ “พี่ทำไปแล้ว ไม่ค่อยได้นอนโรงพยาบาล” “ลืมซื้อเพิ่ม” ประโยคตัวอย่างที่หลาย ๆ คน บอกปัดเมื่อต้องซื้อประกัน แต่เมื่อเกิดเหตุและต้องนอน โรงพยาบาล อาจจะบอกว่า “รู้งี้ ซื้อประกันดีกว่า”การเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะยังไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ อาชีพค้าขาย หรือได้รับค่าจ้างรายวัน ถ้าไม่ได้ทำงานก็อาจทำให้รายได้หดหายคำนิยาม สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน (HB : HOSPITAL BENEFIT) บางบริษัทประกัน ใช้คำว่าสัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายได้ สัญญาเพิ่มเติมวงเงินแน่นอน โดยหลักคือ จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย เข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยสามารถเคลมค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ทำไว้ คูณกับจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่นทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 5 วันเคลมได้ = 15,000 บาททำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 5,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 10 วันเคลมได้ = 50,000 บาทโดยแต่ละบริษัทจะมีเพดานกำหนดจำนวนวันสูงสุด ที่สามารถเคลมได้ต่อครั้งต่อโรค แตกต่างกันไป เช่น 180 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้นหลายคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ อาจคิดว่ามีสิทธิรักษาเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำประกันค่าชดเชยรายวัน เพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่จะป่วยจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาล หรือหากป่วยก็ไม่น่าจะนอนโรงพยาบาลนาน เกิน 1 หรือ 2 วัน จึงไม่ส่งผลกระทบกับรายได้มากนักอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์กับตัวเองจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนาน ๆ ซึ่งส่งผลกระทบกับฐานะทางการเงินของตัวเองและครอบครัวได้กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาลเช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้การวางแผนทุนประกันค่าชดเชยรายวันที่เหมาะสมคำนวณจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เพื่อให้เพียงพอต่อสถานการณ์จริง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนต้องนอนโรงพยาบาล เช่นมีค่าใช้จ่าย = 30,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท ก็ควรที่จะทำประกันค่าชดเชยรายวัน ด้วยทุนประกันอย่างน้อยวันละ 1,000 บาทขึ้นไปซึ่งหากเป็นเสาหลักของครอบครัว หรือเสาหลักของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว มีภาระค่าใช้จ่าย = 100,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 3 พันกว่าบาท ก็ควรวางแผนทำทุนประกันค่าชดเชย อย่างน้อยวันละ 3,000 บาทขึ้นไป เป็นต้นตัวอย่าง เบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม ค่าชดเชยรายวันเพศชาย อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศชาย อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศชาย อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเพศหญิง อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศหญิง อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศหญิง อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเบี้ยประกันข้างต้น สามารถวางแผนทำเป็นโหมดราย 3 เดือน 6 เดือน หรือรายปีได้สาเหตุที่ไม่ได้ซื้อประกันชดเชยรายได้เอาไว้ให้เพียงพอมาจากเหตุผลประกันค่าชดเชยรายวันจะเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อแนบกับประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก เมื่อไม่ได้คิดจะทำประกันชีวิตหรือไม่ได้รับการนำเสนอจากตัวแทน จึงไม่ทราบว่ามีประกันแบบนี้ด้วยซึ่งในปัจจุบัน บางบริษัทประกัน มีประกันค่าชดเชยรายวันขายโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิตก่อน อีกสาเหตุหนึ่งมองว่า เบี้ยประกันที่ชำระจะเป็นเบี้ยสูญเปล่า ยังไม่เห็นความจำเป็น หรือบางคนทำประกันนี้ แต่อาจจะทำทุนประกันที่น้อยกว่าความเหมาะสมที่แท้จริง เพราะเสียดายเบี้ยประกันเงื่อนไขการพิจารณารับประกันของแต่ละบริษัทประกัน ก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางบริษัทมีเพดานกำหนดซื้อค่าชดเชยรายวันสูงสุดตามทุนประกันชีวิต (สัญญาหลัก) บางบริษัทดูรายได้ของผู้ขอเอาประกัน หากทำทุนประกันต่อวันที่สูง เช่น ทำแผนค่าชดเชยรายวัน วันละ 10,000 บาท ว่าสอดคล้องกับรายได้หรือไม่ซึ่งในอดีต มีกรณีศึกษาการฉ้อฉลเอาประกัน โดยทำประกันค่าชดเชยรายวันสูง ๆ หรือทำหลายบริษัท มีการเคลมสินไหมครั้งหนึ่งหลายแสนบาท หรือป่วยเล็กน้อยแล้วขอนอนโรงพยาบาล โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้หลายบริษัทประกัน พิจารณารับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพและประวัติการรักษาในอดีต หรือข้อมูลทางการเงินของผู้ขอเอาประกันภัย เป็นต้นมาถึงตรงนี้ หลายคนเห็นความสำคัญและสนใจอยากจะทำประกัน แต่กังวลเรื่องสุขภาพว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะต้องตรวจสุขภาพหรือเปล่า ควรติดต่อสอบถามตัวแทนประกัน หรือที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนประกันที่เหมาะสม เพราะบางกรณีอาจไม่อยู่ในเกณฑ์ หรืออายุเกินเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนดเอาไว้ดังนั้น หากตอนนี้สุขภาพแข็งแรง อายุยังอยู่ในเกณฑ์รับพิจารณา จึงไม่ควรรีรอให้สายเกินไปที่จะวางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมถึงประกันค่าชดเชยรายวัน เพื่อตัวเอง และคนที่เรารักแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509919

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X