คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

เที่ยว 'สังขละบุรี'...แดนไกลเมืองกาญจน์ สวยทุกฤดูกาล

30/04/2024

'สังขละบุรี' เป็นเป้าหมายที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว บวกกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาจากหลายชาติพันธุ์ หน้าร้อนก็ยังสวย ทั้งธรรมชาติที่งดงามตามฤดูกาล และเอกลักษณ์แห่งประเพณีที่ไม่เหมือนใครเมืองแห่งสายน้ำและศรัทธารายล้อมด้วยหุบเขา บอกเล่าเรื่องราวของวิถีชาว สังขละบุรี มาอย่างยาวนาน บรรยากาศอันเงียบสงบตั้งแต่เช้าจรดค่ำ รอยยิ้มแห่งไมตรีที่มีให้กัน เราจึงนึกถึงสังขละ-เมืองกาญจน์เสมอตักบาตรตอนเช้าเที่ยวสังขละ ไปไกล ไปยาก ทว่าอุ่นใจเมื่อไปถึงการเดินทางมายัง อ.สังขละบุรี นับเป็นอีกเส้นทางสวยในเมืองไทย แต่ก็มีความลาดชันและคดเคี้ยวพอประมาณ จึงต้องใช้เวลามากกว่าเส้นทางปกติ ถึงจะมายากมาไกล แต่มาแล้วอุ่นใจ มีที่ให้เที่ยวชมอีกหลายจุด ที่โดดเด่นเป็นศูนย์รวมของทุกคน คือ สะพานมอญ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็น สะพานมีชีวิต เพราะในแต่ละช่วงเวลา จะให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปสะพานมอญ หรือ สะพานอุตตามานุสรณ์ พาดผ่านแม่น้ำซองกาเลีย เชื่อมโยงวิถีชีวิตของชาวไทยและชาวมอญ รวมทั้งชาวกะเหรี่ยงมาเนิ่นนาน ผ่านการปรับปรุงซ่อมแซมมาแล้วหลายครั้ง หากจำได้เมื่อปี 2556 สะพานถูกน้ำป่าปะทะจนขาด แต่ได้อาศัยความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านและทหารช่างจากกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ค่ายสุรสีห์ช่วยกันซ่อมแซมจนสำเร็จสะพานมอญยามค่ำคืนปัจจุบันสะพานมอญยังคงเป็น สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และเป็นจุดรวมของนักเดินทางที่มาเยือนสังขละบุรี โดยเฉพาะช่วงตักบาตรยามเช้า และยามเย็นที่เสิร์ฟบรรยากาศดี ๆ แบบไม่มีซ้ำ ท่ามกลางวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก บรรดาผู้มาเยือนยังมีส่วนเติมเต็มบรรยากาศให้สดใสขึ้น ด้วยการแต่งตัวแบบชาวมอญ ประแป้งเป็นลวดลายบนใบหน้า ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้ มองแล้วชื่นใจไปตาม ๆ กันชมเมืองบาดาล วัดใต้น้ำไม่ไกลจากสะพานมอญเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี เรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า สามประสบ สมัยก่อนมีวัดประจำหมู่บ้านคือ วัดวังก์วิเวการาม (เดิม) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ เพราะเป็นวัดที่เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" จนปี 2527 มีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ ส่งผลให้น้ำท่วมตัวอำเภอเก่า รวมทั้งตัวหมู่บ้านและวัด จนต้องย้ายวัดและหมู่บ้านขึ้นไปบนเนินเขาวัดใต้น้ำและนั่นก็เป็นที่มาของกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร เริ่มต้นจากจุดลงเรือใกล้ ๆ สะพานมอญ ล่องออกไปชม วัดใต้น้ำ ซึ่งจะมองเห็นตัวโบสถ์ได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ หากเป็นช่วงหน้าแล้งที่น้ำลงมาก ก็อาจจะมองเห็นตัวโบสถ์ได้แบบเต็ม ๆวัดสมเด็จหลังจากนั้น เรือจะพาเราไปขึ้นฝั่งที่ วัดสมเด็จ ซึ่งเป็นวัดที่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งย้ายเมืองเช่นกัน แต่เนื่องจากอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ จึงไม่จมน้ำ เมื่อเดินขึ้นเนินไปเล็กน้อยจะพบกับอุโบสถเก่าแก่ รอบโบสถ์มีต้นไทรปกคลุมอย่างงดงามหลวงพ่อหยกขาวสำหรับ วัดวังก์วิเวการาม (ปัจจุบัน) ตั้งอยู่บนฝั่งที่ไม่ไกลจากตัววัดแห่งเดิมมากนัก เป็นวัดที่มีศิลปะแบบมอญผสมไทยประยุกต์ ภายในวิหารเป็นที่เก็บสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ และมีหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าคนจริงของหลวงพ่อนั่งอยู่บนบัลลังก์วัดวังก์วิเวการาม ปัจจุบันยังมีศิลปะที่งดงามทรงคุณค่าอีกหลายจุด อาทิ วิหารพระพุทธรูปหินอ่อน ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนปางมารวิชัยหนัก 9 ตัน คนทั่วไปเรียกว่า หลวงพ่อขาว หรือ หลวงพ่อหยกขาวในช่วงหน้าร้อนของทุกปี มีนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเยือนสังขละบุรีด้วยเหตุผลที่ว่า อยากจะพบภาพความงามที่ซ่อนไว้  ได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองใต้บาดาลด้วยตาสักครั้งบ้านกลางน้ำความเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลนำพาให้เราได้พบเจอเสน่ห์อันหลากหลายในสังขละบุรี ดินแดนที่ยังมีไมตรีและรอยยิ้ม ท่ามกลางหุบเขาที่โอบล้อมสายน้ำกว้างใหญ่ ยังเป็นภาพประทับใจพาให้เรากลับไปเยือนเสมอสกายวอล์คกาญจนบุรีเมืองสะพาน กาญจนบุรีเที่ยวสะพานมอญแล้ว ขากลับสามารถย้อนไปชมสะพานอีก 2 สไตล์ในตัวเมืองกาญจนบุรี เริ่มจาก สกายวอล์คกาญจนบุรี ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ จึงมองเห็นวิวสวยงาม กว้างไกล ทั้งชุมชนเรือนแพ พระพุทธรูปปางประทานพร วัดถ้ำเขาแหลม หอพระประวัติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฯลฯสะพานแม่น้ำแควและชมความงดงามของ สะพานแม่น้ำแคว ที่ยังคงมนต์ขลังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะวันนี้ที่มีกิจกรรมท่องเที่ยวรักษ์โลกอย่างการพายซับบอร์ดในแม่น้ำแควใหญ่มาให้เลือกสนุกกันด้วย โดยจะมีการจัดกิจกรรมกันเป็นประจำแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1124160

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิด 10 ประเทศที่ผลิต และมีทรัพยากรแร่ทองมากที่สุดในโลก ไทยมีแร่ทองทำหรือไม่? ปริมาณเทาไหร่?

29/04/2024

ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนทั้งจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเงินเฟ้อแบบในปัจจุบัน ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์เนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากซื้อมาเก็บใส่พอร์ต เพราะถือเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่เป็นที่พักเงิน หรือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ถือไว้นานๆ อย่างไรก็ได้กำไร ตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงปัจจุบัน (26 เม.ย.) ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณเกือบ 300 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 2,058.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ มาเป็น 2,342.57 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ และเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 2,431.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนราคาในไทยเองก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวันจากการสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน แต่ก่อนจะมาเป็นทองอย่างที่เราเคยเห็นกันในร้าน เคยสงสัยหรือไม่ว่าทองคำเหล่านี้ผลิตมาจากไหน? และต้องผ่านกระบวนอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงมือผู้บริโภค ในบทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองและแปรรูปทองกันว่าปัจจุบันประเทศใดเป็นผู้นำด้านการผลิตทอง ประเทศใดมีทรัพยากรทองที่ยังไม่ได้ขุดมากที่สุด และแร่ทองต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้างกว่าจะมาเป็นทองที่เราซื้อมาเก็บสะสมไว้ได้ โลกมีทองเท่าไหร่? ขุดไปเท่าไหร่แล้ว? ทองคำ เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่พบได้ในหินเกือบทุกชนิด โดยเฉลี่ยแล้วมีประมาณ 0.0035 กรัมต่อตันในเปลือกโลก และมีประมาณ 0.00003 ตันในน้ำทะเล แต่จะมีบางบริเวณเท่านั้นที่มีสภาพทางธรณีวิทยาเหมาะสมต่อการสะสมตัวของทองคำ และเกิดเป็น “แหล่งแร่ทองคำ” ได้ ซึ่งสามารถจำแนกตามลักษณะการเกิดได้เป็น 2 แบบ คือ  1. แหล่งทองคำแบบปฐมภูมิ หมายถึง แหล่งแร่ทองคำที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยา เช่น สายน้ำแร่ร้อน และกระบวนการแปรสัมผัส ซึ่งกระบวนการทั้งหลายดังกล่าว ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินชนิดต่างๆ ทั้งหินอัคนี หินชั้น และหินแปร จนอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า 2. แหล่งทองคำแบบทุติยภูมิ หมายถึง แหล่งแร่ทองคำที่เกิดจากการผุพังของหินที่มีแร่ทองคำเป็นส่วนประกอบ หรือแหล่งแร่ทองคำแบบปฐมภูมิ โดยทองคำจะหลุดออกมาเป็นเม็ดกลม หรือเกล็ดเล็กๆ และพบในแหล่งที่ใกล้เคียงกับแหล่งแร่แบบปฐมภูมิ หรือถูกน้ำชะล้างพัดพาไปสะสมตัวใหม่ในบริเวณต่างๆ เช่น เชิงเขา ลำห้วย ทำให้สามารถแยกออกมาได้ด้วยการร่อน ข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ระบุว่า โลกนี้มีทองที่ค้นพบแล้วทั้งหมด 244,000 ตัน ซึ่งถ้าเอามารวมกันทำเป็นลูกบาศก์ ลูกบาศก์นี้จะมีความกว้างและความยาวประมาณ 23 เมตรในทุกด้าน  ปัจจุบัน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามนุษย์นำแร่ทองออกจากเปลือกโลกและน้ำทะเลมาแล้วกี่ตัน แต่จากการคาดการณ์ของสภาทองคำโลก (Word Gold Council) มนุษย์ได้ขุดแร่ทองคำออกมาใช้แล้วประมาณ 212,582 ตัน และประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณนั้นถูกขุดออกมาหลังปี 1950 เป็นต้นมา  นี่เท่ากับว่า โลกของเราเหลือแร่ทองที่ยังไม่ได้ถูกขุดออกมาใช้อีกเพียงไม่กี่หมื่นตัน และเนื่องจากทองเป็นธาตุที่ทำลายได้ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ทองที่ถูกขุดออกมาก็จะถูกหมุนเวียนใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ในรูปแบบทองแท่ง ในรูปแบบเครื่องประดับ หรือเครื่องใช้เช่น เป็นส่วนประกอบในเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสาร อากาศยาน หรือสินค้าอื่นๆ ออสเตรเลียมีทรัพยากรแร่ทองมากที่สุด แต่จีนผลิตมากที่สุด จากข้อมูลของ Statista ในปี 2023 ประเทศที่มีทรัพยากรแร่ทองมากที่สุดในโลก คือ ‘ออสเตรเลีย’ ซึ่งมีจำนวนทรัพยากรทองเก็บไว้อยู่ 12,000 ตัน รองลงมาเป็น ‘รัสเซีย’ ที่มีทรัพยากรอยู่ 11,100 ตัน และ ‘แอฟริกาใต้’ ที่มีอยู่ 5,000 ตัน ทำให้จำนวนแร่ทองที่เหลืออยู่ในเปลือกโลกหรือธรรมชาติในขณะนี้ อยู่ในการครอบครองของ 3 ประเทศนี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้ออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่มีแร่ทองเก็บไว้มากที่สุดในโลก แต่ออสเตรเลียกลับไม่ใช่ผู้ผลิตทองรายใหญที่สุดในโลกในขณะนี้ แต่เป็น ‘จีน’ ที่ในปี 2023 ผลิตทองออกมาเป็นจำนวนถึง 370 ตัน โดยบริษัทที่รับผิดชอบผลิตทองในจีน 3 รายใหญ่ คือ China Gold International Resources, Shandong Gold และ Zijin Mining Group ทั้งนี้ ข้อมูลของ OEC ระบุว่า ในปี 2022 จีนส่งออกทองเป็นมูลค่าทั้งหมด 5.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 จีนส่งออกทองเป็นมูลค่าถึง 234 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 231% จาก 70.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ถัดจากจีน ประเทศที่ผลิตทองมากที่สุดเป็นอันดับ 2 คือ ‘ออสเตรเลีย’ ที่ในปี 2023 ผลิตทองไปทั้งหมด 310 ตัน โดยทองถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของออสเตรเลีย และทำรายได้ให้ออสเตรเลยไปทั้งหมดถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 5.8 แสนล้านบาทในปี 2022/2023 และอีกประเทศที่ผลิตทองได้มากไม่แพ้กัน คือ ‘รัสเซีย’ ที่ในปี 2023 ผลิตทองได้ทั้งหมด 310 ตัน เท่ากัน แต่ปัจจุบันรัสเซียกำลังตกที่นั่งลำบากเพราะยังอยู่ในภาวะสงครามกับยูเครน และถูกหลายๆ ประเทศตะวันคว่ำบาตร ทำให้รัสเซียต้องขายทองให้กับกลุ่มประเทศอื่นแทน เช่น กลุ่มประเทศ BRICs (อินเดีย จีน และบราซิล) และคาซักสถาน สำหรับรายชื่อประเทศเจ้าของแร่ทองและผู้ผลิตทอง 10 อันดับแรกของโลก ประเทศอาเซียนประเทศเดียวที่ติดอันดับ คือ ‘อินโดนีเซีย’ ที่เป็นประเทศที่มีแร่ทองมากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ที่ 2,600 ตัน และเป็นประเทศที่ผลิตทองได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของโลก ที่ 110 ตันในปี 2023ไทยมีแร่ทองคำหรือไม่? มีปริมาณเท่าไหร่? จากข้อมูลของสำนักทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีแหล่งแร่ทองทำจำนวนทั้งหมด 32 แหล่ง รวมปริมาณประมาณ 148 ตัน โดยสามารถแบ่งได้ทั้งหมดจํานวน 5 แนวหลัก คือ แนวเลย-เพชรบูรณ์-ปราจีนบุรี, แนวเชียงราย-แพร่-ตาก, แนวชลบุรี-นราธิวาส, แนวเชียงราย-ลําปาง-แม่ฮ่องสอน และแนวกาญจนบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ - พังงา ใน 5 แนวดังกล่าว แนวที่มีทรัพยากรแร่ทองสมบูรณ์ที่สุด คือ แนวเลย – เพชรบูรณ์ – ปราจีนบุรี โดยเริ่มตั้งแต่จังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี เพชรบูรณ์ พิจิตร ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว แนวนี้มีแหล่งแร่ทองคําจํานวน 7 แหล่ง ซึ่งมีปริมาณทรัพยากรแร่ทองคํารวมถึง 64 ตัน หรือประมาณ 43% ของปริมาณแร่ทองที่ไทยมีทั้งหมด กว่าจะมาเป็นทองคำแร่ทองต้องผ่านอะไรมาบ้าง? เช่นเดียวกับการผลิตสินค้าแบบอื่นๆ แร่ทองก็ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ในซัพพลายเชน เช่นกัน กว่าจะออกมาเป็นทองคำที่เราหาซื้อได้ตามร้านทอง หรือนำไปใช้ในการผลิตสินค้าต่างๆ ได้ โดยต้องผ่านมือตั้งแต่ ประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรทอง→บริษัทเหมืองแร่ที่ได้สิทธิเข้าไปขุดแร่→ผู้ค้าทองหรือผู้ส่งออกทอง→ผู้ขนส่งทอง→ผู้หลอมและสกัดทอง→ผู้ค้าทอง→ผู้ผลิตชิ้นส่วนจากทอง→ผู้รีไซเคิลทองที่จะส่งทองไปยังผู้หลอมและสกัดทองนำกลับมาขึ้นรูปและใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบัน แต่ละประเทศที่มีทรัพยากรทองมีกฎหมายและระเบียบในการให้สัมปทานหรือสิทธิกับหน่วยงานรัฐหรือเอกชนเป็นผู้ขุดทองแตกต่างกัน เพราะบางประเทศอาจไม่เปิดให้เอกชนเข้าไปขุดและทำธุรกิจเหมืองแร่ทอง โดยปัจจุบันการทำเหมืองแร่ทองคำมีวิธีใหญ่ๆ 2 วิธีคือ 1. การทำเหมืองแร่ทองคำแบบเหมือง ซึ่งเหมาะกับแหล่งแร่ทองคำที่อยู่ไม่ลึกจากผิวดินมากนัก ทำได้ด้วยการเปิดหน้าดินลงไปเรื่อยๆ จนถึงแหล่งแร่ทองคำ ซึ่งต้องใช้พื้นที่หน้าเหมืองมาก ถ้าแหล่งแร่อยู่ในระดับที่ลึก หน้าเหมืองจะต้องเปิดให้กว้างขึ้น และต้องใช้เครื่องมือหนัก เช่น เครื่องเจาะ รถขุด รถตัก รถขนแร่ขนาดใหญ่ ตลอดจนต้องมีการระเบิดบริเวณหน้าเหมือง 2. การทำเหมืองแร่ทองคำแบบเหมืองใต้ดิน ซึ่งเหมาะสำหรับแหล่งแร่ทองคำที่อยู่ลึกจากผิวดินมาก และจะใช้พื้นที่หน้าเหมืองน้อย โดยเริ่มจากการเปิดหน้าดิน เพื่อเจาะช่องทางสำหรับเครื่องมือหนักทำงานเข้าหาแหล่งแร่ หรือทำเป็นอุโมงค์ทางเข้าลงสู่แหล่งแร่ เมื่อได้แร่ทองออกมาแล้ว ทองที่ออกจากเหมืองแร่ส่วนมากจะผ่านผู้ค้าทองหรือส่งออกทองในประเทศที่จะส่งต่อทองให้ผู้หลอมและสกัดทองออกมาเป็นสินค้ารูปแบบต่างๆ ซึ่งสินค้าที่ได้ก็จะเป็นทองที่มีความบริสุทธิ์แตกต่างกันไป ส่งต่อไปให้ผู้ค้าทองที่จะนำทองไปขายให้กับผู้ซื้อ โดยอาจจะเป็นผู้บริโภครายย่อย หรือผู้ผลิตต่างๆ ที่จะนำทองไปผลิตสินค้าของตัวเองอีกทีหนึ่ง เช่น แผงวงตรไฟฟ้า และชิปเซ็ต เพราะทองเป็นธาตุที่นำไฟฟ้าได้ดี และไม่ขึ้นสนิมหรือถูกกัดก่อนเหมือนเงินหรือทองแดง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ อมรินทร์ทีวีhttps://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/64247

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

มะเร็งปอด คร่าชีวิต "คนเหนือ" วันละ 5 คน สะท้อนปัญหาฝุ่น PM 2.5

29/04/2024

"กรมการแพทย์" เปิดสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือ พุ่งสูงกว่าภาคอื่น พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 7 ราย เสียชีวิตสูงถึง 1,800 ราย/ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สะท้อนปัญหาของฝุ่น PM 2.5 ที่สะสมต่อเนื่อง หากไม่มีการจัดการปัญหาฝุ่นพิษ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของหลายจังหวัดนายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขในภาคเหนือ พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่น ซึ่งภาคเหนือพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยปีละ 2,487 ราย/ปี หรือประมาณวันละ 7 ราย และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยปีละ 1,800 ราย/ปี หรือประมาณวันละ 5 รายขณะเดียวกัน ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมะเร็งปอด ส่วนใหญ่อยู่ในวัยสูงอายุ มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดที่สูงในภาคเหนือ มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญหลายประการนายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม หรือการได้รับสารก่อมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคมะเร็งปอดที่สำคัญเกิดจากการสูบบุหรี่ และควันบุหรี่มือสอง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่น ได้แก่ การสัมผัสก๊าซเรดอน การสัมผัสแร่ใยหิน การสัมผัสรังสี ควันธูป และมลภาวะทางอากาศต่างๆ ซึ่งฝุ่น PM 2.5 จัดอยู่ในส่วนนี้.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2779041

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เปิด ‘บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์’ ด้วยความรัก (ศิลปะ) ล้วน ๆ

29/04/2024

‘บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์’ เปิดให้เข้าชมแล้ว โดย ‘เสริมคุณ คุณาวงศ์’ ในอาคารคิวบิค 5 ชั้น จัดแสดงงานศิลปะ จิตรกรรม ประติมากรรม ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ จากศิลปิน 180 คน รวมมากกว่า 1,000 ชิ้นอาคารคิวบิค 5 ชั้น ใน บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ อัดแน่นด้วยงานศิลปะระดับปรมาจารย์ แบ่งเป็น 7 โซน และห้องต่าง ๆ ใน เดอะ เรสซิเดนซ์ จัดแสดงงานจิตรกรรม ประติมากรรม งานประติมากรรมในสวน มาครั้งเดียวไม่เคยพอ...“บางคนมี 100 สะสม 10 แต่ผมมี 100 สะสม 150” เสริมคุณ คุณาวงศ์ เล่าถึงความชื่นชอบงานศิลป์เมื่อแรกใช้เงินส่วนตัวสะสมงานศิลปะเสริมคุณ คุณาวงศ์ นำชมงานศิลปะในห้องต่าง ๆ ไมเว้นกระทั่งโถงบันได ห้องหนังสือ ห้องทำงาน และห้องสะสมผลงานของ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต อีกทั้งรวมผลงานของ ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี และอีกหลายท่านเสริมคุณ คุณาวงศ์หลังจากเปิด ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ (ถนนนวลจันทร์) เมื่อปี พ.ศ.2547 วันนี้เปิดใหม่ที่ บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ ลาดพร้าว 54 ในอาคารคิวบิค 5 ชั้น แบ่งเป็น 7 โซนจัดแสดง“ผมเรียกว่าเป็น Living Museum หรือ บ้านพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต และเป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัยด้วย งานจากศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ เราขนมาที่นี่ ให้เป็นจุดหมายปลายทางของคนชอบงานศิลปะและมีงานส่วนตัวของผม เช่น งานภาพถ่าย งานแกะไม้ ผมเก็บอุปกรณ์และกล้องไว้เป็นของสะสมส่วนตัวด้วย”เปิดบ้านพิพิธภัณฑ์พร้อมเปิดครอบครัว (ภาพ: วันชัย ไกรสรขจิต)เสริมคุณ คุณาวงศ์ เล่าว่า แม้มีใจรักล้วน ๆ ในงานศิลปะ แต่กว่าจะเริ่มเก็บงานชิ้นแรกก็ใช้เวลานาน ต้องทำบริษัทก่อนเพื่อหาเงิน“คนอื่นถ้ามีเงิน 100 เก็บ 10 ของผม 100 เก็บ 150 ปี 2535 เริ่มเก็บประติมากรรมจากชิ้นเล็ก ๆ แล้วไปชิ้นใหญ่ จนในที่สุดเปิด ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ ในบ้านเราถือว่าเป็นเอกชนรายแรก ๆ”งานของ อ.ปรีชา เถาทอง ในห้อง The Palourคนรักงานศิลปะล้วน ๆ บอกว่า จากประติมากรรมก็เริ่มไต่ระดับขึ้นเป็นหุ่นหลวง เครื่องเบญจรงค์ วัตถุโบราณ เฟอร์นิเจอร์ทั้งของใหม่และแอนทีค เก้าอี้แอนทีคก็สะสมไว้มากกว่า 1,000 ชิ้น“ที่นี่สร้างมากว่า 8 ปี เป็นบ้านที่ใช้อาศัย แล้วปรับปรุงใหม่ รวมพื้นที่ 5,000 ตร.ม. รวมงานศิลปะหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นศิลปินไทย 180 ท่าน ผลงานกว่า 1,000 ชิ้น”ผลงานของ อ.ชำเรือง วิเชียรเขตต์ผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์บ้านคุณาวงศ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในห้องครุฑ ด้านหลังคือประติมากรรมรูปหล่อครุฑ ผลงานของ อ.ศิลป์ พีระศรี แวดล้อมด้วยเสาไม้แกะสลัก 8 เสา 8 ลวดลาย ผลงานของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ผนังซ้ายขวาประดับภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่เกี่ยวกับครุฑ ผลงานของ พัฒน์ดนู เตมีกุล อีกด้านประดับภาพเขียนของ อ.ถวัลย์ ดัชนีดรีม - เหมือนฝัน สิริกรณ์ คุณาวงศ์เปิดบ้านพิพิธภัณฑ์พร้อมเปิดตัวครอบครัว และบุตรสาว เหมือนฝัน สิริกรณ์ คุณาวงศ์ และ วาดฝัน คุณาวงศ์ ที่พานำชมผลงานศิลปะในห้องต่าง ๆทุกห้องล้วนเป็นไฮไลท์ ด้วยรวมผลงานระดับปรมาจารย์ เช่น ห้องพาเลอร์ (The Parlour) คือห้องรับรองแขก โดยรอบประดับงานศิลปะที่หาชมยาก เช่น คอลเลคชั่นยุคแรก ๆ ของ อ.ปรีชา เถาทอง จากปี 2015 จนถึงปัจจุบัน, งานของศิลปินชั้นครู ได้แก่ ชลูด นิ่มเสมอ, อวบ สาณะเสน, สวัสดิ์ ตันติสุข, ชำเรือง วิเชียรเขตห้องทำงานที่รายล้อมด้วยงานศิลปะขึ้นบันไดเวียนไปชั้น 2 เป็น ห้องทำงาน ดรีม - เหมือนฝัน พานำชมเล่าว่า เป็นห้องใช้ทำงานจริง ๆ ตกแต่งสไตล์วิคทอเรียน ขนาดห้องไม่ใหญ่แต่ฟังก์ชั่นใช้ทำงานครบ มีทีวีจอยักษ์แอบอยู่ เฟอร์นิเจอร์ผสมผสานต่างสไตล์ ไม่ได้ชอบฝรั่ง หากความจริงคนตะวันตกชื่นชอบของแต่งบ้านจากตะวันออกมานานแล้ว ผนวกกับประดับงานศิลปะที่ดูเหมือนจะแรง เช่น งานของวสันต์ สิทธิเขตต์ งานประติมากรรมของ อ.ศิลป์ พีระศรี, งานศิลปะคิวบิสซึ่ม, งานคอนเทมโพรารีอาร์ตของ อ.มณเฑียร บุญมา, งานของ อ.เขียน ยิ้มศิริ, ภาพสเก็ตช์ขนาดเล็กของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ฯลฯเดินออกจากห้องนี้ไปที่ คชาเลานจ์ เป็นห้องพักผ่อน มีเคาน์เตอร์บาร์ มีมุมดนตรี ใช้เป็นห้องสังสรรค์พักผ่อน ห้องกว้างเพดานสูงกรุกระจกใส ติดภาพศิลปะที่ดูแรง ดูกล้าหาญ สไตล์เซอร์เรียลลิสต์จากหลากหลายศิลปิน รุ่นใหญ่รุ่นเล็ก  รวมถึงประติมากรรมช้างหรือ “คชา” อยู่กลางห้องคชาเลานจ์ เพดานกรุกระจกใส (ภาพ: บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์)บนชั้นลอยรวบรวมงานของ ช่วง มูลพินิจ กว่า 10 ชิ้น ขนาบซ้ายขวาด้วยประติมากรรมสแตนเลสเหมือนเสายักษ์กลางห้อง ใช้โลหะกว่า 10,000 ชิ้น ผลงานของ ถนอมจิตร์ ชุ่มวงค์ผลงาน อ.ช่วง มูลพินิจจากนั้นชม เสริมคุณ สตูดิโอ คือห้องทำงานของ “คุณพ่อ” เหมือนฝันเล่า ปัจจุบันคุณพ่อยังนั่งทำงานแกะไม้และถ่ายภาพ ห้องนี้จึงนำผลงานของ เสริมคุณ คุณาวงศ์ มาจัดแสดงไปด้วย ทั้งภาพสเก็ตช์ สมุดโน้ต ภาพลายเส้น งานภาพพิมพ์แกะไม้ งานภาพถ่ายเสริมคุณ สตูดิโอบันทึกการทำงานศิลปะของเสริมคุณ คุณาวงศ์ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 5 ที่ ห้องแกลเลอรี่ มีพื้นที่กว้าง เพดานโปร่ง แสดงงานศิลปะจากศิลปินรุ่นใหม่ ๆ อาทิ ครูปาน - สมนึก คลังนอก, ครูโต – ม.ล.จิราธร จิรประวัติ, พัดยศ พุทธเจริญ, งานประติมากรรมไม้และสื่อผสมของ อินสนธิ์ วงศ์สาม, กมล ทัศนาญชลี, งานศิลปะของ ยุรี เกนสาคู, พิณรี สันพิทักษ์, ก้องกาน, มด CryBaby ฯลฯห้องแกลเลอรี่หลอดสีของ อ.กมล ทัศนาญชลีแค่นี้ก็สำรวจไม่ทั่วแล้ว... แต่ต้องไปต่อที่ เดอะ เรสซิเดนซ์ อาคารพักอาศัย 3 ชั้น อยู่จริงและจัดงานศิลปะให้ชม แบ่งเป็น 11 โซน มีอาทิโถงบทสนทนาของยุคสมัยโถงบทสนทนาของยุคสมัย ห้องโถงเพดานสูง จัดวางงานศิลปะและเฟอร์นิเจอร์ต่างยุคสมัย เช่น เก้าอี้จากยุควิคทอเรียนโกธิค, เก้าอี้มาคิช เบอร์แชร์ จากศตวรรษที่ 19, เก้าอี้มอนเดรียน, งานมาสเตอร์พีซของ อ.ปัญญา วิจินธนสาร, อ.ปรีชา เถาทอง ฯลฯห้องมรดกไทยถัดมาชม ห้องมรดกไทย จัดแสดงงานศิลปะวิจิตรและงานฝีมือแบบไทย ของเก่าเช่น ตู้พระธรรมลายรดน้ำสมัยรัชกาลที่ 4, งานฝีมือช่างทำพัดสมัยรัชกาลที่ 9 โดย หทัย บุนนาค ภาพเขียนและผลงานตาลปัตรอีกหลายชิ้นลวดลายพัดสมัยรัชกาลที่ 9ห้องรุ่งอรุณของศิลปะไทย ห้องสีเหลืองสไตล์โคโลเนียล จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชั้นบรมครู เพื่อเชิดชูคุณค่าและเก็บไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาห้องจักรพันธุ์ โปษยกฤตห้องจักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งรัตนโกสินทร์ รวบรวมผลงานทุกประเภทของศิลปินแห่งรัตนโกสินทร์ไว้มากมายเพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรมอ.ประเทือง เอมเจริญยังมี เพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรม บันไดลับศิลปะ โถงพุทธศิลป์ สวนเขียน ยิ้มศิริ และสวนแห่งชีวิต ตกแต่งงานประติมากรรมกลางแจ้งหลายรุ่น แฝงความหมาย สะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดของมนุษย์ในหลากแง่มุมสวนแห่งชีวิตผู้สร้าง บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ เสริมว่า ศิลปินเหล่านี้ ท่านได้ทิ้งรอยเท้าและความทรงจำเอาไว้ แล้วเราได้พูดกับท่าน บอกว่า..รอยเท้าของท่านอยู่ตรงนี้และจะอยู่กับเราไปอีกยาวนานเสริมคุณ คุณาวงศ์ติดต่อเข้าชม บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.30 – 18.00 น. บัตรเข้าชมราคา 450 บาท เข้าชมเป็นรอบ จองรอบเข้าเยี่ยมชมล่วงหน้าที่เว็บไซต์ https://www.zipeventapp.com (ไม่มีการจำหน่ายบัตร)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1123757

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เที่ยวญุี่ปุ่น วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไร ให้สนุกสุดคุ้ม

29/04/2024

เที่ยวญี่ปุ่น! คำตอบของคนไทยส่วนใหญ่ที่ตอบโจทย์ว่าอยากไปเที่ยวไหนมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ เป็นประเทศที่ยอดฮิตที่คนไทยตกหลุมรักแบบติดลมบน เพราะนอกจากเป็นประเทศที่ใช้ระยะเวลาเดินทางก็ไม่ไกลจนเกินไป วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม วัฒนธรรม บ้านเมืองและผู้คนชาวญี่ปุ่นก็เป็นเสน่ห์ที่แสนดึงดูดใจหลายคนอาจเริ่มวางแผนท่องเที่ยวญี่ปุ่นกันเเล้ว แต่จะเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไร ให้ทั้งสนุกและคุ้มค่า! แน่นอนว่าเราต้องวางแผนเที่ยวให้ได้ครบทั้งความสนุกและคุ้มค่าในงบประมาณที่กำหนด เรื่องนี้เรามีข้อมูลดี ๆ จาก บัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี บอร์ดดิ้ง การ์ด ที่เผยเคล็ดลับช่วยให้คุณวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นได้แบบสนุกสุดคุ้ม มาดูกันว่าจะวางแผนอย่างไรบ้าง1. เดินทางช่วงไหนไม่ว่าใครก็อยากให้ทริปในฝันเป็นช่วงที่เที่ยวสนุกที่สุด นอกจากจะเช็ควันว่างของตนเองและเพื่อนร่วมทริปแล้ว จึงควรหาข้อมูลก่อนว่า กิจกรรมหรือสถานที่ที่เราอยากไปนั้น เหมาะจะเดินทางช่วงไหน เช่น หากอยากไปชมดอกไม้สวย ๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ อาจหาข้อมูลคาดการณ์ช่วงเวลาที่ดอกไม้ตามฤดูกาล เช่น ทิวลิป, วิสทีเรีย, ดอกกุหลาบ จะบานและชมได้สวยงามในภูมิภาคต่าง ๆ จากเว็บไซต์เช่น JNTO, หรือแหล่งข้อมูลทาง Social Media ต่าง ๆ ฯลฯ รวมถึงจุดที่สามารถชมดอกไม้ได้สวยงาม นอกจากนี้ ยังควรเช็คดูในเว็บหรือแอปพยากรณ์อากาศ เช่น AccuWeather ว่าช่วงที่จะเดินทางอากาศเป็นอย่างไร จะไม่ต้องกังวลใจกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจจนเที่ยวไม่สนุก2. แพลนทริปอย่างไร ควรไปเมืองไหนบ้างญี่ปุ่นมีหลายภูมิภาค แต่ละพื้นที่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย หากอยากประหยัดค่าเดินทาง แนะนำให้วางแผนทริป เที่ยวตามภูมิภาคที่ไม่ไกลกันจนเกินไป และศึกษาเส้นทางและตัวเลือกในการเดินทางด้วยวิธีต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพราะบัตรโดยสารรถไฟสำหรับแต่ละภูมิภาค มีราคาถูกกว่า Travel Pass ที่ใช้ได้ทั่วประเทศ หรือหากสถานที่ที่เรามีแผนจะเดินทางนั้นไม่ไกลกันมาก อาจจะซื้อตั๋วรถไฟเป็นเที่ยวๆ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อ Pass หรือบางสถานที่ อาจมีวิธีการเดินทางแบบอื่นเช่น รถบัส หากวางแผนทริปได้ดี เลือก Travel Pass และวิธีการเดินทางได้เหมาะสม ก็จะช่วยประหยัดทั้งค่าเดินทาง และเวลา ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางอีกด้วย3. จัดสรรงบประมาณอย่างไรหลังกำหนดจุดหมาย และช่วงเวลาที่จะเดินทางได้แล้ว ก็ได้เวลาจัดสรรงบ สำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ อย่างตั๋วเครื่องบิน และโรงแรมนั้น หากวางแผนดี ๆ เราจะสามารถประหยัดได้ เช่น เลือกเดินทางช่วงที่ไม่ตรงกับช่วง High Season ที่มีราคาสูง นอกจากนี้ อาจลองติดตามโปรโมชันของสายการบิน หรือใช้ตัวช่วยอย่าง ‘Google Flights’ หรือเว็บไซต์รวมข้อมูลราคาของสายการบินต่าง ๆ เพื่อเทียบราคา และวางแผนจองล่วงหน้านาน ๆ ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชันกับบัตรเครดิตที่คุณมี ว่ามีส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือแลกคะแนนเป็นบัตรโดยสารได้หรือไม่ จะช่วยให้ได้ดีลท่องเที่ยวที่คุ้มค่าได้ง่ายขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าชอบกิน เที่ยว ช้อป แบบไหน สามารถประเมินคร่าว ๆ ว่าน่าจะใช้จ่ายตลอดทริปเท่าไร และวางแผนเก็บออมเงิน เพื่อเตรียมงบท่องเที่ยวไปให้เหมาะสมโดยไม่กระทบกับสุขภาพทางการเงินในระยะยาว4. จดก่อนจ่าย คุมงบท่องเที่ยวไม่ให้บานปลายควรแบ่งส่วนเงินให้ชัดเจนว่าจะใช้เงินกับค่าใช้จ่ายแต่ละก้อนเท่าไร และควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในงบโดยไม่นำมาปนกัน ที่สำคัญควรจดหรือบันทึกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้ตลอดทริป จะได้รู้ว่าแต่ละวันใช้เงินไปเท่าไร หากใครไม่สะดวกจด อาจลองดาวน์โหลดแอปที่ช่วยบันทึกค่าใช้จ่าย คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน และคำนวณการหารเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับเพื่อนร่วมทริปได้ง่ายขึ้น5. ทำประกันการเดินทางเพื่อความอุ่นใจป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉิน, อุบัติเหตุต่าง ๆ, เที่ยวบินเดินทางล่าช้า, ทรัพย์สินสูญหาย เป็นต้น โดยให้เลือกพิจารณาจากความคุ้มครองและศึกษากรมธรรม์อย่างละเอียดเพื่อเลือกซื้อได้เหมาะสมกับความต้องการ6. ติดตามโปรโมชันจากแหล่งต่างๆเช่น อีเวนต์ท่องเที่ยว, เว็บไซต์หรือเพจท่องเที่ยวต่าง ๆ, แพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยว เช่น Agoda, Booking.com, Expedia, Traveloka, Trip.com, klook เป็นต้น รวมถึงโปรโมชันจากบัตรเครดิตที่มักจะมีส่วนลดและสิทธิประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวให้เลือกใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่า7. ควรแลกเงินไปเท่าไร ควรใช้บัตรหรือเงินสดร้านค้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น สามารถชำระเงินได้หลายรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต บัตร Travel Card และเงินสด ซึ่งก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น ความสะดวก ใช้งานง่าย ความปลอดภัย สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้เราเลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น หากเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ อย่างค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว หรือค่าช้อปปิ้ง หากเลือกใช้บัตรเครดิตที่เหมาะสมก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ได้ส่วนลด เครดิตเงินคืน ได้คะแนนสะสม และบริหารการใช้จ่ายได้ง่ายเนื่องจากมีกำหนดระยะเวลาในการชำระค่าบัตรเครดิตที่เราทราบล่วงหน้า ส่วนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็สามารถเลือกได้ว่าจะแลกเงินสดติดตัวไปเท่าที่จำเป็น หรือ อาจเลือกใช้บัตร Travel Card ที่มีจุดเด่นเรื่องความคุ้มค่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และความสะดวกในการใช้งาน8. ช้อปอย่างไรให้คุ้มค่าสำหรับนักช้อปตัวยง ควรหาข้อมูลก่อนว่า ย่านไหนเป็นแหล่งช้อปของที่เราต้องการซื้อ หากเป็นร้านที่มีสัญลักษณ์ Tax Free ก็จะสะดวกยิ่งขึ้น หากมียอดใช้จ่ายเกิน 5,000 เยนขึ้นไปตามเงื่อนไข ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สำคัญอย่าลืมเช็คโปรโมชันว่าชำระเงินแบบใดถึงจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม แต่ถ้าจะให้ดีควรคิดก่อนซื้อ และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น จะได้ไม่เป็นภาระทางการเงินหลังจบทริปหากอยากเที่ยวญี่ปุ่นแบบสนุกสุดคุ้ม อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชันดี ๆ จาก บัตรเครดิตในเครือ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่มอบสิทธิพิเศษจากแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” แบบครบทุกประสบการณ์เรื่องญี่ปุ่น อาทิ  •  ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อจองบัตรโดยสารสายการบินที่ร่วมรายการ  •  สิทธิพิเศษเมื่อเลือกจองโรงแรม สายการบิน และบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นกับแพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ  •  การใช้คะแนนสะสมแลกซื้อซิมเพื่อใช้งานที่ญี่ปุ่นในราคาพิเศษ  •  สิทธิพิเศษเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ห้างและร้านค้าพันธมิตรที่ญี่ปุ่น และทุกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นตามเงื่อนไข ยังสามารถสะสมยอดเพื่อรับเครดิตเงินคืน (ระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าและประเภทของบัตรที่ร่วมรายการ)นอกจากนี้ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม ลูกค้าที่สนใจใช้บัตร Travel Card ยังสามารถเลือกใช้ Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นบัตร VISA Prepaid Card Multi-Currency ที่มีกระเป๋าเงิน e-Wallet 16 สกุลเงินต่างประเทศ และ 1 Wallet สกุลเงินบาท ตอบโจทย์ในด้านความคุ้มค่าของเรทเงินและสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ติดตามได้จาก https://kcc.gg/sf0nขอขอบคุณข้อมูล :แคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” โดย บัตรเครดิตในเครือ กรุงศรี คอนซูมเมอร์แหล่งที่มาข่าวต้นแบบ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447551/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

5 เทคนิคเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ได้ผล

26/04/2024

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็นต้อทุกอาชีพ ไม่ว่าจะใช้ในการสื่อสาร หรือการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม การเรียนเพื่อเสริมทักษะภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ที่มีเรื่องให้ทำมากมาย หลายคนอาจไม่สะดวกกับการเดินทางไปเรียนที่สถาบันสอนภาษา การเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณ นี่คือ 5 เทคนิคที่คุณสามารถนำมาใช้ในการเรียนออนไลน์ได้ แจกโพย 5 เทคนิคเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ได้ผล 1. ติดตามรายละเอียดของหลักสูตร สิ่งสำคัญประการแรกในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือต้องรับทราบว่าก่อนว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์ที่คุณเลือกจะครอบคลุมหรือเน้นในส่วนใดของการเรียนรู้ เช่น การพูด, การฟัง, การอ่าน, หรือการเขียน รวมถึงศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียน เช่น การสนทนาในชีวิตประจำวัน, เรียนรู้คำศัพท์, หรือเรียนรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียน 2. สร้างเป้าหมายและแผนการเรียนรู้: เทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้ เช่น การเพิ่มความรู้คำศัพท์, การปรับปรุงการพูด, หรือการเขียนบทความภาษาอังกฤษ รวมถึงสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณเอง โดยใช้เวลาที่มีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ 3. ใช้ทรัพยากรการเรียนออนไลน์: อีกหนึ่งเทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือใช้วิดีโอ, เกม, และแบบทดสอบที่มีอยู่ในหลักสูตรเพื่อเสริมความเข้าใจของคุณในเนื้อหา และร่วมกิจกรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ เช่น การสนทนากับผู้ชาวต่างชาติ, การอ่านหนังสือ, หรือการเขียนบทความ 4. มีการสื่อสารกับครูและเพื่อนคู่เรียน: มาต่อกันที่อีกหนึ่งเทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือถามคำถามหรือข้อสงสัยต่อครูหรืออาจารย์ที่ดูแลหลักสูตร และรับคำแนะนำหรือคำชี้แจงเพิ่มเติม รวมถึงเข้าร่วมกลุ่มสนทนาหรือชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่น 5. ปฏิบัติฝึกทักษะทุกวัน: เทคนิคสุดท้ายในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือใช้เวลาที่สะดวกสม่ำเสมอในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ โดยใช้เวลาสั้นๆ แต่ทำให้มั่นใจว่าคุณทำกิจกรรมฝึกภาษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังควรใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันของคุณโดยการพูดหรือเขียน เช่น การพูดกับเพื่อน, การเขียนบันทึกบุคคล, หรือการรับชมวิดีโอภาษาอังกฤษ การใช้เทคนิคเหล่านี้ในการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเดลินิวส์ออนไลน์https://www.dailynews.co.th/news/3159555/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลเกียรติยศแก่สุดยอดตัวแทน “ที่สุดแห่งปี” ประจำปี 2566 ในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2023

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2023 ในคอนเซปต์ “Infinite Inspiration ความสำเร็จสร้างแรงบันดาลใจไม่รู้จบ” เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ตัวแทนยอดเยี่ยมของเอไอเอ ประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้แก่ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอที่มีผลงานเป็นเลิศ “ที่สุดแห่งปี 2566 (Of the Year 2023)” และคุณวุฒิต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 4,642 ท่าน โดยในปีนี้มีผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT 2024 มากถึง 3,420 ท่าน ทำให้เอไอเอ สามารถรักษาตำแหน่งอันดับ 1 บริษัทที่มีจำนวน MDRT มากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มบริษัทเอไอเอ เป็นบริษัทที่มีตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ความสามารถ และความมุ่งมั่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ต้องการส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินให้แก่คนไทยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives' โดยงานมอบรางวัลได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นความภาคภูมิใจให้แก่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน ฮอลล์ 6-8 เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมาในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2023 ได้รับเกียรติจาก คุณอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีแก่ตัวแทนและผู้บริหารหน่วยที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทเอไอเอ คุณหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรระดับภูมิภาค และคณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีและร่วมมอบรางวัลให้แก่พลังตัวแทนที่ได้รับรางวัล “ที่สุดแห่งปี 2566 (Of the Year 2023)” สำหรับตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิซึ่งได้รับตำแหน่ง “ที่สุดแห่งปี 2566” ทั้งสิ้น 8 ท่าน ได้แก่   •  Top District Manager Up of the Year - คุณโสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ ผู้จัดการภาค ทริปเปิ้ล เอ  •  Top Manager Up (Direct Team & IO1) of the Year - คุณปราโมทย์ ถิรมงคลชัย ผู้อำนวยการภาคอาวุโส เพชรเหรียญทอง 229  •  Top Unit Manager of the Year - คุณสิทธิชัย กัลยาศิริ ผู้จัดการหน่วย นำทอง 1199  •  Top New Unit Manager of the Year - คุณจักรกฤษณ์ เชาวน์เลิศเสรี ผู้จัดการหน่วย เพชรเหรียญทอง 396 เอ  •  Top Assistant Unit Manager of the Year - คุณปารินทร์ ดีสุขสาม ผู้จัดการหน่วย มันนีพลัส 3  •  Top New Assistant Unit Manager of the Year และ Top Leader (Individual) of the Year - คุณพัชรภัคฏ์ ธนะพงศ์เพชร ผู้จัดการหน่วย เพชรเหรียญทอง 396 เวลธ์  •  Top Agent of the Year - คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต หน่วย เนอวานา  •  Top Agent (Cases) of the Year - คุณสุดารัตน์ ปิยขจรโรจน์ หน่วย เพชรเหรียญทอง 229คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบรางวัลให้กับกับสุดยอดพลังตัวแทนทั้ง 4,642 ท่าน ที่สามารถพิชิตรางวัลไปได้ในปีนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ได้แสดงให้เห็นตลอดปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้ ทุกท่านเปรียบเสมือนฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จ ทั้งในด้านการเติบโต และด้านการสร้างตัวแทนใหม่ พร้อมทั้งเป็นพลังขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2566 และสำหรับในปี 2567 เรายังมีเป้าหมายร่วมกัน คือสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างตัวแทนใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง อีกหนึ่งภารกิจในปีนี้คือการผลักดันให้ตัวแทนทุกท่านมีสถานะ AIA Vitality ตั้งแต่ Silver ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นเกณฑ์การพิจารณาในการพิชิตคุณวุฒิ และรางวัลต่าง ๆ ของเราในปีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะการสนับสนุนให้ลูกค้ามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้นั้น ควรเริ่มต้นจากการมีสุขภาพที่ดีของตัวแทนทุกท่าน เพื่อส่งต่อการดูแลด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามพันธกิจของเอไอเอ ที่สำคัญผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพแห่งความสำเร็จในวันนี้ จะส่งต่อแรงบันดาลใจให้พลังตัวแทนออกไปส่งมอบความคุ้มครองแบบเกินร้อยไปยังลูกค้า เพื่อขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงความเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่ง ตลอดไป”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชวนชมจิตรกรรมยุทธหัตถี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรฯ 25 เม.ย.

29/04/2024

ตามตำนานยุทธหัตถีและพระราชประวัติ "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ไปกับผลงานจิตรกรรมภายในวิหาร วัดสุวรรณดาราราม ผลงานของพระเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร ต้นแบบภาพคุ้นตาในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยวัดสุวรรณดาราราม อาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ถ้าใครได้เข้ามาแล้วจะรับรู้ได้ถึงความน่าตื่นตาของภาพจิตรกรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกภายในวิหาร ผลงานของ พระมหาเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ที่หลายคนคุ้นตาแต่อาจไม่รู้เลยว่า ภาพวาดตำนานยุทธหัตถีที่เราเห็นในตำราเรียนนั้นอยู่ภายในวัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา นี่เองภายในวิหาร วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยาวัดสุวรรณดาราราม เดิมชื่อว่า “วัดทอง” สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยพระชนกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  หลังสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีแล้วเสร็จทรงรวบรวมช่างฝีมือจากกรุงเก่ามาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดที่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งเสียกรุงขึ้นมาใหม่ พระราชทานนามว่า วัดสุวรรณดาราราม เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระชนก (ทองดี) และพระชนนี (ดาวเรือง) นับเป็นอารามชั้นเอกของต้นราชวงศ์จักรีที่ได้รับการบูรณะและสร้างเพิ่มเติมจากพระมหากษัตริย์ตลอดมาภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา บริเวณเหนือขอบประตูด้านหน้าของพระประธานสำหรับภาพจิตรกรรมภายในวิหารที่กลายมาเป็นต้นแบบของตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยนั้น เป็นผลงานของ พระมหาเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ผู้มีฝีมือในศิลปะทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ (ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการร้านถ่ายรูปฉายานรสิงห์ ร้านถ่ายรูปหลวง) นักออกแบบฉาก เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงช่างแต่งหน้าละครหากงานที่เชี่ยวชาญมาก คือ การเป็นช่างเขียนภาพ  มีผลงานเป็นที่พอพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลให้ว่า “จิตรกร”จิตรกรรมด้านบนแสดงภาพเทพชุมนุม ระหว่างช่องหน้าต่างแสดงภาพพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตามประวัติพระอนุศาสน์จิตรกรที่ปรากฏในหนังสือ “เที่ยวนครวัด นครธม เมื่อพ.ศ.2467” กล่าวถึงผลงานจิตรกรรมภายในวิหารวัดสุวรรณดารารามว่า เป็นงานที่สร้างขึ้นระหว่างปีพ.ศ. 2473- 2474 ขณะอายุ 59 ปี ความว่า“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้ไปเขียนภาพประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ การกู้อิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช งานนี้ต้องใช้ความอุตสาหะในการค้นคว้าหาหลักฐาน เขียนตามความนึกคิดของท่านเองที่ได้เค้ามาจากประวัติศาสตร์เมื่อร่างแบบเขียนตอนใดก็นำไปถวายหารือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพื่อทรงพิจารณาก่อนนำไปเขียนทุกครั้งดังนั้นงานชิ้นนี้จึงนับได้ว่ามีความสมบูรณ์และใกล้เคียงประวัติศาสตร์มากที่สุด และเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานซองบุหรี่ทองคำลงพระปรมาภิไธยเป็นรางวัล”ภาพเทพชุมนุมแบบดั้งเดิมภายในโบสถ์ วัดสุวรรณดารารามภาพเทพชุมนุมภายในวิหารวัดสุวรรณดารารามมีลักษณะผสมผสานระหว่างบุคคลจริงกับอุดมคตินอกจากเนื้อหาของภาพจิตรกรรมในวิหารที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก มาเป็นพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์แล้วเทคนิคในการเขียนภาพก็มีความแตกต่างไปจากขนบเดิม เช่น การใช้สีน้ำมันแทนสีฝุ่น การนำเทคนิคการเขียนภาพแบบตะวันตกที่มีระยะใกล้ไกล ภาพบุคคลมีกล้ามเนื้อแบบกายวิภาคดังจะเห็นได้จากภาพเทพชุมนุมที่อยู่ทางด้านบน ที่มีรูปลักษณ์ผสมผสานระหว่างบุคคลจริงกับอุดมคติได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยเคลื่อนไหวอยู่บนก้อนเมฆและท้องฟ้าพระสยามเทวาธิราชทูลอัญเชิญพระอิศวรแบ่งภาคลงมาอุบัติลงบนโลกมนุษย์ในขณะที่ภาพพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่อยู่ทางตอนล่างมีการแบ่งเนื้อหารวม 20 ตอน แต่ละตอนมีอักษรเขียนอธิบายเหตุการณ์สั้นๆไว้ที่ใต้ภาพเริ่มตั้งแต่ภาพที่ 1 (มุมด้านซ้ายมือของพระประธาน) พระสยามเทวาธิราชทูลอัญเชิญพระอิศวรแบ่งภาคลงมาอุบัติลงบนโลกมนุษย์ หมายถึงการจุติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ไล่เรียงเหตุการณ์ ไปจนเสด็จสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับมังสามเกียดโดยมีเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ภาพสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับมังสามเกียด (พระมหาอุปราชา) ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง พ.ศ.2127 พิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระอจนะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิภายในวัดศรีชุม จ.สุโขทัย ภาพทรงคาบพระแสงดาบปีนค่ายพม่าอันเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่าย เป็นต้นภาพจิตรกรรมสงครามยุทธหัตถี วาดด้วยสีน้ำมัน ผลงานพระเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) คุณตาของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชสำหรับภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญที่สุด จะอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับพระประธาน ในภาพนี้เราจะได้เห็นเหตุการณ์ขณะเท้าหลังของเจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยันตอต้นพุทราไว้ทำให้มีหลักมั่นคง มีกำลังแรงเสยพลายพัทกอช้างทรงของพระมหาอุปราชาถนัดทำให้สมเด็จพระนเรศวรได้จังหวะจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาดจนสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ตรงตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมาไม่ผิดเพี้ยนภาพทรงคาบพระแสงดาบปีนค่ายพม่าอันเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่ายพระเสวกตรีพระยาอนุศาสน์จิตรกรใช้เวลา 2 ปีเต็มในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมที่แสดงให้เห็นพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจสำคัญของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเทคนิคแบบตะวันตกที่ทำให้เราได้เห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแจ่มชัด มีลักษณะเหมือนจริง มีระยะใกล้ไกล มีต้นไม้และท้องฟ้าที่ดูเหมือนธรรมชาติ บุคคลมีกล้ามเนื้อเหมือนคนจริงๆ  และนำสีน้ำมันมาใช้แทนสีฝุ่นแบบดั้งเดิมกล่าวได้ว่าเป็นงานที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น และยังคงสืบทอดความงดงามอลังการมาจนถึงยุคนี้ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 25 เมษายน 2567ภาพ : สุธี - ลักขณา คุณาวิชยานนท์  •  อ้างอิง : “เที่ยวนครวัด นครธม เมื่อพ.ศ.2467” โดย พระยาอนุศาสน์จิตรกร , ภริยาและบุตร จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระเสวกตรีพระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม พ.ศ.2493  •  “จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดสุวรรณดาราราม” โดย วาสนา พบลาภ,สารนิพนธ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศิลปากร  •  “แนวคิดการออกแบบจิตรกรรมเทพชุมนุม ฝีมือ พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ในพระวิหารหลวงวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร” โดย ธนากร เพ็ญพาด ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศิลปากรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1123614

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว ที่เที่ยวเชียงใหม่ ชมอาทิตย์ตกดิน กลางทุ่งหญ้าสีทอง

29/04/2024

ไปชมวิวอาทิตย์ตกดินท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าแบบ 360 องศาที่ ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว ที่เที่ยวเชียงใหม่ แสนสวยสะกดตา น่าประทับใจสุดๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะจะมีทะเลหมอกสีขาวมาเติมแต่งให้ทัศนียภาพตรงหน้าดูอลังขึ้นไปอีก หนาวนี้ต้องไม่พลาด ปักหมุดเอาไว้เลย~ดอยบ่าโจ๊ะโข่ว ขุนแปะที่เที่ยวเชียงใหม่ ถ่ายรูปสวยทำความรู้จักกับ ดอยบ่าโจ๊ะโข้วดอยบ่าโจ๊ะโข้ว หรือในภาษากระเหรี่ยงแปลว่า "ภูเขาของกระรอก" เป็นที่เที่ยวลับซึ่งแอบซ่อนอยู่ใน บ้านขุนแปะ ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลายคนอาจยังไม่คุ้นหูกับสถานที่แห่งนี้มากนัก แต่กลับแฝงไปด้วยธรรมชาติงดงามแบบเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์ตกดิน ทุ่งดอกหญ้าสีทอง และทุ่งกะหล่ำปลี เป็นจุดชมวิวสุด Unseen ที่คนรักธรรมชาติและความเงียบสงบจะต้องลุยขึ้นเขาไปสักหน่อยเพื่อให้ถึงที่หมายค่ะไฮไลท์ ดอยบ่าโจ๊ะโข้วเมื่อพูดถึงไฮไลท์ของดอยบ่าโจ๊ะโข้วแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ วิวของอาทิตย์อัสดงในยามเย็นที่สาดส่องไปทั่วทั้งเนินเขา รวมถึงทุ่งดอกหญ้าที่ส่องประกายจนกลายเป็นสีทอง เข้ากับแสงสีส้มบนท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถมองเห็นได้กว้างไกลถึง 360 องศา เรียกว่าเป็นการชมวิวสวยแบบไม่มีอะไรมากั้นเลยและในช่วงปลายฝนต้นหนาว-ฤดูหนาว จะเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การไปเที่ยวดอยบ่าโจ๊ะโข้วเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชมอาทิตย์ตกดินแล้ว ในยามเช้ายังมีทะเลหมอกสียาวไหลปกคลุมขุนเขาไปทั่วบริเวณ พร้อมกับวิวอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า สวยอลังทั้งยามเช้าและยามเย็น แถมยังมีทุ่งกระหล่ำปลีสีเขียวที่ตัดกับท้องฟ้าสีครามอีกด้วย มีจุดเช็กอินเจ๋งๆ เยอะเกินคาดมากเป็นยังไงกันบ้างคะกับดอยบ่าโจ๊ะโข่ว เป็นสถานที่สุด Unseen ที่มีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะคะ แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เดินทางไปยากลำบากสักหน่อย แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปเยือนแล้วจะต้องตกหลุมรักที่นี่ได้ไม่ยากเลยค่ะข้อมูล ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว เชียงใหม่  •  ที่อยู่ : ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่  •  พิกัด : https://goo.gl/maps/ftKUzNw7xSoHmBop8   •  เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน  •  โทร : -  •  เว็บไซต์ : -แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ trueidhttps://travel.trueid.net/detail/J3em8pQBbjQ3

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ธุรกิจ

อายุถึง แต่ความสามารถไม่ถึง ไม่ใช่ทุกคนจะเป็น ‘หัวหน้า’ ได้

25/04/2024

แนวทางการเติบโตในโลกการทำงานยุคใหม่คงมีวิถีทางคล้ายกันแทบทุกองค์กร เมื่อเริ่มงานในตำแหน่งระดับปฏิบัติการสักระยะ หากผลงานดีจนเป็นที่ประจักษ์ นอกจากฐานเงินเดือนและเงินโบนัสที่ปรับตามเพอฟอร์แมนซ์แล้ว ‘ตำแหน่งงาน’ ก็เป็นอีกหัวโขนสำคัญที่หลายคนพึงปรารถนา และมองว่า เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเติบโต และความสามารถบนเส้นทางอาชีพให้กับตนเองได้ ไม่ว่าความปรารถนานั้นจะมาจากปณิธานมุ่งหมายส่วนตัว สังคมพร่ำบอก หรือองค์กรให้คุณค่า สิ่งหนึ่งที่ถูกพร่าเลือนจนหลายครั้งก็สร้างผลกระทบให้กับหลายฝ่าย คือในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นหัวหน้าหรือขึ้นสู่ตำแหน่งระดับบริหารได้ หลายครั้งที่การวาง ‘Career path’ ในองค์กร มีแรงจูงใจให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้นจากการปรับเพิ่มตำแหน่งงานและความรับผิดชอบใหม่ๆ ทำให้บางครั้ง ‘คนเก่ง’ เหล่านั้น ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากเดิมไปโดยสิ้นเชิงแบบไม่ทันตั้งตัว ‘ปีเตอร์ เพทราเลีย’ (Peter Petralia) พาร์ทเนอร์ และที่ปรึกษาทางการตลาด ‘Modern Craft’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ประเทศแคนาดา ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ไว้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่องค์กรต้องพึงระลึกไว้เสมอ คือการที่คนคนหนึ่งทำงานในทักษะเฉพาะด้านได้ดี ไม่ได้แปลว่า เขาหรือเธอจะเป็น ‘Manager’ หรือหัวหน้างานที่ดีได้ การปรับย้ายคนทำงานเข้าสู่ส่วนงานที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการ จำเป็นต้องมีคุณลักษณะหรือบุคลิกภาพเฉพาะด้าน การเทรนนิ่งคนเหล่านี้ก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเป็น ‘หัวหน้า’ ไม่ได้ทำงานตามสัญชาตญาณได้เสมอไป [ อย่าทำให้พนักงานล้มเหลว องค์กรต้องมีทางเลือกสำรองให้คนทำงาน ] ‘เพทราเลีย’ ยกตัวอย่างกรณีคนทำงานที่เก่งและมีความสามารถอันน่าทึ่งมากมายที่เขาเคยเจอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปด้วยอายุงานและเวลาอันเหมาะสม คนเหล่านี้ก็มักจะถูกโปรโมต-เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งงานที่ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น สิ่งที่เขาค้นพบ คือหลายคนตกอยู่ในภาวะ ‘Underperformance’ ไม่ใช่คนเก่งแบบที่เคยเป็นอีกแล้ว เนื่องจากขนบการทำงานที่เชื่อว่า ต้องมีการเติบโตในเชิงตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในระดับนโยบายเท่านั้น แต่ยังฝังรากลึกลงไปในความเชื่อของคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานจะยกย่อง-ชื่นชมเมื่อคุณขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร แม้ว่าลึกๆ จะตระหนักดีว่า ตนเองยังไม่พร้อม และไม่ถนัดกับงานเชิง ‘Management’ เอาเสียเลย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับข้อเสนอไป ‘เพรทาเลีย’ ให้ความเห็นว่า คนทำงานต้องกลับมาตกผลึกกับความต้องการของตนเองก่อนว่า เราอยากเติบโตแบบไหน ถ้างานบริหารไม่ใช่เส้นทางที่ต้องการ ลองดูว่า องค์กรมีพื้นที่อื่นๆ สำหรับความเชี่ยวชาญของคุณอีกหรือไม่ หรือหากต้องการโตในสาย ‘Management’ แต่ยังไม่มีทักษะ องค์กรสามารถโค้ชชิ่งให้พนักงานได้รึเปล่า หากไม่มีทั้งสองทางให้เลือก นั่นอาจหมายความว่า บริษัทกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พนักงานล้มเหลว การเติบโตจากตำแหน่งปฏิบัติการไปสู่ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะการจัดการ และทักษะอื่นๆ ในการทำงานเป็นทีมเป็นส่วนประกอบที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน เมื่อองค์กรเล็งเห็นว่า พนักงานมีศักยภาพ ควรพูดคุยปรึกษาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย หากพนักงานยังไม่มีทักษะในการเป็นหัวหน้า องค์กรต้องเป็นคนเสนอสิ่งเหล่านั้นให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดลำดับความสำคัญ ทักษะการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูง เทคนิคการจัดการความเครียด วิธีกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วม เป็นต้น [ สร้าง Career path ต้องยึดจากความสามารถ ไม่ใช่ตำแหน่งงานเดิม ] อาจฟังดูเป็นเรื่องใหม่สักหน่อย เพราะส่วนใหญ่แล้วการปรับตำแหน่งมักยึดจากหน้าที่เดิมเป็นหลัก ทว่า ผู้เชี่ยวชาญกลับมองต่างออกไป ‘เพรทาเลีย’ เสนอว่า ให้กำหนดหน้าที่จากความถนัดของคนทำงานดูก่อน เพื่อจะได้เห็นว่า เขาหรือเธอมีทักษะใดที่ต้องเติมเต็ม พูดง่ายๆ ก็คือ ชูจุดแข็งของคนทำงานเข้าไว้ เพื่อจะได้เห็น ‘จุดอ่อน’ ที่ไม่มีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และตัวองค์กรเองนี่แหละที่ต้องเข้าไปสนับสนุน-อุดรอยรั่วเหล่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้คนทำงานเองก็จะรู้สึกว่า องค์กรมีส่วนในการสนับสนุนการทำงานของพวกเขา ไม่ได้ปล่อยให้เผชิญกับการทำงานในพื้นที่ใหม่ๆ เพียงลำพัง และที่สำคัญที่สุด คือลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหัวหน้ามือใหม่เหล่านี้ ที่ไม่ต้องรับหน้าที่ ‘เดอะแบก’ จนหนักเกินไป เพราะหัวหน้าเองก็ผ่านการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นมาบ้างแล้ว ทั้งยังมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีช่วยให้การทำงานในทีมกลมกล่อมยิ่งขึ้น [ เก่งแบบกูรู ≠ เก่งในการบริหารทีม ] ด้าน ‘ไรอัน โฮล์มส์’ (Ryan Holmes) ผู้บริหาร ‘Hootsuite’ บริษัทซอฟต์แวร์ด้าน AdTech ก็มีความเห็นไปในทิศทางคล้ายกัน เขาระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่ยังคงวางเส้นทางการเติบโตให้พนักงานผ่านบทบาทของการเป็นผู้บริหาร ทั้งค่าตอบแทนและการยอมรับในองค์กรล้วนเชื่อมโยงกับการรับหน้าที่บริหารทีมทั้งสิ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วชุดทักษะวิชาบริหารเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ใ่ช่ทุกคนจะมีสิ่งนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเร่งพัฒนามัน สิ่งที่ขาดหายไป คือ ‘Guru track’ หรือเส้นทางเฉพาะด้านของคนทำงานแบบ ‘Specialist’ สำหรับ ‘โฮล์มส์’ แล้ว พนักงานที่มีความสามารถเฉพาะด้านแบบลงลึก เปรียบเสมือน ‘นักแสดง’ ยอดเยี่ยมที่ไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการจัดการผู้คนหากแต่พวกเขาเหล่านี้ คือผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้อันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังสามารถทำงานในขอบเขตหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แม้ไม่ได้เป็นผู้นำโดยตำแหน่ง แต่ความเก่งเฉพาะตัวแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ ‘Specialist’ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมงานผ่านวิธีการทำงานของตนเอง มากกว่าการส่งทอดผ่านคำสั่งอย่างที่คนระดับบริหารทำกัน ฉะนั้น ความก้าวหน้าบนเส้นทาง ‘Guru track’ จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาเหล่านี้ ‘เลื่อนขั้น’ ในองค์กรผ่านวิธีการเฉพาะตัวรูปแบบอื่นๆ แทน อาจจะเป็นการได้รับมอบหมายให้ดูแลเมกะโปรเจกต์ ได้ทำงานกับฝ่ายอื่นๆ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา ให้คำปรึกษากับคนทำงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี และอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ หากใครต้องการปรึกษาเรื่องนี้ ต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้นที่ให้คำแนะนำได้แหลมคมที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ‘Win-win’ ทั้งสองฝ่าย พนักงานที่ทำได้ดีอยู่แล้วก็ลึกซึ้งกับเนื้องานมากขึ้น ได้รับคำตอบเรื่องเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานความถนัดแบบที่ไม่ได้ ‘ถูกบีบ’ ให้เติบโตตามขนบ ส่วนองค์กรเองก็เพิ่มโอกาสในการรักษาคนมีความสามารถไว้ได้ หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ คือการเปิดโอกาสให้คนทำงานได้มีส่วนร่วมกับเส้นทางของตัวเอง ให้เขาได้เป็น ‘Owner’ ไม่ใช่ถูกมอบหมาย ‘ให้ทำ’ แต่เกิดขึ้นเพราะเขา ‘อยากทำ’ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์ https://workpointtoday.com/not-everyone-can-be-a-leader/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X