Everyday knowledge for you
ท่องเที่ยว
23/04/2024
เที่ยวญี่ปุ่น ห้ามนำสองสิ่งนี้ขึ้นรถทัวร์นำเที่ยวโดยเด็ดขาด ไกด์ต้องย้ำเสมอ โชเฟอร์ขอย้ำนักท่องเที่ยวโปรดให้ความร่วมมือญี่ปุ่น ประเทศที่ครองใจคนไทยสูงสุด และมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับแรก หลายคนกำลังวางแผนเดินทางไป แต่ยังไม่ทราบว่า รถทัวร์บริการนำเที่ยวในญี่ปุ่น มีของต้องห้ามโดยเด็ดขาดนอกจากการนัดหมายที่ตรงต่อเวลา นักท่องเที่ยวที่ลงไปเที่ยวตามจุดต่าง ๆ แล้ว ขึ้นรถมาห้ามนำสองสิ่งนี้ขึ้นรถเป็นอันขาด นั่นคือ ไอศครีมซอฟท์เสิร์ฟ และ แก้วกาแฟไม่มีฝาปิดหากซื้อไอศครีมตามจุดท่องเที่ยว (เป็นของหวานยอดนิยมที่ต้องชิมให้ได้ในแต่ละจุดซะด้วย) นักท่องเที่ยวต้องกินให้หมดก่อนขึ้นรถและกาแฟไม่ว่าจะเป็นร้านไหนยี่ห้อใด หากนำขึ้นรถต้องเป็นแก้วที่มีฝาปิดเท่านั้นนั่นเพราะคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความสะอาดอย่างมาก หากมีจุดที่เลอะเปรอะเปื้อน โชเฟอร์อาจต้องเสียเวลาคลีนนิ่งทั้งคัน จึงขอความร่วมมือกับนักเดินทางก่อนเป็นอันดับแรกแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447347/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
22/04/2024
มอนิ่งสตาร์ แนะ 8 อันดับแนวทางลงทุน สำหรับนักลงทุนในช่วงวัย 40-50 ปี ซึ่งมักเป็นช่วงที่มีรายได้ค่อนข้างมาก จะมีลำดับความสำคัญในการวางแผนทางการเงินอย่างไรบ้าง วันที่ 22 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคนวัย 40-50 ปี เรามักจะไม่ค่อยเห็นคำแนะนำเรื่องการลงทุนมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับช่วงวัยเริ่มทำงานหรือใกล้เกษียณอายุ ทั้งที่ความจริงในวัย 40-50 ปีนั้นเป็นช่วงที่มีรายได้ค่อนข้างสูง มีความซับซ้อนและความต้องการทางการเงินที่สูงกว่าช่วงวัยอื่น ๆ ทั้งการเก็บเงินเพื่อบุตรและเก็บเงินเพื่อรองรับการเกษียณในอนาคต นอกจากนี้แม้วัยกลางคนจะยังรับความเสี่ยงในตราสารทุนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความลำบากทางการเงินอยู่มากที่ไม่สามารถหารายได้มาเพียงพอหรืออาจมีปัญหาสุขภาพทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และยังต้องดูแลผู้สูงอายุอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ได้แนะนำ 8 ลําดับความสําคัญที่ควรคํานึงถึงสำหรับนักลงทุนในวัยกลางคน ดังนี้ 1. การลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะความสามารถ การลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะความสามารถ เช่น การลงทุนเพื่อการศึกษา การอบรมสมนา เพื่อพัฒนาความรู้ความชำนาญ การติดตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างโอกาสในการหารายได้ที่เพิ่มขึ้นก่อนที่จะถึงวัยเกษียณอายุ 2. สร้างสมดุลระหว่างการสะสมรายได้และเป้าหมายอื่นในชีวิต สำหรับคนที่มีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรนับเป็นภาระที่ค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องเตรียมสะสมเงินออมสำหรับยามเกษียณอีกด้วยภายใต้ระยะเวลาการทำงานที่เหลือน้อยลง ทำให้การวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณจำเป็นต้องใช้เวลาและวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 25-30 ปีก่อนเกษียณ สำหรับจำนวนเงินที่รองรับก็ควรจะต้องเตรียมไว้อย่างน้อย 25 เท่าของรายจ่ายที่ต้องการใช้ในยามเกษียณ นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญต่อเป้าหมายทางการเงินเพื่อเกษียณไว้เป็นลำดับแรก ๆ เพราะหากอนาคตในยามใกล้เกษียณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินในเรื่องอื่นก็จะทำให้เรามีสภาพคล่องเพียงพอในการรองรับได้ 3. ปกป้องสินทรัพย์ที่มี ปกป้องสินทรัพย์ที่มี เช่น ทำประกันอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ครอบคลุมภาระหนี้หรือมูลค่าสินทรัพย์เผื่อกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน หรือการทำประกันสุขภาพเพื่อรองรับการเจ็บป่วยในยามเกษียณ นอกจากนี้อย่าลืมสำรองเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น ออกจากงาน ซึ่งอย่างน้อยควรมีพอสำหรับรองรับไว้ใช้ได้นาน 3-6 เดือน 4. การเพิ่มเงินออมเพื่อรองรับการใช้จ่าย แม้วัยกลางคนจะเป็นช่วงที่สร้างรายได้ได้ค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นช่วงที่มีรายจ่ายมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยเพิ่มเงินออมให้สูงขึ้นตามไปด้วยโดยอัตโนมัติก็คือการเพิ่มแผนการจ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้มากขึ้นนั่นเอง 5. การเพิ่มทางเลือกในการออมเงินสำหรับเงินเกษียณ นอกเหนือไปจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างแล้ว เพื่อให้มีเงินใช้อย่างเพียงพอในอนาคตนั้นการลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษีก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีของนักลงทุน 6. บริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน สำหรับการลงทุนในช่วงวัย 40-50 ปียังจำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงและสะสมเงินไว้ใช้ในอนาคต ขณะที่ในวัย 50 ปีขึ้นไปอาจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี เพราะถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าหุ้นแต่ก็มีอัตราผลตอบแทนหรือ Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 นอกจากนี้ตราสารหนี้ยังช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีได้ในยามที่ตลาดหุ้นไม่ดี รวมถึงหากมีเหตุฉุกเฉินที่ต้องออกจากงานก่อนกำหนดเงินลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังช่วยสร้างรายได้ในยามที่ตลาดหุ้นไม่ดีเช่นกัน 7. พอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ไม่ได้แปลว่าต้องซับซ้อน เมื่อสินทรัพย์มีขนาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนักลงทุนอาจคิดว่าองค์ประกอบของการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอต้องมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพียงแค่ลงทุนในแบบที่ง่าย ๆ โอกาสที่จะผิดพลาดจากการลงทุนยิ่งลดลง เช่น พอร์ตการลงทุนอาจประกอบไปด้วยการลงทุนในตราสารทุนในประเทศ ตราสารทุนต่างประเทศ และตราสารหนี้ เท่านี้ก็เพียงพอ 8. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินให้เหมาะสมกับความต้องการ เมื่อชีวิตทางการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้นหรือใกล้ถึงวัยเกษียณแล้ว การจ่ายเงินจ้างที่ปรึกษาทางการเงินก็ดูจะมีความจำเป็นและเหมาะสม เพราะอาจได้ข้อมูลเชิงลึกและได้รับคำปรึกษาในเรื่องที่ซับซ้อน เช่น การวางแผนภาษีอย่างไรก็ดี ผู้ที่มีเงื่อนไขทางการเงินที่ซับซ้อนมากก็อาจเหมาะสมกับการจ่ายเงินค่าที่ปรึกษาการลงทุนแบบเป็นสัดส่วนตามมูลค่าทรัพย์สินในแต่ละปี แต่หากใครเพียงต้องการปรึกษาเป็นครั้งคราวก็อาจเหมาะสมกับการจ่ายเงินเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเป็นรายครั้งไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1547740
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
“กรมธรรม์ประกันชีวิต” นอกจากจะมีประโยชน์ในแง่ให้ความคุ้มครอง โอนย้ายความเสี่ยงในการวางแผนการเงินแล้ว ยังเป็นแหล่งเงินออมระยะยาว จนสามารถมีเงินก้อนใช้ได้ในยามเกษียณได้อย่างสบาย ในช่วงเกิดโรคระบาด Covid-19 หลายคนเกิดภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากรายได้ลดลงจนถึงหยุดชะงัก จึงเลือก “กู้ฉุกเฉินผ่านกรมธรรม์ประกันชีวิต” เนื่องจากสามารถกู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องพิจารณาเครดิต เพราะมีกรมธรรม์เป็นสินทรัพย์ค้ำอยู่ ที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับเงินกู้จากแหล่งอื่นๆ โดยบริษัทประกันเองก็ได้ช่วยอำนวยความสะดวก โดยส่งข้อมูลวงเงินที่สามรถกู้ได้ ตรงถึงผู้เอาประกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจ ทำให้เงินกู้กรมธรรม์จึงได้รับความสนใจ และเป็นทางเลือกหนึ่งในการกู้เงินสดฉุกเฉินให้ผ่านช่วงวิกฤตที่ผ่านมาอย่างแพร่หลาย“สำหรับเงื่อนไขสำคัญหากต้องการกู้เงินฉุกเฉินผ่านกรมธรรม์ประกันชีวิต คือ สามารถกู้ได้เป็นจำนวน 80 - 90% ของมูลค่ากรมธรรม์ที่คำนวณได้ ณ วันนั้น โดยมูลค่ากรมธรรม์จะมีการปรับขึ้นทุกวันแบบดอกเบี้ยทบต้น โดยสาเหตุที่ต้องกันเงินสำรองไว้ 10 - 20% เพื่อให้เพียงพอต่อการกู้ชำระเบี้ยรายงวด 1 เดือน กรณีที่ถึงกำหนดชำระเบี้ยแล้วผู้เอาประกันยังไม่สามารถชำระเบี้ยได้ มูลค่าที่กันไว้ ก็จะเพียงพอในการกู้ชำระเบี้ย เพื่อยืดเวลาความคุ้มครองของกรมธรรม์ต่อไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง”“อัตราดอกเบี้ยเงินกู้” ของกรมธรรม์แต่ละเล่มจะไม่เท่ากัน โดยจะคิด +2% จากอัตราดอกเบี้ยในหน้าแรกของกรมธรรม์ ถ้าหน้ากรมธรรม์ระบุอัตราดอกเบี้ย 3.5% ดอกเบี้ยเงินกู้ของกรมธรรม์จะเป็น 5.5% กรณีที่เราถือกรมธรรม์หลายเล่ม จึงควรตรวจสอบก่อนว่าจะกู้กรมธรรม์เล่มไหน ที่มีอัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดตัวอย่าง: การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในกรมธรรม์ยอดเงินกู้ 100,000 บาท ดอกเบี้ยหน้ากรมธรรม์ 3.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะคิด +2% เป็น 5.5%หากกู้เงินเป็นจำนวน 97 วัน จะคิดอัตราดอกเบี้ย = [(1+0.055)^(97/365)] – 1 = 0.0143คิดเป็นดอกเบี้ย 100,000 * 0.0143 = 1,430 บาทหากกู้เงินเป็นจำนวน 141 วัน จะคิดอัตราดอกเบี้ย = [(1+0.055)^(141/365)] – 1 = 0.0209คิดเป็นดอกเบี้ย 100,000 * 0.0209 = 2,090 บาทข้อสังเกต: เนื่องจากเป็นการคิดแบบดอกเบี้ยทบต้นรายวัน จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่คำนวณในจำนวนวันที่น้อยกว่า มีอัตราที่ถูกกว่าข้อควรทราบ • ทุกครั้งที่มีการชำระคืน บริษัทจะนำเงินไปชำระดอกเบี้ยก่อนที่เหลือจึงนำมาตัดเงินต้น • หากมีเงินปันผลของกรมธรรม์ ก็จะถูกนำมาชำระหนี้สินในส่วนนี้ก่อน หากเหลือจึงจ่ายคืนผู้เอาประกัน • กรณีกรมธรรม์ขาดอายุและต้องการชำระเบี้ยต่ออายุ จะต้องคืนเงินกู้คงค้างในกรมธรรม์ก่อน ถึงจะสามารถต่ออายุได้ตัวอย่าง: การชำระคืนบางส่วน เช่น กรณี B ณ 141 วัน เช่น ชำระคืน 50,000 บาท บริษัทจะนำไปหักดอกเบี้ยก่อนที่ 2,090 บาท และนำส่วนที่เหลือไปหักเงินต้น 47,910 บาท เหลือเงินกู้คงค้างที่ 52,090 บาท แล้วเริ่มต้นคำนวณดอกเบี้ยทบต้นรายวันใหม่ [100,000 – (2,090 + 47,910) = 52,090]เมื่อถึงรอบดิวกรมธรรม์ เงินต้นบวกดอกเบี้ยคงค้าง จะถูกนำมาคิดเป็นเงินต้นในรอบการคำนวณใหม่ ดังตัวอย่างเริ่มกู้วันที่ 23/3/2565 ครบรอบดิวกรมธรรม์วันที่ 11/8/2565 เป็นจำนวน 141 วันระยะเวลา 141 วัน จะคิดดอกเบี้ย = [(1+0.055)^(141/365)] – 1 = 0.0209คิดเป็นดอกเบี้ย 100,000 * 0.0209 = 2,090 บาท สมมติว่าไม่มีการชำระคืนเลยวันที่ 11/8/2565 จะคิดเงินต้น = 102,090 บาท และคำนวณดอกเบี้ยรายวันทบต้นต่อไปตัวอย่าง: การกู้กรมธรรม์ฉบับหนึ่ง จำนวนการกู้ 4 ยอดเมื่อวันที่ 23/3/2565, 1/4/2565, 6/5/2565 และ 12/9/2566 โดยยังไม่ได้ชำระเงินคืนเลย มีการชำระ 1 ครั้งจากเงินคืนตามสัญญากรมธรรม์ จำนวน 60,000 บาท กรมธรรม์ครบดิว 11 สิงหาคม ของทุกปี โดยมีอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปีหากมีการทยอยชำระคืน บริษัทจะนำเงินไปชำระหนี้สินก่อน แล้วจึงมาหักเงินต้น จากตัวอย่าง เงินกู้ยอดแรก คือ ยอด 2,390,155.79 บาท เมื่อชำระคืน 200,000 บาท ณ วันที่ 13/7/2566 บริษัทจะบันทึกรับเป็นดอกเบี้ย 120,754.60 บาท และหักเงินต้น 79,245.40 บาท“จากตัวอย่างจะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจวิธีคำนวณดอกบี้ย และวางแผนการชำระคืนได้อย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถวางแผนจัดการหนี้ก้อนต่าง ๆ ว่าควรมีลำดับการชำระหนี้ก้อนไหนอย่างไรก่อนหลัง ดอกเบี้ยเงินกู้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตจัดว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอีกหลายแหล่งเงินกู้ เพราะมีสินทรัพย์คือ กรมธรรม์ที่มีมูลค่าแน่นอนค่ำเอาไว้”“เงินกู้ในกรมธรรม์” จัดว่าเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องในระดับที่ดี ทำการกู้ง่าย โดยปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้สะดวกมาก จากการลง Application ในมือถือ สามารถตรวจสอบมูลค่าด้วยตนเองได้ การทำสัญญากู้ ก็สามารถทำจาก Application ได้เลยและรับเงินโอนเข้าบัญชีภายใน 3 วันทำการ การชำระคืนสามารถชำระโดยโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทและแจ้งรายการชำระผ่านทาง Call center ของบริษัทเพื่อตรวจสอบอย่างไรก็ดี คุณค่าที่แท้จริงของ “กรมธรรม์ประกันชีวิต” คือ เป็นการโอนย้ายความเสี่ยงและเป็นแหล่งเงินออมระยะยาว ข้อพึงระวัง คือ หากจำเป็นต้องใช้เป็นแหล่งเงินกู้ฉุกเฉิน ควรวางแผนรีบนำเงินกลับเข้าไปคืน เพื่อไม่ให้เสียวินัยทางการเงิน และยังคงรักษากรมธรรม์ไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่นำมาใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/22297
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สกู๊ปพืช
29/04/2024
รวมต้นไม้ใบหอม มีทั้งไม้ใบและไม้ดอก ไว้จัดสวนและปลูกในบ้านได้ แถมบางชนิดใช้ทำอาหารได้ด้วย มีต้นอะไรบ้างตามไปดูกันเลยใครอยากจัดสวนต้นไม้ใบหอมกันบ้าง อาจปลูกลงดิน ทำเป็นแนวรั้ว หรือปลูกในกระถาง นอกจากมีกลิ่นหอมอวลทั่วบ้านเวลาลมพัดแล้ว บางสายพันธุ์ยังนำมาประกอบอาหารได้ด้วย วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับต้นไม้ใบหอม เช่น ต้นหลิวหอม มอสซี่ บัตเตอร์ โปร่งฟ้า ยูคาลิปตัส เป็นต้น สนใจอยากปลูกต้นไหนตามมาดูกันเลย1. มินต์มินต์ (Mint) เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงได้ถึง 90 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว มีรูปร่างและขนาดตามสายพันธุ์ ส่วนใหญ่ใบจะมีกลิ่นหอมเย็น แต่ความแรงของกลิ่นจะต่างกันไป ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและเพาะเมล็ด ชอบแดด ดินร่วนระบายน้ำ เหมาะนำมาทำอาหารและเครื่องดื่ม2. สนมะนาวสนมะนาว หรือสนเลมอน (Lemon Cypress) เป็นไม้พุ่มหนาซ้อนกันเป็นชั้น สูงได้ถึง 3 เมตร ใบสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงิน มีกลิ่นหอมคล้ายมะนาวหรือเลมอน นิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและเพาะเมล็ด ชอบดินระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดด สามารถปลูกในบ้านได้บริเวณที่มีแดดรำไร รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือเมื่อดินแห้ง3. ต้นเมอร์เทิลต้นเมอร์เทิล (Myrtus) หรือต้นยี่เข่ง เป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกมีหลายสีตามสายพันธุ์ เช่น สีขาว สีชมพู สีม่วง เป็นต้น ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง ควรปลูกในดินร่วนระบายน้ำ ชอบแดดจัด ทนแล้ง นิยมปลูกเป็นรั้วหรือริมทางเดิน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา โดยใบใช้แก้ผดผื่นคัน รักษาแผลสด ดอกใช้ต้มกินแก้อาการตกเลือดหลังคลอดบุตร รากใช้ต้มแก้ปวดฟัน กลากเกลื้อน4. โรสแมรีโรสแมรี (Rosemary) เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบคล้ายเข็ม ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียว ผิวใบด้านล่างเป็นสีขาวและมีขนปกคลุม มีกลิ่นหอม ส่วนดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ มีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีฟ้า และสีม่วง นิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำมากกว่าการเพาะเมล็ด ชอบดินร่วน ชอบแสงแดดรำไรถึงแสงแดดจัด ชอบน้ำไม่มาก นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย อีกทั้งยังสามารถไล่ยุงและแมลงได้ด้วย5. ต้นกระวานต้นกระวาน (Sweet Bay หรือ Sweet Bay Leaf) เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ความสูงไม่เกิน 2 เมตร ใบทรงรีสีเขียวหนา เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นหอมฉุน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำ ชอบดินร่วน ชอบแสงแดด ดินระบายน้ำดี รดน้ำเช้า-เย็น สามารถนำใบมาดับกลิ่นคาวอาหารหรือหมักเนื้อสัตว์ได้ รวมทั้งมีสรรพคุณช่วยขับลมและเป็นยาระบาย6. ยูคาลิปตัสยูคาลิปตัส (Eucalyptus) เป็นไม้ยืนต้นโตไว สูงได้ถึง 50 เมตร ใบยาวสีเขียวรูปหอก มีน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณช่วยไล่ยุงและแมลงได้ เพียงแค่นำใบสดประมาณ 1 กำมือ มาขยี้ให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยกระจายออกมา แล้วนำไปวางไว้ตามมุมห้อง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ ชอบดินร่วนปนทราย ถ้าผิวดินแห้งก็สามารถรดน้ำเพิ่มได้7. ต้นสนหอมต้นสนหอม หรือต้นหลิวหอม (Ellwood's Gold) เป็นไม้พุ่มยืนต้นโตช้า ลำต้นเดี่ยวตั้งตรงแตกกิ่งก้านเป็นทรงฉัตร เปลือกต้นสีน้ำตาล ใบสีเขียว ยอดใบสีแดง มีสรรพคุณไล่ยุงเนื่องจากมีกลิ่นหอมเย็น สามารถทำเป็นรั้วบ้านและปลูกเป็นไม้มงคลเสริมดวง ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งและการปักชำ ชอบแสงแดด รดน้ำได้ทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง8. คอตตอน ลาเวนเดอร์คอตตอน ลาเวนเดอร์ (Cotton Lavender) เป็นไม้พุ่มเตี้ย ความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ใบมีหลายสีตามสายพันธุ์ และมีกลิ่นหอมสามารถไล่ยุงและแมลงได้ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ ชอบแดดและดินระบายน้ำดี ทนแล้ง รอจนหน้าดินแห้งค่อยรดน้ำ9. โกฐจุฬาลัมพาโกฐจุฬาลัมพา (Common Wormwood, Sweet Wormwood) เป็นไม้ล้มลุก มีอายุปีเดียว สูงได้ถึง 2 เมตร แตกกิ่งมาก มีกลิ่นเฉพาะ มีขนขึ้นประปราย หลุดร่วงได้ง่าย ใบเป็นใบเดี่ยวขอบหยักลึกคล้ายขนนก ช่อดอกเป็นช่อแยกแขนงรูปพีระมิด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีสรรพคุณทางยา มีฤทธิ์แก้ไข้ ขับเสมหะ รักษาไข้มาลาเรีย แก้ริดสีดวงทวาร ต้านการอักเสบ และระงับอาการปวด10. โปร่งฟ้าโปร่งฟ้า เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงเพียง 1 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวทรงรี ปลายใบเรียวแหลม ใบมีกลิ่นหอมเหมือนพืชตระกูลส้ม แต่มีกลิ่นฉุนกว่า รสเผ็ดร้อนและซ่า สามารถนำใบมาเป็นเครื่องเคียงของลาบหรือน้ำพริกได้ เหมาะสำหรับปลูกในดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี ชอบที่ที่อากาศถ่ายเท แดดรำไร รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้า-เย็น11. ตะไคร้หอมตะไคร้หอม (Citronella Grass) เป็นไม้ล้มลุกขึ้นเป็นกอมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นทรงกระบอก ใบยาวมีกาบใบห่อหุ้ม สีเขียวปนม่วง มีกลิ่นหอมแรง ช่วยไล่ยุงได้ รวมทั้งนำไปสกัดทำเป็นครีมทาตัว สบู่ ยาสระผม เครื่องสำอาง และสเปรย์ฉีดยุง ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอ ชอบแดดรำไรถึงแดดจัด รดน้ำทั้งเช้าและเย็น12. มอสซี่ บัสเตอร์มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) เป็นไม้พุ่มใบขนาดเล็กสีเขียว ขอบใบหยัก กลิ่นหอมคล้ายตะไคร้ ใช้ไล่ยุงได้ สามารถปลูกในกระถางได้ ชอบแสงแดดและอากาศถ่ายเท รดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งในตอนเช้าเชื่อว่าน่าจะมีต้นไม้ใบหอมที่น่าสนใจเหมาะนำมาแต่งสวนกันได้บ้าง โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีกลิ่นสามารถไล่ยุงได้ รวมทั้งบางชนิดมีดอกให้เชยชม บางชนิดมีสรรพคุณทางยาเพิ่มเติมด้วย เอาเป็นว่าถ้าพร้อมแล้วมาลิสต์ต้นไม้ที่ชอบแล้วไปเลือกซื้อกันเลยขอบคุณข้อมูลจาก : gardenersworld.com, rhs.org.uk, thespruce.com, rspg.or.th, site-matching.forest.go.th, rhs.org.uk และ thaihof.orgแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกระปุก.คอมhttps://home.kapook.com/view270034.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
สวยจับใจ “อุโมงค์ดอกราชพฤกษ์” แห่งแรกในไทย เหลืองสะพรั่งสุดตระการตาที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ภาพจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruekเฟซบุ๊กเพจ “อุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruek” โพสต์ภาพสุดตระการตาของ “อุโมงค์ดอกราชพฤกษ์” ภายในอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ พร้อมให้ข้อมูลว่าภาพจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruekหากพูดถึงสีสันพรรณไม้ที่เติมความสดใสในช่วงนี้💛 คงต้องยกให้ “ดอกราชพฤกษ์” ที่กำลังบานสะพรั่งเต็มเชียงใหม่ แต่!! รู้หรือไม่ว่าที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์มีต้นราชพฤกษ์ที่กำลังบานสะพรั่งพร้อมกันกว่า 1,393 ต้นเชียวนะ🤗 และยังมีจุดไฮไลท์ที่ใครมาแล้วก็ไม่ควรพลาดกับ “อุโมงค์ดอกราชพฤกษ์” ที่เป็นอุโมงค์แห่งแรกในประเทศไทยและกำลังบานสะพรั่งให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมเพลินๆ ถ่ายรูปสวยๆ กันแบบสวยไม่ซ้ำอีกด้วยภาพจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruek🌼พิกัดชมดอกราชพฤกษ์ มีจุดไหนบ้าง- อุโมงค์ดอกราชพฤกษ์ ที่ออกดอกบานสะพรั่งโน้มเข้าหากัน โค้งเป็นอุโมงค์ ยาวกว่า 60 เมตร (ตรงข้ามกับสถานีต้นทางรถไฟฟ้าชมสวน)- บริเวณทางเข้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เริ่มออกดอกบานสะพรั่งเป็นทางยาวตามเส้นถนน และบนเนินราชพฤกษ์ ที่กำลังออกดอกแตกช่อแล้ว- บริเวณบึงราชพฤกษ์ ต้นเรียงกันเป็นแถวยาวตามแนวบึง ถ่ายรูปสะท้อนน้ำเป็นวิวที่สวยสุดๆ- ถนนเส้นหน้าเรือนร่มไม้ภาพจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruek💛ช่วงฤดูออกดอก : ตลอดเดือนเมษายน 2567🌸อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่🌷เปิดให้ชมสวนทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.📞สอบถามเพิ่มเติม 053-114110-2ภาพจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruekแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000034077
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ธุรกิจ
29/04/2024
บทความตอนนี้ ผมจะมาพูดถึงการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญในแง่ทฤษฎีและปฏิบัติ ถึงการพัฒนาจาก Brand Loyalty Customer ไปเป็น Brand Super Fans Customer ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงการบริหารจัดการแบรดน์และการตลาดไปอย่างมาก ถ้าเราสามารถนำไปปรับใช้ได้ก่อนใครก็จะทำให้เปิดประตูโอกาสและก้าวนำมากกว่าคู่แข่งได้มากขึ้นยิ่งด้วย รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันครับ การค้าในยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปบนโลกอินเทอร์เน็ตและโมบายนั้น ทำให้การสร้างฐานลูกค้าหรือผู้ใช้งาน ต้องอาศัยการบอกต่อของผู้คนในออนไลน์ด้วยวิธีต่างๆ กันไป เช่น การแชร์, การ Comment, การส่งลิงก์ ซึ่งทำให้การกระจายตัวของแบรนด์นั้นแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปทำความรู้จักกับการสร้าง Super fans เรามารู้จักก่อนว่า การกระจายข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อันได้แก่ 1. อดีต > จากการกระจายข่าวต้องอาศัยสื่อขนาดใหญ่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม ปัจจุบัน > การกระจายข่าวสามารถเข้าถึงและทำได้อย่างเท่าเทียม 2. อดีต > จากการกระจายข่าวสารที่ต้องอาศัยเวลาในการผลิตและวางแผนสื่อทำให้ล่าช้า ปัจจุบัน > การกระจายข่าวสารสามารถทำได้ทันทีในเวลาที่รวดเร็วและทรงพลังกว่ามาก 3. อดีต > จากการกระจายข่าวที่ต้องอาศัยแหล่งข่าวจากสื่อขนาดใหญ่ตามสำนักต่างๆ ปัจจุบัน > ทุกคนกลายเป็นแหล่งข่าว สามารถเป็นผู้นำทางความคิด และทดแทนแหล่งข่าวในอดีตได้ทันที จากปัจจัยข้างต้นนั้นเราจะเห็นว่า การเข้าถึงลูกค้าหรือการสร้างยอดขายในยุคปัจจุบันได้ปรับตัวมาอยู่ในโครงสร้างการกระจายข่าวสาร รูปแบบใหม่ ดังนั้น การสร้างสภาวะของการบอกต่อ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้การสร้างแบรนด์นั้นประสบความสำเร็จ “User trust User” ในนิยามนี้น่าจะเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การให้ผู้ใช้งานหรือลูกค้าอยากซื้อสินค้าและบริการนั้น การทำให้ User กลายเป็นผู้บอกต่อด้วยตนเองจึงสำคัญมาก ในยุคนี้ ทำไมต้องสร้าง Superfans? การสร้างแบรนด์ในยุคสมัยใหม่มีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะเป็นโลกที่เปิดโอกาสและเสรีภาพ ที่ทำให้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างไร้พรมแดนและไร้ขีดจำกัด ซึ่งทำให้ธุรกิจในโลกยุคนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สินค้าและบริการออกมาอย่างมากมายในเวลาอันสั้น แบรนด์ที่ไม่มีจุดยืนที่สร้างด้วยเหตุผลที่ชัดเจนว่า เราจะสร้างสินค้าและบริการเหล่านั้นขึ้นมาทำไม? จะค่อยๆ หายไป แต่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ที่มีสาวกอย่างเหนียวแน่นนั้น สามารถขยายธุรกิจไปได้มากมายและต่อเนื่อง หลักสำคัญ คือ แบรนด์ต้องมีคนรักและศรัทธา จนถึงขั้นเป็นแบรนด์สาวก และคนเหล่านั้นจะเป็นผู้ปกป้องแบรนด์แทนเจ้าของหรือผู้ก่อตั้งแบรนด์การสร้างสาวกแบรนด์มักใช้มากในแบรนด์ประเภททีมกีฬา โดยเฉพาะทีมฟุตบอล ระดับสโมสรในยุโรป เช่น ถ้าคุณเป็น สาวกของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คุณจะได้ฉายา “ปีศาจแดง” หรือถ้าคุณเป็นสาวกของทีมลิเวอร์พูลก็จะถูกเรียกว่า “The Kop” หรือ เด็กหงส์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มันคือการสร้างให้เกิดความเป็นสัญลักษณ์เฉพาะกลุ่ม อันนำไปสู่การสร้างความภูมิใจของตัวเอง เราพบว่าทีมฟุตบอลเหล่านี้ไม่ได้มีคุณค่าเชิงประโยชน์ใช้สอยสำหรับเรามากนัก แต่ทำไมคนถึงคลั่งไคล้ ตกเป็นสาวกชนิดที่ว่าเสื้อผ้า และของใดๆก็ตามที่มีโลโก้หงส์แดงจะขายได้ด้วย นั่นหมายความว่า สถานะของแบรนด์ที่กลายพันธุ์ไปเป็นการสร้างสาวกได้สำเร็จ มักจะมองข้ามฟังก์ชันไปยังคุณค่าเชิงจิตวิญญาณ ที่สะท้อนความภาคภูมิใจที่มีต่อแบรนด์ได้อย่างเหนียวแน่น - นิยามของ Superfans ต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ? Superfans คือ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการแบรนด์นั้นๆ ด้วยความพึงพอใจในระดับ ความรัก ความศรัทธาและภูมิใจในแบรนด์นั้นๆ จนอยากช่วยบอกต่อ และปกป้องแบรนด์นั้นๆ มากกว่าแค่เพียงการซื้อสินค้าด้วยความพึงพอใจในด้านโปรโมชั่น หรือราคาที่ถูกกว่า หรือหาซื้อง่ายกว่า “ถ้าแบรนด์คุณสามารถทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง และอยากบอกด้วยความประทับใจนั้นต่อไป แสดงว่าคุณเริ่มมี Super Fans” การกำหนด Segmentation ด้วยการกำหนด Super fans หรือกลุ่มคนที่ชื่นชอบอะไรไปในทิศทางเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นเสมือน ชนเผ่าที่มีรสนิยมเดียวกันคอเดียวกันให้ได้ก่อน ซึ่งยิ่งเป็นธุรกิจที่กำลังเริ่มต้น หรือกำลังอยู่ในสภาวะการแข่งขันที่สูง ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยการถามหา Super fans ขึ้นมาก่อนเริ่มจากตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ลูกค้าในระดับ Super fans ของแบรนด์เราจะมีหน้าตา วิถีชีวิต ทัศนคติ ความเชื่อแบบไหน Superfans ต่างจาก Loyalty อย่างไร ? ปัจจุบันการสร้างแบรนด์นั้นมีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งการพัฒนาการสร้างแบรนด์นั้นไปไกลกว่าแค่ การสร้างภาพลักษณ์ ถ้าแบรนด์ถูกมองเป็นแค่เพียงการสร้างภาพลักษณ์นั้นเราจะมองว่าสินค้าและบริการเป็นอะไรก็ได้ แล้วค่อยนำมาสร้างภาพลักษณ์แล้วสื่อสารออกไป ซึ่งสำหรับในปัจจุบันนั้นถือเป็นแนวคิดที่เริ่มไม่ทันยุคทันสมัยแล้ว การสร้างแบรนด์ปัจจุบันนั้นมี key impact ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีดิจิตอล ทำให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจำนวนมหาศาล การเปลี่ยนแปลงทางช่องทางจัดจำหน่ายที่รวดเร็วเข้าถึงง่ายขึ้นโดยเฉพาะด้านออนไลน์ และเกิดการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วโดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานแทบทุกด้าน จากปัจจัยเหล่านี้ การสร้างแบรนด์จึงปรับตัวไปสู่การที่แบรนด์สร้างจากเพียงแค่การสร้าง Awareness ผ่านสื่อ โดยให้สินค้าและบริการเราเป็นที่รู้จักจำนวนมากๆ เปลี่ยนเป็นการสร้างแบรนด์ควรต้องสร้างจากฐานแฟนคลับของตนเองโดยทำความเข้าใจกับเบื้องลึกทางจิตใจและคุณค่าทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ชนิดที่ตัวผู้บริโภคเองก็ไม่สามารถบอกความต้องการของเขาได้ แบรนด์เลยปรับ สถานะเป็นผู้นำทางแนวความคิดบางอย่างมากยิ่งขึ้น เพื่อคอยปกป้องและขยายชื่อเสียงของแบรนด์ออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านช่อง ทางออนไลน์ ตัวอย่างเช่น การสร้างแบรนด์ Apple ที่ไม่ได้สร้างจากแนวคิดว่าทุกคนต้องซื้อหรืออุดหนุนแบรนด์ฉัน แต่ในทางตรงข้าม กลับสร้างจากแนวคิดที่มีต่อโลกใบนี้และสร้างวิถีชีวิตมนุษย์ขึ้นมาใหม่ การที่แบรนด์คิดแบบนี้ จึงเกิดผู้ตามที่รักและคลั่งไคล้แบรนด์จนกลายเป็นสาวกเลยทีเดียว จากบทเรียนการสร้างแบรนด์แบบฉบับ Apple นั้น เขามุ่งเน้นไปที่คนที่มีคุณลักษณะทางจิตวิทยาเดียวกัน คือ กลุ่มคนที่คิดต่างและหัวก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น และอีกหลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันนั้นมักจะสร้างด้วยการเข้าถึงหรือสร้าง Super Fans ของตนเอง สิ่งที่ท่านต้องแยกให้ออกถึงความพิเศษของ Super Fans กับ Loyalty ซึ่งไม่เหมือนกันอย่างมาก ผมสรุปความแตกต่างของ 2 คำนี้ โดยความแตกต่างนั้นแยกเป็นประเด็น ได้ดังนี้มิติที่ 1. นิยามที่แตกต่าง จากการกำหนด Target Audience ไปเป็น Target Persona Super fans เป็นเหตุ ส่วน Loyalty เป็นผล Super fans เป็นเหตุที่แบรนด์ต้องเริ่มตั้งแต่การกำหนดในระดับ Segementation ของแบรนด์ ที่เป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามหลักจิตวิทยา ซึ่งการสร้างแบรนด์ที่ได้ผลต้องโฟกัสไปที่ Segment คนที่มีคุณค่าทางอารมณ์เดียว กัน มากกว่าแค่การเลือกจากแค่ Demogrpahy เพียงอย่างเดียว แต่สำหรับ Loyalty มองเป็นผลลัพธ์ คือ มองในมุมว่าลูกค้าใครที่ซื้อซ้ำมากที่สุด และแบ่งกลุ่มเพื่อไปทำ CRM. เป็นหลัก โดยสรุปย่อๆคือ Super Fans กำหนดเพื่อเป็นเป้าหมายหลักในการนำไปสู่การตั้งต้นการกำหนดกลยุทธ์ ตั้งแต่ก่อนการออกสินค้า บริการ และการสื่อสารแบรนด์ มิติที่ 2. คุณค่าที่แตกต่าง จากการมองลูกค้าที่การซื้อซ้ำ ไปเป็น ซื้อซ้ำ,บอกต่อ และปกป้อง Super Fans จะมองที่คุณค่าทางอารมณ์ มากกว่า แต่ Lotalty มองคุณค่าที่การซื้อซ้ำ สมมติว่าคุณมีลูกค้าที่ซื้อสินค้าคุณแล้วให้แบ่ง 2 กลุ่มนี้ออกมาจะเห็นว่า กลุ่มที่ถูกมองเป็นเชิงปริมาณนั้นเราจะเรียกมันว่า Loyalty แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นใน Loyalty เลยคือ ลูกค้ากลุ่มนี้มีจิตวิญญาณอย่างไร? อะไรคือสิ่งที่เขาเชื่อ อะไรคือสิ่งที่เขาศรัทธา ซึ่งการที่เราเข้าใจในคุณค่าที่กลุ่มเป้าหมายต้องการจะทำให้เราสามารถสร้าง Super Fans ได้อย่างแม่นยำต่อไปมิติที่ 3. ความรัก ความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่าง จากการที่เชื่อมั่นเพียง Functional Value ไปเป็น Spiritual Value Super Fans คือกลุ่มลูกค้าที่อยากบอกต่อและเชื่อมั่นในแบรนด์แบบสุดหัวใจ แต่ Loyalty คือกลุ่มที่ซื้อแบรนด์นั้นๆ บ่อย อาจเพราะเหตุผลด้านฟังก์ชั่น เช่น ราคาถูกกว่า และฟังก์ชันแบบนั้นแบบนี้ที่ฉันต้องการ แบรนด์ที่มีการซื้อสินค้าจากการที่ซื้อเพราะราคา และ ฟังก์ชันนั้น ไม่ยั่งยืนแน่นอนในปัจจุบัน เพราะวันดีคืนดีอาจมีแบรนด์ที่ทำได้ถูกกว่าและฟังก์ชันดีกว่า ทำให้ท่านหนีเรื่องสงคราม ราคาไม่พ้นอย่างแน่นอน ซึ่งผิดกับแบรนด์ที่มี Super fans ลูกค้าที่ซื้อจากจิตวิญญาณแบรนด์นั้นๆ จากสิ่งที่เขาเชื่อไปในทางเดียวกัน เขาแทบไม่ได้ถูกคู่แข่งดึงไปจากราคาหรือฟังก์ชันที่ใหม่กว่าอย่างแน่นอน และแถมเหล่า Super Fans ยังเป็นกระบอกเสียงที่วิจารณ์คู่แข่งให้เราอีกด้วย จากนิยามที่เปลี่ยนไปจากการที่แบรนด์ต่างๆ ต้องบริหารเพื่อมุ่งสู่การสร้าง Brand Loyalty Customer เปลี่ยนไปเป็นมุ่งสู่ Brand Superfans Customer ทำให้การติดตามและการวัดผลนั้นจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แบรนด์ที่จะสร้างยอดขายและการเติบโตได้หลังจากนี้ท่านต้องมอนิเตอร์สุขภาพแบรนด์ท่านตลอดว่าท่านมี Brand Superfnas Customer มาน้อยแค่ไหน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/business/1120078
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
บทความโดย "อิศรินทร์ เมืองแตง"ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชนหากพูดถึงคำว่า “ประกันชีวิต” คงมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับผู้เอาประกัน ในรูปแบบการถ่ายโอนความเสี่ยงมายังบริษัทประกัน และมีวงเงินความคุ้มครองที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัว หรือคนข้างหลังในฐานะผู้รับผลประโยชน์ ในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควรและในมุมเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความคุ้มครองให้กับผู้เอาประกันในระยะเวลาที่ยาวนาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เอาประกันได้ว่า หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผลประโยชน์ที่เกิดจากกรมธรรม์ประกันชีวิตหรือสินไหม จะสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้เอาประกันตลอดอายุสัญญากรมธรรม์ได้อย่างแน่นอนอย่างไรก็ดี ในอีกมุมประกันชีวิต เป็นผลิตภัณฑ์ ที่ให้ผลประโยชน์สูงสุดของแบบประกัน โดยอยู่ที่การทำตามเงื่อนไขของแบบประกันทั้งระยะเวลาการชำระเบี้ยและระยะเวลาถือครองตามที่กำหนด ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานของสัญญา มีความยืดหยุ่นน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆเช่น การชำระเบี้ยที่ยาวนานเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ในระยะยาว ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำวิถีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลให้สถานะทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว เช่น เปลี่ยนงาน ตกงาน ธุรกิจล้มละลาย ซึ่งทำให้กระแสเงินสดไม่เพียงพอในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็อาจส่งผลถึงความสามารถในการชำระเบี้ยประกันในช่วงเวลานั้นได้ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาเรื่องความสามารถในการชำระค่าเบี้ยประกันหรือมีกระแสเงินสดจ่ายไม่เพียงพอ ผู้เอาประกันมี “สิทธิ” ในการหยุดชำระค่าเบี้ยหรือเปลี่ยนแปลงกรมธรรม์เป็นเงินสด เพื่อหาทางเลือกในการแก้ไขหรือจัดการปัญหาทางการเงินของตนเอง ได้แก่1. สิทธิในการผ่อนผันการชำระเบี้ย สามารถยืดระยะเวลาชำระเบี้ยประกันได้อีก 1 เดือน โดยหากเสียชีวิตระหว่างนั้น บริษัทประกันยังจ่ายสินไหมทุนประกันให้กับผู้เอาประกันอยู่ (หักค่าใช้จ่ายคงค้าง)2. สิทธิในการชำระเบี้ยประกัน โดยสามารถเลือกปรับการชำระเบี้ยเป็นแบบราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน, ราย 1 เดือน เพื่อลดปัญหากระแสเงินสดจ่ายก้อนใหญ่ในช่วงเวลานั้น3. สิทธิในการกู้กรรมธรรม์เพื่อชำระเบี้ย ในกรณีผู้เอาประกันไม่ต้องชำระค่าเบี้ย ทั้งนี้ บริษัทประกันจะใช้มูลค่าเงินสดตามตารางกรมธรรม์ หากมูลค่าเงินสดเพียงพอ บริษัทประกันจะทำการกู้เงินจากกรมธรรม์ เพื่อนำไปจ่ายค่าเบี้ยทุกปี จนกว่ามูลค่าเงินสดจะไม่เหลือ4. สิทธิในการการเวนคืนกรมธรรม์ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสัญญา ไม่มีความคุ้มครองใด ๆ ต่อไป ผู้เอาประกันไม่ต้องชำระเบี้ยอีกต่อไป บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนตามตารางมูลค่าเงินสดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หักด้วยค่าใช้จ่าย หนี้สินต่าง ๆ (ถ้ามี)5. สิทธิในการใช้มูลค่าเงินสำเร็จ โดยผู้เอาประกันไม่ต้องชำระค่าเบี้ยประกันต่อ แต่กรมธรรม์ยังมีระยะเวลาคุ้มครองเท่าเดิม โดยความคุ้มครองและเงินคืนเมื่อครบสัญญาอาจลดลง หรือผู้เอาประกันอาจได้เงินคืนทันทีเมื่อใช้สิทธิ ทั้งนี้ขึ้นกับตารางกรมธรรม์ระบุไว้ในส่วนของการใช้สิทธิมูลค่าเงินสำเร็จ6. สิทธิในการขยายระยะเวลา โดยผู้เอาประกันไม่ต้องชำระค่าเบี้ยประกันต่อ แต่กรรมธรรม์ยังมีทุนประกันความคุ้มครองอยู่เท่าเดิม แต่ระยะเวลาคุ้มครอง และเงินคืนเมื่อครบสัญญา อาจจะลดลงจากเดิม และผู้เอาประกันอาจได้เงินคืนทันทีเมื่อใช้สิทธิ ทั้งนี้ขึ้นกับตารางกรมธรรม์ระบุไว้ในส่วนของการใช้สิทธิขยายระยะเวลาทั้งนี้ ในสิทธิข้อ (4) (5) และ (6) ที่เป็นทางเลือกของของลูกค้ามีสิ่งที่คล้ายกัน คือ ลูกค้าไม่ต้องชำระค่าเบี้ยต่อ และได้เงินคืนทันทีจำนวนหนึ่ง (ถ้ามี) หากแต่โดยหลักการ ประกันชีวิตในแต่ละแบบจะให้ผลประโยชน์ผลตอบแทนได้สูงสุด หากมีการชำระเบี้ยประกันครบ และอยู่ครบสัญญาตามปีที่กำหนดด้วยเหตุนี้จึงมีอีกหนึ่งทางเลือกที่กรมธรรม์จะอยู่ครบสัญญาตามกำหนดเพื่อรับผลประโยชน์สูงสุด และจะแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กับผู้เอาประกัน โดยผู้เอาประกันไม่ต้องชำระค่าเบี้ยประกันอีกต่อไป และได้เงินคืนที่มากกว่าการใช้สิทธิต่าง ๆ กระบวนการนั้น คือ Life SettlementLife Settlement คือ ธุรกรรมทางการเงินประเภทหนึ่งที่ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้เอาประกันในการ “ขาย” กรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับตัวกลางทางการเงิน ด้วยการ “ขาย” กรมธรรม์ของตนเองให้กับบริษัทที่รับซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิต บริษัทรับซื้อขายกรมธรรม์จะรับซื้อในกรณีที่ผู้เอาประกันไม่มีความสามารถที่จะชำระค่าเบี้ยประกันได้อีกต่อไป และ/หรือ มีความจำเป็นต้องใช้เงินในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่โดยกระบวนการ Life Settlement จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เอาประกันหรือเจ้าของกรมธรรม์ ขายกรมธรรม์ให้กับบริษัทตัวกลางที่รับซื้อขายกรมธรรม์ มูลค่าที่บริษัทรับซื้อจะสูงกว่ามูลค่าเงินเวนคืนกรมธรรม์ แต่จะต่ำกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากกรมธรรม์ทั้งนี้ มูลค่าจากการรับซื้อขายกรมธรรม์ คำนวณจากการคิดลดกระแสเงินสดจ่าย (ค่าเบี้ยประกัน) และกระแสเงินสดรับ (เงินคืน/สินไหม) ของบริษัทรับซื้อในอนาคต ปรับด้วยประวัติสุขภาพของผู้เอาประกันและอัตราคิดลดที่คำนึงถึงความเสี่ยงที่บริษัทจะได้รับเมื่อบริษัทรับซื้อกรมธรรม์มาแล้ว บริษัทจะกลายเป็นผู้รับผลประโยชน์ แทนบุคคลเดิม และบริษัทที่รับซื้อจะรับภาระในการชำระค่าเบี้ยประกันแทนผู้เอาประกันหรือเจ้าของกรมธรรม์เดิม ให้แก่บริษัทประกันชีวิตที่เป็นคู่สัญญาจนกว่ากรมธรรม์จะครบกำหนด หรือผู้เอาประกันเสียชีวิตซึ่งบริษัทที่รับซื้อกรมธรรม์ จะรับสินไหม เงินคืนต่าง ๆ เป็นผลประโยชน์ในการดำเนินกิจการLife Settlement ส่วนใหญ่จะทำธุรกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกฎหมายคุ้มครองการซื้อขายกรมธรรม์ครอบคลุม 43 รัฐ หรือคิดเป็น 90% ของรัฐทั้งหมด และนับแต่มีกฎหมายคุ้มครองการซื้อขายกรมธรรม์อย่างถูกต้อง มีผู้สนใจขายกรมธรรม์ และผู้ลงทุนในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นทุกปีดังนั้น Life Settlement จึงเป็นทางเลือกในการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้เอาประกันที่ไม่สามารถชำระเบี้ยปีต่อได้ ต้องการเงินก้อนที่มากกว่าการใช้สิทธิเวนคืนกรมธรรม์ และไม่ต้องการความคุ้มครองแล้วสำหรับในประเทศไทย Life Settlement ถือเป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีกฎหมายที่รองรับในเรื่องนี้ และอาจกระทบกับหลักการ “ผู้มีส่วนได้เสีย” ทำให้การออกกฎหมายคุ้มครองการซื้อขายกรมธรรม์มีระยะเวลาที่ยาวนานออกไปและหากผู้อ่านท่านใดสนใจเรื่องบริษัทที่รับซื้อขายกรมธรรม์จะดำเนินการต่อไปอย่างไร หรือสนใจลงทุนในบริษัทที่รับซื้อขายกรมธรรม์ ตลอดถึงต้องการทราบผลตอบแทน และความเสี่ยงจากการลงทุนใน Life Settlement ผู้เขียนจะขอนำเสนอในส่วนของการลงทุนในลำดับถัดไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1528301
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
“โต้ง” เป็นคำเมือง ล้านนา หมายถึง ทุ่งนาในงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 จัดแสดงหลายพื้นที่ในอำเภอต่างๆ โดยพื้นที่จัดแสดงหลักคืออำเภอเมืองและอำเภอเชียงแสน ในส่วนการจัดแสดงที่อำเภอแม่ลาว กลุ่มศิลปินร่วมกันจัดแสดงงานศิลปะในท้องทุ่ง ในแนวคิด “เล่นกับโต้ง” ซึ่งจะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567วิ่งเล่นกลางโต้งศิลปินคนแม่ลาวแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่ รุ่นกลาง และรุ่นเก๋า ต่างมีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและท้องนา จึงสร้างสรรค์ ผลงานชุด “เล่นกับโต้ง” หรือ “เล่นกับทุ่ง” โดยใช้พื้นที่ทุ่งนาเรียวกังของสมาชิกศิลปินกลุ่มแม่ลาวเป็นที่ติดตั้งผลงานประติมากรรมขนาดใหญ่ 4 ชิ้น จากศิลปินแม่ลาว 12 คน ร่วมกับหุ่นไล่กาฝีมือชาวบ้านในหมู่บ้าน ตำบล หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในชุมชนอีกหลายสิบตัวเหนื่อยแล้วพักก่อนด้วยความที่อำเภอแม่ลาวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นเมืองเกษตรกรรม งานประติมากรรมหลักๆ ทั้ง 4 ชิ้นจึงสื่อสารเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้คนกับท้องทุ่งท้องนา ฉายภาพภูมิประเทศแม่ลาวที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณธัญญาหาร แผ่นดิน แม่น้ำ และอากาศ เปิดมุมมองการทำมาหากิน อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตร รวมทั้งสีสันของหุ่นไล่กานานารูปแบบ ซึ่งในอดีตชาวบ้านนิยมใช้หุ่นไล่กาในการไล่นกที่ลงมาจิกกินข้าวและพืชไร่ การเน้นสร้างสรรค์งานศิลปะโดยชวนคนในชุมชนมีส่วนร่วมทำให้ผลงานหุ่นไล่กาหลายชิ้นเกิดจากฝีมือคนที่หลากหลาย ดูสนุกสนานมีชีวิตชีวาช่วยกันซ่อมแซมหุ่นฟางมื่อเลี้ยวรถเข้ามายังพื้นที่เรียวกังคาเฟ่ ฝั่งตรงข้ามเป็นท้องนากว้าง มีทางเดินเข้าไปยังเรียวกังอาร์ตเซ็นเตอร์ สิ่งสะดุดตาสิ่งแรกคงจะเป็นงานศิลปะขนาดใหญ่ หุ่นคน หุ่นฟาง หุ่นสุนัขก้นโด่ง หรือ “หมาเล่นกับโต้ง” เป็นแนวคิดที่นำเสนอจากสุนัขที่ชอบเอาอาหารหรือกระดูกไปฝังไว้ในดิน ศิลปินนำความรู้สึกที่ได้สัมผัสนี้มาสื่อสารผ่านงานศิลปะอย่างน่ารักวรวิทย์ แสงทอง ศิลปินเจ้าของผลงานหุ่นฟางสุนัข กล่าวว่า “ตอนเด็กๆ ทุ่งนาก็คือสนามเด็กเล่นของผม มีหมาคู่ใจตัวหนึ่ง จะคอยไปไล่ดมไล่มุดกองฟาง เป็นความทรงจำที่ผมอยากให้มาอยู่ในงานชุดนี้”ด.ช.คิดถึง แสงทอง บอกว่า “ไอเดียพ่อ แล้วแม่ก็มาช่วยทำด้วย ผมมาช่วยเล่นและซ่อมแซมฟางบ้าง มันสนุกมาก”วรวิทย์ แสงทอง และผูกพันธ์ ไชยรัตน์สำหรับเด็กๆ แล้วหุ่นฟางสุนัขแม่ลูกและหุ่นไล่กาสารพัดรูปแบบที่ยืนเรียงรายอยู่กลางทุ่งเป็นสิ่งดึงดูดใจและเล่นสนุกได้ทุกครั้งที่มาเยือนด.ช.คิดถึงยังบอกอีกว่า “ตอนเย็นพ่อกับแม่พามาเล่นที่นี่ ตอนค่ำๆ บางทีหุ่นไล่กาก็ดูน่ากลัวเหมือนกัน แหะ แหะ”หุ่นใหญ่ หุ่นยักษ์ และท้องทุ่งแห่งงานศิลป์ เป็นสนามเด็กเล่นกว้างใหญ่และเปิดกว้างรอรับทุกคนอย่างอิสระ ศิลปะอยู่ได้ทุกที่ ทุกหนทุกแห่งยิ้มสู้แดดนอกจากงานศิลปะที่จัดแสดงกลางแจ้งแล้ว ในเรียวกังอาร์ตเซ็นเตอร์ยังมีนิทรรศการหมุนเวียนของกลุ่มศิลปินแม่ลาว นำเสนอแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปินแม่ลาวแต่ละท่าน สลับสับเปลี่ยนกันไป 4 ครั้งตลอดระยะเวลาจัดงาน มีความหลากหลายน่าสนใจทุ่งนาเรียวกัง และเรียวกังอาร์ตเซ็นเตอร์ ต้อนรับทุกคนทุกวัย ไม่ว่าจะคนไทยหรือชาวต่างชาติ เพราะอยากให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่เชื่อมร้อยสัมพันธ์วิถีชีวิตวัฒนธรรมกับผู้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชนผ่านงานศิลปะนิทรรศการหมุนเวียนในอาร์ตเซ็นเตอร์ก่อนมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายนนี้ ขอเชิญชวนผู้สนใจงานศิลปะไปสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่เชียงราย ไม่ว่าจะเป็นที่อำเภอแม่ลาว อำเภอเมือง อำเภอพาน และอำเภอเชียงแสน ทุ่งแสงตะวันนำตัวอย่างบางส่วนมาให้ชมกันในวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ตอน เล่นกับโต้ง บอกเล่าเรื่องราวโดยลูกหลานศิลปินตัวน้อย พบกันเวลา 05.05 น. ทางช่อง 3 HD และ 07.30 น. ทางเพจเฟซบุ๊กทุ่งแสงตะวัน และยูทูบ payaiTVวสวัณณ์ รองเดชแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_8190370
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
19/04/2024
ในปัจจุบันการโดยสารด้วยเครื่องบินได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีผู้เสียชีวิตบนเครื่องบินอย่างแน่นอน แต่ก็มีข้อสงสัยว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างบนเครื่องบิน และศพนั้นจะถูกเก็บไว้ที่ไหนเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นั่นหมายถึงความสูญเสีย พนักงานต้อนรับก็จะนำร่างผู้เสียชีวิตโดยการให้เกียรติสูงสุด และจะนำศพไปให้ไกลจากผู้โดยสารท่านอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น หากชั้นหนึ่ง หรือแถวนั้นไม่มีคนนั่งเลย พนักงานต้อนรับก็จะทำการนำร่างไปไว้โดยไม่ให้ปะปนกับคนอื่น ในบางสายอาจจะอนุญาตให้พนักงานต้อนรับวางศพไว้กับพื้นและใช้ผ้าคลุมไว้ให้เรียบร้อยบริเวณท้ายเครื่องบิน หรืออาจจะมัดนั่งกับเก้าอี้และคลุมศพนั้นไว้สำหรับขั้นตอนการลำเลียงศพนั้น จะมีการดำเนินขั้นตอนตามพิธีของศุลกากรตามปกติ โดยสายการบินจะได้รับแจ้งว่าเป็นสินค้าพิเศษ (human remain) เมื่อทำการโหลดเสร็จแล้ว นักบินจะทราบว่าไฟล์นี้มีศพเป็นสินค้าพิเศษ แต่ผู้โดยสารจะไม่ทราบ ยกเว้นลูกเรือเท่านั้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447259/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
18/04/2024
บทความโดย "สรวงพิเชฏฐ์ หลายชูไทย" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 15 เมษายน 2567 ภาษีนั้นเป็นช่องทางรายได้หลักของรัฐในการพัฒนาประเทศ โดยคนที่มีรายได้มากก็มักจะเสียมาก และคนที่มีรายได้น้อยก็มักจะเสียน้อย แต่นอกจากรายได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีมูลค่ามากและอยู่คู่กับคนมีเงินมาทุกยุคทุกสมัย คือ “อสังหาริมทรัพย์” ซึ่งภาษีที่เก็บจากคนที่มีที่ดินนี้เรียกว่า “ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง”“ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง” เป็นภาษีรายปีที่คำนวณจากมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีไว้ในครอบครอง เริ่มใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค. 2563 มาแทนที่ “ภาษีโรงเรือนและที่ดิน” ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากจากอสังหาริมทรัพย์ที่มีการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการให้เช่า เปิดกิจการ และ/หรือให้บริการจากหอพัก โรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล และสถานประกอบการต่าง ๆ มักมีกรณีคนที่หลีกเลี่ยงไม่ยื่นทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีโรงเรือนและที่ดิน แต่ปัจจุบันเป็นภารเก็บภาษีจากรูปแบบการใช้ประโยชน์และมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆแทน ทำให้ยากแก่การหลีกเลี่ยงภาษี แต่ก็สามารถวางแผนภาษีได้ภาษีที่ดินจัดเก็บกับทั้งบุคคลและนิติบุคคล โดยความเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นจะดูว่าใครเป็นผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้นๆในทุกวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี ก็จะเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินของปีนั้น ในอัตราการเก็บที่ 0.01 – 3% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งอัตราดังกล่าวจะมากหรือน้อยขึ้นกับ 2 ปัจจัยหลักคือ1. ลักษณะการใช้ประโยชน์ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ เกษตรกรรม ที่พักอาศัย พาณิชยกรรม ที่รกร้าง2. มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งส่งผลให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นโดยที่ดินเพื่อ “เกษตรกรรม” จะมีการจัดเก็บในอัตราที่ต่ำที่สุด คือ 0.01-0.1% รองมาคือ “ที่พักอาศัย” ที่อัตรา 0.02 – 0.1% และสูงสุด คือ เพื่อ “พาณิชยกรรม” และ “ที่รกร้าง” ที่อัตรา 0.3 – 0.7% โดยกรณีของ “ที่รกร้าง” อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นไปอีก 0.3% ทุก 3 ปี และมีเพดานสูงสุดที่ 3%แม้ภาษีที่ดิน ที่เห็นทุกวันนี้อาจดูไม่สูงมาก เพราะอัตราภาษีที่เห็นในปี 2566 เป็นแค่ 10% ของอัตราที่จะถูกเก็บจริง และจะเพิ่มเป็น 50% ในปี 2567 เพิ่มเป็น 70% ในปี 2568 และ 100% ในปี 2567 ตามลำดับ เช่น หากมีที่ดินเปล่ามูลค่า 10 ล้านบาท และไม่ได้มีการวางแผนจัดการ จะต้องเสียภาษีที่ดินถึงปีละ 30,000 บาท พร้อมเบี้ยปรับสูงสุดถึง 40% รวมทั้งเงินเพิ่มเดือนละ 1% อีกด้วยการวางแผนภาษีที่ดิน ที่สามารถทำได้อย่างง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด ที่นิยมทำกันนั้น มี 2 ลักษณะ ได้แก่1. การเปลี่ยนลักษณะการใช้ประโยชน์ เพื่อลดอัตราภาษีที่ต้องเสีย เช่น การปลูกพืช หรือ เลี้ยงสัตว์ บางชนิดในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเปลี่ยนอัตราภาษีที่เสีย ทำให้ประหยัดลงได้สูงสุดถึง 30 เท่า2. การเปลี่ยนบ้านให้เป็นบ้านหลังหลัก เพื่อจะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีในการคำนวณภาษี โดยบ้านหลังหลักนี้ จะยกเว้นฐานภาษีให้ 50 ล้านบาทแรก สำหรับกรณีที่เป็นทั้งเจ้าของบ้านและที่ดิน และยกเว้นฐานภาษีให้ 10 ล้านบาท กรณี ที่เป็นเจ้าของบ้านเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องมีชื่อเป็น “เจ้าบ้าน” ในบ้านหลังนั้นด้วย แต่ความจริงแล้ว การเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินตามนิยามของภาษีที่ดินนั้น ขอเพียงมีชื่อในทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินเท่านั้น ก็นับว่าเป็นบ้านหลังหลักและได้รับการยกเว้นภาษีแล้วทั้งนี้สิ่งที่ควรคำนวณประกอบการตัดสินใจวางแผนประหยัดภาษีทุกครั้ง คือ “ต้นทุน” ทั้งต้นทุนเงิน และ ต้นทุนเวลา ในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น หากมูลค่าที่ดินของเราไม่ได้สูงมาก ต้นทุนในการปลูกพืชผล และจ้างคนดูแล อาจสูงกว่าตัวภาษีเอง และอาจเข้าทำนอง “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ได้หลังจากรู้จักภาษีที่ดินและวิธีการจัดการแล้ว วิธีการชำระภาษีก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญเนื่องจาก “ภาษีที่ดินนี้” ผู้จัดเก็บ คือ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ใช่ สรรพากร เหมือนภาษีเงินได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดบ่อย ๆ เพราะการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ประเมินและจัดเก็บ แปลว่าจะต้องไปเสียภาษีที่ เทศบาล อบต. หรือ สำนักงานเขต ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆซึ่งหากมีกระจายอยู่หลายจังหวัด และไม่ได้ชำระในเวลาที่กำหนด ก็ต้องไปดำเนินการที่เขตนั้นๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีช่วงเวลาสำคัญที่ควรทราบ ดังนี้1. ช่วงจัดส่งแบบประเมินภาษี จะอยู่ภายในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ของทุกปี แต่ ในปี 2566 และ 2567 ได้เลื่อนให้จากภายในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นภายในเดือน เมษายน2. ช่วงเวลาชำระภาษี จะอยู่ภายในช่วงเดือน เมษายน ของทุกปี แต่ ในปี 2566 และ 2567 ได้เลื่อนให้จากภายในเดือน เมษายน เป็นภายในเดือน มิถุนายนโดยหากชำระผ่านเอกสารที่แจ้งประเมินมาภายในช่วงเวลาชำระภาษีนั้น จะสะดวกสบายมาก เพราะจะสามารถแสกนจ่ายจาก QR Code ในเอกสารที่ส่งมาได้เลย3. ช่วงเวลาแจ้งเตือนภาษีค้างชำระ จะอยู่ภายในช่วงเดือน พฤษภาคม ของทุกปี แต่ ในปี 2566 และ 2567 ได้เลื่อนให้จากภายในเดือน พฤษภาคม เป็นภายในเดือน กรกฎาคม4. ช่วงเวลาแจ้งชื่อผู้ค้างชำระ จะอยู่ภายในช่วงเดือน มิถุนายน ของทุกปี แต่ ในปี 2566 และ 2567 ได้เลื่อนให้จากภายในเดือน มิถุนายน เป็นภายในเดือน สิงหาคมซึ่งหากมีชื่ออยู่ในกลุ่ม “ผู้ค้างชำระ” จะมีทั้งเบี้ยปรับ และ เงินเพิ่ม ซึ่งต่อรองขอลดได้ยากมาก ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องเดินทางไปชำระที่ เทศบาล อบต. หรือ สำนักงานเขต ที่ตัวที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของตัวเองเท่านั้นภาษีที่ดินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ไกลตัวอย่างที่คิด ดังนั้น ไม่ควรลืมเช็คภาษีที่ต้องชำระในปีนี้ และบริหารจัดการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของเราเพื่อประหยัดภาษีปีหน้าไว้ให้เรียบร้อยhttps://www.itax.in.th/pedia/ภาษีที่ดินhttps://www.banbuengcity.go.th/archives/15986แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1543057
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
09/05/2024
29/04/2024
01/07/2024
27/06/2024
30/04/2024